My Next-door Neighbor by: kritzy_8 special thanks: Naiya, mfindyoursoul, and Somsiri

Chapter 9 - เลี้ยงหมาสนุกไหม?

“กูจะบ้าาา!”
คำสบถพร้อมด้วยการยกมือขึ้นมากุมขมับเกิดขึ้นหลังจากไทเลอร์เปิดอ่านอีเมลที่พบว่าดราฟที่เขากับแอชลี่ย์ส่งไปเมื่อวันศุกร์ถูกสั่งแก้ขนานใหญ่จนเหมือนว่าถ้าเริ่มใหม่ตั้งแต่แรกน่าจะง่ายกว่า เขาเอนทิ้งตัวลงกับโซฟานุ่มราวกับจะสิ้นใจ เหนื่อย เครียด ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย ก็ไหนบอกตอนนั้นว่าชอบอยู่ไงวะ? ทำไมมาบอกทีหลังว่าขอแก้กัน ไทเลอร์ไม่เข้าใจ แถมวันนี้ที่เป็นวันหยุดพอให้ชื่นใจในวันที่ที่เป็นตัวเลขเดียวกันกับเลขของเดือนพฤศจิกายน[1]ก็ยังส่งเมลมาอีก ขยันเกินไปหรือเปล่า เขาให้หยุดเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่เสียสละเพื่อประเทศชาติไม่ใช่หรือยังไง?
 
[Tyler A. Flynn]
แอช
ฉันไม่ไหวแล้ว
ไป Coney Island เป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม?
[Ashley S. Garret]
ฉันโดนงานทับอยู่
ไว้วันหลังนะ
(สติกเกอร์วิญญาณหลุดจากร่าง)
 
เมื่อความเครียดเริ่มถาโถม ไทเลอร์ก็มักจะหนีจากโลกแห่งความจริงแล้วมุ่งเข้าหาความสงบและเรียบง่ายที่มีอยู่รอบตัว ซึ่งที่ Coney Island ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น แต่จะให้ไปคนเดียวมันก็ยังไงอยู่ เขากลัวเจอใครคนที่ไม่อยากเจอที่นั่นนี่นา แค่นึกถึงหน้าของเขาคนนั้นก็รู้สึกหัวเสียยิ่งกว่าเดิมแล้ว
Coney Island เป็นย่านที่อยู่ทางใต้สุดของบรุกลิน มีชื่อเสียงในเรื่องของสวนสนุกขนาดใหญ่ ท่าเรือสะพานไม้ที่ทอดยาวลงไปในทะเล และชายหาดที่ยาวสุดลูกหูลูกตา อันเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวนิวยอร์กที่สามารถสัมผัสบรรยากาศทะเลที่สวยพอตัวได้โดยไม่ต้องไปไหนให้ไกล
เมื่อแผนของการชวนเพื่อนร่วมงานที่อยู่ห่างจาก Coney Island ไปไม่มากให้มาด้วยกันพังทลายลงอย่างรวดเร็ว ไทเลอร์ก็ปิดหน้าจอของแมคบุ๊คลงแล้วลุกขึ้นเดินไปหาอะไรทำแทนให้หายเครียด อันที่จริงวันนี้มันก็วันหยุด ทำไมเขาต้องมามีเรื่องให้เครียดด้วยนะ แถมเป็นเรื่องงานอีก?
กีตาร์สีดำถูกหยิบมาวางที่หน้าตักของไทเลอร์ในรอบสิบวันนับจากที่มันย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่ นานพอที่จะทำให้เขาลืมแล้วว่าคอร์ด C มันกดยังไง
“ถ้าจำไม่ผิด นิ้วนางต้องอยู่ที่เฟรตที่สาม สายที่... สอง”
แตร๊ง...
เสียงคอร์ด C ที่ไม่ค่อยสมบูรณ์นักดังออกมาพร้อมกับที่จู่ ๆ ภาพของคนที่สอนไทเลอร์เล่นกีตาร์ก็แล่นเข้ามาในสมอง สัมผัสที่จับมือของเขาวางในตำแหน่งที่ถูกต้องล่องลอยอยู่ประกอบในความทรงจำตอนนั้น ไทเลอร์ยังจำได้อยู่เลยว่ามันอ่อนโยน
แต่นิ้วของแมทธิวโคตรจะด้านเลย มันก็ไม่แปลกหรอกสำหรับมือกีตาร์
ไทเลอร์ดีด ๆ คอร์ด C ซ้ำ ๆ อยู่หลาย ๆ ที่แล้วจึงลองเปลี่ยนมาดีดคอร์ดต่อไปในท่อนฮุกเพลง Style ที่เป็นคอร์ด Fsus2 คอร์ดนี้จะต้องปล่อยนิ้วกลางออก แล้วขยับนิ้วนางลงมาหนึ่งสาย ไม่ได้ยากอะไรเท่าไหร่เพราะมันมีหน้าตาคล้าย ๆ กัน แต่พอมาเป็น Am เท่านั้นแหละที่ไทเลอร์นิ้วพันกัน กว่าจะกดตามได้ถูกต้องก็ขยับนิ้วไปมาไม่รู้ทิศทางอยู่หลายวินาที ความหัวเสียที่กลับมาทำให้เขาเลือกปล่อยมือจากกีตาร์แล้วเอามันมากอดแทน
“ต้องไปตรงท่าเรืออันนั้นจริง ๆ นั่นแหละ”
คางของไทเลอร์วางไว้ที่กีตาร์ขณะมือเลื่อนโทรศัพท์หาแชตของแอชลี่ย์ ขอเถอะว่าถ้าตื๊ออีกรอบแล้วเธอจะยอมไปด้วยกัน
 
