วันเสาร์อันสุดแสนน่านอนวนกลับมาอีกครั้งหลังจากทำงานมาสี่วัน
แต่แค่ทำงานแค่สี่วันไทเลอร์ก็ยังหลับเป็นตายไม่ต่างจากอาทิตย์อื่น ๆ
ที่เขาทำงานห้าวันเลย เมื่อคืนตอนแรกเขาว่าจะหาอะไรดูเสียหน่อย
แต่สุดท้ายก็หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
ช่วงสายของวันที่อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
ทีละน้อยปลุกคนขี้เซาให้ลุกขึ้นจากเตียงมาเปิดผ้าม่านกรอกแสงที่ริมหน้าต่างที่อยู่ติดกับเตียงดูบรรยากาศภายนอก
วันนี้ท้องฟ้าของนครนิวยอร์กก็สวยใสเหมือนเดิม
แต่ไม่รู้ทำไมอากาศกลับมาอุ่นเหมือนเดิมเสียอย่างนั้น
ช่วงต้นสัปดาห์ที่อากาศเย็นลงไทเลอร์นอนหลับสบายมากเลย
มาวันนี้เขารู้สึกว่าน่าจะได้แง้ม ๆ
หน้าต่างให้ลมพัดเข้ามาไม่ก็เปิดพัดลมหน่อยละ
มือควานหาโทรศัพท์ที่ชาร์จเอาไว้ก่อนนอนที่โต๊ะข้างเตียง
หน้าจอพอติดสว่างขึ้นมาก็มีแต่แจ้งเตือนของแอปพลิเคชันทั่วไป
ไม่มีอะไรเลยที่เป็นพิเศษ
แล้วพอหาวออกมาวอดใหญ่ไทเลอร์ก็ตัดสินใจที่จะไปซักผ้า
ตอนนี้มันก็สิบโมงกว่าแล้ว
ถ้าไม่รีบเคลียร์งานบ้านให้เสร็จเดี๋ยวตอนบ่ายทุกอย่างมันจะมากองกันจนปวดหัวเอา
หลังจากโยนเสื้อผ้าลงใส่ในเครื่องซักผ้าและกดปุ่มให้เครื่องมันเริ่มทำงานแล้ว
ไทเลอร์ก็มายืนหาวเปิดตู้เย็นดูว่ามีอะไรกินหรือเปล่า
แต่ภาพที่เห็นคือความว่างเปล่า โชคยังดีที่พอดูดี ๆ
ตรงประตูตู้ก็เห็นว่ามีนมจืดที่จะหมดอายุในอีกไม่กี่วันอยู่พอดี
เลยได้พอเอามาผสมกับผงโกโก้จนได้เครื่องดื่มอุ่น ๆ
มาจิบรอระหว่างให้ผ้าซักเสร็จ
งานบ้านแม้จะเป็นงานบ้าน แต่ก็ยังมีคำว่างานที่ชวนให้เหนื่อยอยู่ดี
กว่าจะพับเก็บเสื้อผ้าที่อบแห้งเสร็จ กว่าจะกวาดบ้านและถูพื้นเสร็จ
และกว่าจะทำความสะอาดครัวให้เรียบร้อย ไทเลอร์ก็หมดแรงแล้ว
ยิ่งพอออกมาจ๊อกกิ้งที่สวนสาธารณะแถวบ้านแบบนี้เขาก็ยิ่งไม่มีแรงเหลือ
วันนี้เลยตัดสินใจว่าจะสั่งพิซซ่าร้านประจำมากินแทนการทำอาหาร
เพราะไทเลอร์ขี้เกียจกว่าจะทำอะไรอีกแล้ววันนี้
แต่ถึงแม้จะสั่งพิซซ่ามากิน
ไทเลอร์ก็ยังคงแวะร้านของนัยย่าเพื่อซื้อของสดมาติดตู้เย็นไว้อยู่ดี
เขามันเป็นคนชอบทำอาหารกินเองนี่นา
มีอะไรที่สามารถเอาไว้ทำกินได้เองมันย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
ยิ่งเผื่ออยู่ ๆ
ก่อนนอนเลื่อนไปเจอคลิปทำอาหารที่ชวนให้หิวจะได้ไม่ต้องทนนอนท้องร้องตลอดคืน
ฉะนั้นหลังจากโทรสั่งพิซซ่าแล้วเรียบร้อย
ไทเลอร์ก็เลยเดินเข้าไปทักทายหญิงวัยกลางคนที่สนิทด้วยและอุดหนุนร้านค้าเธอในแบบที่ทำทุกอาทิตย์
ครืด… ครืด…
โทรศัพท์ของคนผมสีดำเปียกน้ำสั่นเป็นจังหวะเมื่อมีสายโทรเข้ามา
เขาที่พึ่งจะอาบน้ำเสร็จเลยรีบหยิบชุดนอนที่เตรียมไว้มาสวมอย่างลวก ๆ
เพราะหน้าจอมันแสดงชื่อคนโทรมาว่าเป็นคนส่งพิซซ่าของร้านที่เขาพึ่งสั่งไปเมื่อเกือบยี่สิบนาทีก่อน
/พนักงานส่งพิซซ่าจาก Denino’s ครับ ใช่คุณไทเลอร์หรือเปล่าครับ?/
เสียงพูดถามดังขึ้นพร้อมกับเสียงของรถมอเตอร์ไซต์ที่แทรกเข้ามาด้วย
“ใช่ครับ มาถึงแล้วเหรอครับ?”
ไทเลอร์กดเปิดลำโพงขณะที่สวมเสื้อยืดแขนสั้นนุ่ม ๆ ที่เขามักใส่นอน
/ครับผม/
“เดี๋ยวลงไปนะครับ ครู่เดียว”
ไทเลอร์กดวางสายแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวจากบนเตียงมาพาดคอของตนไว้
กะว่าพอรับพิซซ่าและจ่ายเงินเสร็จจะกลับมาเช็ดผมให้แห้งต่อ
ประตูหน้าบ้านถูกเปิดให้อ้าออกโดยเจ้าของบ้าน
พนักงานส่งพิซซ่าเมื่อเห็นแบบนั้นก็ก้าวขาลงจากรถมอเตอร์ไซต์ที่มีลวดลายประดับตามกระเป๋าด้านหลังเป็นโลโก้ของร้านลงเดินมาหาไทเลอร์
พร้อมกับพิซซ่ากล่องใหญ่ในมือที่กำลังส่งกลิ่นหอมน่าอร่อยไปทั่วกับไก่ทอดที่ไทเลอร์สั่งมากินเล่นคู่ไปด้วย
“ทั้งหมดสี่สิบห้าดอลลาร์กับยี่สิบสองเซ็นต์ครับ”
พนักงานมองไทเลอร์อย่างคุ้นเคยเพราะปกติแล้วบ้านหลังนี้ก็มักจะสั่งพิซซ่าจากร้านที่เขาทำงานอยู่เดือนละสามถึงสี่ครั้งมาตลอดหลายปี
“นี่ครับห้าสิบสองดอลลาร์ ที่เหลือคือทิปนะครับ”
พิซซ่ากับไก่ทอดรวมอยู่ที่สามสิบสามดอลลาร์
ค่าจัดส่งอีกเก้าดอลลาร์กว่า ๆ ภาษีอีกราวสามดอลลาร์
ทิปที่เหมาะสมตามมารยาทก็จะแถว ๆ
หกดอลลาร์แบบที่ไทเลอร์จ่ายไปนี่แหละ
“ขอบคุณที่อุดหนุนครับ”
ไทเลอร์รับเอาพิซซ่าและไก่ทอดมากอดเอาไว้ในมือพร้อมกับพยักหน้าแทนการโบกมือให้กับพนักงานส่งพิซซ่า
แต่ในตอนที่กำลังจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านนั่นเองที่เขาเห็นใครบางคนกำลังขี่มอเตอร์ไซต์เลี้ยวเข้ามาที่ทางลาดห่างออกไปไม่ไกล
แมทธิวนั่นเอง
ดูเหมือนว่าเพื่อนบ้านของเขาจะได้มอเตอร์ไซต์ที่ซ่อมเสร็จแล้วคืนมาแล้วนะนั่น
หมวกกันน็อกสีดำถูกถอดออกและวางลงในขณะที่เจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลจะสะบัดศีรษะหน่อย
ๆ ให้ทรงผมกลับเข้าที่
แล้วพอได้ส่ายหัวไปมาเจ้าของมอเตอร์ไซต์สุดเท่ก็มองเห็นไทเลอร์เข้า
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นทันทีพร้อม ๆ
กับการเดินเข้าไปหาเพื่อนบ้านของเขา
“พี่ไทเลอร์ครับ เอ่อ...”
สายตาของแมทธิวมองต่ำลงจากใบหน้าของคนพี่ไปเห็นชุดที่ไทเลอร์กำลังใส่อยู่
และมันแอบออกจะเปิดเผยไปหน่อยนึงสำหรับเขา เสื้อยืดสีขาวกับ boxer
brief สีดำเหรอ? เป็นครั้งแรกเลยที่แมทธิวได้เห็นไทเลอร์ในชุดแบบนี้
มันดู...
น่ามองแปลก ๆ
“อะไรเหรอแมท นายพึ่งกลับมาจากข้างนอกเหรอ?”
ไทเลอร์เลือกยิ้มทักทายคนผมสีน้ำตาลตัวสูงแทนการโบกมือเพราะกำลังอุ้มกล่องใส่พิซซ่ากับใส่ไก่ทอดอยู่
ถ้ามันหล่นเดี๋ยวจะอดกินกับเสียดายเอา
“เอ่อ... คือ... ครับ
ผมพึ่งไปเอารถมอเตอร์ไซต์ของผมกลับมาจากร้านซ่อมรถ
พี่ไทเลอร์สั่งพิซซ่าเหรอครับ ร้านไหนอะ?”
คนที่เด็กกว่าเบี่ยงสายตาขึ้นมาจากการมองส่วนที่ไม่ควรมองเท่าไหร่ของคนพี่แล้วกลับมาสบตากับไทเลอร์ดังเดิม
กลิ่นหอมของพิซซ่าน่ากินได้กลายมาเป็นคำถามถามออกไป
จะว่าไปเย็นนี้แมทธิวก็ยังไม่รู้เลยว่าจะกินอะไรดี
“Denino’s น่ะ อร่อยมากเลยนะร้านนี้ เผื่อนายสนใจ
สั่งผ่านออนไลน์ได้ด้วยอีก”
ไทเลอร์ตอบโดยไม่หวงว่าร้านนี้จะดังไปมากกว่าเก่าหรือไม่
เพราะของอร่อยแบบนี้ถ้าไม่บอกต่อก็น่าเสียดาย
กับถ้าหากแมทธิวได้ลองอุดหนุนดูก็น่าจะติดใจในรสชาติของมันในแบบที่เขาติดใจ
แต่แล้วไทเลอร์ก็คิดอะไรบางอย่างได้
“ไม่เคยได้ยินเลยครับ แต่เดี๋ยวผมจดไว้ละกัน”
“แล้ว... ชิมไหมล่ะ พี่ขายต่อนายชิ้นละหกดอล ฮะ ๆๆ”
เขาชวนน้องมันมานั่งกินด้วยกันดีกว่า แต่จะให้ชวนเฉย ๆ
ก็ดูจะตรงไปตรงมาเกินไป
ขอแกล้งเพื่อนบ้านที่เด็กกว่าคนนี้ให้มีความสุขในวันที่เหนื่อยกับการทำงานบ้านหน่อยก็แล้วกัน
“เหวอ! พี่ไทเลอร์ทำกับผมแบบนี้ได้ยังไงกันอ่า หน้าเลือดไปไหมครับ?
ขายต่อผมซะแพงเลย...”
ใบหน้าของแมทธิวเหวอออกมาทันทีพอได้ยินราคาที่ไทเลอร์จะขายต่อพิซซ่าให้กับเขา
เจ้าตัวเลยโวยวายออกไปทันทีพร้อมกับทำตาแป๋วใส่
เผื่อว่าไทเลอร์จะลดราคาให้เขาหรือให้ลองชิมฟรี ๆ แทน ซึ่งจริง ๆ
แล้วไม่ต้องทำแบบนั้นไทเลอร์ก็ไม่คิดจะเก็บตังจากแมทธิวอยู่แล้วตั้งแต่แรก
“555 พี่แกล้งนายเล่นเฉย ๆ มานั่งกินด้วยกันไหม?
พี่กินคนเดียวไม่หมดอยู่แล้ว”
กล่องใส่ไก่ทอดที่วางซ้อนอยู่บนกล่องพิซซ่าเลื่อนไปมาเล็กน้อยตามจังหวะการหัวเราะขอไทเลอร์ที่อารมณ์ดีจากการได้แกล้งคนอื่น
รอยยิ้มกว้างของคนผมสีดำอันหาไม่ได้ง่ายเท่าใดนักปรากฏขึ้นแก่แมทธิวเป็นครั้งแรก
ซึ่งเขาพอได้ยินแบบนั้นก็แสดงอาการดีใจออกมาทันที
ปกติแล้วพิซซ่ากับไก่ทอดแบบนี้ไทเลอร์จะกินไปได้แค่เกินครึ่งหน่อย ๆ
ที่เหลือก็จะเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้กินในวันถัดไป
แต่พิซซ่ากับไก่ทอดยังไงมันก็ต้องกันตอนเพิ่งทำเสร็จเท่านั้นถึงจะอร่อย
แม้จะเอาไปอบหรือเข้าไมโครเวฟก็ไม่อร่อยสู้เท่ากับตอนออกจากเตาหรอกนะ
ฉะนั้นถ้าไทเลอร์ได้แมทธิวมากินด้วยกันก็น่าจะหมดพอดี
จากการกะขนาดตัวของอีกฝ่ายแล้ว
“เอ๊ะ ได้เหรอครับ?”
ภาพซ้อนที่เหมือนมีหูกำลังตั้งอยู่ของแมทธิวยิ่งทำให้ไทเลอร์ยิ่งอยากจะเอ็นดูกับแกล้งน้องมันมากกว่านี้อีก
มันเหมือนกับเขาได้กลับบ้านไปหาไรเกอร์กับเฟลิกซ์จริง ๆ
นะภาพอะไรแบบนี้
“ได้สิ เชิญเลย”
ไทเลอร์ยืนยันในคำพูดของตนพร้อมกับพยักพเยิดไปทางประตูบ้านให้แมทธิวเดินตามเข้ามา
“พอดีเลยครับ ผมซื้อเบียร์มาพอดี พี่ไทเลอร์ดื่มไหมอะ?”
แมทธิวชูถุงพลาสติกที่ใส่กระป๋องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีอยู่สี่กระป๋องขึ้นบนอากาศที่ว่างเปล่าตรงหน้า
ไหน ๆ ก็จะได้กินฟรีแล้ว เขาก็เอาเบียร์ไปแลกก็แล้วกัน
จะได้ดูไม่น่าเกลียดจนเกินไป
“กิน ๆ เข้ามาเลยพี่หิวแล้ว วันนี้พี่กินแค่โกโก้ตอนเที่ยงเอง”
ไทเลอร์เดินนำคนตัวสูงกว่าเข้ามาในบ้านของตน
แมทธิวที่เห็นแบบนั้นก็ค่อย ๆ เดิมตามเข้ามาอย่างคะ ๆ เขิน ๆ
เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เข้ามาภายในบ้านของเพื่อนบ้านของเขา
คำเดียวที่หากให้แมทธิวอธิบายบรรยากาศภายในบ้านของไทเลอร์ก็คือคำว่า
cozy ทุกมุมภายในบ้านเต็มไปด้วยความน่าอยู่อันแสนอบอุ่น ดนตรีเบา ๆ
ที่เปิดคลอเอาไว้กับพื้นไม้สีอุ่น ๆ มันช่างเข้ากันยิ่งกว่าอะไร
แบบนี้มันทำให้บ้านของแมทธิวดูเรียบไปเลย
ไทเลอร์เดินนำแขกของเขาขึ้นบันไดมาที่ห้องนั่งเล่นบนชั้นสองของบ้าน
อันที่จริงแล้วปกติไทเลอร์จะใช้ห้องรับแขกที่ชั้นหนึ่งเป็นสถานที่สำหรับต้อนรับแขก
แต่เขาว่าถ้าเป็นแมทธิวแล้วให้ขึ้นมาที่ห้องนั่งเล่นที่เป็นส่วนตัวกว่าบนชั้นสองดีกว่า
“นั่งตามสบายเลยนะ พี่ขอไปเอาจานก่อนแปปนึง”
กล่องใส่พิซซ่าและไก่ทอดถูกวางลงบนโต๊ะกาแฟเตี้ย ๆ พร้อม ๆ
กับแมทธิวที่ค่อย ๆ หย่อนก้นลงกับโซฟาสีน้ำเงินเข้ม
จอโทรทัศน์กำลังแสดงภาพของแท่นโพเดียมที่มีสีไม่ต่างไปจากเบาะของโซฟาในบ้านของไทเลอร์อยู่
ตรานกอินทรีที่คาบงูเอาไว้พร้อมกับถือใบมะกอกกับลูกธนู
[1]แสดงให้ผู้ชมเห็นถึงอำนาจของเจ้าของตราดังกล่าวที่กำลังกล่าวข้อความหาเสียงแก่ประชาชนสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า
และแมทธิวก็แอบเชียร์ให้เธอชนะการเลือกตั้งอยู่เหมือนกัน
“อันนี้จานของนายนะ แกะกินได้เลย หิว ๆๆ”
ไทเลอร์วางจานเปล่าลงตรงหน้าแมทธิวพร้อมแสดงท่าทางว่าหิวพร้อมกินของที่ส่งกลิ่นชวนน้ำลายไหลอยู่เต็มทีแล้ว
ก่อนที่ตาจะเหลือบไปเห็นคนในจอโทรทัศน์ที่กำลังพูดอยู่
“ขอบคุณครับ”
“พี่รู้ว่าไม่ควรถามเท่าไหร่เรื่องนี้ แต่...
นายคิดยังไงกับกมลาเหรอ?”
คำถามนี้ทำให้แมทธิวขมวดคิ้ว จู่ ๆ
ทำไมเพื่อนบ้านของเขาถึงถามเรื่องการเมืองกัน แถมยังถามเจาะจงที่กมลา
แฮร์ริส (Kamala Harris) ที่อยู่ในทีวีอีก
อย่าบอกเถอะว่าพี่ไทเลอร์เป็น...
“ผมชอบนะ แค่เธอเป็นกมลาผมก็ชอบแล้ว เพราะอีกฝ่ายน่ะคือ... เอ่อ...
ผมพูดได้ไหมอะ?”
แมทธิวตอบกลับอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
ว่าสามารถพูดชื่อคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้จากอีกพรรคการเมืองออกมาต่อหน้าไทเลอร์ได้หรือเปล่า
เพราะหากว่าไทเลอร์มีมุมมองไม่ตรงกับเขาแล้วล่ะก็
มีหวังเขาโดนไล่กลับบ้านแน่
“มันทุเรศถูกปะ 555
พี่คิดไว้แล้วว่าอย่างนายต้องไม่ชอบไอ้หมอนั่นเหมือนพี่
พี่อยากจะบ้าตายตอนได้ยินคำพูดแต่ละคำของมัน... กินพิซซ่าดีกว่ามา ๆ”
เหมือนภายในอกของแมทธิวได้เบาขึ้นจากการที่ภูเขาที่มันอยู่ข้างในได้ถูกยกออกไป
เขารอดแล้วจากการโดนเตะออกจากบ้านของไทเลอร์ แต่เอ๊ะ
งั้นแบบนี้เพื่อนบ้านของเขาก็เชียร์กมลาเหมือนกันเหรอ?
“ช- ใช่ครับ แหะ ๆ เอ่อ...
พี่ไทเลอร์ก็เชียร์กมลาเหมือนกันเหรอครับ?”
“แหงสิ ใครให้อีกคนมันกลับมากัน
คดีติดตัวมากมายขนาดนั้นยังมีหน้าลงสมัครเลือกตั้งอีก”
ไทเลอร์ตอบเสร็จก็กัดพิซซ่าเข้าปากไปคำใหญ่
รสชาติที่คุ้นเคยกระจายไปทั้งช่องปาก อร่อยไม่เคยเปลี่ยนจริง ๆ
ร้านนี้
เพราะแบบนี้ไงไทเลอร์ถึงไม่อยากจะนอกใจไปสั่งพิซซ่าจากร้านอื่นเลย
ส่วนแมทธิวนั้น เขาสบายใจไปได้เยอะเลยที่ไทเลอร์ไม่ใช่พวก MAGA
[2]
เพราะถ้าหากเป็นแบบนั้นนะ เขาคงจะเสียใจแย่เลย
“โห! อร่อยจริงด้วยอะพี่”
ดวงตาสีน้ำตาลของแมทธิวลุกวาวขึ้นเมื่อปากได้ลิ้มรสชาติของพิซซ่าในมือ
และร้านนี้ก็ได้ถูกบันทึกชื่อเอาไว้ในสมองแล้วด้วยว่าจะเป็นร้านที่เขาสั่งมากินบ้าง
“กินเยอะ ๆ เลยนะ ปกติพี่กินแค่ครึ่งเดียวก็อิ่มแล้ว
ก็เลยชวนนายมานั่งกินช่วยนี่แหละ”
ไทเลอร์พูดพร้อมยกกระป๋องเบียร์ที่ได้รับมาจากเพื่อนบ้านของเขาดื่มไปหนึ่งอึก
เสียงถอนหายใจยาวดังตามมาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ เหนื่อย ๆ
มันก็ต้องแบบนี้แหละนะ
“วันก่อนก็ให้ผมติดรถไปด้วย วันนี้ยังเลี้ยงพิซซ่าผมอีก
ผมเกรงใจอะพี่”
เป็นเพราะไทเลอร์
แมทธิวจึงสามารถไปทำงานในวันศุกร์ได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
แถมวันนั้นยังมีประชุมต่อเรื่องการโปรโมตเพลงซิงเกิลที่กำลังดังไปทั่วอย่าง
April อีก ถ้าขาดประชุมไปมีหวังแมทธิวโดนบ่นเอาแน่ ๆ
“เกรงใจทำไม พี่เต็มใจ อะนี่ไก่ทอดก็กินได้นะ”
ไทเลอร์ยิ้มเล็ก ๆ ด้วยความเอ็นดู
ก่อนจะหยิบไก่ทอดออกจากกล่องกระดาษไปวางลงใส่ในจานของแมทธิว
“เอ้อ พี่สงสัยอย่างนึงว่าจะถามนาย”
เมื่อพิซซ่าเริ่มพร่องลงไปเกือบจะครึ่งถาด
ไทเลอร์ก็นึกขึ้นมาได้ถึงคำถามคำถามนึงที่เขามีตอนวันก่อนระหว่างทางที่ขับรถไปที่บริษัทพร้อมกับแมทธิว
“ครับ?”
ชีสที่ยืดจากปากคนที่เด็กกว่ากับคราบซอสที่เปื้อนติดแก้มมันยิ่งทำให้ไทเลอร์เห็นได้ชัดถึงอายุที่น้อยกว่าของแมทธิว
มันน่าเอ็นดูมากจริง ๆ ภาพตรงหน้าของเขา
แต่ก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีถึงเรื่องเรื่องนี้ที่เขาอยากจะถาม
“นายเรียนจบด้านการแต่งเพลงมาหรือเปล่า?
จากที่ฟังนายเล่าที่มาของเพลง April
แล้วมันดูเหมือนว่านายจะเก่งมากเลย”
ทั้งแต่งเพลงได้ เล่นกีตาร์เป็น โปรดิวซ์เพลงเป็นอีก
แมทธิวในอายุแค่ยี่สิบสองปีเป็นคำที่มีความสามารถมากจริง ๆ
แถมนี่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นของเขาอีก ในอนาคตเราคงจะได้เห็นผลงานดี
ๆ จากชายหนุ่มคนนี้อีกเยอะเลย
“หืม? เปล่าเลยครับ จริง ๆ ผมเรียนจบแค่มัธยมปลายเอง”
แมทธิวไม่ได้เรียนในสถาบันหรือมหาวิทยาลัยอะไรเลย
ทั้งหมดมาจากประสบการณ์การทำงานในวงการเพลงมาตั้งแต่ชั้นมัธยมปลายทั้งนั้น
“เอ๊ะ จริงไหมเนี่ย? อำพี่หรือเปล่าหืม?”
“ไม่ได้อำครับ ฮะ ๆ คือผมเล่นดนตรีมาตั้งแต่ยังเรียนมัธยมแล้ว
แล้วพอจบมัธยมผมก็ทำงานเป็นมือกีตาร์ซัพพอร์ตให้กับคนนั้นวงนี้ไปทั่ว
ไม่ได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยเหมือนเพื่อนคนอื่น ว่าง ๆ
จากการเล่นซัพพอร์ตก็มีแต่งเพลงเล่นบ้างอะไรบ้างคู่ไปกับทำงานพาร์ทไทม์
จนมีวันนึงผมไปเล่นซัพพอร์ตให้กับวงวงนึงที่ตอนนี้ดังไปแล้ว
มีแมวมองจากค่ายปัจจุบันของผมมาทาบทามผมให้เข้าร่วมโปรเจ็กต์ The
Seasons ก็เลยมาเป็นที่มาของผมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้นี่แหละครับ อ๊ะ!
ขอบคุณครับ”
กระดาษเช็ดปากถูกยื่นส่งให้คนที่เด็กกว่าพร้อมกับนิ้วชี้ที่ชี้ที่ริมฝีปากของตน
เป็นการบอกแมทธิวว่าปากของเขาเปื้อนอยู่
ไทเลอร์นั่งตัวตรงฟังคนอายุน้อยกว่าตรงหน้าเล่าเส้นทางในวงการดนตรีของตนให้เขาฟังอย่างตั้งใจ
แล้วพอได้รู้ว่าแมทธิวเรียนจบแค่มัธยมศึกษาก็ยิ่งทึ่งเข้าไปอีก
แต่ก็คงจริงอย่างที่เขาว่ากันนั่นแหละว่าการได้ลองลงมือทำจริง ๆ
บางทีมันก็ช่วยสอนและมอบประสบการณ์ที่แม้แต่สถาบันระดับโลกก็มอบให้ไม่ได้
“หืม...
แต่ก็หมายความว่านายเก่งใช่ไหมล่ะถึงมีแมวมองจากค่ายเพลงมาชวนเลย”
ไทเลอร์พูดจบก็ยกเบียร์ขึ้นมาดื่มอีกอึกนึก
ก่อนจะตามด้วยพิซซ่าอีกสไลด์นึงที่ค่อย ๆ ถูกกัดกินไปเรื่อย ๆ
“ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่
ผมยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้และพิสูจน์ตัวเองให้โลกเห็นอีกเยอะ
แค่เพลงแรกของวงผมมันฟลุ๊กดังเฉย ๆ”
ในยุคที่สังคมคาดหวังแต่ความสำเร็จและการพัฒนาจากคนเราโดยไม่ได้สนใจเลยว่าแท้จริงแล้วภายในใจเรามันกดดันขนาดไหน
จริง ๆ มันก็น่าเศร้านะที่สังคมเราดำเนินมาจนถึงจุดนี้ได้
สำหรับไทเลอร์
ขอเพียงแค่วันที่ธรรมดาอันไม่มีเรื่องอะไรต้องมาให้เขาปวดหัวจนต้องสบถออกมามันก็พอแล้ว
แต่ก็ไม่ใช่ว่าในชีวิตการทำงานของเขาจะหยุดนิ่งอยู่ที่จุดเดิมหรอกนะ
เขาก็พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ไปด้วยเหมือนกัน
เพียงแค่ไม่พยายามเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นแค่นั้นเอง
คนเราเกิดมาด้วยความสามารถที่ถนัดแตกต่างกันออกไป
แล้วเราก็ร่วมกันสรรค์สร้างเรื่องราวเจ๋ง ๆ
ตลอดประวัติศาสตร์ของเราจากผู้คนที่เก่งในคนละแบบ
เขาไม่ชอบเลยกับการที่คนเราจะต้องคอยพิสูจน์ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้คนยอมรับตัวตนของเราซักที
ทั้งที่มันควรจะเป็นเรื่องง่าย ๆ
ที่คนเราจะเคารพในการกระทำขอคนรอบข้างเป็นปกติ
กลับกลายเป็นว่ายิ่งยุคสมัยเดินหน้าไปข้างหน้า
เรากลับเหมือนก้าวถอยหลังเสียแบบนั้น
ยิ่งคนบางคนที่เคยอยู่ในชีวิตของเขาได้มีส่วนทำให้เขาต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบากและสงสัยในความสามารถของตนเองอีก
แต่กับแมทธิวแล้ว สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่มอบความสนุกให้กับเขา
การได้ลองทำอะไรที่ท้าทายความสามารถของตนเอง
ทำลายคำพูดที่บอกว่าเขาไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้หรอก
พิสูจน์ตัวเองว่าไม่ว่าอะไรถ้าหากตั้งใจทำกับมันด้วยใจแล้ว
มันก็ย่อมเป็นไปได้ทั้งสิ้น
คงอาจจะเพราะยังอายุน้อยและเต็มไปด้วยพลังงานอันเหลือล้น
ที่ยังไม่นับกับนิสัยของเจ้าตัวอีกที่ต่อให้มีงานให้ขึ้นไปแสดงสดตลอดทั้งวัน
แมทธิวก็คงจะยังกระโดดโลดเต้นไปมาบนเวทีเพื่อให้ผู้ชมยิ้มตลอดทุกรอบแน่
ๆ
ถึงแบบนั้นก็ตาม ไทเลอร์ก็มีความสุขดีกับชีวิตในตอนนี้นะ
เรื่องในตอนนั้นมันก็ผ่านมาสองปีกว่า ๆ แล้ว
อาจจะมีบ้างที่ทำให้รู้สึกหัวเสียยามที่ไปนึกถึงมัน
แต่ทุกวันนี้เขาเป็นคนใหม่แล้ว และเขาจะเดินหน้าไปเรื่อย ๆ
เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ บนโลก แม้จะช้ากว่าคนอื่นไปบ้าง
แต่อย่างน้อยเขาก็พยายามเดินหน้าอยู่เรื่อย ๆ นะ
“...พี่ไทเลอร์ครับ?”
“ห- หืม? นายว่าอะไรนะเมื่อกี้?”
ไทเลอร์มัวแต่คิดเรื่องในอดีตไปหน่อยเพราะคำพูดในเรื่องการพิสูจน์ตัวเองจากคนข้าง
ๆ ที่กำลังมีสีหน้าเป็นห่วงอยู่
ศีรษะถูกกดต่ำลงให้ดวงตาสีน้ำตาลมองสบตามาได้ชัด
หางคิ้วทั้งสองข้างเองก็ตกลงเพราะไม่เห็นว่าอีกฝ่ายตอบเขา แถมอยู่ ๆ
ใบหน้าที่อมยิ้มอยู่น้อย ๆ จะเรียบนิ่งไป
“พี่ไทเลอร์โอเคไหมครับ? อยู่ ๆ ก็เงียบไป”
แมทธิวถามพร้อมกับวางกระป๋องเบียร์ในมือลงไว้กับโต๊ะกาแฟ
“ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่คิดถึงเรื่องเมื่อก่อนนิดหน่อย”
ไทเลอร์ยิ้มแหย ๆ ออกมาขณะตอบ
แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องเมื่อตอนนั้นมันจะยังทำให้เขานิ่งไปเฉย ๆ
แบบนั้น
“ผมพูดอะไรไม่ดีออกไปหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ ๆๆ นายไม่ได้พูดอะไรไม่ดีหรอก คือ... พี่...”
ไทเลอร์ตอบตะกุกตะกัก เขาเหมือนอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้แมทธิวฟัง
แต่ก็ไม่อยากที่จะทำให้คนที่พึ่งก้าวเข้าสู่โลกวัยทำงานจะต้องรู้สึกแย่เอา
“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนนั้น
แต่ถ้าหากพี่ไทเลอร์สะดวกเล่าให้ผมฟังให้ถือเป็นการปลดปล่อยก็เล่ามาได้เลยนะครับ”
พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของแมทธิวไทเลอร์ก็ใจอ่อน
เหมือนกับไรเกอร์กับเฟลิกซ์ตอนที่มานั่งจ๋องตรงหน้าเขาตอนที่เขารู้สึกแย่เมื่อสองปีกว่า
ๆ ตอนนั้นเลย
“ก็ได้ ๆ มันอาจจะทำให้นายรู้สึกแย่ พี่ขอโทษล่วงหน้านะ”
“ไม่เป็นไรเลยครับ”
แมทธิวตอบพร้อมกับหยิบพิซซ่าอีกชิ้นขึ้นมากิน
การได้ระบายเรื่องที่ไม่สบายใจมันช่วยได้มากนี่นา
พี่ไทเลอร์ไม่ต้องขอโทษอะไรเขาหรอก
“อืม... แฟนเก่าพี่น่ะ คนคนนั้นทำให้พี่สงสัยในตัวเองว่าพี่ดีจริง ๆ
ใช่หรือเปล่า หรือแม้แต่ว่า พี่มีคุณค่าจริง ๆ ต่อโลกนี้ใช่ไหม
อะไรแบบนั้น ฮะ ๆ”
หัวเราะแห้ง ๆ
รวมเข้ากับคำพูดของไทเลอร์ทำให้แมทธิวยิ่งเป็นห่วงอีกฝ่ายมากกว่าเก่า
“...”
“ช่วงนั้นพี่พยายามฝืนตัวเองและพิสูจน์ตัวเองหนักมากเลยให้คนรอบข้างเห็นว่าพี่เองก็มีประโยชน์
จนสุดท้ายพี่ก็ทนไม่ไหวแล้วทุกอย่างมันก็พังลง ต-
แต่ว่าตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะ พี่ดีขึ้นมากแล้วล่ะ
เพราะมีเพื่อนทั้งที่ทำงานแล้วก็เพื่อนเก่า ๆ
อีกหลายคนคอยช่วยเชียร์อัป
แล้วล่าสุดก็มีนายมาอยู่ข้างบ้านแก้เหงาอีก”
รอยยิ้มที่แม้จะไม่ได้กว้างเท่าที่แมทธิวชอบยิ้มให้กับคนรอบข้าง
แต่ไทเลอร์ก็ยิ้มออกมาจากใจจริงจริง ๆ
คนเราจะมามัวแต่เศร้าอยู่แบบนั้นได้ไงล่ะจริงไหม?
แอชลี่ย์ก็บอกเขาตลอดว่ามันไม่เป็นอะไรเลยที่จะคิดและทำแบบนั้นไปในอดีต
ก็แฟนเก่าของเขามันแย่จริง ๆ นี่เนอะ
“พี่ไทเลอร์มีคุณค่าในตัวเองอยู่แล้วแหละครับ
อย่าไปเก็บคำพูดของคนแบบนั้นไว้เลย
ทั้งให้ผมติดรถไปด้วยทั้งที่พึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน
แถมวันนี้ก็ให้ผมกินพิซซ่าด้วยอีก
เธอคนนั้นปล่อยไปนั่นแหละครับดีแล้ว”
แมทธิวแค่ได้รู้จักไทเลอร์ได้อาทิตย์เดียวก็รู้สึกได้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีขนาดไหน
ใจดีกับเขามาในทุกเรื่องแบบนี้
ทำให้การออกมาอยู่คนเดียวเป็นครั้งแรกมันง่ายกว่าที่คิดเอาไว้เป็นร้อยเท่าเลย
ฉะนั้นแฟนเก่าคนนั้นไทเลอร์ก็ปล่อย ๆ ไปเถอะ
แต่เขาไม่รู้อยู่อย่างนึง
“อืม... ก็จริงอย่างที่นายว่านั่นแหละ but it’s him not her”
เอ๊ะ...
แฟนเก่าพี่ไทเลอร์เป็นผู้ชายเหรอ?
ทำไมจู่ ๆ แมทธิวก็รู้สึกแปลก ๆ ก็ไม่รู้
แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา
พี่ไทเลอร์จะชอบใครหรือเพศไหนก็ไม่เห็นว่าจะสำคัญอะไรซักหน่อย
คนแบบพี่ไทเลอร์สมควรได้รับความรักที่ดีทั้งไม่ว่าจากเพื่อน คนรัก
หรือไม่ก็ใครก็ตาม
และแมทธิวก็จะจำเอาไว้ด้วยว่าเรื่องประมาณนี้ที่เกี่ยวกับการต้องพิสูจน์ตนเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับมันเป็นหัวข้อที่ไม่เหมาะสมนัก
เขาจะต้องได้พึ่งพาพี่ชายข้างบ้านคนนี้ไปอีกนานนี่นา
แค่รบกวนอีกฝ่ายก็มากพอแล้ว
ถ้าไปทำให้ไทเลอร์คิดมากอีกแมทธิวคงรู้สึกผิดตายเลย
แต่วันนี้แมทธิวได้พูดคุยกับพี่ไทเลอร์แบบ deep talk ด้วย
ถึงจะเป็นเรื่องที่จริง ๆ ไม่ควรจะพูดเท่าไหร่ก็เถอะ
แต่แบบนี้ก็ถือได้ว่าเขากับพี่ชายหน้านิ่งหน่อย ๆ
ข้างบ้านคนนี้สนิทกันขึ้นมากกว่าเก่าแล้วใช่ไหมนะ?
[1] ตราของรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
[2] MAGA movement (Make America Great Again movement) -
ชื่อเรียกกลุ่มผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี