My Next-door Neighbor by: kritzy_8 special thanks: Naiya, mfindyoursoul, and Somsiri

Chapter 8 - โปรเจ็กต์ใหม่

เป็นเวลาสองอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่การประชุมที่ร้าน The Bus Stop เกี่ยวกับสินค้าคอลเล็กชันใหม่ของ Existed เป็นเวลาอันสมควรที่งานจะเริ่มถูกแจกจ่ายออกสู่พนักงานฝ่ายต่าง ๆ ภายในบริษัทให้ได้เริ่มทำกัน ฝ่ายออกแบบได้แจงงานแก่ฝ่ายการตลาดเกี่ยวกับรายละเอียดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยสินค้าเซ็ตใหม่นี้จะมีธีมเป็นของฤดูหนาวทั้งสิ้น ได้แก่น้ำเงิน ฟ้า ม่วง และขาวกับดำ
เนื่องด้วยทีมกราฟิกดีไซน์มีจำนวนทั้งหมดสองคนถ้วน แถมยังเป็นชายและหญิงอย่างละคนแบบนี้ งานที่เกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของผู้ชายเลยมีไทเลอร์เป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนของผู้หญิงเป็นแอชลี่ย์รับผิดชอบ แม้ว่าจริง ๆ แล้วเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเหล่านี้จะเพศไหนหรือใครคนไหนใส่มันก็ใส่ได้กันทั้งนั้นนั่นแหละ ที่แบ่งแบบนี้ก็เพราะไทเลอร์และแอชลี่ย์ต่างก็คุ้นเคยกับเครื่องแต่งกายกันคนละแบบแค่นั้นเอง
“ทั้งหมดก็เป็นตามนี้ ฝากทีมกราฟิกดีไซน์ส่งดราฟแรกในการประชุมวันพุธหน้าด้วยนะคะ”
การประชุมที่ยาวนานสิ้นสุดลง แอชลี่ย์และไทเลอร์ต่างหันหน้ามาสบตากันโดยไม่มีซึ่งคำพูดใด ๆ เนื่องจากพวกเขาต่างรู้กันดีว่าในช่วงเวลาที่กำลังจะมาถึงนี้ นอกจากงานที่จะกองทับพวกเขาทั้งสองจนแบนแล้ว นรกก็เหมือนจะใกล้เข้ามาอีกด้วย
แม้ว่าจะเป็นเพียงดราฟแรกของกราฟิกประกอบภาพสินค้าที่จะถูกนำมาเทียบกับ mood board ที่ถูกร่างขึ้นมาโดยทีมดีไซน์เฉย ๆ ยังไม่ใช่ชิ้นงานจริงจังอะไร เพราะทางทีมดีไซน์ยังไม่ได้เคาะรูปแบบของเสื้อผ้าครบทั้งหมด มีเพียงบอร์ดคร่าว ๆ ที่บอกเล่าเบื้องหลังและไอเดียประกอบสินค้าคอลเล็กชันนี้ แต่ถึงแบบนั้นความคิดเห็นจากและทีมมันก็หนักหนาจนเขาและแอชลี่ย์อยากจะถอนหายใจออกมาดัง ๆ แบบทุกทีไม่มีผิดแน่ พวกเขาเลยได้แต่จ้องหน้ากันและพยักหน้าให้กันแล้วเข้าใจกันโดยไม่ต้องมีคำพูดอะไรมาให้มากความ
“ขอนอกเรื่องได้ไหม? ทุกคนเห็นผลการเลือกตั้งไหมอะ?”
ในตอนที่คนเริ่มบิดขี้เกียจและเอนหลังกับเก้าอี้ในห้องประชุม พี่ใหญ่แห่งฝ่ายการตลาดก็เริ่มเปิดประเด็นในโอกาสที่มีคนทั้งฝ่ายมารวมตัวอยู่ด้วยกันครบ
“โห ผมกลัวมากเลยนะพี่เมื่อคืน แต่พอตื่นมาก็ค่อยโล่งใจหน่อย”
“ประเทศเรายังมีหวังอยู่จริง ๆ ด้วย”
“ขอบคุณพระเจ้า”
ในแวดวงที่ผู้คนต่างมีความเห็นทางการเมืองในแบบเดียวกันแบบนี้ การไม่ต้องคอยกังวลว่าการเมืองจะส่งผลต่อที่ทำงานหรือไม่ นับได้ว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งในวันทำงานของไทเลอร์ได้เลย เขาดีใจนะที่บริษัทแห่งนี้ยืนอยู่ในฝั่งที่ถูกต้องในประวัติศาสตร์
เมื่อวันอาทิตย์ไทเลอร์ได้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งประธานาธิบดีในแบบที่ประชาชนพึงกระทำ เขาคอยติดตามผลการนับคะแนนอยู่จนดึกกว่าเวลานอนปกติไปนิดหน่อย ซึ่งผลลัพธ์ในตอนนั้นมันแทบจะทำให้เขานอนไม่หลับเลยล่ะ โชคยังดีที่พอตื่นเช้ามาก็พบว่ามันเป็นแค่ฝันร้ายไร้สาระลวงตาเฉย ๆ
ในประวัติศาสตร์ของประเทศแห่งนี้เกือบสองร้อยห้าสิบปีนับจากการได้รับเอกราชจากประเทศอาณานิคม นี่จะเป็นครั้งแรกที่จะมีผู้นำเป็นผู้หญิง... เสียที...
ตัวเลขสีน้ำเงินแสดงเด่นอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ทั่วประเทศที่มีแผนที่สีน้ำเงินปนแดงอยู่ด้านล่าง สองร้อยเจ็ดสิบเสียงที่ต้องการในการจะได้เป็นประธานาธิบดีดูน้อยไปเลยพอเห็นจำนวนตัวเลขดังกล่าวที่เกินไปกว่าสามสิบเสียง มันได้ตอกย้ำผู้คนว่าความหวังของพวกเขายังคงมีอยู่ และต่อจากนี้ไปอีกสี่ปี อนาคตของพวกเขาก็จะถูกปกป้องต่อไปให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นอย่างที่เป็นมา
 
หลังจากได้รับหน้าที่และคุยเรื่องการเมืองกันพอหอมปากหอมคอ แต่ละคนก็เริ่มแยกย้ายกันทำงานในช่วงที่เหลืออยู่ของวัน บางคนเลือกเร่งเคลียร์งานเก่าที่ทำค้างเอาไว้เพื่อจะได้ทำโปรเจ็กต์ใหม่นี้ได้เต็มที แต่บางคนก็เริ่มที่จะทำงานใหม่นี้เลยอย่างเช่นไทเลอร์และแอชลี่ย์
“ไท สู้ ๆ นะ”
“บอกตัวเองเถอะแอช ฉันนะ... ก็ไม่น่าไหวเหมือนกันว่ะ”
ไฟล์ mood board ถูกกดเปิดในหน้าจอคอมพิวเตอร์ของไทเลอร์ แอชลี่ย์เลื่อนเก้าอี้และตัวของเธอมาหาเพื่อนร่วมงานโต๊ะข้าง ๆ ไอแพดพร้อมปากกาถูกวางเอาไว้ที่พื้นที่ว่างบนโต๊ะ ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มเลื่อนดูไฟล์ไฟล์นี้จากทีมดีไซน์ไปพร้อม ๆ กัน
เป็นปกติที่พวกเขาจะบรีฟงานและแบ่งงานด้วยกันโดยการมานั่งจุ้มรวมกันแบบนี้ เพราะพอได้มานั่งดูคอนเซ็ปต์ไอเดียของงานแต่ละงานด้วยกันมันก็ได้พูดเสนอและเล่าความเห็นของตนออกมาให้แต่ละฝ่ายรับรู้ อันจะนำไปสู่การตกผลึกเกิดเป็นไอเดียที่เข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย ยิ่งเป็นงานชิ้นใหญ่ที่พวกเขาตัดสินใจร่วมกันอีกว่าจะหักครึ่งแบ่งกันทำตามสินค้าชายหญิง
ดราฟแรกที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเริ่มออกฤทธิ์แก่ไทเลอร์ทีละน้อย การขอปรับแก้ mood board จากทีมดีไซน์ทำให้งานที่กำลังค่อย ๆ เดินหน้าไปทั้งของเขาและแอชลี่ย์ต้องวกย้อนกลับไปเริ่มต้นที่หนึ่งใหม่อีกครั้ง มันเลยกลายมาเป็นการที่ไทเลอร์ได้หอบเอางานกลับมาทำที่บ้านในรอบกว่าสองเดือน และถึงจะไม่ใช่การทำงานที่จริงจังอะไรเพราะปกติแล้วบริษัทของเขาไม่สนับสนุนให้ทำงานนอกเวลางานนักหากไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วน แต่งานนี้มันก็เป็นงานใหญ่ประจำปีที่มีไม่กี่ครั้งในรอบปี จะให้มาทำเล่น ๆ ก็คงจะไม่ได้จริงหรือเปล่าล่ะ?
พอเป็นแบบนั้น วันเสาร์ที่โดยปกติแล้วไทเลอร์จะออกไปจ๊อกกิ้งเลยโดนเปลี่ยนแพลนไปโดยสิ้นเชิง แต่ดูเหมือนว่าการที่เขาเปลี่ยนแพลนนี้จะมีคนคนนึงไม่ได้รู้ด้วย เพราะตอนนี้ที่บ้านหลังข้าง ๆ คนอีกคนที่ไม่ได้มีงานยุ่งกำลังผิวปากด้วยความอารมณ์ดีขณะเปลี่ยนมาใส่ชุดออกกำลังกายอยู่
 
“พี่ไทเลอร์ช้าจังวันนี้...”