[Tyler A. Flynn]
แอช
ไปด้วยกันเถอะนะ
ฉันกลัวไปเจอไอ้นั่น
(อีโมจิตาวิบวับอ้อนวอน)
[Ashley S. Garret]
เอางี้นะไทเลอร์
นายไปชวนหมาข้างบ้านของนายนะ แล้วก็ปล่อยฉันไปทำงาน
 
แมทธิวเหรอ... แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่นา ถ้าจะไปคนเดียวก็ไม่น่าจะดีจริง ๆ เพราะแฟนเก่าของไทเลอร์บ้านอยู่ไม่ได้ห่างจากตรงนั้นซักเท่าไหร่ โอกาสเจอกันแม้จะไม่ได้มาก แต่ถ้าเผอิญไปเจอเข้าล่ะก็... ตายแน่
 
[Tyler A. Flynn]
ก็ได้
ไอ้แมทก็ไอ้แมท
 
ชุดนอนถูกโยนลงตะกร้าเสื้อผ้าที่ใส่แล้วไปแล้วเปลี่ยนมาเป็นชุดออกไปข้างนอกที่ไม่ได้ดูดีนักแต่ก็พอใช้ได้ ไทเลอร์อยากไปผ่อนคลายจากความเครียด ไม่ได้อยากจะออกไปเข้าสังคมหรือพบปะผู้คนซักหน่อย กระเป๋าตังและโทรศัพท์ถูกยัดลงในกระเป๋ากางเกง เสื้อแจ็กเกตกันลมตัวที่ใส่ประจำถูกหยิบมาเผื่อเอาไว้ด้วย เพราะแม้จะเป็นช่วงกลางวัน แต่ลมจากทะเลที่พัดมาสู่ Coney Island ก็แรงใช้ได้เลย
พอหยิบเอากุญแจรถและทำการล็อกประตูบ้านแล้วเรียบร้อย จากปกติที่ไทเลอร์จะเดินเลี้ยวซ้ายไปหารถยนต์ที่จอดไว้ ณ ที่จอดรถแบบทุกทีที่เขาทำ เขาได้เลือกเลี้ยวไปทางขวา ข้ามผ่านเส้นแบ่งเขตที่ดินจากบ้านเลขที่ 190 ไปสู่บ้านเลขที่ 192 จากนั้นก็ทำการเคาะบานประตูบ้านสีขาวตรงหน้า
“ครับ? เอ๊ะ? พี่ไทเลอร์มีอะไรเหรอครับ”
รอไม่นานคนที่เขามาหาก็ออกมาเปิดประตูต้อนรับ ผมที่ฟู ๆ บ่งบอกว่าเพื่อนบ้านของไทเลอร์เพิ่งตื่นได้ไม่นาน เผลอ ๆ พึ่งตื่นเพราะเสียงเคาะประตูของเขาด้วยซ้ำ คงเพราะเมื่อตอนเช้ามืดที่มีอากาศเย็นจากฝนที่โปรยลงมาเลยทำให้นอนหลับสบายล่ะมั้ง
“คือ... พี่ว่าจะไปเดินเล่นที่ Coney Island นายอยากไปด้วยไหม?”
ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นพอได้ยินว่าไทเลอร์ชวนเขาออกไปข้างนอกด้วยกัน หูถ้าหากมันตั้งขึ้นได้ก็คงตั้งไปแล้ว และหากเขามีหาง มันก็คงจะส่ายไปมาแน่ ๆ
“ไปครับ! เดี๋ยวผมเปลี่ยนชุดแปปนึงนะพี่ เข้ามารอก่อนก็ได้”
แมทธิวเปิดประตูอ้าออกทิ้งไว้แล้ววิ่งหนีหายเข้าไปในบ้านตัวเอง ปล่อยให้ไทเลอร์มองดูด้วยความเอ็นดูจนเผลอยิ้มและหัวเราะออกมา ที่ชั้นหนึ่งในบ้านของแมทธิวเป็นห้องนั่งเล่นง่าย ๆ ที่ไม่ได้มีอะไรมากเท่าไหร่ จะมีอะไรที่ต่างไปหน่อยก็คงเป็นกีตาร์และอุปกรณ์เกี่ยวกับดนตรีมากมายที่กินพื้นที่ผนังด้านนึงอยู่เต็มไปหมด พอเดินเข้ามาลึกขึ้นจนเจอเข้ากับชั้นวางของ ไทเลอร์ก็เห็นกรอบรูปที่มีรูปของเจ้าของบ้านอยู่ เลยหยิบมันขึ้นมาดู
“น่ารักจัง...”
ไทเลอร์พึมพำกับตัวเองตอนที่มองดูรูปใบนั้น มันเป็นรูปตอนที่แมทธิวอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้วกำลังขึ้นแสดงบนเวทีของโรงเรียนในงานเทศกาลอะไรซักอย่าง ในนั้นแมทธิวสะพายกีตาร์ไฟฟ้าไว้พร้อมกับยิ้มกว้างอยู่หน้าขาตั้งไมค์โครโฟน ไม่น่าเชื่อเลยว่าผ่านไปไม่นานคนคนนี้จะกลายมาเป็นสมาชิกในวงที่กำลังไปได้ด้วยดีแล้ว แต่สิ่งนึงที่ยังเหมือนเดิมก็คือรอยยิ้มกว้างอันนั้น
“เสร็จแล้วครับพี่”
พอได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังก้าวลงบันไดมา ไทเลอร์ก็วางรูปคืนที่เดิม แล้วจึงหันไปตามเสียเรียก
“อื้อ ไปกันเลยไหม? นายจะเอาอะไรอีกหรือเปล่า?”
ไทเลอร์โยนกุญแจรถในมือขึ้นไปบนอากาศ พอมันตกลงมาใส่มือเขาก็โยนมันขึ้นไปอีก ทำซ้ำ ๆ อยู่แบบนั้นในตอนที่คนตัวสูงกว่าคว้ารองเท้ามาสวม
“ไปเลยครับ เอ่อ... ซ้อนมอเตอร์ไซต์ผมไปดีไหมครับ?”
ไม่คาดคิดว่าแมทธิวจะเสนอตัวขับรถให้ไทเลอร์นั่ง แม้จะเคยนั่งไป Silver Lake Park อยู่หลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ได้นั่งนานที่สุดเลย เพราะจากบ้านของพวกเขาไปยัง Coney Island มันใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงเลย
 
รู้ตัวอีกที ไทเลอร์ก็กำลังอยู่บนมอเตอร์ไซต์คันเท่ของแมทธิวแล้ว และในตอนนี้ก็กำลังข้ามสะพานเวเรซาโน่จาก Staten Island ไปยัง Brooklyn พร้อมกับลมที่พัดผ่านไป ไทเลอร์คิดถูกจริง ๆ นั่นแหละที่เอาเสื้อกันลมมาด้วย
แมทธิวบังคับรถอย่างคล่องแคล่วผ่านตามถนนต่าง ๆ จนมาถึงจุดหมาย ต้องขอบคุณโทรศัพท์ของเขาเลยที่ช่วยบอกเส้นทางมายังจุดจอดรถตรงนี้ เพราะแมทธิวก็ไม่เคยมาในแถวละแวกนี้มาก่อนเลย แต่พอได้กลิ่นทะเลกับสวนสนุกที่ตั้งอยู่ริมชายหาดแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ก็ไม่ได้มาชายหาดพักใหญ่ ๆ แล้วนี่นา ดีใจจังที่ได้มากับไทเลอร์
“ว่าแต่พี่ไทเลอร์ชวนผมมานี่ทำไมเหรอครับ?”
หลังจากรับหมวกกันน็อกคืนมาจากคนที่นั่งซ้อนท้าย แมทธิวก็ถามคนที่กำลังปัดผมของตัวเองให้เข้าที่อยู่ เขาไม่รู้เลยว่าไทเลอร์ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากมาที่นี่ อยากจะชวนเขามาพักผ่อน? หรือแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ?
“อืม... พี่เครียดเรื่องงานนิดหน่อยน่ะ จริง ๆ ก็ไม่นิดหรอก ต้องได้รื้อใหม่เกือบหมดเลย แล้วไม่อยากมาคนเดียว ก็เลย... ชวนนายมาด้วย”
สีหน้าที่เป็นกังวลของไทเลอร์แสงออกมาชัดเจนพร้อมกับคำพูดที่เล่าปัญหาที่เจอ แต่ในประโยคสุดท้ายที่บอกว่าเลยมาชวนแมทธิวนั้น แมทธิวเห็นนะว่าคนที่กำลังเดินอยู่ข้าง ๆ เขามีใบหน้ากลับมาอมยิ้มหน่อย ๆ
“แก้หนักมากเลยเหรอครับ? พี่เล่าให้ผมฟังได้นะ”
 
วันนี้แมทธิวเลยได้รับหน้าที่เป็นผู้รับฟังไทเลอร์วันนึง ขณะที่พวกเขาเดินผ่านแนวเครื่องเล่นเข้าไปจนสุด ทางเดินริมชายหาดที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาก็ปรากฏขึ้น ทรายสีทองกับน้ำทะเลที่สาดซัดเข้ามาเป็นเสียงซ่า ๆ รวมไปถึงลมทะเลแสนเย็นสบาย กลิ่นของมันดูเค็ม ๆ แปลก ๆ แต่ก็เป็นบรรยากาศที่หาจากสถานที่อื่น ๆ ไม่ได้ ดีนะที่วันนี้มีเมฆบ้างบางส่วน อากาศเลยไม่ร้อนเท่าไหร่แม้เป็นเวลาเที่ยงวัน เหมาะแก่การเดินเล่นแล้วปล่อยให้ความไม่สบายใจปลิวไปตามลมที่สุดเลย
“...แล้วพอมาเมื่อเช้า พี่ก็ได้เมลจากฝ่ายออกแบบมาว่าข้อแก้ดราฟ พี่จะบ้าตาย แล้วไหงตอนนั้นบอกว่าชอบอยู่ ก็เลยเครียดแบบนี้นี่นั่นแหละ”
วันนี้ทำให้แมทธิวรู้เลยว่าไทเลอร์จริง ๆ แล้วก็พูดเก่งเป็นเหมือนกัน การบ่นได้ตลอดการเดินมาเป็นสิบนาทีเป็นอะไรที่เขาไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นจากเพื่อนบ้านที่ดูหน้านิ่ง ๆ คนนี้ อาจจะเพราะพวกเขาสนิทกันมากขึ้นแล้วหรือเปล่า? หรือเพราะมีเรื่องอะไรในใจที่ไม่อาจจะไประบายที่ไหนได้กัน?
“โห... แต่ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่ไทเลอร์ต้องมาที่นี่ บรรยากาศโคตรจะดีเลยผมว่า เป็นผมถ้าเครียด ๆ ก็คงอยากจะมาเดินไปเรื่อย ๆ แบบไร้จุดหมายที่นี่เหมือนกัน”
ในตอนนี้รู้ตัวอีกทีแมทธิวก็เดินตามไทเลอร์มาอยู่บนสะพานไม้ที่ยื่นลงไปในทะเลแล้ว ผู้คนตามระหว่างทางมีบ้างไม่มากไม่น้อยพอให้ไม่เงียบเหงา แต่ไฮไลต์เด็ดเลยก็คงจะเป็นวิว พอกลับหลังหันกลับไปมองสวนสนุกที่มีชิงช้าสวรรค์อยู่กับชายหาดและสายคลื่นแล้ว มันดูสวยและผ่อนคลายสุด ๆ เลย
ไทเลอร์เดินไปวางข้อศอกกับแขนลงกับราวกั้นกันตกเพื่อค้ำตัวขอเขาไว้ เขาถอนหายใจออกมายาวก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงหายใจออกมายาว ๆ ทำซ้ำ ๆ แบบนี้ไปสามสี่ที ความเครียดที่มีในใจดูเหมือนจะค่อย ๆ หายไปแล้ว ยิ่งพอได้เห็นทิวทัศน์ที่คุ้นตาตรงนี้อีก
“อื้อ เพราะงั้นแหละพี่เลยชอบมาตรงนี้มาก ๆ”
ตาของไทเลอร์มองดูแมทธิวที่ใช้ข้อศอกค้ำตัวเองไว้ในแบบเดียวกันกับที่เขาทำ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มสวยพัดไปตามลม รอยยิ้มที่เหมือนกับประทับถาวรอยู่ตรงนั้นรวมเข้าด้วยกันกับแสงแดดอุ่น แมทธิวจริง ๆ ก็ดูดีมากเลยนะเนี่ย เป็นอีกหนึ่งสาเหตุแน่เลยที่เขากำลังไปได้ดี
“ขอบคุณที่แนะนำที่ดี ๆ ให้นะพี่ กับถึงจริง ๆ จะเป็นเพราะพี่เครียดเลยได้มาเดินเล่นกันที่นี่ แต่ผมสนุกดีนะวันนี้”
ริมฝีปากของแมทธิวที่ดูเหมือนยิ้มตลอดเวลาอยู่แล้วยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้เพราะอะไรทำให้เขาพูดแบบนั้นออกไปเหมือนกัน แต่พอเห็นว่าไทเลอร์ค่อย ๆ กลับมายิ้มแล้วเขาก็รู้สึกมีความสุขตามไปด้วยแปลก ๆ ความสบายใจค่อย ๆ แผ่ขยายกว้าง เขามีเพื่อนบ้านที่ดีจริง ๆ นั่นแหละ
“ขอโทษที่ลากนายมาฟังอะไรก็ไม่รู้นะ ฮะ ๆๆ แต่ถ้านายสนุกก็ดีละ”
ไทเลอร์ละสายตาไปจากแมทธิวแล้วหันมันกลับไปมองคลื่นในทะเลต่อ น้ำสีน้ำเงินเข้มสวยกับฟองขาว ๆ ที่สีตัดกันดี เสียงผู้คนเดินไปมาและกำลังพูดคุยกัน นกนางนวลบินไปมาทำให้เหมือนกำลังอยู่ในหน้าปกของอัลบั้ม 1989 ไม่มีอะไรจะเพอร์เฟคกว่านี้อีกแล้วจริง ๆ นั่นแหละ
 
“ไทเลอร์?”
 
เสียงเรียกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของเจ้าของชื่อ ใบหน้าที่กำลังผ่อนคลายแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงโดยฉับพลัน คนที่ถูกเรียกค่อย ๆ หันหลังไปตามต้นเสียงอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ มันจะไม่อะไรเลยถ้าหากไม่ใช่คนคนนี้ มันจะไม่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกเลยถ้าคนที่เรียกชื่อเขาไม่ใช่แจ็ค
แฟนเก่าของเขา
“น- นาย...”
ไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากปากของคนที่กำลังหายใจติดขัด หลังของเขาถอยจนไปชนกับราวกั้นแล้ว ไม่มีที่ให้หนีทั้งสิ้นจากคนที่ไม่อยากเจอที่สุดในชีวิต
“ไม่คิดเลยว่าจะเจอกันที่นี่ มากับใครล่ะนั่น?”
แมทธิวหันหลังกลับมาตามคนพี่ ด้านหน้าเขาเป็นชายวันเท่า ๆ กับไทเลอร์ เจ้าตัวสีผมสีทองและดวงตาสีฟ้า สวมชุดทีมอเมริกันฟุตบอลประจำย่านนี้ของนิวยอร์ก แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติในน้ำเสียงและสายตาที่มองมาเลย
“จ- จะมากับใครก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับนาย อย่ามายุ่ง”
ไทเลอร์ตอบด้วยเสียงที่ติดขัดและสั่น ดวงตาเริ่มรู้สึกร้อน ๆ จากความทรงจำในอดีตมากมายที่กำลังถาโถมเข้ามา เรื่องราวที่เริ่มต้นราวกับสิ่งที่ออกมาจากหน้าหนังสือนิยาย ความรักที่ใครมาเห็นต่างคนก็ต่างอิจฉา เซ็กซ์ที่เข้ากันได้ราวกับต่างคนต่างเป็นอีกเสี้ยวหนึ่งที่ถูกแยกจากกัน จบลงด้วยความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจ ไทเลอร์ยังจำได้อยู่เลยวันนั้นที่เขาถูกอีกฝ่ายบีบคอแน่นและด่าทอ เพียงเพราะการไม่เข้าใจกันในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ โชคดีที่ทุกอย่างมันกลายไปเป็นอดีตแล้ว
และมันจะดีมากเถ้าอดีตที่เหมือนขยะสารพิษนั้นไม่มายืนอยู่ตรงหน้าเขา
มือของไทเลอร์ยกขึ้นมาลูบที่ลำคอโดยอัตโนมัติราวกับว่าเพื่อเตรียมไว้ป้องกันอันตราย
“อย่าทำตัวห่างเกินกันสิ ไม่ได้เจอกันตั้งนานนายไม่คิดถึงฉันบ้างเหรอ?”
“ใครจะไปคิดถึงคนแบบนาย ทำกับฉันขนาดนั้นมันยังไม่สาแก่ใจอีกเหรอ? ไสหัวไปตายได้แล้ว แล้วก็อย่ามายุ่งกับฉัน”
แมทธิวเห็นท่าทางที่ผิดปกติของไทเลอร์ก็ค่อย ๆ ปะติดปะต่อทุกอย่างเข้าหากัน ไม่ได้เจอกันนาน คนที่ทำอะไรไม่ดีกับไทเลอร์ หรือว่าจะเป็น...
“พี่ไทเลอร์ครับ คนนี้คือ?”
ดวงตาสีน้ำตาลแข็งกร้าวขึ้นจากปกติที่ดูใจดี เพราะถ้าแบบนี้ก็หมายความว่า คนที่ทำให้พี่ไทเลอร์รู้สึกไม่มีคุณค่าในตัวเอง ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่ดีขนาดนี้แท้ ๆ คือคนคนนี้ แมทธิวไม่ยอมหรอกนะที่จะให้พี่ชายข้างบ้านของเขาโดนว่า
“เห... เดี๋ยวนี้นายคบคนเด็กกว่าเหรอ? เหอะ ก็ไม่แปลกหรอก เพราะมันหลอกง่ายถูกไหมล่ะ?”
มือของแจ็คยกขึ้นมาวางที่คางพร้อมกับการเพ่งพิจารณาแมทธิวจากหัวจรดเท้า ในสายตาของแจ็คแล้ว คนตรงหน้าไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีเลย ดูโง่ ๆ ซื่อ ๆ จะโดนไทเลอร์หลอกก็ไม่แปลก เพราะอย่างตัวเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ความรุนแรงมันเป็นเรื่องปกติในความสัมพันธ์ไม่ใช่เหรอ? แต่กลับโดนไทเลอร์เอาไปพูดจนคนรอบข้างของไทเลอร์บุกมาพาไทเลอร์หนีไปจากเขาแล้วโดนให้เลิกกันซะงั้น
“หุบปากของนายเดี๋ยวนี้นะ แจ็ค!”
ไทเลอร์ทนไม่ไหวแล้วก้าวออกไปชี้หน้าตะโกนใส่คนผมสีทองตรงหน้า แมทธิวไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย จะมาว่าเพื่อนบ้าน ไม่สิ... เพื่อนของเขาแบบนี้ไม่ได้
“ขอโทษนะครับ แต่ถ้าคุณไม่มีธุระกงการอะไรก็อย่ามายุ่งกับแฟนของผมได้ไหมครับ?”
มือของไทเลอร์ข้างที่ไม่ได้กำลังชี้หน้าด่าแจ็คอยู่ถูกคว้าไปกุมไว้ แมทธิวขออนุญาตตีเนียนเล่นบทเป็นแฟนของไทเลอร์ก็แล้วกัน อย่างน้อยถ้ามันจะพาพวกเขาออกจากสถานการณ์ตรงนี้ได้
“ม- แมท”
ไทเลอร์ตกใจแล้วค่อย ๆ ลดมือข้างซ้ายลงจากใบหน้าหล่อตรงหน้า แจ็คได้แต่มองดูแล้วยิ้มกับจิ๊ปากด้วยความไม่สบอารมณ์
“ขอเตือนไว้เลยนะ แมทใช่ไหม? นายคิดดีแล้วเหรอที่ไปคบกับคนแบบไอ้สวะนี่ รู้ไหมว่ามันทำอะไรมาบ้าง นายคิดจริง ๆ เหรอว่ามันจะรักนาย? ก็แค่คนที่แสร้งทำตัวดีไปวัน ๆ แล้วหลอกให้คนมาสงสารแค่นั้นแหล-”
“พอซักที!”
 
