My Next-door Neighbor by: kritzy_8 special thanks: Naiya, mfindyoursoul, and Somsiri

Chapter 7 - ฮาโลวีน

หากพูดถึงเทศกาลประจำปีที่ใครก็ต่างตั้งตารอ ฮาโลวีนก็ต้องเป็นหนึ่งในคำตอบยอดนิยมอย่างแน่นอน มันจะมีวันไหนกันที่เราสามารถแต่งตัวแปลก ๆ อย่างเป็นผีหรือตัวประหลาดได้โดยไม่มีใครว่าอะไร แล้วยังจะได้ขนมฟรีจากคนในละแวกบ้านอีกต่างหาก?
ทุก ๆ ปีตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แมทธิวมักจะออกไปแต่งตัวเป็นผีเพื่อไปล่าขนมมากินให้ฟันผุกับเหล่าเพื่อน ๆ ของเขาเสมอ ปีนี้เองถ้าหากว่าเขายังเป็นเด็กอยู่ก็น่าจะทำแบบเดียวกัน แต่ในตอนนี้แมทธิวไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ๆ คนนั้นอีกแล้ว วันนี้เขามีนัดไปขึ้นแสดงที่บาร์แห่งนึงในย่าน Greenwich Village กับเพื่อน ๆ ในวง ก็เลยอดที่จะแต่งตัวเป็นผีเลย
แต่จริง ๆ เขาก็น่าจะโตเกินกว่าจะไปทำอะไรแบบนั้นแล้วนี่นา... แมทธิวพอรู้ตัวแบบนั้นก็ทำหน้าเศร้าหน่อย ๆ
 
“พี่ไทเลอร์จะตื่นหรือยังหว่า?”
แมทธิวตื่นมาได้ซักพักแล้วและกำลังไถหน้าฟีดทวิตเตอร์ไปกินอาหารเช้าง่าย ๆ อย่างขนมปังปิ้งทาเนยกับกาแฟอุ่น ๆ ไป แต่พอเปลี่ยนแอปไปที่อินสตาแกรมแล้วเห็นสตอรี่ของพี่ชายข้างบ้านของเขาที่ลงสตอรี่เป็นรูปหน้าคอมพิวเตอร์ที่กำลังแสดงกล่องข้อความเขียนว่า ‘We’ve hit a roadblock! There isn’t enough available memory (RAM)’ พร้อมเครื่องหมายตกใจสีแดงอยู่ด้านหน้า แล้วก็มีอีโมจิร้องไห้ใส่ไว้เต็มรูปไปหมดกับข้อความคำว่า ‘fuck’ ผสม ๆ อยู่ด้วย เขาก็เลยหัวเราะแล้วนึกถึงไทเลอร์ขึ้นมา
สตอรี่ดังกล่าวมีข้อความกำกับเอาไว้โดยแอปพลิเคชันว่าถูกเผยแพร่ลงไปเมื่อวานช่วงบ่าย ๆ ส่วนตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงนิด ๆ โดยปกติแล้วแมทธิวจะเห็นไทเลอร์ออกไปทำงานช่วงก่อนเจ็ดโมงครึ่ง เพราะกว่าจะฝ่ารถติดไปถึงที่บริษัทได้ก็เป็นชั่วโมงเลย เขายังจำได้ดีถึงวันนั้นที่เขาได้ไทเลอร์ช่วยชีวิตไว้โดยการให้เขาติดรถไปด้วยจนถึง Existed ซึ่งมันก็เป็นการนั่งรถที่นานมากจริง ๆ จนเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไทเลอร์ทำได้ยังไงตั้งอาทิตย์ละสามวันมาตลอดหลายปี
พอเห็นว่าจะได้เวลาที่ไทเลอร์จะออกจากบ้านแล้ว แมทธิวเลยเปลี่ยนเสื้อผ้าไปใส่ชุดที่จะใส่ขึ้นเวทีในช่วงเย็นของวันนี้ เสื้อที่ดูง่าย ๆ แต่ดูดีถูกเลือกมาสวม เป็นเสื้อสีดำที่มีรูปผีตัวเล็กอยู่ที่อกด้านซ้าย พอจะเข้ากับบรรยากาศของเทศกาลฮาโลวีนได้บ้าง แจ็กเกตที่เสริมให้ดูเท่ถูกหยิบมาสวมอีกชั้นนึงด้วยเพื่อใช้กันลม แมทธิวเช็กความเรียบร้อยของตัวเองกับกระจกก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเอาไว้จำนวนนึงเพื่อเอาไว้ลงสตอรี่ให้กับคนที่ติดตามเขาดู ก่อนจะปิดท้ายด้วยการหยิบกระเป๋าใส่กีตาร์ไฟฟ้าประจำตัวมาสะพายหลัง
“วันนี้นายมีขึ้นแสดงสดเหรอ?”