แมทธิวนั่งรอพี่ชายข้างบ้านของเขามายี่สิบนาทีแล้วจากเวลาปกติที่เขากับคนผมสีดำจะออกไปจ๊อกกิ้งในวันหยุดด้วยกัน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าประตูสีน้ำตาลบานที่เขาจ้องมองอยู่โดยไม่คลาดสายตาจะเปิดออกเลย
โทรศัพท์รุ่นยอดนิยมถูกหยิบขึ้นมาจากตัก แมทธิวกดเข้าแอปพลิเคชันอินสตาแกรมก่อนจะค้นหาบัญชีผู้ใช้ที่ชื่อ tyler.a.f_13 แล้วจิ้มที่ปุ่มที่เขียนว่า Message ข้าง ๆ ปุ่มที่เขียนว่า Following
 
[matthew._.cooper]
พี่ไทเลอร์ วันนี้ไม่ได้ไปวิ่งเหรอครับ?
ผมนั่งรออยู่หน้าบ้าน
 
การติดต่อแรกระหว่างแมทธิวและไทเลอร์ที่ไม่ใช่การพูดคุยกันต่อหน้าเริ่มต้นขึ้นผ่านช่องทางอินสตาแกรม ใจจริงแมทธิวก็อยากทักไทเลอร์ไปผ่านทาง iMessage นะ แต่เขาไม่รู้เบอร์อีกฝ่ายนี่สิ
 
[tyler.a.f_13]
ตายละ
พี่ลืมบอกนายเลยว่าวันนี้ติดงาน ขอโทษนะ
[matthew._.cooper]
อ้าว ไม่นะะะะะ
[tyler.a.f_13]
แต่ถ้านายไม่อะไรก็มาบ้านพี่แทนได้นะ
พี่นั่งทำงานอยู่ชั้นสอง
 
ไทเลอร์ตกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ บัญชีที่มีผู้ติดตามหลักแสนจะขึ้นแจ้งเตือนมาบนหน้าจอโทรศัพท์ของเขาว่าเป็นคนส่งข้อความมาหา โชคยังดีที่พอดูหลาย ๆ ทีจนแน่ชัดว่าไม่น่าใช่สแกมจากเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้าและคำว่า Following ไทเลอร์เลยเลือกที่จะตอบไปโดยทันทีแล้วนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมอะไรไป
ในส่วนของคนที่กำลังนั่งหูตกอยู่อย่างเสียดายที่อดได้ไปวิ่งที่ Silver Lake Park ในแบบทุกที พอเห็นข้อความตอบกลับมาว่าเขาสามารถเข้าไปในบ้านของพี่ชายข้างบ้านได้ก็กลับมานั่งหลังตรงทันที
 
[tyler.a.f_13]
ถ้าจะมาก็มากดกริ่งได้เลยนะ
 
“โทษทีนะแมท พี่ลืมบอกนายไปเลยว่าพี่ติดงานอยู่”
ไม่นานหลังจากไทเลอร์พิมพ์บอกไปแบบนั้น อันที่จริงก็แทบจะภายในทันทีเลยล่ะที่กริ่งหน้าประตูบ้านของเขาดังขึ้น ภายนอกก็แน่นอนว่าไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากคนในแชตที่พึ่งคุยกันนั่นแหละ
ไทเลอร์พาคนตัวสูงกว่าเข้ามาในบ้านและพาขึ้นไปยังห้องนั่งเล่นที่ชั้นสองเหมือนแบบทุกที โทรทัศน์ถูกเปิดไว้เบา ๆ พอให้บรรยากาศไม่เงียบเหงา บนโต๊ะกาแฟมีแมคบุ๊คเสียบสายชาร์จตั้งอยู่ข้าง ๆ กับแก้วกาแฟเย็นชืดที่เหลืออยู่ประมาณหนึ่งในสี่ของความจุ
“ไม่เป็นไรเลยครับ แล้วนี่ผมมาแบบนี้จะไม่กวนพี่เหรอ?”
แมทธิวนั่งลงตรงที่ประจำของตัวเองบนโซฟาที่เขาเลือกจองเอาไว้ในใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้มานั่งบนโซฟาสีเข้มตัวนี้เมื่อครึ่งเดือนก่อน ซึ่งเป็นทางซ้ายของจุดที่ไทเลอร์มักจะนั่ง ๆ นอน ๆ พอดี
คนที่เพิ่งรับแขกเข้ามายังคงอยู่ในชุดที่ใส่นอน มือซ้ายเลิกเสื้อขึ้นเพื่อให้มืออีกข้างสามารถล้วงเข้าไปเกาสีข้างตัวเองได้ เผยให้คนที่นั่งอยู่เห็นไปถึงอะไรต่อมิอะไร คงเพราะความสบายใจไม่ก็ความไม่ได้แคร์อะไรมากที่ทำให้ไทเลอร์กล้าทำตัวตามสบายเวลามีแขก
แต่แมทธิวก็ยังคงจะยืนยันเช่นเดิมว่าไทเลอร์ในชุดแบบนี้มันดึงสายตาเขาให้หันไปมองบ่อย ๆ จริง ๆ นะ ยิ่งเมื่อกี้ที่ได้เห็นลำตัวที่ดูดีอีก หรือจริง ๆ แล้วไทเลอร์จะเคยได้เป็นนายแบบซักที่แล้วเขาเคยเห็นกัน?