ไม่เอาอีกแล้ว เขาไม่อยากฟังอะไรจากคนคนนี้แล้วทั้งนั้น และเขาก็ไม่อยากให้แมทธิวต้องมาได้ยินเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริงเหล่านั้นด้วย
ไทเลอร์กระชับมือที่จับกับคนผมสีน้ำตาลแน่นแล้วพาเดินหนีออกมาอย่างรวดเร็ว โชคดีไปที่แจ็คไม่ได้เดินตามมา แต่ถึงแบบนั้นไทเลอร์ก็ทนไม่ไหวอีกแล้วกับอารมณ์ที่ปั่นป่วนไปทั่วแบบนี้ หัวตามันร้อนมาก มากจนมันค่อย ๆ เปียกชื้น
“พ- พี่ไทเลอร์ครับ?”
การหยุดเดินอย่างกะทันหัน มือที่สั่นตามจังหวะของร่างกาย อารมณ์ทุกอย่างมันมากเกินไปจนทนไม่ไหวอีกแล้ว แค่เครียดเรื่องงานยังพอทน แต่เจอแบบนี้เข้าไป ทุกอย่างสุดท้ายมันก็ระเบิดออกมา
“ฮึก... อึก-”
มือของไทเลอร์บีบมือที่กุมอยู่ไว้แน่น ลมหายใจติดขัด หยดน้ำตาไหลค่อย ๆ ไหลตามมาเป็นการระบายความรู้สึกมากมายให้ค่อย ๆ ไหลออกไป
“พี่ เอ่อ... คือ... อย่าร้องสิพี่ มันไม่เป็นอะไรแล้ว คนคนนั้นเขาไม่ได้ตามเรามาแล้ว อ่า... ผมทำอะไรไม่ถูกอะ”
แมทธิวไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นไทเลอร์ร้องไห้ จะปลอบก็ไม่รู้ต้องทำยังไง สุดท้ายก็เลยย่อตัวลงหน่อยนึงให้ระดับสายตาของเขากับอีกฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน
“แมท... ขอโทษนะ ฮึก- พี่มัน ฮือ...”
“พี่ไทเลอร์หายลึก ๆ นะครับ เขาไม่ได้ตามเรามา ไม่มีใครทำอะไรพี่แล้วนะอยู่ตรงนี้มีแค่ผม ไหนผมขอเช็ดน้ำตาหน่อย”
แมทธิวดึงชายเสื้อของตนขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้กับคนที่สั่นจากการสะอื้นอยู่อย่างเบามือ ไม่ชอบเลยพอเห็นคนแบบไทเลอร์ต้องมาร้องไห้เพราะคนแย่ ๆ แบบนั้น ถ้าเจอไอ้แจ็คอะไรนั่นอีกครั้งนะ ครั้งนี้เขาจะพุ่งเข้าไปจัดการเลยคอยดูสิ
“ผมไม่รู้ว่าในอดีตที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นบ้างกับพี่ แต่ตอนนี้พี่ปลอดภัยนะครับตรงนี้... กับผม”
คนที่ตัวสูงกว่ามองดูคนที่ยังไม่หยุดสะอื้นอย่างใจเย็น ค่อย ๆ พูดปลอบด้วยทุกอย่างที่สมองคิดได้ มือที่ยังกุมกันอยู่มีแรงบีบเอาไว้แน่น แบบนี้ไทเลอร์คงจะกำลังกังวลหรือกลัวอยู่ แมทธิวไม่ชอบใจเลยที่เห็นภาพตรงหน้าในตอนนี้ การที่เห็นคนที่ดีกับเขาและคนอื่นเสมออย่างไทเลอร์ต้องถูกทำให้เจ็บปวด เห็นทีคงจะต้องทำให้คนผมสีดำตรงหน้ากลับมาอารมณ์ดีแล้วล่ะ
“ใจเย็น ๆ แล้วค่อย ๆ หายใจนะพี่ เดี๋ยวเป็นลมไปจะลำบากเอา”
แมทธิวเอียงศีรษะขณะพูด การพูดติดตลกหน่อย ๆ ถูกเลือกมาใช้เพราะมันเป็นตัวตนของเขามากที่สุด ถึงไม่รู้เหมือนกันว่าผลลัพธ์จะออกมาดีไหมก็ตาม แต่นี่น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับเขาที่สุดแล้ว
“เอาจริงนะพี่ ถ้าพี่เป็นลมตรงนี้ขึ้นมาอะ ผมอุ้มพี่ไม่ไหวนะ พี่ตัวน่าจะหนักอยู่”
“ฮะ ฮึก- ฮะ ๆ”
ไทเลอร์ได้ยินแบบก็ใช้มือปาดน้ำตาแล้วหัวเราะเสียงเบาออกมาทั้งแบบนั้น ไหล่ที่สั่นอยู่เป็นทั้งส่วนผสมจากการสะอื้นและหัวเราะจนแยกไม่ออก
เสียงที่ออกมาแม้จะไม่ค่อยเหมือนการหัวเราะเท่าไหร่ เหมือนลมหายใจที่กำลังติดขัดจากขดอารมณ์ที่พันรัดกันแน่นมากกว่า แต่มุมปากที่ยกขึ้นหน่อย ๆ เมื่อกี้ก็ทำให้แมทธิวรู้ว่าเขามาถูกทางแล้วล่ะ และแบบนั้น รอยยิ้มกว้างเลยปรากฏบนใบหน้าของคนตัวสูงด้วย
“เนี่ยเห็นไหม? พี่หัวเราะนิดนึงแล้ว หายใจลึก ๆ ดี ๆ ด้วยนะครับ ผมจะอยู่ตรงนี้ เราไม่ได้รีบไปไหนอยู่แล้ว”
 