การทักทายจากเพื่อนบ้านยังคงเป็นไปอย่างที่ดำเนินมา ไทเลอร์วันนี้ใส่เชิ้ตสีขาว สีสุดแสนจะคลาสสิกที่ไม่ว่าใครใส่ก็ออกมาดูดีเหมือนกันหมด และจากกระเป๋ากีตาร์ใบใหญ่ที่อยู่ที่หลังของแมทธิว คนผมสีดำที่อยู่บ้านข้าง ๆ ก็พอจะเดาได้ว่าวันนี้เพื่อนบ้านของเขาถ้าไม่ขึ้นแสดงก็มีทำเพลงที่บริษัท
“ครับพี่ วันนี้ได้เล่นที่บาร์แถว Greenwich Village ครับ”
แมทธิวตอบพร้อมกับถอยมอเตอร์ไซต์คู่ใจลงมาไว้ที่ถนนหน้าบ้าน ไทเลอร์พยักหน้าให้กับคำตอบของเขาแล้วก็เริ่มเดินไปหารถยนต์ของตัวเอง
“พี่ไท!”
“หืม? อะไรเหรอ?”
คนที่ถูกเรียกหยุดเดินแล้วหันมาตามต้นเสียงด้วยท่าทีสงสัย หรือว่าวันนี้รถมอเตอร์ไซต์ของแมทธิวจะเสียอีกกัน?
“Happy Halloween นะครับ”
แต่จริง ๆ แล้วไม่เลย สิ่งที่ได้คือคำทักทายที่เข้ากับเทศกาล และรอยยิ้มกว้างจากคนที่อารมณ์ดีตลอดเวลาอย่างแมทธิวต่างหาก
“Happy Halloween to you too, Matt”
ใบหน้าของไทเลอร์ค่อย ๆ มีรอยยิ้มประดับ ริมฝีปากพูดคำทักทายคำเดียวกันนั้นกลับสู่คนผมสีน้ำตาล แล้วจึงขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย
ด้วยการตอบกลับจากไทเลอร์พร้อมรอยยิ้มและการโบกมือให้นั้น วันของแมทธิวมันก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วล่ะ วันนี้เองเขาก็จะพยายามและสนุกให้เต็มที่ที่สุดเหมือนที่ผ่านมา
 
การจราจรในตอนเช้าของนครนิวยอร์กก็ยังคงเหมือนเดิมในทุก ๆ วัน รถของผู้คนมหาศาลที่ทำงานในเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกแห่งนี้ต่างมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณที่เต็มไปด้วยตึกสำนักงานสูงระฟ้าเพื่อร่วมเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปในโลกของทุนนิยม
แม้จะยังไม่ค่อยคุ้นชินมากเท่าไหร่นักกับนครใหญ่แห่งนี้ แต่จากการอยู่อาศัยมาครึ่งเดือนด้วยตัวคนเดียว แมทธิวก็เริ่มที่จะค่อย ๆ กล้าเรียกที่แห่งนี้ว่าบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ เขายังไม่ชินเท่าไหร่เลยกับตรอกซอกซอยมากมายที่ตัดกันเป็นตาราง ถนนหลายเส้นที่เป็น one-way ทำเอาการเดินทางที่ตั้งใจเอาไว้ผิดแผนไปหมดหากไม่จำหรือดูแผนที่ให้ดี เหล่าผู้คนมากมายที่แม้จะดูคึกคักแต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจสิ่งรอบข้างเท่าใดนัก ทุกคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองไปให้ดีที่สุดในที่ที่ทุกคนเรียกมันว่าเป็นดินแดนแห่งโอกาสแห่งนี้
ดีหน่อยที่แมทธิวใช้รถมอเตอร์ไซต์ในการเดินทางยามเช้าที่รถติดแบบนี้ ขนาดเล็กกว่ารถยนต์ทำให้มอเตอร์ไซต์ของเขามันสามารถมุดซอกแซกแทรกตามช่องว่างระหว่างรถยนต์แต่ละคันไปได้อย่างรวดเร็ว และแม้จะใช้เวลาเดินทางนานไม่มากเท่ากับใช้รถยนต์ แต่ก็ยังนานอยู่ดีถ้าเทียบกับการเดินทางในเมืองอื่น ๆ ของประเทศหรือในโลก
และจนถึงตอนนี้แมทธิวก็ยังไม่ได้ลองใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินของนิวยอร์กแบบจริง ๆ จัง ๆ ซักทีเลย มีก็แค่วันนั้นที่รถมอเตอร์ไซต์ของเขาเสียจนได้ติดรถไทเลอร์มาทำงานนั่นแหละที่ขากลับเขาได้ลองใช้บริการมันดู แม้จะดูเก่าไปบ้างตามอายุของการเปิดใช้งานมา แต่เขาว่าก็เป็นอะไรที่สะดวกและราคาถูกดี ยังไม่ได้เจออะไรแปลก ๆ แบบที่ไทเลอร์หรือคนในสังคมออนไลน์พูดถึงเลย หรือเพราะจริง ๆ วันนั้นเขาก็แค่โชคดีเฉย ๆ ก็ไม่รู้ ตั้งแต่ได้ไทเลอร์มาพาขึ้นรถไปด้วยแล้ว
 