“ไม่หรอก ใช่ไหม...?”
สายตาที่ตอนแรกเชื่อใจในตัวคนผมสีน้ำตาลตรงหน้าแปรเปลี่ยนกลายเป็นสายตาที่ระแวดระวัง ไทเลอร์ลืมไปเลยว่าแมทธิวจริง ๆ แล้วพอรู้จักกันก็เป็นคนที่ชวนให้เหนื่อยใจอยู่
“ผมไม่กวนพี่หรอกวันนี้ ผมสัญญา”
แมทธิวโวย เขาไม่เคยกวนใครเลยนะ แค่ทำตัวเป็นมิตรแค่นั้นเอง
“ให้มันจริงก็แล้วกัน แต่ก็เอาเถอะ...”
คนตัวเล็กกว่าหน่อย ๆ ส่ายหน้าตอบขณะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาที่เดิมที่จากมา ความอุ่นจากร่างกายของเขายังคงอยู่ตอนที่นั่งลงไป มันผ่อนคลายเสียจนเขาได้ถอดสายชาร์จแมคบุ๊คออกแล้วย้ายมันมาวางบนตักแทนเพื่อที่จะได้ใช้งานถนัดยามเอนหลังพิงโซฟา ไทเลอร์ยังไม่รู้เลยว่าเขาชวนแมทธิวเข้ามานั่งด้วยทำไม เพราะเหงาจนอยากมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเหรอ? หรือเพราะอากาศต้นเดือนพฤศจิกายนที่เย็นกว่าเก่า?
“แล้วพี่ไทเลอร์กำลัง... ทำ... what the hell is that program?!”
ด้วยความสนใจ แมทธิวค่อย ๆ เอนตัวมาส่องดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของไทเลอร์ ก่อนจะพบว่ามันคือโปรแกรมอะไรก็ไม่รู้ที่มีปุ่มเยอะไปหมดทั้งด้านซ้าย ด้านบน และด้านขวา ดูไปดูมาก็เหมือนแผงควบคุมยานอวกาศที่เคยเห็นในทีวี มันดูใช้งานยากจนเขาทนจะอุทานออกมาแทนการถามคำถามให้จบไม่ได้
“ฮ่ะ ๆๆ นายไม่เคยใช้เลยเหรอ?”
ไทเลอร์พักนิ้วไว้บนแทร็คแพดในขณะที่ตัวหัวเราะให้กับความน่าเอ็นดูของคนที่นั่งข้าง ๆ เขาสังเกตเห็นอยู่ว่าแมทธิวเอียงตัวมาดูจอของเขา ซึ่งก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่เพราะปฏิกิริยาที่พอได้เห็น Adobe Illustrator นั่นแหละที่ทำให้เขาขำปนเอ็นดูแบบนี้
“ไม่เลยพี่ มันคือโปรแกรมออกแบบกราฟิกเหรอครับ?”
แมทธิวเอียงศีรษะขณะถาม ให้ความรู้สึกกับไทเลอร์ในแบบเดียวกับที่เจ้าก้อนขนที่บ้านของเขามันสงสัยในอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่พึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก และมันก็ทำให้เขาถอนหายใจแล้วอมยิ้มหน่อย ๆ
“ก็เป็นหนึ่งในนั้น มันชื่อโปรแกรมว่า [1] เอ่อ... มันหมายถึงภาพกราฟิกที่ขยายแล้วไม่แตกนะ เอาไว้ทำเช่นป้าย รูปในเว็บ หรือพวกโพสต์ในไอจีแบบนี้ก็ทำได้”
ไทเลอร์อธิบายเกี่ยวกับโปรแกรมที่เป็นเครื่องมือในการทำมาหากินของเขาให้กับคนที่ไม่เคยแตะงานด้านทางนี้มาก่อนในแบบที่คิดว่าน่าจะเข้าใจง่ายที่สุด เพราะไทเลอร์ไม่รู้นะว่าเพื่อนบ้านคนนี้จะไม่สามารถเข้าใจเรื่องยาก ๆ ได้แบบไรเกอร์กับเฟลิกซ์ที่ดูคล้ายกันบ้างในบางอย่างหรือเปล่า
“อ๋อ... เหมือนจะเคยได้ยินชื่อนะพี่ แต่ผมไม่เคยใช้เลยอะไรพวกนี้ มันเหมือนโปรแกรมอะไรที่ถ้ากดผิดผมจะโดนดูดไปอีกมิติอะไรแบบนั้นอะ ฮ่ะ ๆๆ”
การพยักหน้าหงึก ๆ หลาย ๆ ทีจากแมทธิวเป็นการช่วยตอบว่าสิ่งที่ไทเลอร์พูดออกไปสามารถเข้าใจได้ตามที่หวัง แปลว่าถึงมีส่วนเหมือนตัวละครในเว็บตูนของแอชลี่ย์ แต่ก็ไม่ได้เหมือนไปหมดซะทุกอย่าง เขาเลยขยับนิ้วกด ๆ คลิก ๆ ดราฟงานอันนี้ของเขาต่อพร้อมกับอมยิ้มให้กับการเปรียบเทียบโปรแกรมออกแบบกราฟิกของแมทธิวไปด้วย
“แต่พี่คิดไม่ค่อยออกเลยว่าจะเอาไงต่อดี เห้ออออ...”