แมทธิวพาไทเลอร์ไปนั่งลงที่ม้านั่งที่ว่าง พวกเขาสองคนเงียบไม่พูดอะไรกันอยู่แบบนั้นอยู่พักใหญ่ ๆ ปล่อยให้ไทเลอร์ได้ค่อย ๆ สงบตัวเองลงจนกลับมาเป็นปกติ ไม่มีแล้วเสียงร้องไห้กับสะอื้น มีเพียงสายตาที่มองดูชายหาดที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้าแค่นั้น
“แมท”
ความเงียบถูกทำลายลงด้วยเสียงเรียกเบา ๆ ของคนข้าง ๆ แมทธิว ตอนนี้ไทเลอร์กำลังใช้เท้าเขี่ย ๆ แผ่นไม้กระดานที่ใช้ปูเป็นพื้นของสะพานไม้แห่งนี้อยู่
“ครับพี่?”
สายตาของแมทธิวเลื่อนไปเจอว่ามือของเขากับไทเลอร์ยังคงกุมกันเอาไว้อยู่ จังหวะแรกเขาว่าจะปล่อยออก แต่พอคิดดูอีกทีแล้ว
ปล่อยไว้แบบนี้ดีกว่า
“ขอบคุณมากเลยนะ”
ไทเลอร์กล่าวแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มน้อย ๆ ให้คนตัวสูงกว่าข้าง ๆ จากใจจริง ถ้าหากวันนี้เขามาคนเดียวแล้วไม่ได้ชวนแมทธิวมาด้วยแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าในตอนนี้เขาจะเป็นยังไง? จะเสียสติ? โดนทำอะไรแย่ ๆ? หรือไม่ก็หนักกว่านั้น... ฉะนั้น การมีแมทธิวมาด้วยในวันนี้มันเลยดีมาก ๆ เลย
 
“พี่ไทเลอร์อยากกินอะไรไหมครับ? เดี๋ยวผมซื้อให้ จะได้อารมณ์ดี”
ทั้งสองคนเดินลงจากสะพานไม้ที่ยื่นไปในทะเลแล้วเปลี่ยนมาเดินเลียบทางเดินริมชายหาดไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายแทน ร้านของกินและขนมข้างทางส่งกลิ่นยั่วยวนชวนให้ลิ้มลองรสชาติมีอยู่เป็นระยะ ๆ แมทธิวเลยถามคนที่สูงพอ ๆ กับใบหูของเขาว่าอยากกินอะไรหรือเปล่า เพราะจริง ๆ แล้วเขาก็อยากกินเองด้วย
“ใจดีจังนะนายน่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก”
ไทเลอร์ที่เดินอยู่ทางฝั่งด้านขวาของแมทธิวหันมาตอบ ก่อนจะหันกลับไปมองทะเลที่อยู่ถัดเขาไปดังเดิม เพราะลมทะเลที่พัดผ่านไปกับเสียงคลื่นมันช่วยให้ใจค่อย ๆ สงบลงดี
“เอ๊ะ? ไทเลอร์!”
ไทเลอร์เริ่มสงสัยแล้วว่าวันนี้มันวันอะไรหรือเปล่าทำไมเขาถึงเจอคนรู้จักอีกแล้ว ดีหน่อยที่รอบนี้ไม่ใช่คนที่ไม่อยากเจอ แต่เป็นคนที่เขาชวนมาที่ Coney Island ด้วยในทีแรกอย่างแอชลี่ย์นั่นแหละ
ผู้หญิงในชุดที่เรียบง่ายแต่ก็ยังดูดีโบกมือทักทายเขาก่อนจะเดินเข้ามาหา แล้วทันใดนั้นก็เห็นว่าไทเลอร์มากับใคร แถมที่มือก็ยังกุมกันเอาไว้อีกต่างหาก ไหนบอกว่าแค่เพื่อนบ้านหว่า? แอชลี่ย์มีเรื่องให้แซวแล้วสิแบบนี้
“ไหนว่าติดงานไงแอช? ฉันชวนแล้วเธอก็ไม่มา เลยได้มากับ เอ่อ... นี่เพื่อนบ้านคนใหม่ของฉันเอง ที่เคยเล่าให้ฟัง เขาชื่อแมทธิวนะ”
ไทเลอร์ส่ายหน้าให้กับคนตรงหน้าที่เดินมาหยุดกันไม่ให้เขากับแมทธิวเดินต่อไปได้ อุตส่าห์ชวนมาเป็นเพื่อนทีแรกแล้วบอกติดงาน แต่ไหงกลับมาเจออยู่ที่นี่ซะได้ หลอกกันนี่หว่า
“แหม... ก็มันเบื่อ ๆ นี่หว่า แล้วนายล่ะไท มาเดตกับผู้ชายข้างบ้านก็ไม่บอกกันก่อน? เอ้อ ฉันชื่อแอชลี่ย์นะแมทธิว เป็นเพื่อนร่วมงานสุดซี้ของไทเลอร์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ เพลงวงของนายดีมากเลย”
แอชลี่ย์รีบพูดหยอกล้อกับไทเลอร์ทันที แล้วจึงหันไปแนะนำตัวเองให้แมทธิวรู้จักอย่างเป็นมิตร แมทธิวที่งง ๆ อยู่ว่าคนคนนี้คือใครพอรู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของพี่ชายข้างบ้านของเขาแล้วก็ผ่อนคลายลง ยิ่งได้เห็นท่าทางที่เป็นมิตรที่ไทเลอร์มีต่อเธอคนนี้ด้วยอีกก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่าไม่มีอะไรต้องกังวล แต่อะไรนะเมื่อกี้ที่แอชลี่ย์พูด?
“ห- หา? เดตบ้าอะไร พวกฉันมาเดินตากลมเฉย ๆ เธอช่วยอย่ามโนไปไกลได้ไหม?”
ไทเลอร์ทำหน้านิ่งเบื่อหน่ายให้กับคำพูดของเพื่อนร่วมงานคนสนิท กับแมทธิวนี่นะมาดงมาเดต แค่ชวนมาเป็นเพื่อนแทนตัวคนที่พูดไปเรื่อยเท่านั้นแหละ
นี่เขาพูดจริงนะเนี่ย
“จ้า ๆ พูดอะไรดูมือซ้ายนายด้วยก็ดี”
ไทเลอร์หันไปมองที่มือซ้ายของตนตามที่แอชลี่ย์บอก ก่อนจะพึ่งมารู้ตัวว่าเขายังจับมือกับแมทธิวไว้อยู่เลยตั้งแต่ตอนนั้นที่เจอกับแจ็คบนสะพานไม้
“ด- เดี๋ยวก่อน คือพวกฉันไปเจอไอ้บ้าแจ็คมา แล้วแมทธิวก็มาช่วยฉันไว้ ก็เลยจับมือกันไว้จนลืมปล่อยต่างหาก”
กับแอชลี่ย์แล้ว ยิ่งไทเลอร์พูดความจริงไปก็เหมือนยิ่งแถแก้ตัว ไม่รู้ทำไมนะ แต่พอไทเลอร์ปล่อยมือจากแมทธิวไป แอชลี่ย์เธอเห็นว่าคนตัวสูงกว่าที่ดูดีคนข้าง ๆ ถึงดูเหมือนจะทำหน้าเสียดายหน่อย ๆ ก็ไม่รู้
“อืม ๆ ฉันเชื่อนายก็ได้ เอาเถอะ ถ้านายมีความสุขดีก็โอเค ฉันไม่กวนอะไรพวกนายละ เลี้ยงหมาให้สนุกนะไท แล้วก็ยินดีที่ได้เจอนะแมทธิว”
คำว่าเชื่อของแอชลี่ย์มีน้ำเสียงที่สื่อไปในทางนั้นทั้งสิ้นศูนย์เปอร์เซ็นต์ เผลอ ๆ ติดลบด้วยซ้ำ เธอยิ้มอย่างมีความสุขแล้วจึงปล่อยคนที่เธอเข้าใจว่าคงมาเดตกันไป เพราะเธออยากกินบาร์บีคิวร้านข้างหลังไทเลอร์มากยิ่งเครียด ๆ เรื่องงานก็จะกินให้เรียบเลย
 
แอชลี่ย์เดินจากไปแล้ว แต่ความสงสัยเกิดกับแมทธิว ทำไมเพื่อนของไทเลอร์ถึงบอกให้เลี้ยงหมาให้สนุกกัน? หมาอะไร?
“พี่ไทเลอร์ครับ ผมสงสัยอย่างนึง”
“หืม? อะไรเหรอ?”
ขณะเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซต์ที่จอดเอาไว้ตอนขามา แมทธิวก็เลยว่าจะถามเรื่องนี้กับคนที่เขามาด้วย
“ทำไมพี่แอชลี่ย์ถึงบอกว่าให้พี่เลี้ยงหมาให้สนุกอะพี่ พี่เลี้ยงหมาเหรอครับ?”
แมทธิวเอียงคอสงสัยแบบนี้ยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่ ไทเลอร์ไม่รู้หรอกนะว่าพูดได้หรือเปล่า แต่บอกไปตามจริงก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง บอกว่าน่ารักเหมือนซามอยด์ที่บ้านของเขาแมทธิวคงไม่โกรธหรอก
“ไม่เคยมีใครบอกนายเหรอว่านายเหมือนหมา โดยเฉพาะซามอยด์”
“หา? อะไรนะพี่ผมขออีกที”
ไทเลอร์ได้เปิดรูปเฟลิกซ์กับไรเกอร์ให้แมทธิวดู ก่อนจะเล่าย้อนไปถึงตอนที่แอชลี่ย์เป็นคนบอกให้เขารู้จักกับคำว่าไทป์ซามอยด์ ซึ่งไทเลอร์คิดว่าแมทธิวเข้าเกณฑ์แทบจะทุกอย่างเลยนะ ถ้าผมสีขาวด้วยนี่เขาจะไม่ลังเลเลยที่คอนเฟิร์มว่าแมทธิวเป็นคนแบบที่เพื่อนของเขาว่าจริง ๆ
ส่วนสำหรับแมทธิวแล้ว พอได้ดูรูปหมาที่บ้านของไทเลอร์ก็รู้สึกเหมือนได้ส่องกระจกแปลก ๆ
แต่ไทเลอร์บอกหนิว่าหมาที่บ้านของเขาน่ารักน่าเอ็นดู ฉะนั้นตัวเขาก็น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนกันใช่ไหมนะ?
 
 
[1] Veteran Day (วันทหารผ่านศึก) ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายนของทุกปี