My Next-door Neighbor by: kritzy_8 special thanks: Naiya, mfindyoursoul, and Somsiri

Chapter 3 - พี่ไทเลอร์ครับ

ที่แมทธิวเคยบอกไทเลอร์เอาไว้ก่อนขี่มอเตอร์ไซต์ออกไปตอนเช้าวันอังคารเป็นคำว่า ‘ไว้ค่อยคุยกันใหม่’ นั้น ดูเหมือนว่าครั้งหน้าที่จะได้คุยกันยาว ๆ จะไม่มาถึงซักทีในเร็ววันนี้ วันพุธไทเลอร์ต้องเข้าออฟฟิศ ก็เลยมีเพียงแค่การทักทายกันสั้น ๆ ก่อนออกจากบ้านเท่านั้น แถมตอนเย็นวันเดียวกันพอไทเลอร์กลับบ้านมา ตัวแมทธิวก็พึ่งจะได้ออกจากห้องประชุมที่บริษัทจากการประชุมวางแผนตารางงานการโปรโมตกับเหล่าผู้บริหารของค่ายเพลงเพื่อต่อยอดความกระแสของวง
วันพฤหัสเองก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก มีเพียงแค่เวลาก่อนออกไปทำงานเท่านั้นที่แมทธิวได้ทักทายคนผมสีดำขลับข้างบ้าน เพราะตอนเย็นรถมอเตอร์ไซต์เขาสตาร์ทไม่ติดอยู่พักใหญ่ แต่ในตอนที่กำลังจะถอดใจแล้วโทรเรียกช่างมันก็กลับสตาร์ทติดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทำให้กว่าจะมาถึงบ้านก็ช้ากว่าตอนที่ไทเลอร์ขังตัวเองเพื่อชาร์จแบตอยู่ในห้องแล้ว เวลาที่ไม่ตรงกันนี้ทำให้ทั้งสองคนไม่ได้มีโอกาสคุยทำความรู้จักกันเพิ่มเติมเลย แต่ถึงแบบนั้นแมทธิวก็รู้สึกได้นะว่าคนพี่ที่หน้าตานิ่ง ๆ คนนี้เป็นคนใจดี
 
แก่ก ๆๆๆ
“เวรเอ๊ย ทำไมมันไม่ติดอีกแล้วล่ะเนี่ย?”
รถมอเตอร์ไซต์สุดเท่ของแมทธิวส่งเสียงร้องซ้ำ ๆ วนอยู่แบบนี้มาสิบกว่านาทีแล้วยามที่เขาพยายามจะสตาร์ทมัน เป็นอาการแบบเดียวกับตอนที่เขาจะขี่มันกลับบ้านจากบริษัทช่วงเมื่อวานตอนเย็นเลย แต่รอบนั้นเขาก็สามารถสตาร์ทมันได้นี่นา วันนี้ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้อีก พยายามสตาร์ทมาจะสิบห้านาทีแล้วมันก็ยังไม่ติดซักที หรือว่ามันจะเสียแล้วจริง ๆ ส่วนเมื่อวานที่สตาร์ทติดก็คือเฮือกสุดท้ายของมันที่มาบอกลาเขา
แย่แล้วล่ะสิแบบนี้...
แมทธิวเดินกระสับกระส่ายวนไปมาอย่างคนไร้ทางออกว่าเขาจะไปทำงานอย่างไรดี สายของรถเมล์แถวนี้ก็ไม่รู้เสียด้วยสิ หรือเขาต้องเดินไปที่สถานีรถรถไฟฟ้าใกล้ ๆ จริง ๆ แต่กว่าจะออกจาก Staten Island ไปสู่แมนฮันตันได้ก็ต้องข้ามไปด้วยเรือเฟอร์รี่ที่ใช้เวลานานอีก เขาจะรอดจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ยวันนี้ หรือก็ควรจะโทรไปบอกเพื่อน ๆ ในวงว่าเขาลาดีหว่า
แต่แล้วในตอนที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีอยู่นั้นเองที่เสียงของรถยนต์คันหนึ่งได้ถูกสตาร์ทขึ้นแล้วเริ่มเคลื่อนตัวถอยหลังออกไปที่ถนน ถ้าจำไม่ผิดแล้ว นี่เสียงรถของเพื่อนบ้านของเขานี่นา หรือว่าจริง ๆ แล้วทางออกของแมทธิวก็คือ…
 
“สายชาร์จ ๆ อยู่นี่นี่เอง”
ไทเลอร์พึมพำกับตัวเองขณะกวาดสายตามองหาสายชาร์จแมคบุ๊คบนโต๊ะคอมภายในห้องทำงานของตนที่อยู่ติดกับห้องนอนอันแสนเป็นส่วนตัวบนชั้นสาม เมื่อคืนเขานั่งร่างเมลสำหรับใช้ตอบฝ่ายต่าง ๆ เอาไว้ล่วงหน้านิดหน่อยสำหรับงานในวันนี้ ที่เขากับแอชลี่ย์จะต้องได้ส่งไฟล์สำเร็จให้กับฝ่ายที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ แล้ว ทั้งฝ่ายโฆษณาที่จะเอาคลิปวิดีโอที่แอชลี่ย์ทำไปขึ้นบนป้ายจอภาพรอบโลก ฝ่ายจัดพิมพ์ที่จะติดโปสเตอร์ของเขาตามสาขาของ Existed และฝ่ายมาร์เก็ตติ้งที่จะเอางานของพวกเขาไปเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ ก็เลยเป็นเหตุให้ได้เอาสายชาร์จออกมาใช้งานจากภายในกระเป๋า
เมื่อได้ของที่ต้องการที่หล่นไปจากที่ประจำมีมันเคยอยู่จากความง่วงเมื่อคืน ไทเลอร์ก็เตรียมตัวออกไปทำงานอย่างเช่นที่ทำมาประจำ เขาถือเอาเสื้อตัวนอกไว้กับตัวก่อนจะตรวจเช็กรอบสุดท้ายว่าไม่ลืมอะไรแน่ ๆ แล้วจึงเดินออกไปที่ข้างบ้านที่เป็นที่จอดรถของเขาผ่านประตูตรงห้องครัว จากนั้นก็ถอยรถยนต์ออกมาที่ถนน แต่ก่อนจะขับออกไปเพื่อความสุนทรีย์ในเช้าวันศุกร์ ไทเลอร์ก็ขอเลือกเพลงเรียงคิวเอาไว้ฟังระหว่างทางเสียหน่อยก็แล้วกัน แต่จะฟังอัลบั้มไหนดีหว่า...
 
ก๊อก ๆๆ
 
“หืม?”
เสียงเคาะกระจกดังมาจากทางด้านซ้ายมือ เมื่อหันไปมองไทเลอร์ก็พบเข้ากับแมทธิวที่มีสีหน้าหนักใจอยู่ ฝ่ามือของอีกฝ่ายลดลงจากกระจกเมื่อเห็นเจ้าของรถหันมาสบตา
“อะไรเหรอแมทธิว?”
ไทเลอร์กดเลื่อนกระจกรถฝั่งคนขับลงเพื่อสอบถามเพื่อนบ้านของเขา ใช่อยู่ว่าพวกเขาทักทายกันในตอนเช้าของสองวันที่ผ่านมา แต่วันนี้ไทเลอร์ไม่เห็นรถมอเตอร์ไซต์ของอีกฝ่ายจอดอยู่ที่หน้าบ้านก็เลยคิดว่าแมทธิวออกไปทำงานก่อนแล้ว เขาเลยถอยรถออกมาเลยโดยไม่ได้อะไร ไม่คิดว่าจู่ ๆ คนที่เขาคิดว่าออกไปทำงานแล้วจะมาเคาะกระจกรถของเขาซะงั้น
“คือ... คุณไทเลอร์ครับ รถมอเตอร์ไซต์ผมเสีย สตาร์ทยังไงก็ไม่ติดเลย ผมขอรบกวนติดรถไปได้ไหมครับ ส่งผมลงที่สถานีรถไฟฟ้าซักสถานีก็ได้”
คำพูดเหล่านั้นมาพร้อมกับสายตาเว้าวอนเช่นเดียวกับยามที่เฟลิกซ์และไรเกอร์ขอขนมจากไทเลอร์ ซึ่งตัวเขาก็ไม่ได้ติดอะไรหรอกถ้าเพื่อนบ้านของเขาจะติดรถมาด้วย บริษัทของเขามันอยู่ก่อนถึงค่ายเพลงของแมทธิวพอดีนี่นา ทางเดียวกันไปด้วยกันก็ได้แหละ
“ได้สิ ขึ้นมาเลย กับจริง ๆ ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้นะ เรียกพี่ไทเลอร์น่าจะดีกว่า ฮ่ะ ๆ”
“เย้ ขอบคุณครับพี่ไทเลอร์ ผมขอไปหยิบกระเป๋าแปปนึงนะครับเดี๋ยวกลับมา อย่าพึ่งไปก่อนผมนะ”
รอยยิ้มจนตาหยีปรากฏขึ้นเมื่อคำอนุญาตจากเจ้าของรถส่งไปถึงคนที่ยืนโน้มตัวรอมันอยู่ริมถนน ประตูรถถูกปลดล็อกรอในระหว่างที่คนผมสีน้ำตาลวิ่งเข้าไปหยิบเอากระเป๋าเป้ของตนจากภายในบ้าน ซึ่งนั่นก็ทำให้ไทเลอร์อดที่จะอมยิ้มเล็ก ๆ ในความน่าเอ็นดูของแมทธิวไม่ได้
ถ้ามีแขกในรถแบบนี้ วันนี้ไทเลอร์เปิดเพลงที่ upbeat หน่อยก็แล้วกัน เขาคิดในใจขณะกดที่หน้าปกของอัลบั้ม Midnights จากนั้นเลือกเพลง Maroon ก่อนจะกดให้มันเล่นเพลงในอัลบั้มที่เหลือแบบสุ่ม
 
ไม่นานผู้ชายวัยหนุ่มอีกคนก็ออกมาจากบ้านพร้อมกับเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับเข้ามานั่งภายในรถ แต่ด้วยส่วนสูงของอีกฝ่ายมันก็ทำให้ระยะที่วางขามันแคบไปหน่อย ไทเลอร์เลยได้โน้มตัวไปกดปรับเบาะให้
“ปรับเบาะได้ตามที่นั่งสบายเลยนะ นายตัวสูงกว่าคนที่มานั่งรถพี่ไปนิด”
สรรพนามใหม่อีกคำถูกนำมาใช้ สร้างความรู้สึกจั๊กจี้หน่อย ๆ ภายในใจของไทเลอร์ ก็ตัวเขาเป็นลูกคนเดียว แถมคนที่รู้จักส่วนใหญ่ก็เป็นคนรุ่นเดียวกันหรือเป็นรุ่นพี่ของเขาทั้งนั้น พอได้แทนตัวเองว่าพี่แบบนี้ก็ทำเอาเขินพอสมควร ๆ นะเนี่ย
“ได้ครับ แต่ผมชอบนะ”
คำว่าชอบทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามบนใบหน้าของพนักงานออฟฟิศ ชอบ? ชอบอะไร?
“หืม?”
“ที่พี่ไทเลอร์ให้ผมเรียกพี่ได้แบบนี้ไงครับ กับที่พี่ไทเลอร์แทนตัวเองว่าพี่ด้วย เหมือนผมได้สนิทกับพี่ขึ้นอีกหน่อยนึงเลย แหะ ๆ”
ยิ่งได้มาเห็นมือกีตาร์คนนี้ใกล้ ๆ ก็ยิ่งเป็นการคอนเฟิร์มได้จริง ๆ ว่าแมทธิวเป็นคนที่ดูดี ผมสีน้ำตาลปรกหน้าผากที่เข้ากับตาที่มีเดียวกันได้เป็นอย่างดี น้ำเสียงอบอุ่นปนสดใสน่าฟังนี่อีก และถึงนิสัยจะร่าเริงไม่ต่างอะไรไปจากเจ้าก้อนขนที่บ้านของพ่อกับแม่ของไทเลอร์เท่าใดนักจนทำให้เขาทำตัวไม่ค่อยถูกไปบ้าง แต่ก็อดที่จะเอ็นดูคนคนนี้ไม่ได้อยู่ดี
“อ๋า... ก็อยู่บ้านข้าง ๆ กันก็สนิทกันไว้ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วก็คาดเข็มขัดด้วยล่ะ เดี๋ยวจะออกรถแล้วนะ”
“รับทราบครับ”
เห้อ... อายุน้อยกว่ามันดีจริง ๆ นั่นแหละนะ ไทเลอร์คิดในใจขณะอมยิ้มนิด ๆ พร้อมกับที่เริ่มเหยียบคันเร่งให้รถของเขาเคลื่อนตัวออกไปตามถนนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้
 
“อ๊ะ! พี่ จริง ๆ ส่งผมลงที่ท่าเรือของ Staten Island ก็ได้นะครับ ทำไมเราเลี้ยวกันมาทางนี้อะ?”
เมื่อรถเลี้ยวไปทางด้านซ้ายที่เป็นทางมุ่งหน้าไปสู่ทางขึ้นสะพานเวเรซาโน่ แมทธิวก็รีบท้วงคนขับรถทันทีว่าจริง ๆ แล้วไปส่งเขาที่ท่าเรือก็เพียงพอแล้ว ไหงทำไมถึงได้เลี้ยวมาทางนี้กัน?
“ค่ายเพลงนายอยู่ถนนเล็กซิงตันเหมือนกับบริษัทพี่ไม่ใช่เหรอ? หรือว่าวันนี้นายไม่ได้จะเข้าบอ?”
จากที่ไทเลอร์จำไม่ผิด แมทธิวเคยบอกว่าตึกที่เป็นที่ตั้งของบริษัทของทั้งเขาและแมทธิวอยู่บนถนนเส้นเดียวกันนี่นา ฉะนั้นก็ติดรถของเขาไปจนถึงตรงนั้นเลยแล้วค่อยต่อรถไฟฟ้าใต้ดินไปอีกหน่อยจะไม่ดีกว่าเหรอ? หรือว่าจริง ๆ แล้ววันนี้แมทธิวไม่ได้จะต้องเข้าบริษัทกัน?
“ก็ใช่อยู่ครับ ผมแค่เกรงใจอะ แล้วนี่คือ...”
“เดี๋ยวนายค่อยต่อรถไฟใต้ดินจากสถานีแถวบอพี่ไปต่อก็แล้วกัน”
แมทธิวแค่เกรงใจเฉย ๆ ว่าการติดรถของคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานแบบนี้มันจะโอเคจริง ๆ เหรอ? เขากลัวว่าจะกลายเป็นเหมือนไทเลอร์ขับรถไปส่งเขาเหมือนคนขับรถอะไรแบบนั้น แต่ถ้าหากคนพี่บอกเขาว่ามันไม่เป็นอะไรเขาก็จะถือว่ามันโอเคก็ได้
หรือจะเป็นไปได้ว่านี่คือโอกาสที่พระเจ้าส่งมอบมาให้เขาได้ทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านของเขาคนนี้กันนะ มันคงจริงที่ว่าจริง ๆ แล้วฟ้าน่าจะฟังเราอยู่ ที่แมทธิวบ่นว่าไม่ได้โอกาสทำความรู้จักกับไทเลอร์มาสองวันมันเลยเกิดมาเป็นเรื่องในตอนนี้
 
“ปกติพี่ไทเลอร์ขับรถมาทำงานตลอดเลยเหรอครับ?”
เพลงที่เล่นเปลี่ยนจาก Maroon มาสู่เพลง Dear Reader ในขณะที่รถกำลังเริ่มวนเข้าวงแหวนทางเข้าขึ้นสู่สะพานเวเรซาโน่ แมทธิวเห็นจำนวนรถบนสะพานแล้วเห็นว่าคงจะอีกพักใหญ่ ๆ จึงจะถึงแมนฮันตัน ก็เลยหาเรื่องมาคุยกับคนพี่ข้างตามที่อยากทำดีกว่า
“อื้อ พี่เคยพยายามนั่งเฟอร์รี่กับไปต่อรถไฟใต้ดินแล้วนะ รู้แต่ว่าสึกชอบแบบนี้มากกว่า”
เมื่อก่อนไทเลอร์เคยอยากจะลองใช้ขนส่งสาธารณะของนครนิวยอร์กบ้าง แต่พอได้ไปเจอกลิ่นอันไม่น่าอภิรมย์และคนแปลก ๆ บนรถไฟใต้ดินแล้วไทเลอร์ก็ขอเก็บตัวเลือกการเดินทางนี้เอาไว้เป็นตัวเลือกสำรองดีกว่า กับเรื่องเฟอร์รี่ข้ามจาก Staten Island ไปยังแมนฮัตตันเขาไม่มีปัญหาอะไรเลยนะ เป็นการเดินทางที่ได้บรรยากาศที่ดีเสียด้วยซ้ำ ยิ่งตอนมันแล่นผ่านเทพีเสรีภาพแล้วได้เห็นตึกมากมายของนครที่ใหญ่โตนี้ใกล้ขึ้นทีละนิดก็ยังคงทำให้ตื่นตาได้ตลอด
“ทำไมเหรอครับ? ผมว่ารถไฟฟ้าใต้ดินของที่นี่ก็ดูครอบคลุมดีหนิครับ”
“อืม... มันมีแต่คนแปลก ๆ น่ะพักหลังมา ถ้านายได้เจอนายจะเข้าใจเลยว่ามันน่ากลัวแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ 555”
ไทเลอร์พูดไปก็นึกถึงครั้งนึงที่เขาขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน ตอนนั้นจู่ ๆ ก็มีคนแปลก ๆ ลุกขึ้นยืนกลางขบวนแล้วตะโกนว่าพลั่ว ๆๆ จากนั้นก็เหวี่ยงใบหน้าของตนไปใกล้ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ทีละคน ตอนนั้นเขาแทบจะเดินหนีไปอีกขบวนซะไม่ทันเลย อีกวันนึงเขาก็เจอคนแปลก ๆ ที่เดินลากไมโครเวฟขึ้นรถไฟฟ้าไป คนทั้งสถานีพากันมองกันหมดเลย แต่คนคนนั้นก็ทำราวกับว่าตนเองกำลังจูงสุนัขอยู่อะไรแบบนั้น มันทำให้ไทเลอร์ขมวดคิ้วจนกลายเป็นปมและคิดได้ว่าเขาควรจะกลับไปขับรถเหมือนเดิมนั่นแหละดีแล้ว ถึงค่าน้ำมันจะแพงกว่าค่ารถไฟฟ้า แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอคนแปลก ๆ ล่ะวะ
พอนึกถึงแล้วก็อดจะทำหน้าเหวอ ๆ ออกมาไม่ได้ ไอ้คนลากไมโครเวฟมาเดินเล่นอะ ไทเลอร์ยังจำได้ไม่ลืมเลย
“ทำเอาผมอยากเห็นเลยอะ ผมเคยเห็นแต่คลิปที่เขาแชร์ ๆ กัน ถ้าได้เจอจริง ๆ น่าจะสนุกดีนะผมว่า”
ตาแป๋วสีน้ำตาลมองไปตามท้องถนนเบื้องหน้าที่มีรถหนาแน่นแต่ก็เคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ ได้อย่างไม่ติดขัด น้ำจากช่องแคบ The Narrow สีฟ้าครามสวยกำลังไหลลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกอันกว้างสุดลูกหูลูกตาที่มีสีเดียวกัน จนที่เส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปพวกมันเหมือนว่าจะเชื่อมต่อกันยังไงอย่างนั้น
“อย่าเลยแมท นายอย่าเลย”
ไหล่ของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยสั่นขึ้นลงตามการหัวเราะเบา ๆ กับความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนบ้านของเขาคนนี้ ขอร้องเถอะนะว่าอย่าให้แมทธิวไปเจออะไรแบบนี้เลย ไทเลอร์ภาวนาในใจ
 
“งั้นผมขอถามเรื่องงานของพี่ไทเลอร์ได้ไหมครับ?”
ตาของแมทธิวหันจากการมองน้ำเบื้องล่างสะพานกลับมาหาถนนเมื่อรถเคลื่อนลอดใต้เสาของสะพานแขวนที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอีกฝั่งไป เป็นเหมือนกับประตูที่เปิดต้อนรับคนจาก Staten Island สู่บรุกลินมากว่า 60 ปี
“หืม? ได้สิ”
ไทเลอร์พยักหน้าให้คนข้าง ๆ ก่อนจะบังคับรถให้ชิดถนนฝั่งซ้ายไว้เพื่อให้ยังคงอยู่ในถนนสายไอ-278
“ที่พี่ไทเลอร์บอกว่าทำงานในตำแหน่งกราฟิกดีไซน์นี่ พี่ทำอะไรบ้างเหรอครับ?”
คำถามที่เต็มไปด้วยความสนใจใฝ่รู้ทำเอาเหมือนไทเลอร์เปลี่ยนจากเพื่อนบ้านมาเป็นคนที่กำลังให้ข้อมูลกับเด็กจบใหม่ว่าอาชีพแต่ละอาชีพมีรายละเอียดอะไรบ้าง แต่หากจะเปรียบว่าแมทธิวเป็นเด็กจบใหม่จริง ๆ ก็ไม่ผิดเท่าใดนัก เพราะอายุของเจ้าตัวก็เท่ากับเด็กจบใหม่ที่จะเป็น first jobber ในปีนี้เลย
“ก็... มีทำพวกโปสเตอร์ ป้ายโฆษณา แล้วก็มีถ่ายรูปนายแบบนางแบบด้วยนะ อันนี้สนุกมากเลยเพราะได้ลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันดี ส่วนพวกงานกราฟิกกว่าจะได้เห็นจับต้องได้ก็ต้องรอปริ้นส์หรือได้ขึ้นจอบิลบอร์ดนู่นแหละ”
ไทเลอร์พูดอธิบายงานที่ตนทำคร่าว ๆ ให้กับคนผมสีน้ำตาลตัวสูงข้าง ๆ ฟังช้า ๆ ตามจังหวะเพลงที่กำลังเล่นอยู่ขณะมองป้ายโฆษณาข้างทางไปด้วย
ไทเลอร์ชอบอะไรเกี่ยวกับงานกราฟิกมาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาชอบมองป้ายหรืองานโฆษณาแล้วก็คิดว่าเบื้องหลังมันมีอะไรแฝงอยู่บ้างหรือเปล่า หรือว่าทำยังไงให้มันน่ามองซะแบบนั้นแบบที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้ จนพอได้ลองจับคอมพิวเตอร์และรู้จักกับโปรแกรมออกแบบกราฟิกชื่อดังที่เป็นตัวอักษรย่อสองตัวอักษรทั้งหลายก็เหมือนกับประตูของโลกกว้างได้เปิดออกต้อนรับเขาเข้าไป ก่อนจะรู้ตัวอีกทีเขาก็เรียนมหาวิทยาลัยจบในสาขานี้เสียแล้ว
“โห... พี่ไทเลอร์ถ่ายรูปด้วยเหรอครับ? ทำหลายอย่างไปแล้วไหมเนี่ย เก่งกว่าผมอีก”
สายตาที่ชื่นชมมาพร้อมกับคำพูดแบบเดียวกัน คำชมแบบนี้ไทเลอร์ไม่ค่อยได้รับใดนัก ยิ่งพออายุมากขึ้นที่คนก็ต่างคาดหวังให้งานที่ทำของเราออกมาดีเลิศเสมอ มีเพียงแค่แอชลี่ย์เท่านั้นที่ชมเขาสลับกับเขาชมเธอกันเองให้มีแรงทำงานต่อไปได้ แม้นาน ๆ ทีจะได้คำชมจากคนอื่น ๆ ในบริษัทด้วยก็ตาม แต่พอได้ยินคำชมชัด ๆ จากคนที่พึ่งรู้จักกันแบบนี้มันก็อดที่จะทำให้อมยิ้มไม่ได้
“ไม่น่าเท่านายที่เป็นทั้งมือกีตาร์ คนแต่งเพลง แล้วก็โปรดิวเซอร์นะ”
“เอ๊ะ?”
เหมือนกับว่าความลับที่ปิดเอาไว้ไม่มากเท่าไหร่ถูกเปิดเผยออก เพราะทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น แมทธิวก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที แบบนี้ก็แปลว่า ไทเลอร์ฟังเพลงกับค้นข้อมูลของเขามาใช่ไหมเนี่ย? แมทธิวคิดในหัวพร้อมกับความรู้สึกดีใจ
“พี่ไปฟังเพลงวงนายมาแล้ว เพราะดีนะ ว่าแต่อัลบั้มขายหมดแล้วเหรอ? พี่ว่าจะซื้อช่วยซักแผ่นนึงแต่ในเว็บมันบอกว่า out of stock”
ไทเลอร์พูดต่อเพื่อยืนยันความคิดของแมทธิว แถมที่บอกอีกว่าอยากจะซื้ออัลบั้มวงของเขา ในฐานะคนที่เพิ่งจะเริ่มต้นในเส้นทางนักดนตรีอาชีพแล้วมีคนมาพูดแบบนี้ด้วยแล้ว แถมเป็นคนที่อยู่บ้านข้าง ๆ อีกต่างหาก แมทธิวดีใจมาก ๆ เลยล่ะ
“พี่ไทเลอร์ไปฟังมาแล้วเหรอครับ? โอ๊ย ผมดีใจอะ กับใช่ครับ เห็นบริษัทบอกว่าสินค้าล็อตต่อไปกำลังผลิตอยู่ ถ้าของกลับมาเติมแล้วผมจะมาบอกนะ แหะ ๆ ขอบคุณพี่ไทเลอร์ล่วงหน้ามาก ๆ เลยนะครับ”
ใบหน้าที่อดกลั้นความดีใจเอาไว้ไม่ไหวนี้จนต้องยิ้มออกมากวางและขยับตัวไปมาก็เหมือนกับเจ้าก้อนสีขาวสองก้อนที่บ้านของไทเลอร์เลยอย่างไม่มีผิด หรือว่าจริง ๆ แล้วที่ไทเลอร์คิดมาตลอดมันจะถูกหว่า...
 
“แล้วปกติพี่ไทเลอร์ฟังเพลงแนวไหนบ้างเหรอครับ? หรือเน้นของเทย์เลอร์เป็นหลัก นั่งมาจนถึงนี่ผมได้ยินแต่เพลงของเธอทั้งนั้นเลย”
เวลาผ่านไปจนรถยนต์ของไทเลอร์เปลี่ยนมาวิ่งอยู่บนสะพานแมนฮัตตันและกำลังจะข้ามแม่น้ำอีสต์เพื่อเข้าสู่เกาะแมนฮันตันแล้ว แต่สิ่งนึงที่ยังเหมือนเดิมก็คือเพลงที่เล่นอยู่ภายในรถของไทเลอร์ที่ยังคงเป็นเพลงจากอัลบั้ม Midnights อยู่ดังเดิม แมทธิวเลยยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็นในการพูดคุยถามคนพี่ต่อ
“อืม... จริง ๆ ก็ฟังหลายแนวนะ แต่หลัง ๆ มาพี่เน้นฟังแต่ Taylor Swift, The National, Gracie Abrams, แล้วก็ Olivia Rodrigo ไม่รู้สิ พี่ว่ามันฟังเพลินดีเพลงแนว alternative แต่ก็มีป๊อปกับป๊อปร็อกแบบของโอลิเวียด้วย แต่สองแนวนี้พี่เอาไว้ฟังเวลาอยากได้เอเนอร์จี้”
นับตั้งแต่ช่วงโควิดที่ทำให้โลกได้รับสองอัลบั้มมาเยียวยาผู้คนในชื่อ folklore และ evermore จากศิลปินผู้ทรงอิทธิพลแห่งยุคอย่างเทย์เลอร์ แอลิสัน สวิฟต์ ไทเลอร์ก็ได้สัมผัสกับแนวเพลงแนวใหม่ที่เขาไม่ค่อยได้ใส่ใจมากเท่าไหร่อย่างแนว alternative แนวเพลงที่มีความลึกซึ้งของเนื้อหาอันชวนให้นึกภาพตามออกมาเป็นฉาก ๆ ท่วงทำนองที่แม้จะดูเหมือนเป็นการทดลองอะไรใหม่ ๆ แต่กลับออกมาสละสลวยชวนให้น้ำตาคลอ และที่สำคัญกับไทเลอร์ที่สุด นั่นคือความผ่อนคลายที่มันมอบให้เขาตอนได้ฟังมัน มันเหมือนเสื้อคาร์ดิแกนตัวหนาที่ห่อตัวของเขาไว้ในยามที่โลกดูเหมือนจะพังทลาย เพราะนอกจากโควิดแล้ว ไม่กี่ปีต่อมาหลังสองอัลบั้มที่มีหนึ่งในนั้นชนะรางวัลอัลบั้มแห่งปีจาก Grammys[1] ไป มันก็ได้เกิดเรื่องเรื่องนึงขึ้นด้วยที่เขาไม่ค่อยอยากจะนึกถึงเท่าใดนัก
พอนึกถึงเหตุการณ์นั้นแล้วไทเลอร์ก็เบี่ยงสายตาออกไปมองสะพานบรุกลินที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เขาเคยไปเดินข้ามมันกับใครบางคนมาด้วยนี่นาตอนไม่กี่เดือนก่อนที่โควิดเคสแรกในสหรัฐอเมริกาจะถูกนำเสนอในหน้าข่าวต่าง ๆ
“แนว alternative เหรอครับ? อืม... แต่ folklore ก็สมกับรางวัลอัลบั้มแห่งปีจริง ๆ นั่นแหละผมว่า อัลบั้ม Midnights ที่พี่กำลังเปิดอยู่ด้วย เพลงปังต่อด้วยเพลงปังแล้วก็ตามด้วยเพลงปังต่อ ๆ กันเลย ผมอยากทำเพลงให้ได้แบบนี้บ้างจังเลย”
แมทธิวพูดความเห็นของตนที่มีต่อสองอัลบั้มแห่งปีจากศิลปินคนเดียวกันออกมาด้วยตาที่เป็นประกาย โดยส่วนตัวเขาชื่นชมเทย์เลอร์ สวิฟต์ มากพอสมควรเลย การแต่งเพลงที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากมาย แถมเริ่มต้นมาจากจุดเล็ก ๆ ด้วยตัวของเธอเองอีก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครหลายคนในวงการดนตรีก็ต่างมีเธอเป็นแบบอย่าง และวันนึงเขาก็อยากจะมีเพลงที่เขาทำกับวงที่ดีจนสามารถชนะรางวัลจาก Grammys ได้ซักรางวัลบ้างเหมือนกัน
“แต่เพลงซิงเกิลของอัลบั้มแรกของวงนายที่นายแต่งก็ดีนะพี่ว่า”
ดวงตาที่กำลังเป็นประกายย้ายมามองคนที่มีผมสีดำหลังพวงมาลัย เมื่อกี้พี่ไทเลอร์บอกว่าเพลงของวงเขาดี เพลงที่เขาตั้งใจทำเพลงนั้น แมทธิวน้ำตาจะไหวแล้วนะ
“พี่พูดเอาใจผมไหมเนี่ย? ผมดีใจจนเนื้อเต้นแล้วนะ”
รอยยิ้มกว้างปรากฏเป็นรอบที่นับไม่ถ้วนแม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน แมทธิวเริ่มอยู่ไม่นิ่งแล้วมองไปมองมารอบ ๆ ราวกับอยากให้คนบนท้องถนนและที่เดินอยู่ริมทางเท้าได้รับรู้ว่าเขามีความสุขมากขนาดไหน
“ฮะ ๆ ไหน ๆ ก็ได้คุณคนแต่งเนื้อร้องและโปรดิวเซอร์มาอยู่ตรงนี้ ถามนายบ้างได้ไหมว่าได้แรงบันดาลใจมาจากไหนอะ?”
ไทเลอร์ถามแล้วเอนหลังพิงกับเอย่างสบาย ๆ เขาเป็นคนชอบฟังเบื้องหลังของการทำงานศิลปะต่าง ๆ อย่างที่บอกกับงานกราฟิก และงานเพลงเองก็ไม่ต่างกัน การได้อ่านคำบอกเล่าของเหล่านักดนตรีเกี่ยวกับที่มาของผลงานของตนเอง มันทำให้ราวกับเราได้รับรู้ผลงานชิ้นนั้นในแบบที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเก่า เข้าใจมากกว่าเดิม เชื่อมโยงและสื่อถึงกันได้อย่างแท้จริง
“อืม... พี่ไทเลอร์อย่าบอกใครนะครับโดยเฉพาะค่ายผม เดี๋ยวเขาว่าผมเอา”
“5555 ไม่บอกหรอก”
หางตาของไทเลอร์เหลือบไปเห็นแมทธิวทำท่าทางเหมือนว่ากลัวใครมาได้ยินแล้วเอานิ้วชี้ยกขึ้นมาจรดที่ริมฝีปากของตนด้วย มันทำให้เขาอดจะอมยิ้มในความน่าเอ็นดูของคนข้าง ๆ ไม่ได้จริง ๆ ไม่ว่ายังไงคนเราตอนอายุเท่านี้ก็มีพลังงานเหลือล้นนี่เนอะ ให้แมทธิวได้สนุกกับการเป็นตัวเองแบบนี้ไปนั่นแหละดีแล้ว
แต่ถ้าหากเป็นไทป์ซามอยด์แบบที่แอชลี่ย์เคยบอกเขามา แบบนั้นแม้จะโตขึ้นไปก็น่าจะยังร่าเริงแบบนี้อยู่ดีไหมหว่า?
ให้เวลาในอนาคตเป็นคำตอบก็แล้วกัน
“ก็... ตอนแรกผมนั่งฮัมทำนองเพลงนี้อยู่กับเพื่อนในวงที่ชื่อมาร์ค แล้วผมเลยลองทำคอร์ดกีตาร์ให้เข้ากับทำนองนั้นดู พอดิเอโก้กับณอนมาเห็นก็คิดว่ามันเป็นทำนองที่เจ๋งดี ก็เลยแต่งเนื้อกับผมต่อจนได้มาเป็นเพลงที่ชื่อ April นั่นแหละครับ”
แมทธิวเริ่มเล่าเบื้องหลังของเพลงที่ตอนนี้อยู่ที่อันดับที่แปดบนชาร์ต Billboard Hot 100 ให้ไทเลอร์ฟังด้วยไฟแห่งความชอบและแพชชั่นที่ลุกโชน เมื่อได้พูดในเรื่องที่ตนชอบมาก ๆ หรือสนใจมาก ๆ ไม่ว่าใครก็ต่างจะมีแววตาที่เหมือนมีไฟกำลังลุกโชนอยู่ภายในกันทั้งนั้น แต่เหมือนว่ากับแมทธิวแล้วจะลุกแรงเป็นพิเศษ
“หืม... แบบนั้นเองเหรอ?”
ไทเลอร์พยักหน้ารับรู้ เขาเริ่มอยากรู้แล้วสิว่าแมทธิวมีความสามารถด้านดนตรีโดยเฉพาะการทำเพลงขนาดนี้ได้ยังไงกันด้วยอายุเพียงเท่านี้ หรือว่าแมทธิวจะจบมาจากสถาบันดนตรีชั้นเยี่ยมกัน?
“ช่ายครับ ออกมาดีมากจนผมกับพี่โปรดิวเซอร์ของค่ายเองก็ตกใจเลยแหละ ดีใจนะครับที่ตอนนี้เพลงกับอัลบั้มกำลังไปได้ดีเลย”
รอยยิ้มกว้างที่ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างหยีลงปรากฏขึ้นอีกครั้งในตอนที่รถยนต์ของไทเลอร์เลี้ยวซ้ายออกจากถนนเอฟดีอาร์ ณ ทางออกที่ติดกับสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติพอดี อีกไม่นานก็จะถึงบริษัทของไทเลอร์แล้ว
“อื้อ เก่งมากเลยนะนายน่ะ รักษาคุณภาพแบบนี้ไว้ล่ะ รับรองอนาคตดังเป็นพลุแตกแน่”
 
คำชมจากพี่กราฟิกดีไซน์หน้านิ่งหน่อย ๆ ข้างบ้าน
รถยนต์ที่เล่นเพลงอัลบั้มเดิมจากต้นทางถึงปลายทาง
บทสนทนาที่คุยกันมากกว่าเรื่องดินฟ้าอากาศ
วันนี้แมทธิวมีความสุขกับการพูดคุยทำความรู้จักกับไทเลอร์จนลืมเรื่องรถมอเตอร์ไซต์ที่เสียไปแล้ว
 
ว่าแต่ตอนเย็นเขาจะกลับบ้านยังไงหว่าทีนี้...
 
 
[1] Grammys (แกรมมี่) – รางวัลที่มอบแก่ผู้มีผลงานโดดเด่นในอุตสาหกรรมเพลงในสาขาต่าง ๆ โดยสถาบันศิลปะวิทยาการการบันทึกเสียงแห่งสหรัฐอเมริกา (National Academy of Recording Arts and Sciences) โดยถือเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการเพลง