“อือ… เวรเอ๊ย ปวดหลัง”
ช่วงเกือบเที่ยงในวันเสาร์เป็นอะไรที่ไทเลอร์ชอบมากที่สุดช่วงหนึ่งของสัปดาห์
การได้เอนหลังพักผ่อนบนโซฟาที่นุ่มสบายในบ้านของตัวเองนี่มันดียิ่งกว่าอะไร
ยิ่งรวมกับอากาศที่เริ่มเย็นลงของฤดูใบไม้ร่วงในซีกโลกเหนือแล้วก็ยิ่งทำให้บรรยากาศที่
cozy อยู่แล้วในบ้านของเขามันเพิ่มทวีคูณขึ้นมากอีกเป็นเท่าตัว
แต่ถึงแบบนั้นไทเลอร์ที่ผมฟูหน่อย ๆ
จากการเผลอหลับไปครู่นึงเมื่อกี้หลังดื่มโกโก้อุ่น ๆ
ไปก็ยังคงเลือกที่จะใส่เสื้อยืดย้วย ๆ
หน่อยกับชั้นในตัวเก่งเป็นชุดนอน
ก็แบบนี้มันเย็นดีกับขยับขาง่ายดีนี่นา
บ้านของชายหนุ่มผู้เป็นกราฟิกดีไซน์ตั้งอยู่ที่ Staten Island
หรือที่รู้จักกันในชื่อ Richmond County
[1]
อันเป็นหนึ่งในห้า borough
[2]
ของนครนิวยอร์กอันเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความเร่งรีบ
แต่ใครกันจะไปคิดว่ามหานครแห่งนี้จะมีอยู่เขตนึงที่แตกต่างจากเขตที่เหลือไปอย่างสิ้นเชิง
ใช่อยู่ว่าเขตอย่าง The Bronx หรือ Queens
ก็มีบริเวณที่เป็นเขตชานเมืองเช่นกัน
แต่นั่นมันเทียบไม่ได้เลยกับความเป็นชานเมืองของ Staten Island
ที่ใครต่อใครที่ได้มาเยือนก็ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่านี่มันไม่ใช่สถานที่ในนครนิวยอร์กแน่
ๆ มันน่าจะเป็นซักทีในโซน Midwest
[3]
เสียมากกว่า และความเป็นชานเมืองนั้นก็ทำให้หลาย ๆ
คนไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมันจน Staten Island
มีอีกชื่อว่าเขตที่ถูกลืม
บ้านทาวน์เฮ้าส์หน้ากว้างไม่มากสูงสามชั้นหลังนี้ที่ไทเลอร์อาศัยอยู่มาตั้งแต่ตอนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนิวยอร์กนั้นเป็นของครอบครัวฝั่งพ่อของเขา
ทำให้การใช้ชีวิตในนครที่ค่าครองชีพแพงอย่างมากราวกับถูกปล้นทุกครั้งที่จ่ายค่าเช่าบ้านนั้นสุขสบายกว่าคนทั่วไป
มิหนำซ้ำบริษัทที่เขาทำงานอยู่นับจากช่วงโควิดมาก็ปรับการทำงานมาเป็นการ
work from home ในวันจันทร์และอังคารถาวรอีก
ความวุ่นวายในการเดินทางเข้าไปยังออฟฟิศจึงเหลือเพียงสามวันต่อสัปดาห์เท่านั้น
ชีวิตของเขามันช่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ
ที่ที่ไทเลอร์ทำงานอยู่ในตำแหน่งกราฟิกดีไซน์เป็นบริษัทที่มีชื่อว่า
Existed แบรนด์เครื่องแต่งกายที่กำลังดำเนินธุรกิจไปได้สวย
แม้จะเพิ่งก่อตั้งได้ไม่ถึงสิบปีดี บริษัทก็มีการเปิดสาขาใหม่เรื่อย
ๆ ถึงกว่า 100 สาขาทั่วโลกในช่วงสิบเดือนที่ผ่านมาของปี 2024
เสื้อผ้าและอุปกรณ์แต่งกายอื่น ๆ ของ Existed
มีชื่อเสียงในด้านความแปลกใหม่ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี
ทั้งลวดลายและสีสันที่โดดเด่นแต่ก็ยังมีสีพื้นฐานให้เลือกเพื่อยังคงเข้าถึงคนกลุ่มอื่น
ๆ อีกทั้งยังมีความขี้เล่นผสมกับความเป็นกันเองที่ทำให้หลาย ๆ
คนก็เลือกซื้อเสื้อผ้าจากแบรนด์นี้ไว้สวมใส่เสมอ
ยิ่งราคาของมันที่ไม่ได้แพงมากนักกับคุณภาพที่ดีอีกก็ยิ่งดึงดูดลูกค้าให้กลับมาซื้อใหม่เรื่อย
ๆ
บริษัทแห่งนี้เป็นบริษัทแรกที่ไทเลอร์เข้ามาทำงานหลังจากจบจากมหาวิทยาลัยในสาขาการออกแบบและสื่อสาร
ในตอนแรกที่หว่านแหสมัครงานเขาคิดว่าแบรนด์นี้ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่น่าสนใจดี
แต่เอาจริงแล้วเขาก็อยากที่จะทำงานในบริษัทที่ใหญ่กว่านี้
ท้าทายกว่านี้ แต่ด้วยเพราะเป็น first jobber
ที่ไม่อาจเลือกอะไรได้มากในโลกของการทำงานที่โหดร้าย
เขาจึงได้มาลงเอยกับ Existed
ร่วมกับแอชลี่ย์ที่ทำงานมาก่อนเขาครึ่งปีและทีมการตลาดที่เป็นมิตร
(ในยามที่ไม่ใช่ตอนส่งบรีฟงานให้เขากับแอช)
และถึงจะบอกว่าเลือกอะไรไม่ได้มากในตอนนั้นจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก
มันกลับกลายเป็นว่าบริษัทขนาดกลางที่รับเขาเข้าทำงานในตอนนั้นได้กลายมาเป็นบริษัทขนาดค่อนไปทางใหญ่ไปแล้ว
และหากพูดตรง ๆ
หลายบริษัทที่ปฏิเสธเขาไปในตอนนี้นั้นดูเล็กกว่าไปแล้วด้วยซ้ำ
ไทเลอร์เลยดีใจกับการเลือกไม่ได้มากในตอนนั้นพอสมควร
นี่บางทีโชคก็อยู่ข้างเขาโดยไม่รู้ตัวนะเนี่ย
เสียงเพลงจากลำโพงอัจฉริยะในบ้านของไทเลอร์ยังคงขับกล่อมทำนองน่าฟังดังไปทั่วทั้งห้อง
ใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีนอกหน้าต่างกับท่อนหนึ่งของเพลงเพลงนี้ที่มีความยาวกว่าสิบนาทีมันช่างเข้ากันยิ่งกว่าอะไร
ไทเลอร์ชอบฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวที่สุด อากาศที่เย็นลงทำให้นอนสบาย
สามารถขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนใหญ่ได้โดยไม่อึดอัดตลอดทั้งวัน
แถมทิวทัศน์ตอนใบไม้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธถึงความน่ามองของมัน
แต่ถึงจะชอบช่วงเวลาที่มีอากาศหนาวของปีมากแค่ไหน
ไทเลอร์ก็ไม่ปฏิเสธว่าอากาศที่เย็นลงมันยิ่งทำให้เขาเหงา ๆ
มากกว่าเก่า ยิ่งในยามที่โสดแบบนี้
ใช่อยู่ว่าเพื่อนสนิทก็ยังมีและติดต่อไปหาได้ตลอด
แต่เพราะข้างบ้านที่ว่างมานานกว่าปกติที่เคยเป็นมันทำให้เขาเหงามากจริง
ๆ
นี่ถ้าทักไปหาแอชลี่ย์เกี่ยวกับประเด็นนี้อีกครั้งเธอก็คงจะรำคาญแล้วไม่ตอบแชตของเขาแน่
ๆ
“อือ... โอย... โทรศัพท์อยู่ไหนวะ?”
ไทเลอร์บิดตัวไล่ความขี้เกียจแล้วเอื้อมมือไปหยิบเอาโทรศัพท์ที่วางเอาไว้บนโต๊ะกาแฟมาเลื่อนดูแจ้งเตือนในช่วงที่เขาหลับไป
ก็ยังคงไม่มีอะไรน่าสนใจเลยที่จะทำให้เขาหายเบื่อได้
หรือมันอาจจะจริงที่แอชลี่ย์เคยบอกว่าเพลงเศร้า ๆ
ที่เขาชอบเปิดมันทำให้ยิ่งรู้สึก down เข้าไปใหญ่ ก็ All Too Well
เวอร์ชันสิบนาทีมันดีนี่นา จะให้หยุดฟังได้ยังไงกัน?
หลังจากไถหน้าจอโทรศัพท์ไปได้พักนึงก็มีเสียงและความสั่นไหวเบา ๆ
ดังมาจากด้านหลัง ก่อนที่มันจะค่อย ๆ
ขยับผ่านด้านซ้ายของไทเลอร์ไปทางหน้าบ้านข้าง ๆ ที่ว่างอยู่
ตามมาด้วยเสียงมอเตอร์ไซต์ที่เรียกความสนใจของเขาไปจากโทรศัพท์จนหมด
ชายหนุ่มที่เพิ่งตื่นเลยเขยิบก้นไปส่องดูที่หน้าต่างข้าง ๆ
อย่างคนที่ชอบสนใจเรื่องของชาวบ้าน
ภาพที่เห็นเป็นรถขนของจากบริษัทขนย้ายคันใหญ่คันหนึ่งที่ถูกจอดเอาไว้หน้าอดีตบ้านของคุณนายแฮร์โรล
ตามมาด้วยรถมอเตอร์ไซต์สีดำสุดเท่ที่มีเบาะหนังสีน้ำตาลเข้ม
เข้ากันได้ดีกับคนขับที่กำลังถอดหมวกกันน็อกออก
เผยให้เห็นกลุ่มผมสีน้ำตาลแบบเดียวกันที่ถูกปิดเอาไว้ในตอนแรก
“หลังนี้ใช่หรือเปล่าครับ?”
“ใช่แล้วครับ”
นี่หรือว่าจะเป็นเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ไทเลอร์เฝ้ารอมานาน?
“หืม...”
ไทเลอร์เริ่มตื่นเต้นยิ่งกว่าเก่าเมื่อเห็นคนที่พึ่งเคยเห็นหน้าก้าวขาลงจากมอเตอร์ไซต์แล้วเดินนำพนักงานของบริษัทขนย้ายไปทางประตูหน้าบ้านที่ไร้เจ้าของ
เสียงไขกุญแจเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง
ไทเลอร์กลับมามีเพื่อนบ้านเหมือนเดิมแล้ว!
ในช่วงบ่ายวันนั้นเต็มไปด้วยเสียงตึงตังมาจากทางข้างบ้านของไทเลอร์จากการย้ายของจากรถขนของคันใหญ่ไปจัดวางในห้องแต่ละห้อง
เสียงเดินของคนหลายคนสลับกันกับเสียงการลากและดันเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ดังสลับกันคลอไปกับท่วงทำนองของเพลงที่เขาเปิดมาตั้งแต่สาย
ๆ แม้ไทเลอร์จะสนใจที่อยากจะออกไปทักทายเพื่อนบ้านคนใหม่คนนี้
แต่เพราะเพื่อนบ้านคนนี้อยู่ในระหว่างการย้ายของเข้าสู่บ้านหลังใหม่
เขาเลยไม่อยากจะออกไปกวนเสียเท่าไหร่ first impression
เป็นสิ่งที่สำคัญ
แถมไม่รู้อีกว่าเพื่อนบ้านคนนี้จะอยู่ที่บ้านหลังข้าง ๆ
เขาไปกี่เดือนหรือกี่ปี ถ้าเริ่มต้นไม่ดีก็อาจจะอยู่กันอึดอัดได้
ทำให้ที่ไทเลอร์ทำก็มีเพียงนั่งมองคนขนของกับชายหนุ่มผมสีน้ำตาลที่ไม่รู้จักขนของเข้าไปในบ้านผ่านทางหน้าต่างเท่านั้น
จากการสังเกตของไทเลอร์ เอส ฟลิน ตลอดช่วงบ่ายของวันเสาร์ที่ 12
ตุลาคมอันน่านอนนี้
เพื่อนบ้านของไทเลอร์เป็นผู้ชายที่อายุน้อยกว่าเขาอย่างแน่นอน
ใบหน้าที่มองดูก็เห็นว่ามีเอเนอร์จี้ของคนไฟแรงแผ่ออกมา
แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่มองไปมองมาไทเลอร์ก็รู้สึกคุ้น ๆ
ว่าเคยเห็นใบหน้าที่ชอบยิ้มแบบนั้นที่ไหนมาก่อน
ทั้งนี้ไทเลอร์ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครที่เคยเจอที่มีหน้าตายิ้ม ๆ
แบบนั้นนะ ไหงมันคุ้น ๆ แบบนี้กันหว่า? แต่ช่างมันเถอะ
แค่ไทเลอร์ชัวร์ว่าเพื่อนบ้านคนใหม่คนนี้น่าจะเป็นคนที่ไม่น่ากลัวหรือมีนิสัยแปลก
ๆ มันก็พอแล้ว
โครก...
“ห้าโมงครึ่งแล้วเหรอเนี่ย?”
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเย็นของวัน
ท้องของไทเลอร์เริ่มเรียกร้องที่จะอยากลิ้มรสอาหารเย็นแล้วทีละน้อย
แต่ก่อนที่จะหาอะไรกินให้คืนนี้หลับสบาย
ไทเลอร์มีเรื่องที่ต้องทำประจำวันหยุดอยู่อย่างการไปจ๊อกกิ้งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้
ๆ บ้าน พอเริ่มเข้าวัยทำงานมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ไทเลอร์ก็ยิ่งรู้ถึงความสำคัญในการออกกำลังกายขึ้นมามากกว่าเดิมเยอะเลย
ตอนแรกเขาก็ชอบที่จะนอนทั้งวันในวันหยุดโดยไม่ทำอะไรเลยนอกจากหาอะไรกิน
แต่พอช่วงโควิดที่เขาก็เป็นหนึ่งในคนหลายล้านคนที่ติดโรคนี้ไปด้วยแล้วนั้น
แม้จะได้รับวัคซีน
แต่การไม่สบายในตอนที่ร่างกายไม่ได้พร้อมรับมือโรคภัยมันก็เหนื่อยมาก
ๆ เลยล่ะ
พอกลับมาหายดีแล้วเขาเลยตั้งปณิธานว่าอย่างน้อยทุกเสาร์และอาทิตย์เขาก็ขอไปจ๊อกกิ้งหรือไม่ก็แค่เดินออกกำลังเสียหน่อยก็แล้วกัน
ไทเลอร์ลุกจากโซฟาแล้วเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสามของตัวบ้าน
อันเป็นที่ตั้งของห้องนอนของเขา
หลังจากเปิดตู้เสื้อผ้าที่ตอนเด็กเขาชอบกลัวว่ามันจะมีตัวอะไรออกมาหลอกเขาไหมก็ได้กางเกงขายาวมาหนึ่งตัว
อากาศตอนเย็นของฤดูใบไม้ร่วงมันยิ่งเย็นกว่าตอนกลางวันอีก
แม้ว่าไปจ๊อกกิ้งแล้วจะร้อน
แต่ตอนกลับบ้านที่เป็นเวลาเริ่มค่ำแล้วก็ควรที่จะใส่อะไรที่ช่วยให้ไม่หนาวจะดีกว่า
หลังจากสวมกางเกงตัวดังกล่าวแล้ว
เสื้อแจ็กเกตกันลมก็ถูกหยิบมาสวมทับเสื้อยืดอีกชั้น พอหมุน ๆ
ตัวเช็กความเรียบร้อยในกระจกที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ เสร็จสิ้น
ไทเลอร์ก็เดินลงมาที่โซฟาตัวเดิม
กดหยุดเพลงที่เปิดคลอมาทั้งวันผ่านโทรศัพท์
คว้าเอาหูฟังไร้สายคู่ใจมาสวม หยิบกุญแจบ้านมาเตรียมล็อกบ้าน
สวมรองเท้าแล้วจึงเดินออกจากประตูหน้าเพื่อเตรียมไปออกกำลังกาย
“อ๊ะ!”
เมื่อล็อกประตูแล้วเดินออกมาที่ทางลาดหน้าบ้าน
การมีอยู่ของไทเลอร์ก็ไปดึงความสนใจจากคนที่กำลังอุ้มกล่องกระดาษให้หันมามอง
นัยน์ตาสีน้ำตาลสวยยามต้องกับแสงแดดอุ่น ๆ
ยามเย็นเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
ปากที่แม้จะอยู่ในสถานะอารมณ์ปกติก็ดูเหมือนจะยิ้ม ๆ
อยู่แล้วก็ยกยิ้มขึ้นกว่าเก่า และพอรู้ตัวอีกที
เพื่อนบ้านคนใหม่ของไทเลอร์ก็กำลังเดินเข้ามาหาเขาแล้ว
“คือ... สวัสดียามเย็นครับ เอ่อ... ผมพึ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านข้าง
ๆ วันนี้ ผมชื่อแมทธิวนะครับ แมทธิว เซ็ท คูเปอร์”
ลังกระดาษถูกวางลงกับพื้นเพื่อให้มือว่างสำหรับยื่นออกมาเตรียมจับทักทาย
ไทเลอร์พยักหน้าให้แล้วยื่นมือของตนออกไปจับกับเพื่อนบ้านคนใหม่ที่มีชื่อว่าแมทธิว
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความร่าเริงและอบอุ่นคละคลุ้งไปทั่วบรรยากาศทันที
“ไทเลอร์ เอส ฟลิน ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณแมทธิว”
ยิ่งได้ยินเสียงกับได้เห็นแมทธิวใกล้ ๆ แบบนี้
ไทเลอร์ก็มั่นใจได้จริง ๆ
แหละว่าเพื่อนบ้านคนใหม่คนนี้เป็นคนที่จะอยู่ร่วมกันอย่างไม่มีปัญหาแน่นอน
โล่งใจไปเยอะเลย
แต่อีกอย่างก็คือพอยิ่งได้เห็นอีกฝ่ายยิ้มแบบนี้ไทเลอร์ก็ยิ่งคุ้นภาพแบบนี้เข้าไปใหญ่
แต่ก็ยังนึกไม่ออกเหมือนเดิมว่าไปคุ้นมาจากที่ไหน
“คือว่า... ผมอายุ 22 ปี คุณไทเลอร์อายุเท่าไหร่เหรอครับ?
ผมจะได้พอทำตัวด้วยถูก แหะ ๆ”
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลตรงหน้าไทเลอร์ถามอายุของเขาพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาที่ท้ายทอยแก้เขิน
ดวงตาสีน้ำตาลหลบตาของไทเลอร์หน่อย ๆ
จากความประหม่าที่เกิดจากการทำความรู้จักกับคนแปลกหน้า
นี่คงจะเป็นครั้งแรกแน่นอนเลยที่แมทธิวย้ายออกมาอยู่ข้างนอกแบบนี้
ถ้าอายุยี่สิบสองก็แปลว่าพึ่งเรียนจบสินะ
“ผมอายุ 27 ปีครับ แต่คุณแมทธิวไม่ต้องสุภาพมากก็ได้นะ
ยังไงเราก็เป็นเพื่อนบ้านกัน”
ไทเลอร์กดหยุดเล่นเพลงที่เปิดคลออยู่กับหูฟังไร้สาย
เพราะดูแล้วคงได้พูดคุยกับเพื่อนบ้านคนใหม่คนนี้อีก
จะได้ฟังได้ถนัดหน่อย
“โห... เป็นพี่ผมตั้งห้าปีเลย ยังไงผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
พอดีเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองใหญ่แบบนิวยอร์กเป็นครั้งแรกเลย
อาจจะได้รบกวนคุณไทเลอร์หลายอย่างเลยด้วยในอนาคต
ขอโทษเอาไว้ล่วงหน้าเลยนะครับ”
ฝ่ามือที่จับกันอยู่ถูกเขย่าเบา ๆ
สองสามทีในตอนที่แมทธิวพูดบอกถึงเรื่องที่จะได้รบกวนไทเลอร์ในอนาคต
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่คนเด็กกว่าได้เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่แบบนี้
และเป็นครั้งแรกเลยด้วยที่จะใช้ชีวิตคนเดียวแบบจริง ๆ จัง ๆ
ในวัยผู้ใหญ่ที่กำลังเริ่มต้นขึ้น
ฉะนั้นในเมื่อมีเพื่อนบ้านที่ดูเป็นมิตรแม้จะหน้านิ่งไปหน่อยแบบนี้
ก็น่าจะได้รบกวนอีกฝ่ายเยอะแน่เลย
“ไม่เป็นอะไรเลยครับ ถ้าหากมีอะไรก็เรียกหาผมได้ตลอดนะ
ถ้าช่วยได้ผมจะช่วยเต็มที่นะครับ”
ไทเลอร์ส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นอะไรเลยที่จะขอความช่วยเหลือ
เขาเข้าใจดีถึงชีวิตที่ยากลำบากในช่วงแรกของการปรับตัวให้เข้ากับมหานครอันดับต้น
ๆ ของโลกแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ยังดีที่ว่าบ้านของเขามันตั้งอยู่ในย่านที่สงบสุขกว่าย่านอื่น ๆ
ของนิวยอร์กนะ ก็เลยพอที่จะสามารถมีแรงไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ได้อยู่
“ขอบคุณนะครับ”
“ว่าแต่คุณแมทธิวเห็นบอกว่านี่เป็นการย้ายเข้ามาในนิวยอร์กใช่ไหมครับ
ผมถามได้หรือเปล่าว่ามาจากที่ไหนเหรอ? เผื่อว่าเราจะมาจากที่ใกล้ ๆ
กัน เพราะจริง ๆ ผมเองก็ไม่ใช่คนที่นี่เหมือนกัน”
แม้ไทเลอร์จะมีบ้านเกิดอยู่ที่รัฐนิวยอร์ก
แต่นิวยอร์กที่เขาอยู่และรู้จักมาก่อนจะเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยก็คือ
Upstate New York
[4]
อันมีสภาพสังคมและสภาพแวดล้อมแตกต่างจากนิวยอร์กส่วนที่เป็นนครใหญ่แห่งนี้โดยสิ้นเชิง
แล้วพอได้ยินว่าแมทธิวย้ายมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็เลยสงสัยขึ้นมา
“ได้ครับ บ้านเกิดผมอยู่ที่ Harrisburg รัฐ Pennsylvania นี่เองครับ
ไม่ได้ไกลกันมากเท่าไหร่ แต่ต่างกับที่นี่ซะลิบลับเลย
แล้วคุณไทเลอร์ล่ะครับ?”
“บ้านเกิดผมอยู่ upstate ติดกับริมทะเลสาบออนแทรีโอครับ ที่
Rochester ผมอยู่ที่นี้มาตั้งแต่เรียนมหาลัยแล้ว
ผมน่าจะพอให้ข้อมูลอะไรต่าง ๆ คุณได้อยู่
ถ้าอยากถามอะไรเกี่ยวกับเมืองใหญ่เมืองนี้ก็ถามได้เลยนะครับ”
แฮรริสเบิร์กตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหานครนิวยอร์กไปประมาณ
150 ไมล์ (240 กิโลเมตร)
แม้เมืองแห่งนั้นเป็นเมืองหลวงของรัฐเพนซิลเวเนีย
แต่ก็ไม่ใช่เมืองใหญ่มากอะไรเท่าไหร่
มีขนาดเป็นเพียงเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่เก้าของรัฐเท่านั้นเอง
พอได้ย้ายมาอยู่ในนครที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศแล้ว
แมทธิวน่าจะต้องใช้เวลาพอสมควรเลยแหละในการปรับตัว
แต่ไทเลอร์ก็พร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอนะ
ส่วนบ้านเกิดของไทเลอร์คือเมืองชื่อรอเชสเตอร์
เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่สี่ของรัฐนิวยอร์ก
มีทำเลที่ตั้งตั้งอยู่ทางเหนือขึ้นไป 250 ไมล์ (410 กิโลเมตร) ณ
ริมทะเลสาบออนแทรีโอ ใกล้ ๆ กับชายแดนของสหรัฐอเมริกากับแคนาดา
“รบกวนล่วงหน้าด้วยนะครับคุณไทเลอร์
แล้วว่าแต่จะออกไปข้างนอกเหรอครับนี่?”
จากการสำรวจชุดของคนผมสีดำสนิทตรงหน้าแล้ว
แมทธิวเดาว่าอีกฝ่ายต้องกำลังจะออกไปซื้อของกินแน่ ๆ
แล้วแบบนี้เขาก็เริ่มที่จะอยากไปหาอะไรกินบ้างแล้วเหมือนกัน
ก็ย้ายของเข้าบ้านมาตั้งครึ่งวันแล้วนี่นา แต่มันก็ใกล้เสร็จแล้วด้วย
ทนต่ออีกนิดก็แล้วกันนะ
“ครับ ผมว่าจะไปจ๊อกกิ้งที่สวนสาธารณะใกล้ ๆ
นี่ซักหน่อยแล้วก็ซื้ออะไรมาทานน่ะ
ยังไงผมไม่รบกวนคุณแมทธิวแล้วดีกว่า
ยินดีต้อนรับสู่นครนิวยอร์กนะครับ”
ไทเลอร์ยิ้มหน่อย ๆ ให้เพื่อนบ้านคนใหม่
ก่อนที่จะขอตัวกลับไปทำเรื่องที่จะทำก่อนหน้านี้ต่อ
เพราะหากคุยอยู่ตรงนี้ต่อไปมีหวังไปทำให้การย้ายของเข้าบ้านของแมทธิวจะต้องใช้เวลามากกว่าเดิมแน่
ๆ เขาขอไปจ๊อกกิ้งดีกว่า
“แหะ ๆ ขอบคุณที่ต้อนรับครับ
ยินดีที่ได้รู้จักอีกรอบนะครับคุณไทเลอร์”
หลังจากโบกมือตอบให้กับคนผมสีน้ำตาลที่โบกมือไล่หลังเขามา
ไทเลอร์ก็เดินห่างออกมาแล้วเริ่มที่จะเดินเร็วขึ้นจนกลายไปเป็นจังหวะของการวิ่งจ๊อกกิ้งในที่สุด
เพลงจากโทรศัพท์ถูกกดเล่นอีกครั้งเพื่อคลอไปกับการออกกำลังกาย
โดยวันนี้ได้อัลบั้มอย่าง This Is What It Feels Like ของ Gracie
Abrams มาเปิดฟังประกอบการออกกำลังกาย
ไทเลอร์อารมณ์ดีเป็นพิเศษวันนี้เพราะในที่สุดก็จะไม่ต้องอยู่แบบเหงา
ๆ เหมือนช่วงสองเดือนที่ผ่านมาอีกแล้ว
แถมยังได้เพื่อนบ้านที่ดูนิสัยดีมาก ๆ มาอีก
ขากลับจากการจ๊อกกิ้ง
ไทเลอร์ได้แวะซื้อของสดเพื่อเอามาทำกับข้าวเย็นด้วยเล็กน้อยจากร้านขายของชำเจ้าประจำที่เขามักจะแวะบ่อย
ๆ ตอนที่ได้ออกมาจ๊อกกิ้งแบบนี้
ทีแรกก็ว่าจะซื้อข้าวจากร้านที่ทำเสร็จพร้อมกินแล้วมาหรอกนะ แต่จู่ ๆ
วันนี้เขาก็อยากกินอะไรที่ทำเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น
คงเป็นเพราะอารมณ์ดีแน่ ๆ เลย
“หนูไท วันนี้จะทำอะไรกินเหรอ?”
นัยย่า
เจ้าของร้านขายของชำทักทายชายหนุ่มขณะเริ่มยิงบาร์โค้ดเป็นเสียงติ๊ด
ๆ เพื่อทำการคิดเงิน
“ผมว่าจะทำแคสเซอโรลแฮมกับทำหอมหัวใหญ่ทอดครับคุณนัยย่า
เย็นนี้คุณล่ะครับ จะกินอะไรเหรอครับ?”
ไทเลอร์ยิ้มแล้วตอบหญิงวัยกลางคนตรงหน้าที่มีศักดิ์ไม่ต่างอะไรไปจากแม่ของเขาเท่าใดนัก
นัยย่าเป็นอีกหนึ่งคนเลยที่ไทเลอร์พึ่งพาเมื่อครั้งเริ่มเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
จากการเป็นลูกค้าประจำมาตลอด
พอเริ่มรู้จักกันไทเลอร์ก็มาปรึกษาหญิงวัยกลางคนคนนี้หลาย ๆ
เรื่องเลย
และจนถึงทุกวันนี้ร้านของนัยย่าก็เป็นที่ที่ไทเลอร์เลือกจะเสมอเมื่อนึกถึงของชำ
“น่าจะพิซซ่าล่ะมั้งนะ ฮะ ๆ สามีฉันเขาบอกว่าจะซื้อกลับมาน่ะ
ร้านประจำร้านนั้นที่เธอก็ชอบนั่นแหละ”
นัยย่าเป็นคนแนะนำร้านพิซซ่าร้านประจำของไทเลอร์ให้กับเขาเมื่อหลายปีก่อน
เป็นร้านท้องถิ่นที่ราคาเป็นมิตรและมีรสชาติที่ดี
เพิ่มความน่าอุดหนุนให้ทวีคูณขึ้นไปกว่าร้านปกติมาก
และไทเลอร์เองก็ชอบสั่งพิซซ่าจากร้านร้านนี้ด้วยอยู่เป็นประจำเช่นกัน
“โห ว่าแล้วผมก็อยากสั่งมากินบ้างจังเลย
ไม่ได้กินมาซักพักแล้วเหมือนกันครับ”
“แต่ทำกินเองก็ดีแล้วนั่นแหละ
ทั้งหมดยี่สิบสองดอลลาร์สามสิบเจ็ดเซ็นต์จ้ะ”
ก็เป็นความจริงดั่งที่นัยย่าบอก ทำกับข้าวกินเองประหยัดกว่าเป็นไหน ๆ
ยิ่งในเมืองใหญ่แบบนี้อีก
ถ้าหากทำกับข้าวเป็นแล้วก็ทำกินเองจะดีที่สุด
ไทเลอร์ยื่นธนบัตรยี่สิบกับหนึ่งดอลลาร์จำนวนสามใบให้แก่หญิงวัยกลางคนตามคำพูดของเธอที่ตรงกับตัวเลขที่แสดงอยู่บนหน้าจอของเครื่องคิดเงิน
แล้วจึงค่อย ๆ หยิบของบนเคาน์เตอร์ลงใส่ถุงผ้าที่พกมาด้วยทีละชิ้น
“นี่เงินทอนจ้าหนูไท หกสิบสามเซ็นต์”
“เก็บไว้เลยก็ได้ครับไม่เป็นไร
ถือว่าช่วยสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นครับ”
สำหรับไทเลอร์แล้ว
อีกหนึ่งสิ่งที่เขาได้เรียนรู้อย่างมากเลยจากการอาศัยในนครแห่งนี้ก็คือการสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น
ไม่ว่าร้านจากนายทุนจะสะดวกหรือราคาถูกมากขนาดไหนก็ตาม
ผู้คนในนครแห่งนี้ก็มักจะสนับสนุนธุรกิจที่เป็นของคนท้องถิ่นก่อนเสมอเพื่อให้พวกเขาสามารถคงอยู่ได้ในที่ที่การแข่งขันสูงแบบนี้
รวมถึงเพื่อสร้างความผูกพันกับเหล่าผู้คนในย่านนั้น ๆ ด้วยไปในตัว
“แหม แค่หนูไทมาซื้อของร้านป้า ป้าก็ดีใจมากแล้วล่ะ”
และนั่นเลยเป็นที่มาของถุงผ้าที่ไทเลอร์เหวี่ยงไปมาตามจังหวะการเดินกลับบ้านที่เต็มไปด้วยความอารมณ์ดี
แต่ยิ่งใกล้ถึงบ้านท้องก็ยิ่งประท้วงอยากจะกินอาหารที่ทำเองไม่ไหวเข้าไปทุกที
เห็นทีไทเลอร์จะต้องรีบทำกับข้าวให้เร็วแล้วแบบนี้
พอเดินฮัมเพลงที่เปิดในหูฟังมาถึงหน้าบ้าน
ไทเลอร์ก็เห็นคนที่เพิ่งรู้จักเมื่อชั่วโมงก่อนนั่งยกน้ำเย็นชื่นใจจากขวดพลาสติกใสดื่มอยู่หน้าบ้าน
รถขนของเคลื่อนตัวออกไปได้ยังไม่ไกล
บ่งบอกได้ว่าการย้ายของเข้ามาอยู่ได้เสร็จสิ้นลงแล้วเป็นที่เรียบร้อย
ไทเลอร์จะไม่เหงาอีกต่อไปแล้วนับแต่วันนี้
“คุณไทเลอร์!”
เสียงทักทายดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วโบกมือให้กับเจ้าของชื่อที่เรียก
“ย้ายของเสร็จแล้วเหรอครับ?”
ไทเลอร์หยุดเดินที่ตรงทางลาดหน้าบ้านของตนแล้ว
แต่ระยะห่างระหว่างเขากับแมทธิวกลับยังลดลงเรื่อย ๆ
เพราะอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ไทเลอร์มากขึ้น
ใบหน้าที่แม้จะดูเหนื่อยจากการย้ายของแต่ก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างประดับอยู่ยังคงเรียกความคุ้นเคยที่ยังหาคำตอบไม่ได้
“อื้อ เสร็จแล้วครับ เป็นเพื่อนบ้านกันอย่างเป็นทางการแล้วนะครับ แหะ
ๆ”
รอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิมทำเอาไทเลอร์อดที่จะยิ้มน้อย ๆ
ตามออกมาไม่ได้
ใจก็คิดว่าดีจังเลยที่แมทธิวยังอยู่ในวัยเริ่มต้นของการเป็นผู้ใหญ่
เขาอยากมีแรงยิ้มกว้างได้แบบนี้บ้างจังเลยตอนที่กดเปิดโปรแกรมที่ไอคอนเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสองตัวพวกนั้น
เพราะนอกจากจะกินแรมของคอมพิวเตอร์แล้ว
มันยังกินแรงกายแรงใจด้วยอีกต่างหาก
แต่ช่างมันเถอะ อย่างน้อยพอกลับมามีเพื่อนบ้าน
ไทเลอร์ก็น่าจะยิ้มแย้มได้เองแหละ ยิ่งเพื่อนบ้านดู ๆ
แล้วเป็นคนร่าเริงมาก ๆ แบบนี้อีก
“ครับ ยินดีต้อนรับสู่นิวยอร์กอีกรอบนะครับ คุณแมทธิว”
[1] County (เคาน์ตี้)
ชื่อเรียกเขตการปกครองในสหรัฐอเมริกาที่เล็กกว่ารัฐ
เทียบเท่าได้กับอำเภอของไทย
[2] Borough (โบโรฮ์) ชื่อเรียกเขตการปกครองทั้งห้าของนครนิวยอร์ก
เทียบเท่าได้กับเขตในกรุงเทพมหานครของไทย
เนื่องจากนครนิวยอร์กมีการปกครองแบบพิเศษแตกต่างจากเมืองปกติ
[3] Midwest (มิดเวสต์)
ชื่อหนึ่งในสี่เขตสำมะโนประชากรของสหรัฐอเมริกา
ประกอบไปด้วยรัฐทั้งสิ้น 12 รัฐที่ตั้งอยู่ ณ
ตรงกลางทางทิศเหนือของประเทศ
[4] Upstate New York (อัปสเตทนิวยอร์ก) –
ชื่อเรียกพื้นที่ทางเหนือของรัฐนิวยอร์กที่อยู่ทางเหนือของเขตเมืองใหญ่ต่าง
ๆ ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ทางใต้ของรัฐ