“สวัสดีครับพี่ ๆ”
เมื่อจอดรถมอเตอร์ไซต์เอาไว้ในบริเวณตรอกด้านหลังของบาร์ The Bitter End แล้วเรียบร้อย ชายหนุ่มมือกีตาร์พร้อมกระเป๋าเครื่องดนตรีใบใหญ่ก็ก้าวเดินเข้าไปในบริเวณตัวร้าน ประตูสีเข้มถูกดึงเปิดออกเผยให้เห็นผู้คนจำนวนหนึ่งที่กำลังจัดเตรียมพื้นที่การแสดงในช่วงเย็นของวัน แมทธิวไม่รอช้ารีบกล่าวทักทายออกไปทันที ในฐานะสมาชิกของวงที่อายุน้อยที่สุดแล้ว เขาต้องทำตัวให้มีมารยาทเข้าไว้ก่อน คนจะได้เอ็นดูเขาเยอะ ๆ
“ไงแมท สุขสันต์วันฮาโลวีน”
พี่ผู้จัดการของวงกล่าวทักทายผู้มาใหม่อย่างเป็นมิตรพร้อมกับตบไหล่เบา ๆ ตามประสาคนคุ้นเคย ถัดไปด้านหลังมีเมมเบอร์อีกสองคนที่มาก่อนหน้าแล้วกำลังนั่งดูดกาแฟเย็นอยู่ข้าง ๆ กัน
“พี่ฌอน พี่มาร์ค สวัสดีครับ”
“ไงแมท happy Halloween นะ”
มาร์คเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์แล้วชูไม้ชูมือขึ้นมาโบกให้กับคนที่กำลังยิ้มแฉ่ง รวมถึงยิ้มออกไปสร้างความสดใสสู้อีก ส่วนฌอนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เพียงแค่หันมาพยักหน้าให้เท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของคนสองคนนี้ที่แตกต่างกันในเรื่องของเอเนอร์จี้มาก ๆ แต่กลับสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุขและลงตัว
มาร์ครับหน้าที่เป็นมือเบสประจำวง The Seasons รวมถึงเป็นตัวสร้างเอเนอร์จี้ร่วมกับแมทธิวจากบุคลิกที่เป็นคนร่าเริงเช่นกัน เจ้าตัวรู้จักและสนิทกับฌอนซึ่งรับหน้าที่เป็นมือกลองของวงมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ทำให้สองคนนี้สนิทกันมากยิ่งกว่าอะไร และถึงแม้ณอนจะดูนิ่ง ๆ เงียบ ๆ แต่จริง ๆ แล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้ปิดกั้นการทำความรู้จักกับคนใหม่ ๆ ในชีวิตเลย แถมยังเป็นมิตรมากเสียด้วยซ้ำหากเข้ามาพูดคุยด้วย อันตรงข้ามกับแมทธิวและมาร์คที่แค่มองมาเห็นใบหน้าก็รู้สึกถึงเอเนอร์จี้ที่ล้นออกมาทั่วบริเวณ แล้วก็มักจะเป็นผู้เข้าไปเริ่มบทสนทนากับคนที่ไม่รู้จักก่อน
“สุขสันต์วันฮาโลวีนเหมือนกันครับ แล้วนี่พี่ดิเอโก้ยังไม่มาเหรอครับ?”
สมาชิกในวงคนสุดท้ายที่เป็นมือคีย์บอร์ดร่วมกับเปียโนกับเป็นโวคอลคู่กับแมทธิวถูกถามถึงหลังจากที่เขาทักทายคนสองคนที่นั่งพิงกำแพงอยู่ข้างกันเสร็จแล้ว
“น่าจะอีกพักนึงนะ เห็นหมอนั่นบอกว่ารถติดนิดหน่อย”
รอบนี้ฌอนเป็นคนตอบ ก่อนจะได้แก้วกาแฟของมาร์คมากระแทกใส่ที่แก้มเพื่อเรียกสติให้กลับมา
“ฉันบอกนายแล้วไงให้พูดว่าพี่ดิเอโก้”
หยดน้ำที่เกาะอยู่กับขอบแก้วน้ำพลาสติกที่มีเครื่องดื่มสีเข้มบางส่วนเปื้อนไปติดอยู่บนแก้มของคนหน้านิ่งร่วมวงของแมทธิว ในตอนที่คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เตือนเป็นรอบที่สามพันล้านว่าให้เรียกพี่คนโตที่สุดของวงให้เหมาะหน่อย
“พี่เขาไม่ว่าหรอก”
มือหนาถูกยกขึ้นมาจับคอเสื้อยกขึ้นไปเช็ดแก้มที่เปียกแล้วเปลี่ยนไปหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนหน้าจอเล่นเกมต่อ
“นายถามพี่เขามาแล้วหรือยังไงฌอน?”
ไทเลอร์ปล่อยให้คนสองคนที่เป็นรุ่นพี่เขาสองปีเถียงกันไปแล้ววางกระเป๋ากีตาร์ที่แบกมาจากบ้านลงบนพื้นไว้ข้าง ๆ กระเป๋าเบสของมาร์ค ก่อนจะเริ่มรูปซิปหยิบเอามันออกมาหมุนตั้งสายไปมา
กีตาร์สีแดงตัดกับสีขาวสวยพอถูกปรับสายให้ตรงตามสิ่งที่มันควรจะเป็นแล้วก็ถูกเจ้าของของมันสะพายบ่าเอาไว้ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ปิ๊กสีดำที่มีลายผีน้อยถูกหยิบออกมาจากกล่องเก็บปิ๊กกีตาร์ที่มีเพื่อนของมันอยู่ในนั้นอีกหลายสิบอัน ไหน ๆ ก็เป็นวันฮาโลวีนที่ได้เล่นดนตรีที่เขาแต่งด้วยกันเองกับเพื่อนร่วมวง แมทธิวก็ขอทำตัวให้เข้ากับบรรยากาศขึ้นอีกหน่อยสู้กับฟักทอง แมงมุมปลอมตัวใหญ่ และผ้าสีขาวที่มีมาร์กเกอร์สีดำวาดเป็นดวงตาที่ถูกวางประดับภายในบาร์แห่งนี้ก็แล้วกัน
 
การซ้อมดำเนินการไปอย่างราบรื่นพอดิเอโก้มาถึง เสียงดนตรีดังไปทั่วบาร์ที่ยังไม่เปิดรับผู้คนในช่วงหัววัน เหงื่อหยดแล้วหยดเล่าไหลตามกรอบใบหน้าของคนผมสีน้ำตาลตัวสูงยามที่เขาขยับตัวไปมาตามจังหวะเพลง แม้จะเหนื่อยแต่ก็สนุกจนหยุดไม่ได้ แบบนี้แหละคือสิ่งที่ทำให้แมทธิวเลือกที่จะเดินในสายงานนี้
“ดีมากเลยนะทุกคน พักกันก่อนก็ได้ เดี๋ยวเจอกันอีกทีก่อนขึ้นแสดงหนึ่งชั่วโมง พักกันตามสบายเลยนะสามชั่วโมงนี้”
พี่ผู้จัดการวงลุกขึ้นยืนพร้อมกับปรบมือและกล่าวแจ้งให้สมาชิกทั้งสี่ของวงหยุดพักการซ้อมเอาไว้เพียงเท่านี้ หลังจากรัน setlist[1] มาแล้วเป็นรอบที่สองจนเสร็จสิ้นลง
“เย้ พี่ดิเอโก้ ฌอน แมท ไปซื้อของกินเล่นกันไหม?”
มาร์คชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะด้วยความยินดี แล้วจึงหันไปชวนเพื่อนร่วมวงทั้งหมดของเขาไปร้านขายของที่อยู่ห่างไปบล็อกสองบล็อกด้วยกัน
“ไป ๆ ไอ้แมทมาด้วยกันไหม?”
ดิเอโก้เสียบไมค์ใส่ขาตั้งไมค์ไว้ดังเดิมหลังจากเดินถือมันเดินไปเดินมาระหว่างการซ้อม ก่อนที่จะหันไปชวนคนที่ยืนหายใจเข้าออกด้วยความถี่มากกว่าปกติอยู่ข้าง ๆ ห่างไปไม่ไกลให้มาด้วยกัน เพราะฌอนโดนมาร์คใช้วงแขนโอบรอบลำคอแล้วบังคับให้มาด้วยกันแล้ว
“ไปด้วยครับพี่ เดี๋ยวผมเก็บกีตาร์แปปนะ”
 
เมื่อเริ่มคล้อยยามบ่าย บรรยากาศของความเป็นวันฮาโลวีนก็ยิ่งเริ่มเด่นชัดออกมามากกว่าเก่า ไฟรูปค้างคาว ผี และแมงมุม ถูกนำออกมาประดับตามเสาไฟ ลูกฟักทองที่วางอยู่ตามทางเท้า ผู้คนบางคนที่เริ่มแต่งตัวให้เข้ากับเทศกาล แบบนี้แหละที่เรียกว่าฮาโลวีน
ชายหนุ่มสี่คนออกจากร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดง่าย ๆ หลังจากรับประทานอาหารที่เป็นการควบรวมมื้อเที่ยงกับเย็นของวันเข้าด้วยกัน ส่วนหลังจากแสดงเสร็จในคืนนี้ค่อยหาอะไรกินมื้อดึกอีกที แต่พอเดินไปได้ไม่นานพวกเขาก็มาถึงร้านขายของชำที่มีข้าวของเกี่ยวกับเทศกาลแสนสยองขวัญมากมายวางขายอยู่ ก็เลยพากันหยุดแวะดูเสียหน่อย
“แมท ผีอันนี้น่ารักอะ มันยิ้มเหมือนนายเลย”
มาร์คหยิบโคมไฟรูปผีสีขาวยิ้มแฉ่งขึ้นมาให้แมทธิวดู ใบหน้าของมันเอาจริงแล้วก็ไม่ได้ต่างจากแมทธิวตอนยิ้มเลยจริง ๆ นั่นแหละ
“เหมือนนายมากกว่ามั้ง”
ฌอนแย้งขณะหยิบเอาผีอีกหน้านึงขึ้นมาดู ตัวนี้มันกำลังนั่งกอดฟักทองอยู่
“มันเหมือนพวกนายทั้งสองคนนั่นแหละฉันว่า”
พี่ใหญ่สุดของวงมองดูโคมไฟผีในมือของมาร์คสลับกับใบหน้าของคนที่กำลังถือมันอยู่กับคนอีกคนที่ย่อตัวลงดูข้าวของที่วางขายอยู่บนโต๊ะกว้างตัวนี้ น้อง ๆ สองคนนี้ในวงของเขาเป็นเหมือนพระอาทิตย์เดินได้จริง ๆ นั่นแหละ ยิ้มแต่ละทีสว่างกว่าที่โคมไฟผียิ้มตัวนี้จะสว่างได้ซะอีก
“หืม? แมท ซื้อขนมด้วยเหรอ?”
“อ- อื้อ ว่าจะซื้อเอาไว้เผื่อมีเด็กแถวบ้านมาเคาะประตูน่ะ”
ขนมสามสี่ชิ้นถูกเลือกหยิบมาถือไว้ในมือของแมทธิว แล้วพอโดนทักโดยดิเอโก้เข้าให้เจ้าตัวก็ตะกุกตะกักออกมาหน่อย ๆ เพราะจริง ๆ แล้วที่แมทธิวเลือกจะซื้อขนมในมือก็เพราะอยากที่จะเอาไปให้คนคนนึงต่างหาก ตอบแทนที่วันเสาร์ที่ผ่านมาได้กินพิซซ่าฟรีอีกเป็นครั้งที่สอง
“จริงไหมน้า... ซื้อน้อยจัง ซื้อไปให้ใครหรือเปล่า?”
สันหลังของแมทธิวเย็นวาบกับคำพูดของมาร์ค บางทีเพื่อนในวงของเขาก็น่ากลัวเกินไปแล้วนะ
 
กว่าจะทำการแสดงจบก็เริ่มดึกแล้ว แต่เวลาเกือบจะสี่ทุ่มของนครนิวยอร์กมันไม่ได้ดึกเลย ยิ่งในวันเทศกาลอย่างเช่นวันนี้อีก แมทธิวไม่ได้เลือกที่จะดื่มต่อที่บาร์ที่ไปทำการแสดงกับเพื่อนร่วมวงและผู้จัดการวงเหมือนครั้งก่อน ๆ แต่เลือกที่จะตรงดิ่งกลับบ้านมาภายใต้ท้องฟ้าสีเข้มที่ไม่ค่อยมีดาวประดับเท่าไหร่จากแสงไฟของเมืองใหญ่
พอคนผมสีน้ำตาลมาถึงบ้านก็ไม่ได้เข้าบ้านของตัวเอง แต่กลับเดินไปที่บ้านหลังข้าง ๆ เสียงอย่างนั้น พอเห็นว่าไฟจากหน้าต่างบนชั้นสองของตัวบ้านยังคงสว่างอยู่ กริ่งบนพื้นที่ข้างประตูก็ถูกกดลงและตามมาด้วยเสียงติ๊งต่องสุดจะ generic[2]
“หืม?”
ไทเลอร์ในชุดนอนขมวดคิ้วพอเห็นว่าใครกันที่มากดกริ่งหน้าบ้านของเขา ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเด็กแถวนี้มาขอขนมหวานไปเคี้ยวเล่นเสียอีก ไหง่กลายเป็นเพื่อนบ้านของเขาได้?
“แฮ่! ผมเอาขนมมาฝากครับ แล้วเอ่อ... นี่ผมรบกวนพี่ไทเลอร์ไหมอะ? ขอโทษด้วยนะพี่”
“อะไรของนาย... แต่ไม่รบกวน ๆ แล้วก็ปกติมันต้องเป็นเจ้าของบ้านไม่ใช่เหรอที่ต้องเป็นคนเอาขนมให้คนที่มาเคาะประตูในวันนี้?”
ไทเลอร์กำลังดูหนังคอนเสิร์ตเรื่องนึงอยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรหรอกนอกจากหนังคอนเสิร์ต The Eras Tour ที่พอจะช่วยให้เขาหายคิดถึงช่วงเวลาสุดแสนจะเหมือนฝันในเดือนพฤษภาคมที่เขาไปดูคอนเสิร์ตแห่งยุค ณ สนามกีฬา MetLife Stadium ได้บ้าง แม้แมทธิวจะมาขัดในระหว่างช่วงที่ชวนให้โยกตัวตามจังหวะของเพลงที่เรียกได้ว่าเป็น pop perfection อย่าง Style ก็ตาม
ก็เสียงกีตาร์ในท่อนก่อนจะเข้าฮุกที่ถูก overdrive[3] ในเวอร์ชันแสดงสดมันดีจริง ๆ นี่นา น่าเสียดายจริง ๆ ที่ในเวอร์ชันสตูดิโอไม่มีแบบนี้ ไม่งั้นไทเลอร์คงนั่งเปิดฟังทุกวันแล้ว
“ถือว่าตอบแทนที่วันนั้นที่ผมไปจ๊อกกิ้งด้วยที่พี่เลี้ยงพิซซ่าผมก็ได้ครับแบบนั้น แหะ ๆ”
“เห้อ... เอาเถอะ ขอบใจมากนะ”
ไทเลอร์ยิ้มให้ประกอบคำขอบคุณที่มาพร้อมการส่ายหน้าเหนื่อยใจ แต่ก็สมกับเป็นแมทธิวดีนั่นแหละอะไรแบบนี้
“ผมไม่รู้ว่าพี่ไทเลอร์ชอบกินอะไรก็เลยหยิบสุ่ม ๆ มาสามสี่อย่าง ถ้าชอบอันไหนบอกผมได้นะพี่ เดี๋ยวรอบหน้าจะได้เหมาแค่อันนั้นมาให้”
ขนมยังไม่ทันจะถูกกินไปเลยซักชิ้น แต่แมทธิวก็พูดถึงโอกาสหน้าที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงตอนไหนก็ไม่รู้แล้ว
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ แค่ซื้ออะไรนิดหน่อยมาฝากพี่ก็โอเคแล้ว ว่าแต่แล้วไปแสดงสดมาเป็นไงบ้าง?”
ถุงพลาสติกที่มีขนมในมือไทเลอร์ถูกแกว่งไปมาเล่ขณะที่ประเด็นหัวข้อของการสนทนาเปลี่ยนไป จากการที่ไทเลอร์มองเห็นกระเป๋ากีตาร์ไฟฟ้าใบใหญ่ที่หลังของแมทธิว
“สนุกดีครับพี่ ยิ่งรอบหลัง ๆ มาที่ผมกับเพื่อนในวงได้แสดงสดนะ คนมาดูเต็มไปหมดเลยล่ะ แถมพวกเขาก็ร้องได้เยอะมาก ๆ ด้วยอีก... เอ่อใช่ พี่ไทเลอร์เคยบอกผมนี่ว่าอยากลองเล่นกีตาร์ ลองเล่นดูไหมครับ?”
เปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงเรื่องของแมทธิวได้ไม่ทันหายเบื่อ หัวข้อก็วกกลับมาสู่เรื่องของไทเลอร์อีกครั้ง ไทเลอร์เคยบอกว่าเขาสนใจกีตาร์แต่เล่นไม่เป็น และถ้าแมทธิวว่างก็อยากที่จะลองพาพี่ชายข้างบ้านคนนี้หัดเล่นให้เจ้าตัวได้ลอง อย่างเช่นตอนนี้ และเขาก็หวังอยู่หน่อย ๆ นะว่าไทเลอร์จะตอบตกลง
“เอ๊ะ เอ่อ... กะทันหันไปหน่อยแต่ก็ได้แหละ เข้ามาสิ”
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแมทธิว ได้เข้ามาในบ้านของไทเลอร์เป็นรอบที่สามแล้ว อีกทั้งแต่ละครั้งที่ได้มาเยือนบ้านหลังข้าง ๆ นี้ มันก็เริ่มให้ความรู้สึกที่ใกล้ชิดมากกว่าเก่าด้วย แบบนี้แปลว่าเขากับไทเลอร์สนิทกันมากกว่าเก่ายิ่งกว่าเดิมอีกใช่ไหมนะ?
 
นอกจากนครที่วุ่นวายแล้ว อีกสิ่งนึงที่ยังคงตงิด ๆ อยู่ในใจของคนตัวสูงกว่าทุกครั้งที่ได้เห็นก็คือชุดที่ไทเลอร์ใส่นอน ต้นขาที่โผล่พ้น boxer brief สีดำออกมาของคนที่เดินนำเขาขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองไม่รู้ทำไมมันถึงได้ดูเชิญชวนให้มองตามแปลก ๆ ขาของตัวเองแมทธิวก็มี จะไปมองขาของเพื่อนบ้านของเขาทำไมก็ไม่รู้
ไทเลอร์กดปรับแสงสว่างในห้องนั่งเล่นที่ชั้นสองให้สว่างขึ้นในโทรศัพท์พอกลับมานั่งลงที่โซฟา แมทธิวเองพอเป็นรอบที่สามของการมานั่งในห้องห้องนี้ก็ผ่อนคลายไปมากจากครั้งแรก และตอนนี้ก็เริ่มรูดซิบกระเป๋าเพื่อเอากีตาร์คู่ใจออกมาให้ไทเลอร์ได้ลองแล้ว
“ใช่อันที่นายใช้เล่นออกทีวีที่ Time Square ไหมอะ?”
ไทเลอร์คุ้น ๆ ว่ากีตาร์ตรงหน้าเขาตอนนี้มันเป็นอันเดียวกันกับที่เขาเห็นในจอทีวีของร้าน The Bus Stop สีและความสวยปนเท่ของมันยังคงสะดุดตาเขาไม่ต่างไปจากฉาก close-up ของแมทธิวที่เล่นกับกล้องเลย
“ใช่ครับอันเดียวกัน พี่ไทเลอร์ลองเอาไปวางที่ตักได้นะครับ”
โทรศัพท์ถูกย้ายไปวางไว้ที่โต๊ะกาแฟด้านหน้าเพื่อเปิดพื้นที่ให้กีตาร์ไฟฟ้าตัวเก่งของแมทธิวได้มีที่วางบนตักของคนที่ไม่เคยเล่นเครื่องดนตรีนี้มาก่อน ไทเลอร์มองดูแต่ละส่วนของมันด้วยความสงสัย คอกีตาร์ที่มีสายทั้งหกเส้นที่ขึงยาวตลอดแนว เส้นแนวตั้งมากมายที่แบ่งคอออกเป็นช่อง ๆ มากมายที่ชวนให้งงงวยว่าทำแบบใดกันจึงจะได้เสียงที่น่าฟังแบบในเพลงต่าง ๆ ออกมา
“ลองวางมือที่สายดูได้นะพี่ มันไม่กัดพี่หรอก ฮะ ๆๆ”
ท่าทีคัดเขินของไทเลอร์ทำให้แมทธิวแนะนำให้เขาลองที่จะจับมันมากกว่าเดิมให้คุ้นชิน นิ้วมือของไทเลอร์ถูกวางลงบนสายเส้นหนึ่งก่อนจะออกแรงกดมันเหมือนตามรูปและคลิปของคนที่เล่นกีตาร์ที่เขาเคยเห็น
“ล- แล้วมันทำยังไงให้ได้เป็นเสียงเพราะ ๆ เหรอ?”
สายตาที่เต็มไปด้วยทั้งความสงสัย ความเขินอาย และการขอความช่วยเหลือถูกส่งไปหาแมทธิว ในตอนนั้นที่คนตัวสูงกว่าหันไปเจอเนื้อเพลงที่เขียนอยู่เป็นบทบรรยายใต้ภาพในจอทีวีจอใหญ่ของไทเลอร์ที่เปิดคอนเสิร์ต The Eras Tour แต่กดหยุดเล่นไว้
“อย่างเพลง Style ที่พี่เปิดทิ้งไว้ ท่อนฮุกมันจะเป็นคอร์ดนี้ครับอันแรก”
มือหนาของแมทธิวถือวิสาสะเลื่อนไปจับมือของไทเลอร์เพื่อเรียงนิ้วของคนผมสีดำให้กดเป็นคอร์ด C คอร์ดพื้นฐานที่ไม่ว่าจะเพลงที่เล่นยากหรือง่ายแค่ไหนก็จะพบอยู่บ่อย ๆ
“อ๊ะ…”
“กดสายไว้แล้วก็ดีดได้เลยครับ”
ไทเลอร์สะดุ้งนิดหน่อยเมื่อมือของตนถูกคนข้าง ๆ จับอย่างเบามือ จนพอได้การวางนิ้วเป็นท่าทางแปลก ๆ เขาก็ใช้มือขวาดีดมันเป็นเสียง C ที่ไม่ค่อยจะสมบูรณ์นัก แต่ก็ตื่นเต้นมากเมื่อมันเกิดเสียงออกมาจากการลองเป็นครั้งแรก
“โห...”
ไทเลอร์สนใจในเครื่องดนตรีนี้มากกว่าเดิมซะแล้วสิ
“แล้วก็แบบนี้จะเป็นถ้าลองเล่นแบบในเพลงครับ”
กีตาร์ถูกยกย้ายไปวางบนตักของคนที่ใส่กางเกงยีน นิ้วกดสายเป็นท่าทางเหมือนไทเลอร์เมื่อครู่ แต่แมทธิวใช้วิธีการดีดสายแบบเดียวกับในเพลงพร้อมกับร้องท่อนฮุกประกอบไปด้วยให้ไทเลอร์ฟัง
“เห้ยเจ๋งอะ พี่ขอลองหน่อยได้หรือเปล่า?”
 
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่ว่ายังไงไทเลอร์ก็ไม่สามารถที่จะเล่นได้แบบที่แมทธิวเล่นเลย ก็แหงล่ะ นี่พึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองจับกีตาร์นี่นา ถ้าทำได้ดีเลยตั้งแต่ครั้งแรกก็คงจะเกินไป แม้จะได้แมทธิวมาช่วยจับมือจนแทบจะเป็นคนเล่นเองแล้วก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นไทเลอร์ก็รู้สึกว่ามันสนุกดีนะ
“อืม... ผมมีกีตาร์อีกอันนึงที่ไม่ได้ใช้อยู่ที่บ้าน พี่ไทเอาไว้เล่นไหมครับ? เดี๋ยวผมไปยกมาให้”
และดูเหมือนว่าเจ้าของกีตาร์ตัวนี้จะดูออกเช่นกันถึงความสนใจที่ไทเลอร์มี เขาเลยเสนอที่จะให้เพื่อนบ้านของเขายืมกีตาร์โปร่งไฟฟ้าตัวที่ไม่ค่อยได้ใช้นักไปลองเล่นในตอนที่เขาไม่อยู่สอน
“ไม่ต้องก็ได้แมท พี่ไม่อยากรบกวนนาย”
ไทเลอร์ส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมทั้งลองดีดกีตาร์ที่วางอยู่ที่ตักมั่ว ๆ เป็นเสียงแปลก ๆ ที่ไม่มีความไพเราะใด ๆ มีเพียงความสนุกแค่นั้น
แต่ถึงแบบนั้นแล้ว กีตาร์ที่อยู่ที่บ้านของแมทธิวก็ถูกย้ายที่อยู่มาตั้งอยู่ที่บ้านของไทเลอร์แทนอยู่ดี แมทธิวนอกจากจะให้ไทเลอร์ยืมกีตาร์แล้ว เขายังเอาปิ๊ก ที่วาง เคโปมาให้ไทเลอร์อีกด้วย เพื่อให้ครบเซ็ตสำหรับคนพึ่งได้ลองหัดเล่นกีตาร์คนนี้
“ขอบคุณที่ให้ยืมกีตาร์นะ”
ฝ่ามือยกขึ้นมาโบกบอกลาคนที่ตัดสินใจกลับบ้านของตนเองหลงจากขลุกตัวอยู่กับไทเลอร์เกือบชั่วโมง ไทเลอร์คิดว่าเขาชินแล้วแหละกับการมีเพื่อนบ้านคนใหม่อยู่รอบ ๆ ตัว ความเกร็งมันหายไปหมดแล้ว คงเพราะความสดใสของรอยยิ้มและนิสัยของแมทธิวแน่ ๆ
“ครับ ถ้าเป็นพี่ไทเลอร์ผมเต็มใจให้ยืมหมดนั่นแหละ ไว้เจอกันพรุ่งนี้เช้านะพี่”
 
 
[1] Setlist (เซ็ตลิสต์) – รายการเพลงที่จะเล่นในการแสดงนั้น ๆ
[2] Generic (เจเนริก) – ของที่หาได้ทั่วไป ของธรรมดาที่เหมือน ๆ กัน
[3] Overdrive (โอเวอร์ไดรฟ์) – การใช้เอฟเฟ็กต์ปรับแต่งเสียงของกีตาร์ไฟฟ้าให้มีการขับเกินกำลังจนมันเกิดเสียงที่เพี้ยนไปจากปกติและได้เป็นเสียงแตกออกมา