“ผมว่าอันในจอสวยแล้วนะพี่...”
หลังของไทเลอร์เอนจนตัวเหยียดราบลงเพราะการบิดขี้เกียจ พอลุกขึ้นมาก็ดึงชายเสื้อของตัวเองลงมาปิดหน้าท้องของตนดังเดิมขณะเอื้อมมือจะไปหยิบแก้วกาแฟมาซด เพราะดูเหมือนจะมีคนมองไทเลอร์ตาแป๋วอยู่
“ให้พี่เปลี่ยนชุดไหมอะ? นายโอเคใช่ไหมถ้าพี่จะใส่ชุดนี้?”
สายตาของแมทธิวเผลอเลื่อนจากหน้าจอแมคบุ๊คไปที่ใกล้ ๆ กันเล็กน้อยด้วยความเผลอไผลจากแรงดึงดูดแปลก ๆ คนที่มองจดจ้องพอโดนจับได้ว่าแอบมองก็สะดุ้งหลบสายตาของไทเลอร์ทันที อันที่จริงไทเลอร์กลัวว่าแมทธิวจะอึดอัดหรือเปล่ากับชุดที่เขาใส่นอนชุดนี้ที่แสนสบายจากสายตาที่มองมา เพราะถ้าหากแมทธิวไม่โอเคเขาจะได้อย่างน้อยไปสวมกางเกงทับให้อีกชั้น
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงถูกรีบคว้ามาใช้เป็นทางออก มือของแมทธิวปลอดล็อกมันแล้วเลื่อนหน้าจอไปมาอย่างไร้จุดหมาย เปิดเข้าแอปนั้นทีแอปนี้ทีแต่ก็ไม่มีอะไรภายในนั้นที่เรียกความสนใจจากเจ้าของโทรศัพท์ได้เลย
“ม- ไม่ใช่แบบนั้นพี่ มันก็แค่… เอ่อ…”
แมทธิวหาคำพูดไม่เจอภายในหัวของเขา ราวกับมีคนเอามันไปซ่อนไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่จะให้บอกตรง ๆ ออกไปก็คงจะไม่น่าดีเท่าไหร่
“มันออกจะแปลก ๆ ใช่ไหมล่ะ? เดี๋ยวพี่ไปใส่กางเกงทับให้ก็ได้ ขอโทษนะ”
แก้วกาแฟที่ใกล้จะหมดเต็มทีถูกวางลงบนโต๊ะเตี้ย ๆ ด้านหน้าดังเดิมในขณะที่ไทเลอร์คิดว่าน่าจะต้องได้ไปเอากางเกงมาสวมจริง ๆ นั่นแหละ เขาไม่อยากให้คนที่มาขลุกอยู่ด้วยต้องมาไม่สบายใจในความสบายของเขา
“ไม่ครับพี่ไม่ใช่แบบนั้น คือ… มันไม่ได้เป็นอะไรเลย”
แมทธิวลดโทรศัพท์ในมือลงแล้วรีบปฏิเสธ เขาไม่ได้ไม่สบายใจแบบนั้นซักหน่อย มันเป็นความรู้สึกแปลก ๆ ที่อธิบายไม่ได้ต่างหาก
“ถ้าไม่เป็นไรทำไมนายถึงมองจัง หืม?”
ไทเลอร์ถามกลับขณะยกมือขึ้นมากอดอกไว้หน่อย ๆ ความรู้สึกอุ่นร้อนเกิดขึ้นที่หลังคอโดยไม่ทราบสาเหตุจนต้องได้เอนหลังไปพิงกับโซฟาไว้ดังเดิม
“ก็… แค่… คือจะกี่ทีผมก็ยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่กับที่พี่ไทเลอร์แต่งตัวสบายแบบนี้อะ แต่ไม่เป็นอะไรเลยจริง ๆ ก็นี่บ้านพี่นี่นา ผมมารบกวน พี่ทำตัวตามสบายตามใจเถอะครับ”
เหตุผลที่แท้จริงอย่างการดึงดูดสายตาให้มองถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้คำพูดยาวเหยียดของแมทธิว และเปลี่ยนมายกเอาความสบายในชุดนอนของไทเลอร์มาเลือกตอบแทน ซึ่งเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้วที่แมทธิวคิดได้ในตอนนี้ที่ลนลานอยู่
“อื้อฮึ…”
ไทเลอร์พยักหน้าเข้าใจ มือปล่อยจากอกแล้วกลับไปวางลงที่แทร็คแพดของแมคบุ๊ค กด ๆ เลื่อน ๆ มันเพื่อปรับแต่งสีของรูปร่างที่วางประดับพื้นหลังไว้ต่อ
ด้านคนตัวสูงข้าง ๆ เองก็แอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ที่รอดตัวไปในครั้งนี้ แต่ความรู้สึกบ้าบอนี้มันคืออะไรกันแน่ ก็แค่คนใส่ชุดนอนสบาย ๆ ปกติเอง มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือยังไง? ตัวเขาเองวันไหนร้อน ๆ ยังไม่สวมเสื้อตอนจะนอนเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งตอนจะขึ้นแสดงก็เคยเปลี่ยนเสื้อผ้าร่วมกับพี่ ๆ ในวง แต่ทำไมพอเป็นไทเลอร์… มันกลับต่างออกไป?
“แบบ ปกติผมชินกับพี่ไทเลอร์ในแบบที่มีเสื้อผ้ามากกว่านี้หน่อย ไม่ใช่แบบที่… ชิลล์จนน่ามอง”
“ชิลล์จนน่ามอง?”
คิ้วของไทเลอร์ยกขึ้นเมื่อได้ยินคำสุดท้าย เขาค่อย ๆ หันไปมองหน้าแมทธิวแล้วสลับไปมองแก้วกาแฟเย็นชืดบนโต๊ะ ‘น่ามอง…?’ แล้วขยับปากพึมพำคำนั้นกับตัวเองโดยไม่มีเสียง
“ผมว่าผมหยุดพูดดีกว่า”
แมทธิวยกมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วหยุดพูดต่อ เพราะขืนพูดต่อไปมีหวังความรู้สึกจริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงเผลอไปมองไทเลอร์มันต้องหลุดออกมาหมดแน่ ๆ
 
หลังจากความเงียบเข้าปกคลุมไปได้พักหนึ่ง สายตาของแมทธิวก็กลับมาให้ความสนใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอแมคบุ๊คของไทเลอร์อีกครั้ง ตัวที่เคยขยับห่างออกไปในตอนแรกค่อย ๆ กล้าเขยิบเข้ามาใกล้คนพี่มากขึ้นเพื่อให้มองดูได้ชัดกว่าเดิม ก่อนที่คนที่เคยลนลานจะพูดถามออกไป
“อะแฮ่ม ว่าแต่… พี่ไทเลอร์กำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
เสียงกระแอมที่ยังคงเหลือความลนลานเจือปนอยู่ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยคำถามเกี่ยวกับงานที่ห้ามไม่ให้เขากับไทเลอร์อดไปจ๊อกกิ้งด้วยกัน ในความเข้าใจของแมทธิว มันน่าจะเป็นการ์ดหรือแผ่นอะไรซักอย่าง แต่ก็ไม่ได้คุ้นเคยกับสายงานนี้ก็เลยไม่รู้เลยว่ามันคืออะไรกันแน่
“เป็นพวกพื้นหลังของป้ายโฆษณา หน้าปกในเว็บไซต์ แล้วก็ป้ายต่าง ๆ น่ะจะต้องส่งดราฟแรกวันพุธนี้แล้ว วันนี้ก็เลยลองร่างไว้คร่าว ๆ ก่อน ที่จริงพี่ก็ไม่อยากทำงานวันหยุดหรอก แต่บางทีก็จำเป็นอะเนอะ”
หางตาเหลือบไปมองคนตัวสูงกว่าที่นั่งจ๋องดูวัตถุรูปร่างหลากหลายในจอคอมพิวเตอร์ถูกขยับเลื่อนไปมา ปรับเปลี่ยนรูปร่างและสีให้ค่อย ๆ สื่อไปในทางเดียวกัน ไทเลอร์จะพยายามก็แล้วกันที่จะปล่อยให้เรื่องเมื่อครู่ผ่านไป แม้จริง ๆ คำว่าชิลล์จนน่ามองจะยังคงดังสะท้อนอยู่ในหัวอยู่เรื่อย ๆ ก็ตาม
“มันยากเหรอพี่? ค- คือผมไม่ได้จะบอกว่ามันง่ายนะ แค่มันทำให้ผมอดไปวิ่งกับพี่เลยอะ ก็เลยสงสัย”
ไหล่ของไทเลอร์สั่นเบา ๆ จากการหัวเราะที่เกือบไม่มีเสียงของตัวเอง แมทธิวก็ยังเป็นแมทธิวคนเดิมในแบบที่เขารู้จักวันแรกจริง ๆ เขาเข้าในสิ่งที่เจ้าตัวจะสื่อนะว่าไม่ได้มีเจตนาในแบบที่กังวลเลย
“จะว่ายากไหมเหรอ? มันทำให้ถูกใจทีมดีไซน์ได้ยากน่าจะถูกมากกว่า พี่ไม่มีปัญหาหรอกเรื่องทำอะไรพวกนี้ แต่คนบรีฟงานต่างหากที่ทำพี่จะบ้า”
พอนึกถึงว่าสิ่งที่เขากับแอชลี่ย์ทำไปได้เบื้องต้นแล้วในช่วงวันพฤหัสบดีและศุกร์ที่ผ่านมาถูกทำให้สลายหายไปเพราะคำที่ว่า ‘พี่ขอแก้ mood board ได้หรือเปล่านิดเดียว’ แต่นิดที่ว่ามันทำให้เขากับแอชลี่ย์น้ำตาจะเล็ด ไทเลอร์ก็หัวเสียจนต้องบ่นออกมาพร้อมกับส่ายศีรษะไปทางซ้ายและขวาเพื่อไล่ความรู้สึกกับคำสบถในใจออกไป
แก้วกาแฟถูกหยิบมาจะยกดื่มอีกครั้ง แต่พอเอียงแก้วขึ้นกลับแทบไม่เหลืออะไรอีกแล้วภายในแก้ว และเหมือนว่าแมทธิวที่สังเกตตรงนี้ได้ก็อยากที่จะทำตัวให้มีประโยชน์ขึ้นมา
“อ๊ะ นายจะเอาแก้วพี่ไปไหน?”
มือหนาคว้าแก้วกาแฟไปจากมือของไทเลอร์ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินมุ่งหน้าเข้าไปในครัว แมทธิวจำได้ว่าตอนเดินเข้ามาเขาเห็นเหยือกที่มีกาแฟอุ่น ๆ อยู่ครึ่งเหยือกตั้งอยู่ข้าง ๆ กับตู้เย็น พอแบบนั้นก็เลยยกมันขึ้นมาเทกาแฟอุ่น ๆ ลงใส่ให้แก้วที่ว่างเปล่ากลับมามีเครื่องดื่มที่ช่วยให้มีแรงทำงานอีกครั้ง
“ผมเติมให้ครับ พี่ไทเลอร์จะได้มีแรงคิดงาน”
ปากของไทเลอร์อ้าข้างอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อย ๆ หุบลง ตอนแรกเขาสงสัยผสมงงงวยว่าทำไมจู่ ๆ แก้วกาแฟก็ถูกแย่งไป แต่พอเห็นเจ้าของดวงตาและผมสีน้ำตาลสวยกำลังเดินกลับมาพร้อมไอน้ำที่ลอยออกมาจากแก้วกาแฟแล้ว เขาก็หยุดความคิดทุกอย่างแล้วเปลี่ยนมาถอนหายใจผสมอมยิ้มแทน
มันนานมาแล้วนี่เนอะที่มีคนมาทำอะไรแบบนี้ให้กับไทเลอร์
“ขอบใจนะ”
มือทั้งสองข้างยื่นออกมารับแก้วกาแฟคืนจากแมทธิว ความอุ่นของอันแผ่จากแก้วกระเบื้องสู่มือของไทเลอร์ การจิบไปคำนึงส่งต่อมันลงสู่ท้องของเขา กลิ่นหอม ๆ กับความอบอุ่น สร้างความสบายให้เขาได้มากเลย
“ผมมารบกวนพี่นี่นา ให้ผมช่วยอะไรเท่าที่ช่วยได้นะพี่”
คนตัวสูงทิ้งตัวลงนั่งที่ตำแหน่งเดิม ลำตัวเอนมาทางไทเลอร์เพื่อมองดูคนพี่นั่งทำงานต่อ
ในความเงียบที่มีแต่เสียงมือที่กดคีย์บอร์ดสลับกับลากนิ้วบนแทร็คแพดอย่างเชี่ยวชาญ สายตาที่จริงจังปนเป็นประกายหน่อย ๆ ยามได้ทำอะไรที่ชอบ มีบ้างที่ไทเลอร์บิดขี้เกียจและหันมามองแมทธิวว่าหลับแล้วหรือยังหรือว่าแอบมองเขาอีกไหม
 
“เบื่อไหมน่ะ? ขอโทษนะพี่ชวนมานั่งเล่นด้วยแต่ไม่มีอะไรสนุก ๆ เลย มีแต่งานอะไรก็ไม่รู้”
ไทเลอร์ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปมองดูแมทธิว คนข้าง ๆ เอนหลังพิงอยู่อย่างสบาย ๆ กับหมอน ตัวที่เอนมาดูหน้าจออีกนิดก็จะพิงมาที่ไหล่ของเขาแล้ว เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแมทธิวเบื่อไหม แต่พอได้อยู่กันแบบเงียบ ๆ แบบนี้มันก็สงบผิดปกติดี
“นิดหน่อยครับ แหะ ๆ พี่ไทเลอร์มีอะไรให้ผมช่วยไหมอะ?”
แมทธิวตอบออกมาตามตรง เขาเบื่ออยู่หน่อย ๆ เพราะไม่มีอะไรทำ มองดูพี่ชายข้างบ้านนั่งทำงานที่แม้จะเพลินตาดี แต่ก็แอบจะนิ่งเรียบไปหน่อยสำหรับเขา
“อืม... จริง ๆ แค่มีนายมานั่งคุยนั่งบ่นด้วยก็ดีมากแล้วล่ะ”
“หืม? จริงเหรอครับ?”
พอได้ยินแบบนั้นแมทธิวก็เอียงศีรษะสงสัย แมทธิวว่าเขาเหมือนจะมากวนมากกว่าด้วยซ้ำนะ
“ปกติพี่นั่งทำงานอยู่คนเดียวตลอด เครียดก็เครียดอยู่คนเดียว คราวนี้มีคนให้คุยด้วยก็เลยเหมือนได้ลดความอยากจะเอาหัวโขกคอมไปได้มากเลย ยิ่งเป็นนายที่ทำให้ปวดหัวแทนแล้วอีก”
ไทเลอร์อธิบายเพิ่มเติมพร้อมกับสายตาที่มองไปดูหน้าจอโทรทัศน์ ข่าวในหน้าจอเป็นเรื่องเกี่ยวกับการประกาศผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการของการเลือกตั้งประธานาธิบดี
ปกติแล้วไทเลอร์ไม่เคยให้ใครมานั่งอยู่ด้วยตอนทำงานซักเท่าไหร่หรอกนะเพราะกลัวว่าจะกวนสมาธิเอา แต่พอมาเป็นแมทธิวแล้ว ถึงจะรู้ว่าต้องเจออะไรแปลก ๆ ที่ชวนให้ถอนหายใจก็ตาม เขาก็ชวนคนที่เด็กกว่าเข้ามานั่งเล่นด้วยอยู่ดี
“พี่ไทเลอร์แอบว่าผมไหมเนี่ย?”
แมทธิวขมวดคิ้วกับคำพูดของคนผมสีดำ ทำไมดูเหมือนเป็นพลังบวกเชิงลบแปลก ๆ ตอนแรกก็เหมือนจะชมเขาอยู่เลย ไหงสุดท้ายกลายเป็นเหมือนว่าไทเลอร์ว่าเขาอยู่เลย
“ก็มันจริงไหมล่ะ? เมื่อกี้นายยังมอง เอ่อ... มองพี่อยู่เลยถูกไหม?”
ไทเลอร์ยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม คิ้วยกขึ้นน้อย ๆ ในตอนที่มองไปยังแมทธิว จะให้ไทเลอร์พูดออกไปได้ยังไงว่าแมทธิวมองอะไรและตรงไหนของเขาอยู่ตลอดช่วงที่เขานั่งทำงาน ทำตัวเป็นเหมือนไอ้พวกหมาของแม่เขาที่บ้านไปได้ที่ชอบมานั่ง ๆ นอน ๆ มองดูเขา
“เอ๊ะ เอ่อ คือ... อากาศมันเย็นอะ! ใช่! ผมเลยมองพี่แบบนั้น”
แม้จะเป็นเหตุผลที่ดูก็รู้ว่าแถเอามาตอบ แต่แมทธิวก็ไม่รู้แล้วว่าจะตอบยังไงดี
“อากาศมันเย็น? อืม ๆ เห้อ... พี่ปวดหัวกับนายจริง ๆ นะ ถ้านายว่างั้นก็ตามนั้น ช่างเถอะ ก็ไม่ได้จะว่าอะไร”
ไทเลอร์ทวนคำพูดและทำเป็นพิจารณามันด้วยความปวดกบาล คำแก้ตัวแบบนี้ไม่คิดเลยว่าจะออกมาได้ ตลกดีเหมือนกัน
ว่าจบเขาก็ส่ายหน้าแล้วขยับขายกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ ยิ่งทำให้แมทธิวเห็นอะไรต่อมิอะไรไปมากกว่าเก่าจนเริ่มสายตาอยู่ไม่นิ่ง ไหน ๆ แล้วก็แกล้งแมทธิวเล่นเสียหน่อยก็แล้วกัน
 
หรือจริง ๆ แล้วทั้งหมดนี้ที่แมทธิวรู้สึกมันก็แค่...
ไม่หรอกมั้ง...
ใช่ไหมนะ...?
 
 
[1] Vector graphics (เวกเตอร์กราฟิก) – เส้น รูปร่าง หรือวัตถุทางกราฟิกในคอมพิวเตอร์ที่ประกอบขึ้นจากสมการทางคณิตศาสตร์ ทำให้สามารถย่อขยายได้โดยไม่เสียคุณภาพ