“บอลด์วิน!”
ใบหน้าของฟินตันฉีกยิ้มด้วยความสดใสทันทีที่ได้เห็นใบหน้าคุ้นตาเดินตามหลังองครักษ์ของพ่อของเขาเข้ามาในโถงพระโรงหลักของพระราชวังหลวง
ผมเผ้าที่กำลังยาวปรกหน้าผากพอดีมีสีดำขลับตัดกับดวงตาสีฟ้าที่ยากต่อการจะละสายตา
วันนี้บอลด์วินมาในชุดที่ดูสบายและเป็นกันเองกว่าครั้งก่อน ๆ
เล็กน้อย
แต่ก็ยังทำให้สหายของฟินตันตรงหน้าดูดีเหมือนทุกครั้งที่ได้พบอยู่ดี
“ถวายบังคมขอรับท่านวูลแฟรม ท่านฟินตัน”
พ่อของบอลด์วินย่อตัวคุกเข่าลงข้างนึงเพื่อทำความเคารพฟินตันกับพ่อของเขา
ตามด้วยการกระทำแบบเดียวกันของผู้เป็นลูก
“ขอบคุณมากนะครับคุณกันเธอร์ ที่พาบอลด์วินมาตามคำขอของผมอีก”
ฟินตันตอบด้วยความนอบน้อมพร้อมลุกขึ้นจากที่นั่งข้างบัลลังก์ของผู้เป็นพ่อเพื่อเดินไปหาสหายของเขา
“ท่านฟินตันอย่าทรงตรัสกับกระหม่อมด้วยความสุภาพมากเลยขอรับ
กระหม่อมอยู่ต่ำกว่าพระองค์มาก”
ฟินตันขมวดคิ้วเล็กน้อย
ด้วยความคิดภายในใจของเขาที่มันมักจะขัดกับหลักการโบราณราชประเพณีของราชวงศ์
และใช่ ฟินตันเป็นเจ้าชาย
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับคุณกันเธอร์ ผมไม่ได้ถืออะไรซักหน่อย
ลุกขึ้นเถอะครับเจ็บเข่าเปล่า ๆ”
ฟินตันเดินเข้าไปหาชายวัยกลางคนที่คุกเข่าและก้มหน้าอยู่
เขากำลังคิดว่าจะวางมือลงที่ไหล่กันเธอร์เพื่อให้สัญญาณว่าให้เขาลุกขึ้นได้
“ฟินตัน มันเป็นโบราณราชประเพณี”
เสียงแกมดุของผู้เป็นพ่อของฟินตันพร้อมด้วยการจ้องมองมาจากบนบัลลังก์
ทำให้เขาหยุดความคิดที่จะเอื้อมมือไปที่ไหล่ของกันเธอร์ทันที
“เห้อ… แต่กระผมว่ามันก็เกินไปไหมขอรับท่านพ่อ”
เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลชวนอบอุ่นตอบ
แล้วจึงหันไปทำหน้ามุ้ยใส่ผู้เป็นพ่อของตัวเอง
จนในตอนนั้นเขาถึงนึกขึ้นได้ว่าที่เดินออกมาตรงนี้เพราะอะไรกันแน่
“บอลด์วิน มากับข้าหน่อย”
โดยไม่รอคำตอบจากผู้เป็นพ่อ
ฟินตันเดินเข้าไปหาคนวัยไล่เลี่ยกันแล้วดึงตัวเขาออกมาทันที
“ลูกคนนี้ จริง ๆ เลย…”
ฟินตันได้ยินท่านพ่อของเขาบ่นตามหลังมานิดหน่อย
แต่ก็เลือกที่จะเดินจูงมือคนที่เขาสนิทด้วยออกไปจากท้องพระโรงหลักต่ออย่างรวดเร็ว
“กระหม่อมมีเรื่องจะทูลแจ้งขอรับท่านวูลแฟรม…”
ในขณะนั้นที่ท้องพระโรงหลัก
กันเธอร์ก็เริ่มกิจวัตรประจำวันของเขาอย่างการรายงานพระราชาวูลแฟรมเกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วไปของอาณาจักร
รวมไปถึงความคืบหน้าของการเตรียมการพระราชพิธีวันคล้ายวันพระราชสมภพของวูลแฟรมที่จะมีการจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้
เจ้าชายวัย 16
ปีนามว่าฟินตันเป็นเจ้าชายแห่งจักรวรรดิโคโลเนียอันยิ่งใหญ่
แม้อาณาจักรของเขาจะไม่ได้มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเทียบเคียงกับอาณาจักรรัสตันหรือออสตาราที่อยู่บนทวีปเดียวกัน
แต่โคโนเนียก็เป็นอาณาจักรที่มั่นคงและยิ่งใหญ่มากพอสมควร
โคโลเนียเป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ ณ ตรงกึ่งกลางของทวีปยูโรปาพอดี
ทำให้เป็นจุดศูนย์กลางในการค้าขายและติดต่อภายในพื้นทวีปที่กว้างใหญ่นี้
ขณะนี้อาณาจักรปกครองโดยท่านพ่อและท่านแม่ของฟินตัน
หรือพระราชาวูลแฟรมกับพระราชินีเฟรยา
ทั้งสองมีบุตรธิดาด้วยกันทั้งสิ้นห้าพระองค์
ตัวฟินตันเองเป็นบุตรคนที่สามและเป็นบุตรชายคนที่สอง
ทำให้ภาระในการเตรียมตัวที่จะต้องสืบทอดราชบัลลังก์ของเขาไม่หนักหนาเท่าท่านพี่อัลดริชสักเท่าไหร่
รวมถึงไม่ต้องคอยรับใช้ช่วยงานท่านพ่อและท่านแม่ในเรื่องงานเอกสารหรืองานแผ่นดินมากเท่าท่านพี่บริจิด
ฟินตันมีดวงตาและผมสีน้ำตาลเนื้อไม้สนสปรูซ (spruce)
อันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวที่เขาได้รับมาจากผู้เป็นแม่
ยิ่งยามดวงตาและผมของเขาต้องโดนแสงแดดแล้วนั้น
ความอบอุ่นจากตัวก็ยิ่งเหมือนถูกกระตุ้นให้ขับออกมาให้คนรอบตัวได้เชยชมมากเท่านั้น
รวมกับขนาดตัวที่ตอนนี้กำลังดูดีด้วยความสูง 162 เซ็นติเมตร
และมีลักษณะนิสัยดีร่าเริงผสมกับความอบอุ่นดั่งเปลวเทียนที่พลิ้วไหวตามลมตลอดเวลา
เขาเลยเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์ที่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนสูสีกันกับท่านพี่อัลดริช
แต่ในส่วนของอัลดริชจะมาในแนวหล่อสุขุมมากกว่าอบอุ่นแซมสดใสแบบฟินตัน
“ท่านฟินตันขอรับ กระหม่อมขอทูลถามว่าจะพากระหม่อมไปที่ใดหรือขอรับ?”
เสียงของคนที่ฟินตันจับข้อมืออยู่ดังขึ้นในระหว่างที่พวกเขาอยู่บริเวณสวนที่เงียบสงบ
ณ ด้านหลังของพระราชวังหลวง สายลมเย็นที่ทำให้รู้สึกหวิว ๆ
พัดผ่านพวกเขา
บ่งบอกว่าฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาเยือนทวีปในซีกโลกเหนือแห่งนี้ในอีกไม่นานแล้ว
“บอลด์วิน ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าพูดกับข้าใช้คำธรรมดาสามัญก็ได้”
ฟินตันหยุดเดินแล้วพูดตอบกลับในสิ่งที่ไม่ใช่คำตอบที่อีกฝ่ายถาม
เขาหมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจหน่อย ๆ แต่ก็ยังมีน้ำเสียงที่ยังปกติอยู่
“ต… แต่พวกเราอยู่ในพระราชวังนะ”
บอลด์วินตอบเสียงเบาราวกับกลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน
ก่อนที่จะนึกขึ้นได้
“ขอรับ”
ว่าเขาลืมคำลงท้าย
“เห้อ… ถ้าอย่างนั้นช่วยพาข้าออกไปข้างนอกหน่อยได้หรือไม่?”
ฟินตันส่ายหัวและนึกขำนิดหน่อยกับสิ่งที่บอลด์วินเป็นเมื่อครู่นี้
การเห็นสหายคนสนิทลนลานเพราะความไม่เชี่ยวคำราชาศัพท์
สร้างความสั่นไหวให้ร่างกายของฟินตันเล็กน้อยพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ
ที่เขาพยายามกลั้นไว้
“ได้เสมอขอรับ”
“ขอบคุณนะ” ฟินตันยิ้มตอบ
“ว่าแต่ว่า… พระองค์จะไม่เปลี่ยนฉลองพระองค์หรือขอรับ?”
ฟินตันก้มหน้าลงมองชุดที่ตัวเองสวมใส่อยู่ อืม…
แม้จะไม่ใช่ชุดเต็มยศเต็มที่ที่เขาใส่ในงานทางการหรือพระราชพิธี
แต่ถ้าใส่ชุดแบบนี้ไปข้างนอกพระราชวังคนในเมืองก็น่าจะรู้ได้เป็นแน่ว่าเขาคือใคร
ก็แหม
ชุดแขนและขายาวสีขาวเรียบทั้งตัวที่มีเหรียญตราและแถบสีประดับที่อกซ้ายอยู่หน่อย
ๆ
รวมกับสายยงยศและโซ่สีทองเส้นบางที่โยงไปมาเล็กน้อยระหว่างไหล่และอกด้านขวา
ชุดที่สร้างความดูดีให้กับผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างมากแบบนี้ ใคร ๆ
ก็น่าจะเดาได้ครับว่าเขาไม่ใช่สามัญชนทั่วไปเป็นแท้แน่
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นตามข้ามาที่ห้องเสียหน่อยได้หรือไม่?”
บอลด์วิน ไอเซินฮาร์ท หนึ่งในสหายคนสนิทที่ฟินไว้ใจมากที่สุด
ทั้งสองคนรู้จักและสนิทกันมาได้หลายปีแล้ว
ด้วยการที่เขาเป็นบุตรชายของกันเธอร์ ไอเซินฮาร์ท
ผู้เป็นองครักษ์ของพระราชาวูลแฟรม
รวมถึงเป็นหัวหน้าองครักษ์ของราชวงศ์ด้วย
แล้วบังเอิญว่าพ่อของฟินตันกับกันเธอร์รู้จักและสนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่ตอนที่ท่านพ่อของฟินตันยังเป็นองค์รัชทายาท
ก่อนที่ท่านจะขึ้นครองราชย์ต่อจากท่านปู่แล้ว
ทำให้ฟินตันเลยได้มีโอกาสรู้จักกับบอลด์วินเมื่อหลายปีก่อน
แล้วกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเขาในแบบทุกวันนี้
และแม้ว่าจะต่างชนชั้นและศักดิ์กัน
สิ่งเหล่านั้นกลับไม่มีปัญหาเลยในมิตรภาพระหว่างบุตรชายของพระราชาและบุตรชายของอัศวินผู้นี้
“พอได้หรือเปล่า?”
ฟินตันถามบอลด์วินหลังจากเปลี่ยนมาใส่ชุดที่ธรรมดามากขึ้นแล้ว
แต่ว่าจะพูดอย่างไรดี
ชุดแบบธรรมดาของที่เขามีมันก็ยังคงดูหรูหราอยู่ดีถ้าเทียบกับคนทั่วไป
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนมาสวมเสื้อแขนยาวสีเบจอ่อน ๆ
กับกางเกงขายาวสีน้ำตาลเข้มแล้วก็ทำให้เจ้าชายพระองค์นี้ดูธรรมดาขึ้นพอสมควร
แต่ยังคงความดูดีและความอบอุ่นไว้เช่นเดิม
“ทรงไม่มีฉลองพระองค์ที่ธรรมดากว่านี้หรือขอรับ?”
แม้จะขัดใจคำราชาศัพท์ที่คนตรงหน้าใช้
แต่ที่หน้าประตูห้องมีองครักษ์ยืนรักษาการณ์อยู่
ฟินตันก็เลยพอจะเข้าใจได้
“ข้าว่าตัวนี้น่าจะธรรมดาที่สุดเท่าที่ข้ามีแล้วนะ”
ฟินตันตอบพร้อมมองตัวเองในกระจกที่กำลังหมุนตัวไปมาดูความเรียบร้อยของชุด
ด้านหลังไปมีบอลด์วินนั่งแกว่งขาไปมาอยู่ที่เก้าอี้ของโต๊ะหนังสือของเขา
บอลด์วินนับได้ว่าน่าจะเป็นเพียงสามัญชนคนเดียวเลยที่ได้รับสิทธิ์ในการได้เข้ามาถึงห้องนอนของเชื้อพระวงศ์อย่างฟินตัน
แรก ๆ ฝ่ายบอลด์วินก็ดูจะเกร็งและกังวลเป็นอย่างมาก
แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ
เขาก็เริ่มคุ้นเคยกับที่แห่งนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ราวกับเป็นห้องนอนอีกห้องนึงในบ้านของตัวเอง
“น่าจะพอปลอมตัวบอกว่าเป็นขุนนางได้อยู่นะขอรับ”
บอลด์วินเดินเข้ามาดูชุดของฟินตันใกล้ ๆ แล้วตอบ
“อื้อ”
ฟินตันพยักหน้าเห็นด้วย
เพราะพวกขุนนางก็มีชุดประมาณแบบนี้เช่นเดียวกัน
หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดที่ธรรมดาขึ้นเรียบร้อย
บอลด์วินได้แอบพาฟินตันออกมาจากพระราชวังที่เจ้าตัวบอกว่าแสนจะใหญ่โตแต่ไร้ซึ่งสีสัน
ไม่เหมือนดั่งเมืองหลวงอย่างกรุงมอนทาราที่ทุกครั้งที่ฟินตันออกมาสัมผัสก็จะชอบอยู่เสมอ
หรือที่ต้องพูดให้เหมาะกับยศก็คงเป็น
ถูกและตรงพระทัยของเจ้าชายเป็นอย่างยิ่ง
แต่การกระทำแบบนี้ของบอลด์วินถ้าพูดตามตรงแล้วถือเป็นการลักพาตัวสมาชิกราชวงศ์กลาย
ๆ ก็ไม่ผิดเท่าใดนัก ทั้งนี้แท้จริงแล้วทางพระราชวังรับรู้มาโดยตลอด
แต่ว่าพระราชาวูลแฟรมและพระราชินีเฟรยาทรงไว้ใจในตัวบอลด์วินกันทั้งคู่
จึงไม่ได้ขัดอะไรกับการกระทำนี้ของฟินตันที่มักจะแอบออกไปข้างนอกกับบอลด์วินบ่อย
ๆ
ทิศทัศน์ที่มีเทือกเขาสูงใหญ่ที่ส่วนยอดถูกปกคลุมไปด้วยหิมะเกือบจะทั้งปีอยู่ทางทิศตะวันออกไกล
ๆ และทิวเขาลูกเล็กที่โอบล้อมทางทิศใต้และตะวันตก
ทำให้เมืองหลวงแห่งนี้มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี
และฤดูหนาวก็มีอุณหภูมิที่เย็นเฉียบด้วยเหตุผลดังกล่าวเช่นกัน
ยังไม่รวมถึงแม่น้ำเรนอสที่ไหลหลั่งตลอดทั้งปีที่สร้างความเขียวชอุ่มไปทั่วทั้งบริเวณจากทิศใต้ไปทางทิศเหนือ
ก่อเกิดเป็นความเหมาะสมแก่การเกษตรกรรมที่ทำให้อาณาจักรดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงอาณาจักรข้างเคียงมากนัก
ทั้งหมดนี้รวมเป็นความสวยงามที่ฟินตันสัมผัสมาตั้งแต่เกิด
แต่มันจะสวยงามยิ่งกว่าในยามที่เขาออกมาข้างนอกกำแพงที่มีความปลอดภัยแน่นหนานี้
ฟินตันเป็นคนที่น่าจะมีความคิดแปลกแตกต่างไปหน่อยจากผู้คนส่วนใหญ่พอสมควรเลย
ยิ่งในฐานะของสมาชิกราชวงศ์
การใช้คำราชาศัพท์เป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากในการสนทนาหรือติดต่อสื่อสารด้วยวิธีอื่น
ๆ แต่กับตัวของเขาแล้วนั้น
เจ้าชายหนุ่มมองว่ามันทำให้ช่องว่างระหว่างกันของตัวบุคคลมันยิ่งห่างออกไปโดยไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี
สิ่งนี้ยังรวมไปถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการต้องนอบน้อมต่อสมาชิกราชวงศ์เช่นกัน
ฉะนั้นถ้าหากว่ามีโอกาสที่เขาจะสามารถกระทำได้
ฟินตันก็มักจะอนุญาตให้คู่สนทนาใช้คำสามัญกับตัวเองอยู่ตลอด
เผลอครู่เดียว
ฟินตันก็เดินตามบอลด์วินมาถึงถนนสายหลักของนครมอนทาราที่ครึกครื้นแล้วเป็นที่เรียบร้อย
ดีเสียจริงที่เขาเปลี่ยนชุดตามที่บอลด์วินแนะนำและเอาหมวกติดมือมาด้วย
คนเยอะแบบนี้ ถ้าเห็นว่าเจ้าชายมาอยู่ตรงนี้ล่ะก็
น่าจะวุ่นวายพอควรเลยแน่ ๆ
แม้จะเป็นเวลาเพียงเก้านาฬิกาเศษ
แต่ถนนหลักของเมืองหลวงในที่ราบกลางหุบเขานี้ก็มีสีสันและคับคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาแล้วเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยคนสันจรผ่านไปมา
ที่ถนนเองก็มีรถม้าขนทั้งคนและสัมภาระกันให้ขวัก
สมกับเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเสียจริง
“อยากไปไหนเป็นพิเศษไหมขอรับ?”
บอลด์วินหยุดเดินก่อนจะหันหน้ามาถามฟินตันที่กำลังซึมซับบรรยากาศครึกครื้นรอบตัวอยู่
แต่แทนที่ฟินตันจะตอบ
เขากลับเลือกที่จะมะเงกใส่หน้าผากที่อยู่สูงกว่าตนเองนั้นไปหนึ่งทีแทน
“พวกเราอยู่นอกพระราชวังแล้วนะ พูดคำสามัญกับข้าเถอะข้าขอร้อง”
เขาพูดด้วยเสียงเชิงเอาแต่ใจหน่อย ๆ
“555
นี่ข้าควรจะดีใจหรือไม่ที่ได้รับมะเงกพระราชทานจากท่านเจ้าชายฟินตัน
ดยุกแห่งนอร์ดแบบนี้?”
บอลด์วินหัวเราะออกมาก่อนจะลดระดับความสูงของภาษาลงตามคำขอของคนตัวเตี้ยกว่า
“ยังอีก”
แต่ก็ยังมีชื่อเต็มของฟินตันกับคำว่าพระราชทานอยู่เลยในประโยคเมื่อกี้
นำมาซึ่งการทำสีหน้าเบื่อหน่ายของเจ้าของชื่อ
“เจ้าไม่ชอบคำราชาศัพท์ขนาดนั้นเลยหรือ?”
บอลด์วินถอยหลังมาเดินข้างฟินตันเพื่อให้พวกเขาทั้งสองคนสามารถเดินไปคุยกันไปด้วยกันข้าง
ๆ กันได้
“ก็ใช่น่ะสิ ข้าก็บอกเจ้าไปตั้งกี่รอบแล้ว”
ฟินตันยืนยันคำเดิม พร้อมกับหันหน้าไปขมวดคิ้วหน่อย ๆ ใส่บอลด์วิน
“ตอนอยู่ในวังข้าไม่บังอาจใช้คำสามัญจริง ๆ
ถ้าท่านพ่อของเจ้ามาได้ยินข้ากลัวหัวข้าจะหลุดจากบ่าเอา”
ฟินตันคิดในใจว่าท่านพ่อของเขาไม่น่าว่าอะไรหรอกนะถ้าพูดตามความจริงแล้ว
ถึงจะดูเหมือนเป็นคนเข้มงวด
แต่แท้ที่จริงแล้วท่านออกจะใจดีเสียด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวถ้าเกิดอะไรขึ้นข้าจะช่วยพูดให้หรอกน่า เจ้าไม่โดนอะไรหรอก”
กับที่เขาเป็นเจ้าชายและหากเป็นผู้ที่ถูกพูดด้วยคำสามัญใส่
ถ้าตัวฟินตันเองไม่เอาเรื่องอะไรก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรหรอกนะ
“กับเจ้าอายุมากกว่าข้าตั้ง 1 ปี ข้ารู้สึกแปลก ๆ
ถ้าเจ้าจะเคารพข้าเกินไป”
อีกเหตุผลก็คือแท้ที่จริงแล้วบอลด์วินมีอายุมากกว่าฟินตันหนึ่งปีนิด
ๆ ด้วย
เลยเป็นสาเหตุที่ฟินตันอยากให้บอลด์วินพูดกับเขาด้วยภาษาสามัญมากกว่าเดิมอีก
“เข้าใจแล้ว ๆ สรุปแล้วเจ้าอยากไปที่ใดเป็นพิเศษหรือเปล่าล่ะ?”
บอลด์วินพยักหน้าหงึกหงักหลาย ๆ
ทีแล้ววกกลับไปที่คำถามที่ฟินตันยังไม่ได้ตอบเขาไป
“ไม่รู้เหมือนกัน เจ้ามีที่ไหนแนะนำข้าไหม?”
ปกติเวลาฟินตันออกมาเดินเล่นในเมืองแบบนี้กับบอลด์วิน
พวกเขาจะชอบไปที่ร้านขนม ไปเดินเล่นริมแม่น้ำเรนอสที่เย็นสบาย
หรือไม่ก็ไปเดินดูผลไม้แปลก ๆ ที่ตลาดด้วยกัน
แต่ในครั้งนี้กลับไม่มีอะไรอยู่ในหัวของฟินตันเลยแม้แต่น้อย
อาจจะเพราะเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาล่ะมั้ง
“ใบหน้าของเจ้าดูเหมือนกำลังกังวลอะไรอยู่นะ มีอะไรหรือเปล่า?”
และบอลด์วินก็ดูออกเสียด้วยสิ
“เห้อ…”
ฟินตันถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีเมฆประปราย
สีฟ้าสวยเข้มของท้องฟ้าที่ตัดกับปุยเมฆสีขาวในวันนี้ช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากอย่างบอกไม่ถูกเลยจริง
ๆ
“ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวข้าไม่ถามต่อแล้วก็ได้นะ”
บอลด์วินมองไปตามถนนทั้งทางซ้ายและทางขวาระหว่างที่พูดเพื่อดูว่าจะมีรถม้ามาหรือเปล่า
ก่อนจะนำฟินตันข้ามถนนไปอีกฝั่ง
“เปล่า… พอดีสองวันก่อนข้าทะเลาะกับน้อง ๆ ของข้ามา
ทั้งไคแล้วก็ไอริชเลย”
ฟินตันพึ่งทะเลาะกับน้อง ๆ ทั้งสองคนของเขามาเมื่อสองวันก่อน
มันเป็นสิ่งที่เจ้าชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าจากเรื่องเล็ก ๆ
อย่างการที่น้อง ๆ
ของเขาไม่ค่อยจะทำตัวดีกับพ่อบ้านแม่บ้านของพระราชวังเท่าไหร่
ซึ่งขัดกับความคิดของฟินตันที่พยายามจะประพฤติตัวให้ดีกับคนรอบข้างเสมอโดยไม่สนใจกับตำแหน่งทางสังคมของบุคคลนั้น
ๆ ทำให้เขาเองได้พลั่งเผลอพูดอะไรที่ทำน้อง ๆ
ของเขาร้องไห้แล้วโกรธเขาออกไป
“อ๋า… ถ้าอย่างนั้นข้าว่าพวกเราไปร้านเบเกอรี่ที่เปิดใหม่กันดีกว่า
ข้าพึ่งไปมาเมื่อวันก่อน ครัวซองต์ของร้านรสชาติดีมากเลยทีเดียว
ข้าว่าเจ้าน่าจะชอบ”
บอลด์วินพยักหน้าเข้าใจรวมถึงไม่ถามอะไรคนตัวเล็กกว่าข้าง ๆ
เพิ่มเติมต่อ คงเพราะเขาพอจะรู้จักนิสัยของทั้งไคและไอริชดีล่ะมั้ง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าน้อง ๆ ของฟินตันเป็นคนไม่ดีอะไรหรอกนะ
ทั้งสองเพียงแค่ยังเด็กอยู่และยังอยู่ในช่วงที่เอาแต่ใจตัวเองเท่านั้นแหละ
แต่เหมือนว่าตอนนี้คนตัวเล็กที่เดินมองท้องฟ้าสีครามอยู่เมื่อครู่จะสนใจคำว่าครัวซองต์ที่ออกมาจากปากของบอลด์วินเข้าให้แล้วสิ
“หืม? เจ้าว่าอะไรนะเมื่อครู่?”
นัยตาของฟินตันจู่ ๆ ก็เหมือนมีประกายวิบวับออกมา
ทันทีที่ได้ยินคำว่าครัวซองต์เท่านั้นแหละ
“ครัวซองต์”
บอลด์วินพูดคำ ๆ
นั้นออกมาอีกครั้งแล้วยิ้มปนหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูคนตรงหน้า
จากนั้นจึงยกมือข้างนึงขึ้นมาลูบหัวของเจ้าชายหนุ่มเบา ๆ
โดยไม่ทันได้คิดอะไรมาก
“อ๊ะ!”
มือหนาของบอลด์วินไล้ไปตามเส้นผมของคนเป็นเจ้าชายเบา ๆ
ฟินตันตกใจเล็กน้อยกับสัมผัสนั้นก่อนจะหลับตาลงโดยอัตโนมัติ
บอลด์วินที่เห็นแบบนั้นเจ้าตัวก็ชะงักไป
เหมือนกับว่าพึ่งรู้ตัวว่าตนเองทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว
“ข… ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงขอรับ”
บอลด์วินรีบชักมือกลับแล้วกำลังจะค้อมตัวลงเพื่อขอโทษกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป
ทันทีที่เขาเริ่มค้อมตัวลงก็เหมือนจะมีเสียงคำว่า หยุ๊ดดดดดด
ออกมาจากใบหน้าของฟินตันยังไงอย่างงั้น
“ม- ไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าอย่าคุกเข่านะ”
ฟินตันลนลานห้ามพร้อมดึงตัวคนสูงกว่าตรงหน้าไว้
แต่ทำไมหน้าของเขามันถึงร้อน ๆ แปลก ๆ ได้เนี่ย? ทั้ง ๆ
ที่มันก็เกือบจะเข้าสารทฤดูแล้วไม่ใช่หรือยังไงกัน?
“เจ้าจะไม่ตัดหัวข้าใช่ไหม?”
บอลด์วินถามพร้อมยังก้มหน้าอยู่
ฟินตันที่ดึงตัวคนตรงหน้าไว้ได้ยินก็คิดในใจว่านี่คำถามอะไรกันเนี่ย?
จึงรีบตอบกลับไปเสียงดังทันที
“ข้าจะทำแบบนั้นทำไมกันเล่า!”
ฟินตันก็ไม่ได้ว่าไม่สบายใจอะไรสักหน่อยกับการกระทำเมื่อครู่ของสหายคนสนิทของเขา
แค่… มันไม่ทันตั้งตัวไปหน่อยแค่นั้นเอง
“เจ้ามีดาบ”
ฟินตันเอียงคอสงสัยเล็กน้อยกับคำที่คนตรงหน้ากล่าว
ก่อนจะรู้ตัวว่าเขาลืมเก็บดาบไว้ที่ห้องนอนตอนที่เขากลับไปเปลี่ยนชุด
ตอนนี้ดาบประจำตัวของเขาเลยยังเหน็บอยู่ที่ข้างลำตัวอยู่
“เจ้าเอาไปไปถ้าอย่างนั้น จะได้ไม่ต้องระแวงข้า”
ฟินตันตอบพร้อมปลดสายสะพายดาบออกจากตัวแล้วยื่นดาบเล่มงามให้คนตรงหน้า
“แต่ข้าขอโทษจริง ๆ นะ”
บอลด์วินกลับมาขอโทษด้วยคำสามัญกับเจ้าชายหนุ่มอีกรอบพร้อมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
เขามองคนที่เขาพึ่งเผลอตัวทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรสักเท่าไหร่ไป
ทันทีที่สายตาของทั้งคู่กลับมาประสานกัน ฟินตันกลับรู้สึกแปลก ๆ ในใจ
ทำไมดวงตาสีฟ้าสวยคู่นั้นถึงทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ จัง
“อื้อ เจ้ารับไปเก็บไว้ไป มันหนัก…”
ฟินตันยื่นดาบให้บอลด์วินอีกครั้งพร้อมสั่นมือสองสามทีเป็นสัญญาณว่าให้บอลด์วินรับไปเถอะ
“ก็ได้ เดี๋ยวข้าเก็บไว้ให้เจ้าก็ได้”
บอลด์วินรับดาบมาแล้วจับพลิกไปมาเพื่อดูความสวยงามของลวดลายในส่วนของฝักดาบและด้านจับที่มีรูปแบบเพียงหนึ่งเดียวบนผืนธรณีนี้
ดาบของสมาชิกราชวงศ์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรชายของกษัตริย์แล้วนั้น
ความปราณีตและความคมไม่อาจหาดาบอื่นใดมาเทียบเคียงได้จริง ๆ
หลังจากบอลด์วินพลิกดาบดูไปมาอยู่ครู่หนึ่งจนพอใจ
เขาก็กลัดสายสะพายพร้อมดาบเข้าไว้ที่รอบเอวของตัวเอง
บอลด์วินไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับดาบเล่มนี้มากสักเท่าไหร่นัก
จากการที่เขาเคยได้สัมผัสมันมาบ้างแล้วในอดีตที่ผ่านมาตลอดการเป็นสหายคนสนิทของฟินตัน
และทุกทีไม่รู้เพราะเหตุผลอะไร
แต่พอดาบที่สวยงามเล่มนี้อยู่คู่กับบอลด์วินก็จะส่งเสริมให้เขาดูดีและสง่ามากในสายตาของฟินตันตลอด
แม้ว่าดาบจะทำและออกแบบมาเพื่อฟินตันก็ตาม
แต่ถ้าคนในราชวงศ์มาเห็นเข้าล่ะก็
เจ้าชายเจ้าของดาบน่าจะโดนลงโทษแน่นอนเลยแหละว่าเอาดาบคู่กายไปให้คนสามัญชนแบบนี้ได้อย่างไร
แต่จะว่าสามัญชนคนธรรมดาก็ยังไงอยู่ดี
บอลด์วินก็เป็นเหมือนอัศวินของฟินตันนี่นา
“ไปกันเถอะ เจ้านำทางเลย”
ฟินตันสะกิดคนตรงหน้าให้นำทางไปยังร้านเบเกอรี่ดังกล่าว
อยู่ตรงนี้ต่อไปเขาเกรงว่าเขาน่าจะลนลานมากกว่านี้ก็เป็นได้
ร้านเบเกอรี่ที่บอลด์วินนำทางเจ้าชายหนุ่มมานั้นตั้งอยู่ที่อีกฝั่งของแม่น้ำเรนอส
จากทางหน้าร้านที่เป็นถนนหินริมแม่น้ำที่แข็งแรงก็สามารถมองเห็นพระราชวังอันเป็นบ้านของฟินตันได้ชัดเจนดีเลยทีเดียว
หน้าบริเวณร้านมีการปลูกไม้ประดับตกแต่งให้ความร่มรื่น
แม้จะอยู่ใจกลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยหินและไม้จากบ้านเรือน
ภายในร้านเองก็มีผู้คนวนเวียนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง
คงเป็นการการันตีรสชาติให้แก่ฟินตันได้เป็นอย่างดี
และยืนยันว่าสหายคนสนิทของเขานั้นพูดความจริงอย่างแน่นอน
สายตาของเจ้าชายหนุ่มผู้ชื่นชอบในเบเกอรี่เป็นพิเศษจับจ้องไปที่บริเวณตู้วางขนมปังหลากหลายรูปแบบที่พึ่งถูกอบขึ้นหมาด
ๆ
และกำลังส่งกลิ่นหอมเย้ายวนให้ลิ้มลองรสชาติโชยเตะจมูกของทั้งสองคนที่เข้ามาใหม่อย่างท่วมท้น
“หอมจัง”
ฟินตันสูดหายใจเข้าแล้วยิ้มดีใจ
ก่อนจะถอดหมวกที่สวมอยู่ออกเพราะเข้ามาอยู่ในอาคารแล้ว
“นั่นไง ครัวซองต์ที่ข้าพูดถึง”
บอลด์วินเดินเช้ามาซ้อนหลังเจ้าชายหนุ่มไว้เพื่อช่วยปิดบังรูปลักษณ์ที่โดดเด่น
เขาเกรงว่าจะมีใครจำเจ้าชายได้น่ะ
“น่ากินมากเลย เจ้าจะกินด้วยไหม?”
ฟินตันพูดชมคนทำขนมปังด้วยความร่าเริง
แล้วจึงหันมาถามคนที่ยืนซ้อนหลังเขาอยู่
“เจ้าจะซื้อให้ข้าหรือ?”
บอลด์วินถามด้วยความหวังว่าอาจจะได้กินฟรี ซึ่งจริง ๆ
เขานั้นไม่ได้ขัดสนอะไรหรอกนะ
แต่ถ้าได้กินของอร่อยโดยไม่ต้องจ่ายเงินเลยแม้แต่เหรียญเดียวนี่ก็ดีไม่น้อยจริงไหมล่ะ?
“นั่นสินะ… ข้าจะซื้อให้เจ้ากินด้วยดีไหมนา~”
ฟินตันพูดด้วยเสียงกวน ๆ ก่อนที่จู่ ๆ จะมีวัตถุลอยมาชนที่ไหล่เข้า
ผลั่ก!
ตุบ!
แล้ววัตถุนั้นก็ร่วงฟุบลงที่พื้นทันที
มันคือถุงกระดาษที่มีขนมปังใส่อยู่ข้างในนั่นเอง
และในตอนนี้ฟินตันกับบอลด์วินสงสัยถึงที่มาของถุงกระดาษดังกล่าวอยู่
ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากหลังเคาน์เตอร์
“ขอโทษครับท่านลูกค้า พอดีข้ายังคุมพลังของข้าได้ไม่ดีเท่าไรนัก”
เสียงของชายหนุ่มคนนึงกล่าวขอโทษมาจากด้านหลังเคาน์เตอร์
ก่อนที่ชายคนนั้นจะยกมือขึ้นช้า ๆ
พร้อมกับการลอยขึ้นของถุงใส่ขนมปังที่ลอยขึ้นจากพื้นไปบนอากาศ
และกลับไปวางลงที่บนเคาน์เตอร์ราวกับสั่งได้ดังใจนึก
“เดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนชิ้นใหม่ให้แล้วกันนะ
มันตกพื้นไปแล้วแบบนี้คงสกปรกแย่เลย นี่เจ้า!
ข้าบอกแล้วยังไงว่าอย่าพึ่งเอาพลังมาใช้ทำงานช่วย พลังของเจ้ามันแค่
level 1 (อ่านว่า เลเวลวัน) เองนี่”
คนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้าของร้านกล่าวกับลูกค้าแล้วหันไปต่อว่าชายหนุ่มคนนั้นทันที
เขาส่ายหัวไปหาแสดงความไม่ค่อยพอใจนักแต่สุดท้ายก็ยอมที่จะปล่อยไป
เรื่องที่ดูเหมือนเรื่องเหนือธรรมชาตินี้เป็นที่ชินตาไปแล้วกับคนทั่วไปบนทวีปยูโรปา
นับจากการยอมรับโดยสากลเมื่อไม่ถึงสองศตวรรษก่อนหน้านี้ ณ
ทวีปยูโรปาอันไพศาลนี้ ผู้คนกว่า 3 ใน 10
ได้เป็นผู้ถูกคัดสรรจากธรรมชาติให้มีความสามารถในการใช้งานพลังจิตได้
พลังที่ราวกับพรที่ถูกมอบมาจากพระเจ้าให้แก่ร่างกายของมนุษย์ที่สุดแสนธรรมดา
ให้พวกเขาได้สัมผัสกับความสามารถนี่แม้จะดูเหนือธรรมชาติและน่ากลัวต่อผู้อื่นในตอนแรก
แต่สุดท้ายกลับพบว่ามีประโยชน์อย่างมากในชีวิตประจำวัน
รวมไปถึงการทำสงคราม
ปัจจุบันยังคงไม่ทราบว่าอะไรคือเหตุผลของการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์นี้
เนื่องจากบันทึกของอาณาจักรต่าง ๆ
ต่างก็ให้ข้อมูลที่ตรงกันว่าการที่ผู้คนเริ่มมีพลังจิตอย่างในปัจจุบัน
พึ่งมีการค้นพบอย่างแพร่หลายเมื่อสามศตวรรษก่อนหน้าปัจจุบันนี้นี่เอง
บ้างก็ว่าเป็นพรจากพระเจ้าจริง ๆ
บ้างก็ว่าเป็นเพราะดาวหางขนาดใหญ่ที่มีการบันทึกไว้ว่าทอแสงสีรุ้งประกายสว่างแม้เวลากลางวัน
ที่ได้เคลื่อนตัวผ่านใกล้โลกและทิ้งเศษชิ้นส่วนเป็นฝุ่นผงไปทั่วในรูปแบบของผลึกแร่วิเศษต่าง
ๆ ไว้ในผืนแผ่นดิน
อาณาจักรโคโลเนียเป็นหนึ่งในหลากหลายอาณาจักรที่เปิดรับการใช้งานของพลังจิตอย่างเป็นทางการ
มีการสนับสนุนและการศึกษาพัฒนาโดยตรงจากผู้ปกครองอย่างพระราชาวูลแฟรม
ซึ่งพระองค์เองก็เป็นผู้มีพลังจิตเช่นเดียวกัน
ทั้งผ่านการมีหลักสูตรการสอนและพัฒนาพลังจิตในโรงเรียน
และการฝึกฝนโดยกรมพลังจิต
ที่มอบโอกาสให้ผู้มีพลังจิตได้ฝึกฝนตนเองให้ความสามารถแข็งกล้าขึ้น
และร่วมใช้พลังจิตนั้นในการสร้างคุณประโยชน์แก่แผ่นดินต่อไป
ในการศึกษาตลอดเกือบสองศตวรรษของรัฐต่าง ๆ
ในทวีปยูโรปาได้ข้อสรุปเกี่ยวกับพลังจิตออกมาได้ว่าพลังจิตนั้นมีสองประเภทใหญ่
ๆ นั่นก็คือ Psychokinesis หรือ PK
เป็นความสามารถในการควมคุมและปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของวัตถุและสภาพแวดล้อมรอบตัว
และ Extrasensory Perception หรือ ESP
เป็นความสามารถที่มนุษย์คนหนึ่งมีประสาทสัมผัสที่มากกว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์ทั่วไป
อาจเป็นได้ทั้งการที่ประสาทสัมผัสใดมีความสามารถมากกว่าคนปกติ
หรือมีประสาทสัมผัสใหม่ที่พบไม่ได้ในมนุษย์ทั่วไปเลยก็ได้
และหากเจาะแยกย่อยลงไปมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
พลังจิตที่มีอยู่ในบันทึกปัจจุบันมีทั้งสิ้น 47 ความสามารถ
รวมถึงหากนับวันเวลาที่ผ่านไป ก็ยิ่งมีการค้นพบความสามารถใหม่ ๆ
มากขึ้นเพิ่มเติมด้วย
พลังจิตสามารถแบ่งระดับความสามารถได้เป็น 6 ระดับ ได้แก่ระดับ 0 - 5
(อ่านเป็น ซีโร่ - ไฟว์) โดย level 0 คือผู้ที่ไม่มีพลังจิต ส่วน
level 1 - 5
จะวัดจากความสามารถในการควบคุมพลังของตัวเองและความแรงกล้าของพลัง
ยิ่งมีเลเวลที่สูงขึ้นก็ยิ่งบ่งบอกได้ถึงความสามารถของบุคคลนั้น ๆ
ตามไปด้วย
อย่างเช่นพลังจิตของผู้เป็นลูกมือของเจ้าของร้านเบเกอรี่เป็นพลังจิตประเภท
PK ในชื่อ Telekinesis ระดับ Level 1
เป็นความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวของวัตถุรอบตัวได้ด้วยจิตใจ
แต่จำเป็นต้องอาศัยท่าทางของร่างกายประกอบเป็นการออกคำสั่ง ในส่วนของ
level 1 จะสามารถยกวัตถุเบา ๆ ได้บ้าง
และอาจมีการขาดช่วงของการใช้พลังหากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
“ไม่เป็นอะไรเลย ๆ”
ฟินตันตอบกลับลูกมือของร้านเบเกอรี่โดยไม่ได้ถือโทษอะไร
เขาไม่ได้ได้รับอันตรายใด ๆ ซักหน่อยนี่หว่า
“ว่าแต่นั่นใช่ Telekinesis หรือไม่? ข้าพึ่งเคยได้เห็นใกล้ ๆ
เป็นครั้งแรกเลย”
ฟินตันให้ความสนใจกับพลังจิตของคนหลังเคาน์เตอร์ต่อ
เนื่องจากในตอนนี้เขาพึ่งจะมีอายุได้ 16 ปี เขาจะต้องรออีก 2
ปีถึงจะได้รู้ว่าตัวเองจะเป็นผู้มีพลังจิตหรือไม่
เพราะพลังจิตจะปรากฏและเริ่มใช้งานได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ผู้นั้นมีอายุได้
18 ปีบริบูรณ์แล้ว
“ใช่แล้วล่ะ ข้ายกขนมปังให้ลอยได้ตั้งสามก้อนเลยนะ น่าจะใกล้ level 2
แล้ว”
ลูกมือคนดังกล่าวว่าแล้วก็ยกมือขึ้นบังคับให้ขนมปังในถุงที่ตกพื้นแล้วก่อนหน้านี้นั้นลอยออกจากถุงกระดาษไปวางลงที่โต๊ะอีกตัวทางด้านหลังตัวเอง
บนโต๊ะมีมีดหั่นขนมปังวางอยู่
พร้อมเต็มไปด้วยเศษขนมปังที่เกิดจากการตัดแต่งขนมปังออกและเตรียมนำไปทิ้ง
“โห…”
ฟินตันอุทานก่อนจะรู้สึกได้ถึงสัมผัสของอะไรแข็ง ๆ ที่ด้านหลัง
เมื่อหันไปจึงพบว่าบอลด์วินมือจับอยู่ที่ด้ามของดาบและชักออกมาแล้วด้วยนิดหน่อย
ด้ามของมันเลยทิ่มหลังของเขาอยู่
นั่นทำให้คนตัวเล็กที่มีผมสีน้ำตาลเนื้อไม้สปรูซเกิดอาการตกใจเป็นอย่างมาก
“บอลด์วิน เจ้าจะทำอะไร?!”
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะได้รับอันตราย”
บอลด์วินกล่าวด้วยเสียงที่จริงจังกว่าที่ฟินตันคาดคิดไว้
ก่อนที่เขาจะเก็บดาบเล่มงามเข้าฝักได้ข้างลำตัวดังเดิม
“แค่ถุงขนมปังเอง ทำอะไรข้าไม่ได้หรอกน่า”
ฟินตันว่าแล้วก็ทำท่าเบ่งกล้ามแขนที่จริง ๆ
ก็ไม่ได้มีมากให้บอลด์วินดู
“ครับ ๆ”
บอลด์วินส่ายหัวพร้อมตอบ
ถึงแบบนั้นฟินตันก็ยังคงยิ้มอารมณ์ดีอยู่เช่นเดิม
ไม่ได้กล่าวว่าอะไรเขา
“เห้อ… อืม… ของข้าขอเป็นครัวซองต์ 4 ชิ้นกับ… บอลด์วิน
เจ้าจะเอาซักชิ้นไหม?”
บอลด์วินแทบจะหลุดขำออกมาตอนที่ได้ยินจำนวนของครัวซองต์ที่ฟินตันบอกกับผู้เป็นลูกมือของเจ้าของร้าน
ยังดีที่ว่าเจ้าตัวยังหันมาถามเขาด้วยว่าอยากกินด้วยซักหน่อยบ้างหรือเปล่า
“กินหมดหรือ เจ้าน่ะ?”
บอลด์วินถามคนตัวเล็กตรงหน้า ทั้ง ๆ
ที่เขาก็รู้นั้นแหละว่าถึงฟินตันจะดูเหมือนตัวแค่นี้
แต่เขาน่ะกินเก่งจะตายไป
“แน่นอน อย่างข้าแล้วซะอย่าง”
ฟินตันยืนยันด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“ของข้าเอาชิ้นเดียวก็พอแล้วล่ะ”
ถึงแม้จะได้กินโดยไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญเดียว
แถมคนที่ซื้อให้ยังเป็นเจ้าชายอีก
แต่บอลด์วินก็ไม่เคยที่จะอาศัยโอกาสเช่นนี้ในการหาประโยชน์เข้าตนจนเลยเถิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็น 6 ชิ้นก็แล้วกัน”
ฟินตันได้ยินที่บอลด์วินตอบก็หันกลับไปบอกกับลูกมือของเจ้าของร้าน
แต่คำพูดของฟินตันทำให้บอลด์วินสงสัยหน่อย ๆ
ว่าทำไมคนตรงหน้าถึงซื้อมามากถึง 6 ชิ้น มันควรจะเป็น 5
ชิ้นไม่ใช่หรือยังไงกัน?
“อาจเป็นการเสียมารยาท แต่หากว่าเจ้าคือเจ้าชายฟินตันหรือไม่?”
ฟินตันและบอลด์วินตกใจกับคำถามจากลูกมือของเจ้าของร้านเบเกอรี่เล็กน้อย
แต่ฟินตันได้เตรียมคำตอบไว้เผื่อกรณีเช่นนี้แล้ว
“เปล่า ไม่ใช่หรอก แต่มีคนพูดแบบนั้นกับข้าบ่อยเหมือนกัน
คงเป็นเพราะสีผมและดวงตาของข้ากระมัง”
ฟินตันโกหกออกไปด้วยคำที่เขาเตรียมไว้ในหัวมาตลอดทุกครั้งที่เขาออกมาด้านนอกพระราชวังเช่นนี้
“งั้นหรือ แต่ผมกับดวงตาของเจ้าก็ดูคล้ายเจ้าชายฟินตันมากจริง ๆ
นั่นแหละ”
หลังจากจ่ายเงินด้วยราคาท่ี่สบายกระเป๋าของผู้เป็นเจ้าชาย
ทั้งสองก็เดินออกมาที่ถนนริมแม่น้ำเรนอส
มุ่งตรงไปข้างหน้าต่อตามถนนอย่างไร้จุดหมาย เหมือนกับทุก ๆ
ครั้งที่ทั้งสองออกมาเดินเล่นด้วยกันในอดีต
มือบางกอดถุงกระดาษที่มีครัวซองค์อุ่นไว้แน่น
ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งล้วงลงไปหยิบขึ้นมาเตรียมจะลิ้มลองรสชาติ
กลิ่นหอมที่สร้างความสุขให้เจ้าชายหนุ่มนี้มันพลอยก็ทำให้คนตัวสูงที่เดินอยู่ข้าง
ๆ แอบยิ้มดีใจไปด้วย
ฟินตันกัดชิมครัวซองต์ที่ยังอุ่น ๆ อยู่เข้าไปคำใหญ่
ตามมาด้วยแววตาที่เปล่งประกายออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เขาหันไปหาบอลด์วินทันทีราวกับอยากจะบอกว่านี่มันคือสวรรค์ไม่ผิดแน่
“อย่อยยากเยย (อร่อยมากเลย)”
ฟินตันพูดแม้จะยังเคี้ยวครัวซองต์อยู่เต็มปาก
“555 เจ้าเป็นเจ้าชายจริง ๆ ใช่หรือไม่เนี่ย?
ข้าเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว”
บอลด์วินหัวเราะจนไหล่สั่นกับการกระทำของคนข้าง ๆ ที่น่าเอ็นดูไปหมด
เป็นถึงเจ้าชายแห่งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
แต่ก็ยังทำตัวเป็นกันเองแบบนี้กับเขาผู้เป็นเพียงบุตรชายขององครักษ์
เขาช่างโชคดีเสียจริงที่ได้มีโอกาสรู้จักฟินตัน
“ย้าอยู่ใยยังยยาดยี้ยงเย็นยนยวนยั้ง
(ข้าอยู่ในวังขนาดนี้คงเป็นคนสวนมั้ง)”
ฟินตันยังคงกินครัวซองต์ต่อคำแล้วคำเล่า
รสชาติดีถูกปากเขาดั่งที่สหายของเขาว่าจริง ๆ ด้วย
“เอาถุงใส่ครัวซองต์มาให้ข้าถือดีกว่ามา”
โดยไม่รอคำอนุญาตจากเจ้าชายหนุ่ม
บอลด์วินก็ถือวิสาสะคว้าถุงใส่ครัวซองต์ที่เป็นกระดาษสีน้ำตาลมาจากการกอดไว้ของฟินตันทันที
เขาแค่อยากจะให้คนข้าง ๆ
ได้ลิ้มรสชาติที่เจ้าตัวชอบได้ถนัดขึ้นแค่นั้นแหละ
“ของเจ้ามีชิ้นนึงนะ ส่วนอีกชิ้นนึงข้าฝากให้คุณกันเธอร์ด้วย
เจ้าอย่าเผลอไปกินเองเสียล่ะ”
บอลด์วินเบิกตาขึ้นนิดหน่อยกับสิ่งที่เขาได้ยิน
แม้การที่ฟินตันชอบฝากอะไรให้เขาหรือครอบครัวของเขาจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย
แต่บอลด์วินก็อดไม่ได้ที่จะปลาบปลื้มใจหน่อย ๆ
ในทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น
“อื้อ ขอบใจเจ้ามากนะ”
ทั้งสองคนเดินเล่นและพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ
ระหว่างทางจนกระทั่งรู้ตัวอีกทีก็พบว่าทั้งคู่เดินออกมาจนถึงเขตชานเมืองแล้วเป็นที่เรียบร้อย
สายลมเย็นที่พัดผ่านร่างกายของทั้งสองคนมีความถี่ขึ้นและเย็นกว่าตอนอยู่ในเมืองพอประมาณ
จากการที่พวกเขาออกมาอยู่ในบริเวณที่โล่งกว้างมากขึ้น
แต่ถึงกระนั้นเขตชานเมืองของกรุงมอนทาราก็ยังมีบ้านเรือนกระจัดกระจายพอสมควรอยู่ดีหากเทียบกับเมืองอื่น
ๆ อย่างเช่นนอร์ดหรือเบรเมน
ที่ถ้าหากออกมายังบริเวณชานเมืองแล้วจะเป็นพื้นที่ป่าและการเกษตรกรรมเสียส่วนใหญ่ทันที
นอกเหนือจากหมู่บ้านเล็กหมู่บ้านน้อยที่กระจัดกระจายอยู่รอบนอกของเขตชานเมืองของกรุงมอนทารา
ส่วนมากแล้วจะเป็นพื้นที่เกษตรกรรมของชาวเมือง
ทิวทัศน์ที่สวยงามของบ้านที่ประแต้มไประหว่างทุ่งกว้างที่ใช้ทั้งเพื่อการปลูกพืชผักต่าง
ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของประชาชน
รวมถึงเพื่อการค้าขายกับอาณาจักรข้างเคียง
อีกทั้งยังเป็นแหล่งการเลี้ยงปศุสัตว์ โดยเฉพาะวัว
ที่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของอาณาจักรโคโลเนีย
รวมกับแนวเทือกเขามอร์บัลลาที่อยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันออกแล้วนั้น
เป็นทิวทัศน์ที่สุดแสนจะงดงามและสมบูรณ์แบบเป็นที่สุด
“พวกเรามาถึงตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ฟินตันหยุดเดินแล้วหันมอบรอบ ๆ ตนเอง
บรรยากาศรอบตัวในความทรงจำของเจ้าชายหนุ่มเมื่อครู่ยังเป็นถนนหินที่ราบเรียบมั่นคงที่ขนาบข้างไปด้วยอาคารบ้านเรือนอยู่เลย
ทำไมพอรู้ตัวอีกทีบรรยากาศรอบข้างถึงกลายเป็นทุ่งหญ้ากว้างสลับกับป่าบาง
ๆ ไปได้กัน?
“ไหน ๆ ก็มาแถวนี้แล้ว เจ้าอยากไปที่ประจำของพวกเรากันหรือไม่?”
บอลด์วินชักชวนให้ฟินตันเดินต่อไปอีกหน่อยเพื่อไปยังสถานที่ที่พวกเขาสองคนมักจะไปใช้เวลาพักผ่อนด้วยกันบ่อย
ๆ อย่างเนินเขาเตี้ย ๆ
ริมแม่น้ำเรนอสที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่จำนวนหนึ่ง
อันเป็นส่วนช่วยในการสร้างความร่มรื่นให้แก่เนินเขาแห่งนั้นเป็นอย่างดี
“เนินเขานั่นน่ะหรือ?”
ฟินตันถามซ้ำเพื่อความมั่นใจของตัวเอง
เพราะที่จริงแล้วในบริเวณแถวนี้ก็มีหลายที่ที่เขากับบอลด์วินชอบไปนั่งเล่นด้วยกัน
ทั้งท่าเรือเล็ก ๆ ริมแม่น้ำเรนอสที่สามารถตกปลาได้
หรือหนองน้ำที่สงบเงียบภายในป่าสนโปร่ง
“ใช่”
ได้ยินดังนั้นทั้งเจ้าชายหนุ่มและบุตรชายของอัศวินก็มุ่งหน้าไปที่เนินเขาดังกล่าวทันทีอย่างไม่รีบเร่ง
พวกเขามีเวลาทั้งวันกันอยู่แล้วนี่นา
ขอนไม้ที่บอลด์วินกับฟินตันช่วยกันทำเป็นที่นั่งไว้ยังคงอยู่ในสภาพดี
แม้จะมีใบไม้ร่วงหล่นลงมาให้ดูรกบ้าง แต่เพียงแค่ออกแรงปัดออกเบา ๆ
พวกมันก็จะปลิวลงไปที่พื้นได้อย่างง่ายดาย
ทั้งสองต่างนั่งลงที่ที่นั่งจุดประจำของตนเองแล้วทอดสายตามองออกไปยังทุ่งข้าวสาลีเบื้องล่าง
สายลมเย็นพัดผ่านทุ่งข้าวสีเหลืองให้ปลิวไหวไปตามกระแสลม
ชาวนาบ้างส่วนที่เริ่มเก็บเกี่ยวข้าว
รวมถึงตัวนครมอนทาราที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก
เป็นบรรยากาศที่สุดแสนจะเหมือนฝันเสียจริง
บอลด์วินวางถุงครัวซองต์ลงที่ขอนไม้ที่เอามาทำเป็นโต๊ะกลาย ๆ
ให้คนที่นั่งลงไปก่อนหน้าเขาหยิบอีกชิ้นมากินได้สะดวก
สายลมเย็น ครัวซองต์ที่ยังอุ่นอยู่บ้างเล็กน้อย ทิวทัศน์ที่งดงาม
และสหายคู่ใจ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วกับความต้องการของฟินตัน
“พรุ่งนี้งานวันเกิดของท่าน พ- พ่อของเจ้าใช่หรือไม่?”
บอลด์วินถามทำลายความเงียบและเสียงจากสายลม
เขายังคงไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใดนักกับการเรียกพระราชาวูลแฟรมว่าท่านพ่อของสหายคนสนิท
ถึงแม้ทั้งคู่จะรู้จักกันมาจวนจะสิบปีแล้วก็ตาม
“อื้อ ใช่แล้ว เจ้าอย่าลืมมาด้วยล่ะ
นี่ถือเป็นคำเชิญจากเจ้าชายเลยนะ”
ฟินตันพยักหน้าพร้อมตอบ ก่อนจะกัดครัวซองต์เข้าปากไปอีกคำใหญ่ ๆ
“ข้าไม่ลืมแน่นอน แต่มิน่าล่ะ พ่อของข้าดูยุ่งเสียเหลือเกินช่วงหลัง
ๆ มา กับคนในเมืองก็ดูเยอะกว่าปกติอีก”
แม้นครมอนทาราจะขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรที่มีผู้คนคับคั่งอยู่เป็นนิจ
แต่วันนี้ท้องถนนนั้นกลับคับคั่งเป็นพิเศษจากงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระราชาวูลแฟรม
ที่จะมีการจัดขึ้นอย่างใหญ่โตสมพระเกียรติในช่วงเย็นของวันพรุ่งนี้
การมาเยือนของผู้นำและผู้แทนของนานาอาณาจักรที่นำพามาด้วยซึ่งบุคคลระดับสูงและองครักษ์
จึงไม่แปลกเลยที่นครมอนทาราจะคึกคักมากกว่าปกติเช่นนี้
กันเธอร์เองก็จำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมเช่นกัน
และยิ่งการที่เขาเป็นหัวหน้าองครักษ์ของราชวงศ์แล้วด้วยนั้น
ความผิดพลาดที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อราชวงศ์และแขกในงานนั้นเป็นสิ่งที่ห้ามให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
เขาเลยต้องเข้าพบพระราชาวูลแฟรมเพื่อวางแผนกันหลายครั้ง
รวมถึงต้องซักซ้อมกับกลุ่มอัศวินให้เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทุกรูปแบบ
บอลด์วินที่ต้องตามพ่อของเขาไปดูการฝึกซ้อมอยู่เฉย ๆ
ก็ได้กลายไปเป็นหนึ่งผู้ร่วมการฝึกซ้อมด้วย
จากความสามารถในการใช้ดาบแล้วของเขาที่ดีพอสมควรเมื่อเทียบกับอายุ
ฉะนั้นการได้ออกมาอยู่กับสหายคนสนิทแบบนี้เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเหมือนกัน
“ข้าได้ข่าวมาว่าเจ้าก็ไปฝึกซ้อมการใช้ดาบกับคุณกันเธอร์ด้วยหรือ?”
ฟินตันถามพร้อมหยิบกิ่งไม้แถวนั้นขึ้นมาเล่นเป็นดาบแล้วฟันใส่แขนบอลด์วิน
แต่ดูยังไงก็เหมือนเป็นการตีเล่นมากกว่าฟัน
“ใช่แล้ว แต่เจ้าใช้ดาบเป็นจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย?”
การแซวของบอลด์วินสร้างความเบื่อหนายให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฟินตัน
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน หืมมม?”
ฟินตันว่าแล้วก็ดึงแก้มของสหายตรงหน้าเป็นการลงโทษ
ก่อนจะเลือบไปเห็นดาบประจำตัวของตัวเองที่บอลด์วินวางไว้ข้าง ๆ
ที่นั่งที่เขานั่ง
ฟินตันเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนฝากดาบที่สำคัญยิ่งนี้ไว้กับบอลด์วิน
“ฟินตัน ข้า จ… เจ็บ ข้ายอมแล้ว ข้าขอโทษ”
บอลด์วินชูมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นการแสดงว่าเขายอมแพ้แล้วจริง ๆ
“ข้าขอดาบคืนครู่นึงสิ เดี๋ยวข้าจะแสดงให้ดู”
ฟินตันหยิบดาบออกจากฝักมาถือไว้โดยไม่รีรอให้บอลด์วินได้หายเจ็บแก้ม
ดาบประจำตัวของเจ้าชายหนุ่มเปล่งแสงสะท้อนออกมามากมายจากความมันเงาของตัวใบมีดและลวดลายสีทองสลับกับสีขาวและแดงอันดูวิจิตร
เจ้าชายหนุ่มตั้งสมาธิแล้วเริ่มขยับตัวด้วยความรวดเร็วราวกับนี่เป็นเรื่องปกติที่เขาทำเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว
เขาหมุนตัวไปมาพร้อมวาดลวยลายผ่านดาบที่ถืออยู่ไปด้วยให้สหายของเขาได้ชื่นชม
ก่อนที่สุดท้ายจะจบด้วยท่าโพสต์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง
“เชื่อหรือยังล่ะว่าข้าใช้ดาบเป็น?”
ฟินตันหอบเหนื่อยเล็กน้อยขณะเดินกลับเอาดาบไปเก็บเข้าไว้ที่ฝักดังเดิม
ต้องยอมรับจริง ๆ
ว่าทางพระราชาวูลแฟรมได้มีการฝึกฝนการใช้ดาบให้แก่บุตรและธิดาของพระองค์เป็นอย่างดีทุกพระองค์
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรชายอย่างฟินตัน
ที่จำเป็นต้องเรียนรู้และมีทักษะการใช้ดาบเอาไว้เป็นความสามารถติดตัว
และแม้ในยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านไป
พลังจิตถูกนำมาใช้งานมากขึ้นในการทำสงคราม
แต่ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าคนทุกคนจะมีพลังจิตเมื่อโตขึ้น
การฝึกฝนทักษะเหล่านี้จึงยังมีความจำเป็นอยู่ในยุคนี้
ฟินตันเองก็หวังอยู่ลึก ๆ ว่าเขาจะมีพลังจิตเมื่อมีอายุครบ 18 ปี
เขาอยากมีพลังที่ทำให้เขาดูเท่ขึ้นมากกว่าในปัจจุบัน
คงมาจากการที่คนรอบตัวมองว่าเขาน่าเอ็นดูและดูอบอุ่นไปหมด
ประกอบกับการที่ฟินตันมีพี่ชายอย่างอัลดริชที่มีพลัง Keratin Control
พลังที่ทำให้เขาสามารถสร้างและควบคุมเคราตินในผิวหนังให้กลายเป็นเกราะกำบังได้แล้วนั้น
เขาเลยอยากที่จะมีพลังที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้นได้บ้างเหมือนกัน
“ข้าเชื่อแล้ว ว่าแต่อยากเห็นความสามารถในการใช้ดาบของข้าไหม?”
บอลด์วินเตรียมตัวจะลุกขึ้นโดยไม่รอให้ฟินตันตอบ
“เจ้าถามข้าแต่ตัวเจ้าลุกขึ้นรอแล้วนี่นะ?”
ฟินตันส่ายหน้าพร้อมทำหน้าเบื่อหน่ายใส่บอลด์วิน
“อะ ดาบ หรือเจ้าจะใช้กิ่งไม้?”
แต่ถึงกระนั้นฟินตันก็ยอมยื่นดาบเล่มงามที่ตัวเขาให้เมื่อกี้ให้อีกฝ่ายตรงหน้า
“ให้ข้าใช้ดาบของเจ้ามันจะดีหรือ?”
บอลด์วินยื่นมือออกมากำลังจะรับดาบ
แต่ก็ชะงักแล้วชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
ตัวเขากังวลว่าเพียงแค่ตัวเขารับฝากดาบของเจ้าชายมันก็มากเกินหน้าที่ของเขาไปมากแล้ว
การจะจับดาบออกมาใช้งานตามใจชอบเช่นนี้จะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมหรือไม่?
“ข้าไว้ใจเจ้า เพราะอย่างนั้น… ถ้าเป็นเจ้า ข้าอนุญาต”
คำพูดของฟินตันทำให้บอลด์วินยิ้มออกมา
และเกิดความรู้สึกที่อธิบายได้ยากขึ้นภายในใจของเขา
“แค่เจ้าอยากทำมันพังก็พอ 555”
ฟินตันพูดปิดท้ายติดตลก
ก่อนที่บอลด์วินจะตัดสินรับดาบไปจากมือของฟินตัน
“จะไม่ทำให้ความไว้วางใจของเจ้าเสียเปล่าแน่นอน”
บอลด์วินเก็บดาบเข้ากับฝักแล้วกลัดสายสะพายดาบที่หยิบติดมือมาเข้ากับเอวของตัวเอง
ก่อนจะชักดาบออกมาอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงดังขึ้น
เขาแสดงทุกอย่างที่เขาร่ำเรียนมาให้ฟินตันได้รับชมด้วยความตั้งใจไม่ต่างจากที่ฟินตันแสดงให้เขาดู
น่าแปลกเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นดาบเล่มเดียวกัน
แต่พอดาบของฟินตันอยู่คู่กับสหายคนนี้แล้วมันกับช่วยส่งให้เขาดูดีขึ้นได้อย่างแปลกตา
การถือและหยิบใช้งานก็ยังคล่องตัวราวกับเป็นเจ้าของดาบเสียเองอีกด้วย
รวมท่าทางทะมัดทะแมงนั่นอีก
ผสมลงตัวให้ฟินตันมองเพลิดเพลินไปกับทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ
“นี่…”
เหมือนว่าฟินตันจะใจลอยไปหน่อย
หลังบอลด์วินเก็บดาบกลับเข้าในฝักแล้วเรียบร้อย
เขากลับยังมองบอลด์วินค้างอยู่แบบนั้นต่ออยู่เลย
เสียงเรียกพร้อมการสะกิดที่ไหล่เบา ๆ
ทำให้ฟินตันได้สติแล้วหันหน้าเงยขึ้นมองคนตรงหน้าที่ยื่นดาบกลับมาให้เขา
“ข- ขอโทษ ข้าเหม่อไปหน่อย”
ฟินตันรับดาบกลับมาก่อนจะวางพิงไว้ที่เก้าอี้ขอนไม้ที่นั่งอยู่
“เป็นอย่างไรบ้าง การใช้ดาบของข้า?”
บอลด์วินนั่งลงพร้อมถามคนข้าง ๆ
สายลมเย็นพอจะเริ่มช่วยให้เขาเหนื่อยน้อยลงได้บ้างแล้วทีละนิดทีละหน่อย
ฟินตันมองซ้ายมองขวาด้วยความกระวนกระวายจากการที่เขามัวแต่มองการเคลื่อนไหวของบอลด์วิน
จนลืมที่จะมองดูเลยว่าความสามารถด้านการใช้ดาบของบอลด์วินเป็นเช่นไรบ้าง
“ก… ก็ดี แต่ข้าว่าข้าเก่งกว่า”
ในเมื่อไม่ได้ดูก็ถือซะว่าตัวเองเก่งกว่าละกัน ฟินตันคิดแบบนั้น
“หาาา แค่ก็ดีเองรึ?”
บอลด์วินลุกขึ้นโวย
เขาหวังอะไรมากกว่าแค่คำว่าก็ดีจากคนผู้สูงศักดิ์กว่านี่หว่า
“อื้อ หรือเจ้าหวังอะไร?”
ฟินตันที่รู้จักบอลด์วินมานานรู้ดีว่าคนตรงหน้าชอบให้ชมมากแค่ไหน
การได้รับคำชมจากคนรอบข้างได้กลายเป็นเหมือนปัจจัยที่ห้าในการใช้ชีวิตของบอลด์วินไปเสียแล้ว
“อย่างน้อยขอคำว่าเก่งมากไม่ได้หรือ?”
บอลด์วินพูดด้วยเสียงอ้อนหน่อย ๆ
และนั่นทำให้ฟินตันชะงักไปและทำอะไรไม่ถูก
“อือ… เก่งมากก็เก่งมาก”
เวลาเหมือนจะเดินเร็วกว่าปกติในยามที่เรามีความสุข
รู้ตัวอีกทีที่ฟินตันคิดว่าจะพักสายตาแค่ครู่เดียว
แต่สุดท้ายก็เผลองีบหลับไปนานกว่าที่คาด
จนบรรยากาศรอบตัวก็ถูกฉาบไปด้วยแสงสีส้มหมดแล้ว
อากาศยังเย็นขึ้นกว่าเดิมด้วยอีกต่างหาก
คงเพราะแสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นเริ่มที่จะลับขอบฟ้าไปแล้ว
ฟินตันดันตัวเองลุกขึ้นนั่งก่อนจะมองหาสหายที่ควรจะนั่งอยู่ข้าง ๆ
แล้วพบว่าบอลด์วินไปนอนหลับพิงต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ในมือของคนที่ยังหลับอยู่ยังคงถือกระดาษกับดินสอไว้อยู่เลย
ด้วยความสงสัย ฟินตันเลยค่อย ๆ
ลุกขึ้นแล้วเดินไปดูว่าบอลด์วินวาดหรือเขียนอะไรไว้
ฟินตันย่อตัวลงลุกเข่าข้างบอลด์วินที่หลับอยู่
เขาชะเง้อมองดูกระดาษที่วางอยู่ที่ตักแล้วเห็นเป็นภาพทิวทัศน์ของเนินเขานี้
แต่ในภาพก็มีคนสองคนนั่งอยู่บนเนินเขานั้นด้วย และดูดี ๆ
แล้วก็คือตัวเขาเองกับบอลด์วินนั่นแหละ
สวยจัง ฟินตันคิดในใจ ก่อนจะได้รับสัมผัสที่ไหล่เบา ๆ
จากคนที่ควรจะยังหลับอยู่
“แอบดูรูปที่ข้าวาดหรือ?”
บอลด์วินเอามือวางที่ไหล่ของฟินตันพร้อมถาม
ฟินตันตกใจเลยถอยออกมานิดหน่อยเพื่อเว้นระยะห่าง
“ป- เปล๊า”
บอลด์วินหัวเราะกับปฏิกิริยาของเจ้าชายคนสนิท
แล้วจึงดันตัวเองให้เข้าไปใกล้ฟินตันดังเดิม
“ถ้าเจ้าอยากดูก็ดูเลย ข้าไม่ได้ว่าอะไร”
บอลด์วินยื่นกระดาษที่เขาวาดรูปใส่มือฟินตัน
พอเห็นแบบนี้แล้วฟินตันเลยได้ดูรูปวาดดังกล่าวอีกรอบแบบใกล้ ๆ
มองกี่ทียังไงเขาก็ว่าบอลด์วินวาดรูปสวยเหมือนกันนะนี่
“ว่าแต่… เจ้าตื่นตอนไหนน่ะ?”
ฟินตันถามด้วยความสงสัยขณะกำลังมองดูรายละเอียดของรูปวาดในมือ
“ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเดินมาหาข้าแล้ว ข้าเป็นอัศวินนะอย่าลืม”
ประสาทสัมผัสของบอลด์วินดีจะตายไป
เขาถูกฝึกมาเพื่อการเป็นอัศวินตามรอยพ่อของเขานี่นา
การรับรู้ได้ถึงคนที่กำลังเดินเข้ามาหาตอนกำลังหลับนี่ถือว่าธรรมดามาก
ๆ สำหรับเขาเลยล่ะ
“แล้วนี่เจ้าไม่รีบกลับบ้าน เอ๊ย- พระราชวังหรือ?”
คำพูดนั้นทำให้ฟินตันนิ่งไปครู่นึงก่อนจะสะดุ้งขึ้นมา
“เวรแล้วไง!
เย็นวันนี้ท่านพ่อนัดทานอาหารเย็นรวมด้วยกันทั้งครอบครัวนี่หว่า
ตายละ”
ฟินตันพึ่งนึกขึ้นได้ครับว่าเย็นวันนี้จะมีการนัดทานข้าวเย็นด้วยกันทั้งครอบครัวที่ห้องอาหารหลัก
อันเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เกิดขึ้นบ่อยมากนัก
เพราะปกติแล้วตารางเวลาของแต่ละคนในครอบครัวของเขาจะไม่ตรงกันมากเท่าไหร่นัก
ทั้งสองคนรีบเก็บของที่นำมาด้วยให้เร็วที่สุดก่อนจะวิ่งไปหาพระราชวังด้วยความเร็วที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฟินตันไม่แม้แต่จะใส่หมวกเพื่อปิดบังตนเองแล้ว
เขาไม่ห่วงแล้วตอนนี้ว่าจะมีใครจำเขาได้หรือเปล่า
การไปถึงห้องอาหารช้ามันน่ากลัวกว่าหลายเท่าเลยล่ะ
ในตอนที่แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้านั่นเองที่ทั้งสองคนมาถึงหน้าประตูหลักของพระราชวัง
ฟินตันถูกสังเกตได้ทันทีจากทหารของพระราชวังและเปิดทางให้เขาเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ส่วนบอลด์วินนั้นยืนอยู่ด้านนอก
แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีคุกคามอะไรมาจากทหารของพระราชวัง
เพราะทุกคนต่างรู้จักบอลด์วินดีอยู่แล้ว
อันที่จริงบอลด์วินจะเดินเข้าไปในพระราชวังตามฟินตันเลยก็ยังได้
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
เจ้าชายหนุ่มหอบแต่ก็ยังหันมาโบกมือบอกลาเพื่อนของตน
“เช่นกัน ราตรีสวัสดิ์ขอรับ”
บอลด์วินโค้งคำนับให้สหายของตน
บอลด์วินเดินออกมาจากบริเวณหน้าพระราชวังแล้วจึงพึ่งนึกได้ว่าเขายังไม่ได้กินครัวซองต์เลยซักชิ้น
ว่าแล้วก็เลยล้วงลงไปในถุงกระดาษใบเดิมตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน
“หืม?”
ครัวซองต์ในถุงกระดาษมีอยู่ 3 ชิ้น มันควรจะเป็น 2
ชิ้นไม่ใช่หรือยังไงกัน?
แต่ความสงสัยของเขาก็ถูกทำให้กระจ่างจากกระดาษแผ่นเล็กแผ่นนึงที่มาอยู่ในถุงกระดาษนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้
‘ข้ากินไม่หมด เจ้าเอาไปกินให้ข้าหน่อยชิ้นนึง’
ลายมือที่เป็นเอกลักษณ์นี้ทำให้บอลด์วินรู้ได้ทันทีว่าครัวซองต์อีกชิ้นมาจากไหน
บอล์ดวินหันหลังกลับไปมองพระราชวังหลวงที่เขาเดินออกห่างมาแล้วพอสมควรก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาด้วยความอารมณ์ดี
แล้วจึงหยิบครัวซองต์ชิ้นนึงขึ้นมากินไปหนึ่งคำพร้อมความคิดภายในใจ
อร่อยดีจริง ๆ นั่นแหละ ขอบคุณเจ้ามากเลยนะฟินตัน