ออฟฟิศของบริษัท Existed ในวันพุธยังคงเต็มไปด้วยการประชุมเช่นทุกที
แต่นั่นไม่ใช่กับฝ่ายการตลาดในสัปดาห์นี้ที่ปกติจะคลุกอยู่ในห้องประชุมในช่วงบ่ายของวัน
เพราะวันนี้พวกเขานัดกันเอาไว้ว่าจะมีการประชุมนอกรอบในช่วงเย็นหลังเลิกงานที่ร้านอาหารที่ได้ทำการจองเอาไว้แล้ว
ซึ่งแน่นอนว่าทั้งฝ่ายจะได้กินฟรีกันถ้วนหน้าด้วย
ต้องขอบคุณทางฝ่ายบริหารจริง ๆ
ที่มอบงบประมาณส่วนนึงมาให้จัดการประชุมที่อิ่มท้องไปด้วยนี้
“ร้านที่นัดประชุมกันเย็นนี้มันชื่อว่าอะไรแล้วอยู่ตรงไหนนะแอช?”
ไทเลอร์เหลือบมองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังใกล้ ๆ
ตัวเขาแล้วถามเพื่อนร่วมงานโต๊ะข้าง ๆ
ขณะเริ่มกดเซฟงานและปิดโปรแกรมมากมายในคอมพิวเตอร์ของเขา
ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงสี่สิบห้านาที
กว่าจะเก็บของและอะไรเสร็จก็ถึงเวลาเลิกงานพอดี
ส่วนเวลาประชุมนัดเอาไว้ที่เวลาหกโมงเย็น
เผื่อเวลานิดหน่อยให้เหล่าพนักงานเดินทางไปยังจุดหมาย
“The Bus Stop น่ะเหรอ? อยู่ทางฝั่ง West Village นู่นแหนะ
นายจะติดรถฉันไปไหมล่ะ? ไหน ๆ ฉันก็ต้องกลับมาทางนี้อยู่ดี”
บ้านของแอชลี่ย์อยู่ที่ย่านควีนส์
ทำให้หลังจากประชุมที่ร้านอาหารวันนี้เสร็จเธอก็ต้องได้วนกลับมาทางบริษัทอยู่ดีเพื่อจะข้ามสะพานควีนส์โบโรที่อยู่ใกล้
ๆ กับที่ทำงานของเธอออกจากแมนฮัตตันไปสู่ควีนส์
เธอจึงได้ชวนไทเลอร์ให้ติดรถมาด้วยกันเผื่อว่าเขาจะขี้เกียจขับรถไป
และแถวนั้นยิ่งไม่ค่อยมีที่จอดรถหรือถ้ามีก็แพงจนเหมือนโดนปล้นด้วยอีก
“ห้ะ? Bus Stop? ทำไมต้องไปประชุมที่ป้ายรถเมล์ด้วย
พิลึกเกินไปหรือเปล่าแผนกพวกเราเนี่ย?”
ไทเลอร์ที่ไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ถามแอชลี่ย์ด้วยความสงสัยขณะขมวดคิ้วแน่น
แต่สิ่งที่เขาได้กลับมาจากเพื่อนร่วมงานกลับกลายเป็นการยืนเท้าสะเอวใส่
“ไท ฉันถามจริง ๆ นะ นายเป็นสวิฟตี้
>[1]ยังไงให้ไม่รู้จักร้านนี้?”
หูของไทเลอร์ผึ่งขึ้นทันทีที่ได้ยินคำว่าสวิฟตี้
เพราะเรื่องการประชุมวันนี้มันจะไปเกี่ยวข้องกับเทย์เลอร์ได้ยังไงกัน?
แล้วอีกอย่าง มันมีด้วยเหรอร้านอาหารชื่อ Bus Stop
ที่เกี่ยวข้องกับนักร้องที่เขาชื่นชอบคนนี้?
“หา? ร้านนี้เกี่ยวอะไรกับเทย์อะ?”
“พระเจ้าช่วย”
แอชลี่ย์เอามือยกขึ้นมาทาบลงกับศีรษะของตัวเองก่อนจะส่ายหน้าแล้วอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหลือจะเชื่อกับเพื่อนร่วมงานของเธอ
ไทเลอร์มันสวิฟตี้ตัวปลอมชัด ๆ
“คือ... ในเพลง the 1 น่ะ The Bus Stop
ในเนื้อเพลงมันไม่ใช่ป้ายรถเมล์
แต่คือร้านอาหารร้านนี้ที่เรากำลังจะไปต่างหาก”
“หา!! จริงไหมเนี่ย”
จบการให้ข้อมูลโดยแอชลี่ย์
ไทเลอร์ก็ร้องออกมาเสียงดังกับข้อมูลใหม่ที่พึ่งรู้ในวันนี้
ตลอดเวลากว่าสามปีครึ่งที่ผ่านมาเขาคิดมาตลอดเลยว่าท่อนที่ร้องว่า ‘I
thought I saw you at the bus stop, but didn't though’
มันหมายถึงป้ายรถเมล์
ไม่คิดว่ามันจะเป็นร้านอาหารที่เขากำลังจะได้ไปเยือนเลย ซึ่งพอคิด ๆ
ดูแล้วก็ใช่อยู่ เพราะแถวนั้นก็อยู่ใกล้ ๆ
กับสตูดิโอที่เทย์เลอร์ชอบไปอัดเสียง
และอยู่ใกล้กับบ้านที่เธอเคยเช่าอยู่ด้วย
“เห้อ... ฉันเหนื่อยกับนายจริง ๆ เลย สรุปแล้วนายติดรถไปกับฉันนะ”
Bus Stop Cafe เป็นร้านอาหารผสมคาเฟ่ในย่าน West Village
ของเกาะแมนฮัตตัน ในตอนแรกช่วงยุค 1960
ร้านแห่งนี้เป็นร้านกาแฟประจำย่าน ก่อนจะค่อย ๆ
แปรสภาพกลายมาเป็นร้านอาหารนับตั้งแต่ปี 1995
ร้านแห่งนี้เองก็เป็นหนึ่งในร้านที่ก่อตั้งและเป็นเจ้าของโดยคนท้องถิ่น
ทำให้ปัจจุบันที่แม้มีการแข่งขันสูง
แต่ร้านก็ยังสามารถที่จะเปิดกิจการอยู่ได้
อันเป็นลักษณะนิสัยของชาวนิวยอร์กที่ชอบอุดหนุนธุรกิจท้องถิ่นดั่งที่ทุกคนทราบกันดี
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงรถยนต์สีเทาของแอชลี่ย์ก็นำเธอและไทเลอร์ที่ถูกลากขึ้นรถมาด้วยอย่างไม่เต็มใจนักมาถึงอาคารจอดรถที่ตั้งอยู่ห่างจากร้านไปราว
ๆ สามบล็อก ใช้เวลาเดินเท้าต่ออีกราวห้านาทีก็จะไปถึงร้าน
“ฉันยังไม่ได้ตกลงเลยว่าจะติดรถเธอมา”
ไทเลอร์ปิดประตูรถก่อนจะยืดแขนพร้อมงอตัวไปทางด้านหลังหน่อย ๆ
เป็นการบิดขี้เกียจ พอนั่งทำงานนาน ๆ มันก็ปวดหลังเหมือนกันนะ
“มาถึงนี่แล้วนายจะไปไหนได้กัน? ไปเถอะ ๆ ก่อนจะถึงเวลานัด”
เจ้าของรถกดล็อกรถแล้วเดินนำชายหนุ่มที่กำลังหาวออกจากลานจอดรถไปตามถนน
ต้นไม้สองข้างทางบนถนนเส้นนี้น้อยกว่าที่ถนนหน้าบ้านของไทเลอร์
แต่การจะหาถนนที่ยังมีต้นไม้อยู่ทั้งสองฝั่งในมหานครอย่างนิวยอร์ก
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแมนฮัตตันแล้วอีก
คนที่กำลังเดินผ่านมันอย่างไทเลอร์ก็ควรจะพอใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้านี้ได้นะ
เมื่อมาถึงที่ร้าน พนักงานจากออฟฟิศบางส่วนก็ยังเดินทางมาไม่ถึง
แต่ทางแผนกก็ได้จองพื้นที่บริเวณด้านนอกร้านเอาไว้แล้วทั้งหมด
จึงไม่มีปัญหาหากว่าจะมาถึงช้าไปหน่อยจากการจราจรที่น่ากลัวในช่วง
rush hour
[2] ของนิวยอร์ก
หรือเพราะรถไฟใต้ดินที่อัดแน่นยิ่งกว่าปลากระป๋องในตู้เก็บของเหนือศีรษะในห้องครัวของไทเลอร์แล้วจะไม่มีที่นั่ง
“พวกเรานั่งตรงไหนดี?”
ไทเลอร์สะกิดถามคนที่เดินนำเขามาจนถึงร้านขณะกวาดสายตามองดูว่ามีที่ว่างตรงไหนเหลือบ้าง
“ตรงนั้นเป็นยังไง นายนั่งริมสุดเลยจะได้ไม่อึดอัดกับคนเยอะ ๆ
แถมน่าจะมองเห็นทีวีภายในร้านด้วยเผื่อว่านายไม่รู้จะทำอะไร”
แอชลี่ย์ชี้ไปทางที่นั่งที่อยู่ริมสุดติดกับถนน
ที่ตรงนั้นมีต้นไม้เล็ก ๆ
ห้อยอยู่เหนือศีรษะขึ้นไปช่วยให้ความผ่อนคลาย
แอชลี่ย์เข้าใจในเพื่อนร่วมงานคนนี้ของเธอดีกับความต้องการความสงบในชีวิต
ที่ที่คนเยอะแม้จะเป็นกับเพื่อนร่วมงานในแผนกเดียวกันก็สามารถสร้างความอึดอัดให้ไทเลอร์ได้
ยังดีที่เธอเป็นข้อยกเว้นเพราะทำงานในตำแหน่งเดียวกัน
ดังนั้นถ้าเลือกได้แบบนี้
เธอก็ขอเลือกที่ที่ทำให้เพื่อนของเธอสบายใจก็แล้วกัน
“อื้อ ดีเหมือนกัน”
การประชุมอันไม่เป็นทางการในวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ของทางบริษัทที่จะมีการเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า
โดยในตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการคุยขั้นสุดท้ายกันในฝ่ายออกแบบและผู้บริหารว่าจะมีทิศทางและธีมเป็นไปในทางไหน
ทางแผนกการตลาดเลยเรียกคุยกันในวันนี้เอาไว้ล่วงหน้าให้ทุกคนได้เตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนถึงภาระหน้าที่งานที่จะเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ใกล้เข้ามานี้
ไทเลอร์กับแอชลี่ย์ในตอนนี้ยังไม่ได้มีภาระงานอะไรต้องใส่ใจมากเท่าใดนักเพราะพวกเขาอยู่ปลายทางของกระบวนการทำงานทั้งหมด
เพราะต้องรอให้ได้แบบและธีมของชิ้นงานก่อนนู่นเลยไทเลอร์กับแอชลี่ย์จึงจะได้เริ่มงาน
ทั้งสองคนเลยสามารถให้ความสนใจไปกับอาหารรสชาติดีตรงหน้าได้อย่างเต็มที่
มีบ้างที่คนอื่นในฝ่ายจะเรียกถามพวกเขาทั้งสองคนพอประปรายเกี่ยวกับเรื่องงาน
“เอ๊ะ...”
สายตาของไทเลอร์มองผ่านแอชลี่ย์เข้าไปภายในร้าน
บนผนังสีครีมที่ตัดกับเบาะที่นั่งสีเขียวแกมน้ำเงินเข้มมีโทรทัศน์ที่กำลังเปิดรายการถ่ายทอดสดรายการหนึ่งอยู่
เสียงเพลงจากศิลปินที่กำลังทำการแสดงสดอยู่ดังลอดผ่านลำโพงออกมาทั่วทั้งร้านแบบคลอ
ๆ ให้พอได้ยิน ชายหนุ่มสี่คนที่ยืนอยู่หน้าฉากหลังของ Time Square
ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายกำลังเริ่มร้องท่อนแรกของเพลงเพลงหนึ่ง
April ของ The Seasons
“หืม นายดูอะไรอยู่เหรอไท? เอ๋...”
คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไทเลอร์ได้ยินเสียงพูดเบา ๆ ของเขา
ก็เลยหันมามองดูด้วยความสนใจ
ก่อนจะมองตามสายตาของเขาไปที่หน้าจอโทรทัศน์เครื่องเดียวกัน
“นายนอกใจแม่เทย์ของนายตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”
แอชลี่ย์หันกลับมาพูดแซวคนที่กำลังมองหน้าจอทีวีจนตาค้างอยู่แบบนั้น
จนถึงจุดนึงที่ดวงตาของไทเลอร์มันโตขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังโฟกัสภาพอะไรที่อยากมองมาก
ๆ อยู่
พอแอชลี่ย์หันไปมองที่ทีวีอีกครั้งก็เห็นภาพมือกีตาร์คนหนึ่งกำลังถูกถ่ายช็อตครึ่งตัวอยู่
มือที่กำลังกดคอร์ดและดีดกีตาร์เป็นท่วงทำนองน่าฟังรวมข้ากับเสียงของเจ้าตัวแล้วมันเข้ากันมากเลยจริง
ๆ แม้จะไม่เคยฟังเพลงเพลงนี้
แต่แอชลี่ย์ก็มั่นใจได้ว่ามันน่าจะเป็นเพลงที่ดังได้แน่ ๆ
แล้วพอเห็นใบหน้าอีกฝ่ายแล้วด้วยก็เข้าใจเลยว่าทำไมคนมากมายถึงไปรวมตัวกันที่
Time Square ดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั่นสิ
ทำเอาเธออยากจะลูบหัวอีกฝ่ายในหน้าจอเลย น่ารักเสียยิ่งกว่าอะไร
แต่ในขณะเดียวกันตอนที่เล่นกีตาร์อยู่แบบนี้ก็เท่มากเช่นเดียวกัน
“เปล่าซักหน่อย ฉันลืมเล่าให้เธอฟังไปเลยเรื่องนี้
เธอเห็นมือกีตาร์ผสีน้ำตาลคนนั้นไหม?”
พอจบท่อนฮุกแรกที่เป็นท่อนร้องของแมทธิว
กล้องก็ถูกตัดไปโฟกัสมุมกว้างแทน
สติของไทเลอร์จึงได้กลับมาจากการดูเพื่อนบ้านของเขาเปล่งประกายบนเวทีใจกลาง
Time Square มาตอบแอชลี่ย์
“อ่าห้ะ ทำไมเหรอ?”
แอชลี่ย์กำลังคิดไปไกลมากขึ้นทีละน้อย
มันคงจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิดใช่หรือเปล่า? เพราะถ้าหากใช่
เธอคงจะกรี๊ดออกมาดังลั่นแน่ ๆ
“นั่นน่ะ เพื่อนบ้านที่พึ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านข้าง ๆ ฉันเอง
เขาชื่อแมทธิว เด็กกว่าพวกเราหน่อย ๆ แต่ดูเป็นคนดีนะ แถมดูสิ
เป็นนักดนตรีที่ได้ออกทีวีด้วย”
แอชลี่ย์เริ่มเชื่อมโยงเรื่องราวทุกอย่างภายในหัวของเธอด้วยความเร็วสูง
ก่อนที่จะได้ข้อสรุปออกมาอย่างนึง เรื่องนี้ชักจะสนุกกับเธอแล้วล่ะสิ
“ที่นายเคยถามฉันว่าซามอยด์มีสีน้ำตาลนั่นไหมน่ะเหรอ?”
“ใช่ แมทธิวเขาเหมือนจะเป็นคนไทป์ซามอยด์ที่เธอเล่าให้ฟัง ฉันเลยถาม
อ- เอ๊ะ เธอรู้ได้ยังไงว่าที่ฉันถามมันหมายถึงแมทธิว?”
ไทเลอร์พยักหน้าตอบไปก่อนที่เสี้ยววินาทีต่อมาเขาจะเกิดความสงสัยขึ้นมาทำไมแอชลี่ย์ถึงรู้เรื่องนี้ได้กัน?
เขาก็ว่าเขาไม่เคยไปพูดให้เธอฟังไม่ใช่หรือยังไง? หรือว่าจริง ๆ
แล้วที่บ้านของเขาหรือแม้แต่ในหัวของเขาก็ถูกแอชลี่ย์แอบดูอยู่กันหว่า?
“แหม... ไหนนายบอกไม่ได้อยากมีแฟน หืม?”
แอชลี่ย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมากว้างยามที่คำพูดของเธอมันทำให้คนตรงหน้าไปไม่เป็นได้แบบนี้
ไทเลอร์ตอนเงอะ ๆ งะ ๆ เหวอ ๆ มันน่ารักมากจริง ๆ นะ
ผู้ชายคนไหนได้เขาไปแฟนมีหวังหลงตายแน่เลย
“ก็ไม่ได้อยากมีจริง ๆ นี่นา นั่นเพื่อนบ้านฉันเฉย ๆ”
ไทเลอร์โวยออกมาจนคนหันมามองนิดหน่อยแต่พอเห็นว่าแอชลี่ย์กำลังหัวเราะอยู่ก็เข้าใจได้
เพราะสองคนนี้ปกติก็ชอบแกล้งกันอยู่แล้วเป็นปกติ
“ฉันจะจับตาดู”
พูดจบแอชลี่ย์ก็ยกนิ้วขึ้นมาชี้ที่ดวงตาของเธอแล้วหันมันกลับไปชี้ที่ใบหน้าของไทเลอร์ที่ยังคงชะงักอยู่กับเรื่องทั้งหมด
กว่าจะได้กลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มครึ่งแล้ว
ดีอยู่ที่วันนี้ไทเลอร์กินข้าวแล้วมาจากข้างนอก
ถ้าหากให้ทำกับข้าวหรือสั่งอะไรมากินนะ
กว่าจะเสร็จทุกอย่างแล้วได้อาบน้ำไปกลิ้งบนเตียงก็น่าจะดึกมาก ๆ เลย
ไทเลอร์ถอนหายใจแล้วถอดกุญแจรถยนต์ออกมาถือไว้ในมือ
เขาโยนมันเล่นสองสามทีขณะเอนหลังพิงกับเบาะนุ่มแล้วหลับตาลง
ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนการไปในที่ที่คนเยอะ ๆ
แม้จะมีเพื่อนสนิทก็ยังดูดพลังงานจากเขาไปเยอะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนจริง
ๆ แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็กลับมาถึงบ้านอันเป็นพื้นที่แสนสงบแล้ว
และไทเลอร์ก็อยากจะอาบน้ำให้สบายตัวเต็มทีละ
ประตูรถถูกเปิดออกกว้าง
ไทเลอร์ยืดตัวบิดขี้เกียจด้วยการบิดตัวไปมาทางซ้ายและขวาก่อนจะก้มลงไปหยิบกระเป๋าเป้ของเขากับเสื้อตัวนอกออกมาถือเอาไว้ในมือ
ปิดประตูรถลง กดที่รีโมตเพื่อล็อกมัน แล้วจึงเดินไปทางประตูหน้าบ้าน
แต่พอสายตามองเหลือบไปที่หน้าบ้านข้าง ๆ
เขาก็เห็นว่ามีคนยืนพิงประตูโรงรถอยู่และกำลังมองมาทางเขา
แมทธิวนั่นแหละ
“พี่ไทเลอร์พึ่งเสร็จงานเหรอครับ?”
เสียงที่เหมือนกับเสียงในทีวีเมื่อตอนเย็นดังขึ้นทักเขาพร้อมกับเจ้าของของมันที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้น
ในมือถืออะไรบางอย่างเอาไว้ด้วยที่มันสะท้อนแสงแวบ ๆ
“ไม่เชิงหรอก พอดีที่แผนกพาไปกินข้าวแล้วก็คุยเรื่องงานไปด้วยตัวน่ะ
นายมีอะไรหรือเปล่า? ทำไมมายืนตรงนี้ล่ะ?”
ด้วยความเป็นห่วงตามประสาคนที่อายุมากกว่านิดหน่อย
ไทเลอร์เห็นแมทธิวในทีวีมาในรายการถ่ายทอดสด
แต่แทนที่คนคนนั้นจะพักผ่อนอยู่บนเตียงหรือโซฟาที่นอนสบาย
กลับมายืนทำอะไรก็ไม่รู้อยู่หน้าบ้านของตนเองตอนค่ำ ๆ
“ผมรอพี่นี่แหละ คือ... ผมอยากขอบคุณที่วันนั้นให้ผมติดรถไปด้วย
แล้วก็ที่เลี้ยงพิซซ่าผมอีก ผมก็เลยเอาอันนี้มาให้ครับ”
สิ่งของในมือของแมทธิวถูกยื่นออกมาให้กับคนตัวสูงน้อยกว่า
มันคือแผ่นซีดีที่อยู่ภายในกล่องพลาสติกที่ยังอยู่ในซีล
หรือก็คืออัลบั้มเพลงนั่นแหละ จากหน้าปกแล้ว
ไทเลอร์จำได้ทันทีจากหน้าปกอัลบั้มในแอปพลิเคชันสตรีมมิ่งที่เขาใช้ฟังเพลงในอัลบั้มนี้
นี่คืออัลบั้มของ The Seasons ไม่ผิดแน่
“นายไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย
พี่บอกแล้วไงว่าพี่เต็มใจช่วยทุกเรื่องนั่นแหละ นายพึ่งย้ายมานี่นา”
ไทเลอร์รับเอาอัลบั้มของคนที่กำลังยืนยิ้มอาย ๆ
อยู่มาถือเอาไว้ในมือพร้อมบอกว่าทั้งหมดนี้เขาเต็มใจทำทั้งสิ้น
ไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรเขาหรอก
“ก็ผมอยากจะขอบคุณพี่จริง ๆ นี่นา… อ๊ะ! ผมนึกอะไรได้ละ
รอแปปนึงนะครับ”
“ด- เดี๋ยวก่อนแมท”
ยังไม่ทันที่ไทเลอร์จะได้ตอบหรือสงสัยอะไร
แมทธิวก็วิ่งหายเข้าไปในบ้านของตนเองแล้ว
เขาเลยได้ยืนถอนหายใจปนหัวเราะนิด ๆ
ขณะพลิกอัลบั้มที่เขาเคยบอกอีกฝ่ายว่าอยากซื้อ
ในตอนนี้มันมาอยู่ในมือของเขาแล้วโดยไม่ต้องได้เสียงเงินซักดอลลาร์
จะว่าลาภปากหนูจนก็ยังไง ๆ อยู่ นี่มันของซื้อของขายนี่นา
แมทธิวหายไปไม่นานก็วิ่งกลับออกมาพร้อมกับปากกาเมจิกสีดำด้ามนึงเพื่อจะเอามาเซ็นลายเซ็นของตนให้ไปด้วย
เขาถือวิสาสะหยิบอัลบั้มในมือของไทเลอร์ที่พึ่งให้กลับไปถือไว้ในมือ
ก่อนจะใช้ฟันกัดฝาปากกาออกแล้วคาบไว้ เขี้ยวคม ๆ
ถูกแสงไฟหน้าบ้านส่องมากระทบ แต่ก่อนที่จะเขียนอะไรลงไป
มือข้างขวาของเขาก็หยุดเอาไว้เสียก่อน
“พี่ไทเลอร์อยากให้ผมเขียนอะไรเป็นพิเศษไหมครับ?”
มือข้างขวายกขึ้นมาหยิบเอาฝาปากกาออกจากการคาบไว้แล้วเปลี่ยนถือแทน
ก่อนที่แมทธิวจะเอียงหัวหน่อย ๆ
ถามคนพี่ว่าอยากได้ข้อความอะไรโดยเฉพาะหรือเปล่า?
“เล่นใหญ่จังนะนายน่ะ เขียนอะไรก็ได้ตามใจนายเลย”
ไทเลอร์ยืนกอดอกแล้วส่ายหัวเบา ๆ ให้กับคุณคนร่าเริงข้างบ้านของเขา
จริง ๆ แค่ให้อัลบั้มเขาเฉย ๆ ก็พอแล้วแท้ ๆ
“ผมอุตส่าห์ให้พี่เลือกข้อความเลยนะ แฟน ๆ
ที่มาให้ผมเซ็นให้ผมยังไม่เคยถามขนาดนี้เลยนะพี่”
เท้าของแมทธิวย่ำไปมาอยู่กับที่เบา ๆ หลาย ๆ
ทีเหมือนกับคนที่อยากจะให้อีกฝ่ายทำตามที่ตัวเองอยากให้เป็นให้ได้
และไทเลอร์ก็เห็นว่ามันน่าเอ็นดูดีเลยเผลอยิ้มออกมาหน่อย ๆ ก่อนจะตอบ
“เขียนว่า ‘ถึงพี่ไทเลอร์ ขอบคุณสำหรับพิซซ่ากับให้ผมติดรถนะครับ’
เท่านี้ก็ได้มั้ง”
ไทเลอร์ตอบแบบกวน ๆ ไป
ข้อความธรรมดาแบบนี้ต้องทำให้คนที่เด็กกว่าแสดงท่าทางน่าเอ็นดูออกมาอีกแน่
ๆ
“พี่ไทอ่า มันควรจะเป็นอะไรที่มีความหมายหรือซึ้ง ๆ กว่านี้ไหมอะพี่
แบบ ‘ถึงพี่ไทเลอร์
เพื่อนบ้านสุดใจดีที่ผมไม่เคยรู้เลยว่าจะได้พึ่งพา’ หรือแบบ
‘ถึงพี่ไทเลอร์ ฮีโร่ผู้ให้ผมติดรถไปทำงาน
ขอพิซซ่าจงร้อนแรงเสียยิ่งกว่าสีของไฟจราจร’ ไหมอะพี่?”
ไทเลอร์ขมวดคิ้วให้กับสิ่งที่แมทธิวคิดออกมา หัวจะปวด...
แต่ก็อดที่จะหลุดจากการกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้
“พรูด!”
“พี่ไทเลอร์!”
แมทธิวยิ่งแสดงท่าทีไม่พอใจในแบบน่าเอ็นดูออกมามากกว่าเก่าพอไทเลอร์กลั้นหัวเราะไม่ไหว
แต่อะไรคือขอให้พิซซ่าร้อนยิ่งกว่าไฟแดงกันวะ โอย 555
“อะ ๆ เอาดี ๆ ก็ได้ ‘ถึงพี่ไทเลอร์ ขอบคุณที่ชอบเพลงที่ผมแต่งนะครับ
แล้วก็สำหรับที่ติดสินบนอัลบั้มนี้ด้วยพิซซ่า’ แบบนี้เป็นไง?”
จะว่าแต่แมทธิวว่าคิดแต่อะไรแปลก ๆ มาเขียนก็ไม่ได้หรอก
เพราะไทเลอร์ในตอนนี้ก็เหมือนว่าจะติดเชื้อไปด้วยแล้ว
“โธ่... แต่ถ้าพี่ไทเลอร์อยากได้แบบนั้นก็ได้แหละ”
แม้ปากและใบหน้าจะดูเหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักกับคำตอบสุดท้ายของไทเลอร์
แต่มือก็แกะซีลพลาสติกออกแล้วใช่ปากกาที่ถือไว้เขียนข้อความตามที่คนเป็นพี่บอกอยู่ดี
จากนั้นก็เซ็นลายเซ็นของตนไว้ข้าง ๆ
“ขอบใจมากนะสำหรับอัลบั้ม แต่รถพี่ไม่มีที่เล่นแผ่นซีดีอะ”
พอเซ็นเสร็จเรียบร้อย อัลบั้มนั้นก็ถือยื่นใส่มือของไทเลอร์ดังเดิม
แต่แล้วเจ้าของใหม่ของมันก็พึ่งนึกได้ว่ารถยนต์ของเขามันรุ่นใหม่เกินกว่าที่จะมีเครื่องเล่นซีดีแล้วนี่หว่า
“สตรีมเพลงในแอปแทนก็ได้นะพี่ ยอดวงผมจะได้พุ่ง ๆ แหะ ๆ”
เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเลยสำหรับแมทธิวและวง The Seasons
เพราะการที่ฟังจากแผ่นซีดียอดมันไม่ได้ในชาร์ตน่ะสิ
แต่ถ้าไทเลอร์ฟังในแอปน่ะนะ ยอดเข้าแน่นอน
“อื้ม ได้เลย เอ้อจะว่าไป วันนี้พี่เห็นนายในทีวีด้วย ไปเล่นที่ Time
Square กันมาเหรอ?”
ไทเลอร์ก็นึกถึงตอนที่เขาไปที่ร้าน Bus Stop
กับแอชลี่ย์ที่เขาเห็นแมทธิวในรายการสดขึ้นมา
เลยเอามาเป็นเรื่องคุยต่อ เพราะวันที่ผ่าน ๆ
มาหลังจากที่เขาชวนเพื่อนบ้านของเขามากินพิซซ่าด้วยแล้วก็ไม่มีวันไหนเลยที่ได้คุยกันนนาน
ๆ วันนี้ก็เลยหาเรื่องมาคุยต่ออีกหน่อย
“พี่ไทเลอร์ดูผมด้วยเหรอ? ผมดีใจนะแบบนี้”
แมทธิวยิ้มออกมากว้างอีกครั้งพอได้ยินว่าเพื่อนบ้านคนนี้ได้ดูการถ่ายทอดสดที่เขากับวงไปแสดงพิเศษที่แลนด์มาร์กของนิวยอร์กอย่าง
Time Square ด้วย
“อื้อ ตอนนั้นพี่กินข้าวบวกกับคุยงานอยู่ที่ร้านอาหารนั่นแหละ
แล้วทีวีที่ร้านเปิดมันเป็นช่องที่ถ่ายทอดสดวงพวกนายพอดี
นายเล่นกีตาร์เก่งมากจริง ๆ นะ เพื่อนที่ทำงานพี่ชมด้วย
แถมร้องเพลงดีอีก”
“พี่ก็ชมผมเกินไปอีกแล้ว ไม่หรอกครับ”
ตาสีน้ำตาลของแมทธิวเสมองไปทางอื่นเมื่อคำชมของไทเลอร์ทำให้เขาเขินหน่อย
ๆ จนต้องยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย
“ก็นายเก่งจริง ๆ นี่นา จะให้มองข้ามจุดนี้ของนายได้ยังไงกัน
จริงไหม?”
ไทเลอร์ยิ้มหลังพูดจบ เขาพูดจริงนี่นา ก็แมทธิวมีความสามารถจริง ๆ
“อืม... ถ้าแบบนั้นก็ขอบคุณนะครับพี่ คือ...
ปกติผมมีแต่คนที่มาดูผมเล่นตะโกนชมผม
ไม่ค่อยบ่อยเลยที่มีคนที่ผมรู้จักมาชมผมแบบนี้
มันเลยออกจะเหนือจริงแล้วก็เขิน ๆ หน่อยน่ะครับ แหะ ๆ”
แก้มของแมทธิวมีสีขึ้นมากว่าปกติเล็กน้อยเพราะคำชมนี้จากเพื่อนบ้านของเขา
ไม่ใช่แมทธิวไม่เคยได้รับคำชมหรอกนะ
มันเป็นแบบนี้เขาบอกเลยว่ปกติคนที่ชมเขาคือคนดูที่ตะโกนบอกเขาว่าเขาทำได้ดี
ไม่ค่อยมีหรอกที่จะมีใครมาบอกกับเขาตัวต่อตัวแบบนี้
แถมยังเป็นคนรู้จักอีกต่างหาก มันเลยพิเศษกว่าคำชมไหน ๆ มากเลย
“อันที่จริงพี่ก็แอบสนใจกีตาร์อยู่นะ
แต่พอทำงานก็ไม่มีเวลาว่างลองหัดเล่นเลย
แถมไม่รู้อีกว่าจะต้องเริ่มยังไง”
ไทเลอร์เก็บอัลบั้มของลงใส่ในกระเป๋าเป้ของเขาไปพูดบอกคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นไทป์ซามอยด์แบบที่แอชลี่ย์บอกไป
“หืม? ให้ผมสอนให้ไหมอะพี่ ถ้าเกิดว่าว่าง ๆ อะไรงี้”
คำพูดของแมทธิวเป็นกันเองมากขึ้นกับไทเลอร์ขึ้นเรื่อย ๆ ไปอีกขั้น
เขาเริ่มคุ้นชินแล้วกับเพื่อนบ้านของเขาที่เป็นผู้ใหญ่กว่าคนนี้
แล้วถ้าหากสามารถทำอะไรเพื่อเป็นประโยชน์ได้เขาก็พร้อมจะทำเหมือนกับที่ไทเลอร์ทำให้เขาเช่นกัน
แถมไหน ๆ ไทเลอร์ก็เป็นคนพูดเองว่าเขาเล่นกีตาร์เก่ง
ฉะนั้นเขานี่แหละเหมาะที่สุดที่จะสอน แมทธิวคิดในใจ
“จะไม่กวนนายใช่ไหมน่ะ เพลงกำลังดังไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่เลยครับ ผมมีวันว่างอยู่เรื่อย ๆ แหละ
ถ้าพี่ไทเลอร์ว่างแล้วอยากให้ผมสอนวันไหนก็บอกได้นะ”
ไม่นานจากนั้นไทเลอร์ก็ขอตัวกลับเข้าบ้านเพราะเขาอยากจะอาบน้ำแล้ว
เลยได้บอกลาคนที่ชอบยิ้ม ๆ คนนั้นไป
ส่วนแมทธิวนั้นเขามีความสุขมากเลยที่ได้ให้อัลบั้มขอวงของเขาตอบแทนที่ไทเลอร์คอยช่วยเขาเรื่องต่าง
ๆ มาตลอด
หลังจากวางกระเป๋าเป้ลงบนเตียงแล้ว
ไทเลอร์ก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตและถอดมันออก
ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้เลยรูดซิปกระเป๋าเป้แล้วหยิบเอาอัลบั้มที่พึ่งได้มาจากเพื่อนบ้านของเขาไปวางเอาไว้บนชั้นวางของสะสมของเราในห้องทำงานที่อยู่ติดกันกับห้องนอน
จู่ ๆ บนชั้นที่มีแต่อัลบั้มของเทย์เลอร์ สวิฟต์
ก็มีอัลบั้มจากศิลปินอื่นมาตั้งไว้ด้วยเสียอย่างนั้น
โทรศัพท์ถูกหยิบมาเลื่อนดูแจ้งเตือนต่าง ๆ
และอัปเดตสถานการณ์บ้านเมืองหลังจากที่ไทเลอร์อาบน้ำและเปลี่ยนมาใส่ชุดนอนแล้วเรียบร้อย
ก่อนที่จู่ ๆ
อินสตาแกรมก็แนะนำคนที่น่าติดตามมาต่อจากสตอรี่ของเพื่อนของเขาสามคน
และหนึ่งในนั้นคือแอคเคาต์ที่มีชื่อว่า mattthew._.cooper
ประกอบกับรูปโปรไฟล์ที่คุ้นตาเหมือนกับเป็นคนที่ไทเลอร์พึ่งคุยด้วยไม่กี่สิบนาทีก่อน
คนผมสีดำเลยพลิกตัวมานอนตะแคงแล้วกดเข้าไปดูในแอคเคาต์นั้น
รูปในแอคเคาต์ของแมทธิวส่วนมากเป็นรูปในการแสดงและทำเพลงของเจ้าตัว
แซมด้วยรูปของกินไม่ก็รูปกีตาร์หรือไม่ก็รูปของเขาที่ถ่ายเอง
มีบ้างที่เป็นคลิปวิดีโอชีวิตประจำวันที่ตลก ๆ
หรือดูน่าจดจำอย่างคลิปการวอร์มอัปก่อนขึ้นแสดงกับเพื่อน ๆ ของเขา
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแม้จะเลื่อนลงไปจนถึงสมัยที่แมทธิวจบจากมัธยมศึกษาได้ไม่นานแล้วอีกฝ่ายก็ดูไม่เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่เลย
ยังคงเป็นคนที่ดูดีและเหมือนซามอยด์อยู่ไม่เปลี่ยน
แค่อาจจะดูโตขึ้นบ้างตามอายุแค่นั้น
และแน่นอนว่ารูปล่าสุดที่เจ้าของแอคเคาต์พึ่งลงไปได้ไม่นานที่เป็นรูปตัวเองกำลังสะพายกีตาร์แบบเท่
ๆ ก็ถูกไทเลอร์กดถูกใจ
ก่อนจะตามมาด้วยการกดติดตามที่ไทเลอร์กดให้ทั้งแอคเคาต์ของแมทธิวและวง
The Seasons
ติ๊ง...
“หืม?”
แมทธิวอาบน้ำเสร็จแล้วเช่นกันและกำลังกลิ้งไปมาบนเตียงอยู่โดยที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อ
เพราะเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันสีรุ้งดังขึ้นว่ามีคนกดติดตามเขามาใหม่
ใช่อยู่ว่าปกติเขาก็มีคนกดติดตามมาใหม่เรื่อย ๆ
ตามกระแสของวงที่เริ่มดังขึ้นทีละหน่อย
แต่เพราะตามันเหลือบไปเห็นชื่อแอคเคาต์ที่กดติดตามเขามาต่างหากเลยทำให้ต้องพักการใส่เสื้อไว้ทีหลัง
tyler.a.f_13 started following you.
“พี่ไทเลอร์เหรอ?!”
มือหนารีบกดเข้าไปดูทันทีว่าแอคเคาต์ในการแจ้งเตือนใช่คนที่เขาคิดไว้หรือเปล่า?
ซึ่งทันทีที่หนาโปรไฟล์ของพี่ชายข้างบ้านของแมทธิวแสดงขึ้นมาเขาก็แอบยิ้มหน่อย
ๆ ด้วยความดีใจ
จากการนอนหงายถูกเปลี่ยนมาเป็นการนอนคว่ำแล้วเลื่อนดูโพสต์ต่าง ๆ
ในแอคเคาต์ของไทเลอร์ไปเรื่อย ๆ ทีละรูป
จนเวลาผ่านไปไม่รู้เท่าไหร่แมทธิวก็เลื่อนมาจนถึงรูปแรกในแอคเคาต์นี้ที่เป็นรูปไทเลอร์ยิ้มกว้างในวันจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษา
เขาเลยเลื่อนกลับขึ้นมาที่รูปล่าสุดแทนก่อนจะกดไลก์ไปแบบเดียวกับที่อีกฝ่ายทำ
รูปล่าสุดที่ไทเลอร์โพสต์ลงเป็นรูปที่แอชลี่ย์ถ่ายให้เขาที่ร้าน Bus
Stop เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา
ในรูปไทเลอร์ที่ด้านหลังเป็นถนนที่เปิดไฟข้างทางสวนในยามเริ่มมืดของวัน
ส่วนตัวคนนั้นถือโทรศัพท์พร้อมหันไปมองทางอื่นอยู่เสมือนว่ารูปนี้ถ่ายตอนที่เผลอ
มีแคปชันว่า ‘i thought i saw you at the bus stop, but didn't
though’ พร้อมเพลงที่ใส่ไว้ด้วยคือเพลง the 1 ของเทย์เลอร์ สวิฟต์
อันเป็นที่มาของเนื้อเพลงในแคปชัน
“น่ารัก...”
แมทธิวพูดออกมาเสียงเบาขณะกดไลก์รูปรูปนั้นแล้วกดติดตามต่อ
เขายิ้มพร้อมกับฮัมเพลงอย่างมีความสุขแล้วจึงวางโทรศัพท์ไว้ที่เตียง
ก่อนจะไปใส่เสื้อต่อค่อยมานอนดังเดิม
[1] Swiftie (สวิฟตี้) – ชื่อแฟนคลับของ Taylor Swift
[2] Rush hour (รัชอาว) –
ชั่วโมงเร่งด่วนของวันในตอนเช้าก่อนเริ่มงานและตอนเย็นหลังเลิกงาน