Trigger warning: This chapter
contains the mention of massacre and rape.
“ท่านพี่อัลดริช
ข้าจำเป็นต้องสวมใส่เครื่องแบบเต็มยศขนาดนี้เลยหรือ?”
ฟินตันทำหน้ามุ่ยขณะมองตนเองในกระจก
เขายอมรับว่าภาพตัวเองที่สะท้อนจากกระจกมาตอนนี้เป็นภาพที่ดูดีมาก
ถึงอาจจะไม่มากเท่าอัลดริชที่รับหน้าที่ตรวจดูความเรียบร้อยน้องชายของเขาคนนี้
เนื่องจากได้รับการกำชับมาจากท่านแม่ว่าให้ดูแลการแต่งตัวของฟินตันให้ดูดีที่สุดในโอกาสพิเศษเช่นนี้
แต่การต้องแต่งตัวทางการเช่นนี้ไม่เป็นที่โปรดปรานของเจ้าชายหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้นี้เลยแม้แต่นิดเดียว
“งานวันเกิดท่านพ่อทั้งที ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบอะไรที่มันทางการ
แต่อดทนหน่อยเดียวให้ท่านพ่อหน่อยได้หรือไม่?”
อัลดริชตอบแล้วกลัดเหรียญตราที่แสดงความเป็นดยุกแห่งนอร์ด
นครหัวเมืองทางเหนือของอาณาจักรโคโลเนีย ให้กับผู้เป็นน้องชายตรงหน้า
“ข้าไม่ใส่ผ้าคลุมนั่นไม่ได้จริง ๆ หรือท่านพี่?”
ฟินตันพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความไม่อยากทำออกมาชัดเจน
เนื่องจากชุดเต็มยศในงานสำคัญแบบนี้แล้ว
ผ้าคลุมเป็นสิ่งนึงที่เหล่าบุตรชายของพระราชาวูลแฟรมจะต้องสวมใส่ด้วย
ชุดทางการของเหล่าเจ้าชายแห่งอาณาจักรโคโลเนียนี้ไม่ต่างจากชุดทั่วไปมากเท่าไหร่
เป็นชุดแขนยาวสีขาวสว่างเหมือนกัน
เพียงแต่เปลี่ยนกางเกงขายาวและเข็มขัดเป็นสีดำสนิท
รวมกับมีเครื่องประดับที่แสดงถึงยศฐามากกว่า
ทั้งสายยงยศสีทองที่เส้นใหญ่เด่นชัดขึ้นและมีหลายเส้นกว่าเดิม
เหรียญตรากับแถบสีมากมายที่อยู่บริเวณอกด้านซ้ายของเสื้อตัวนอกที่หนาพอสมควร
อินทรธนูสีแดงเลื่อมด้วยทองบนไหล่ทั้งสองข้างสีตัดกับสีของชุดได้เป็นอย่างดี
และผ้าคลุมสีขาวที่ยาวไปถึงกึ่งกลางของน่อง
แต่มีสีทางด้านในที่สามารถมองเห็นได้หากอยู่ต่อหน้าผู้สวมใส่เป็นสีแดงเข้ม
“เจ้าต้องใส่”
อัลดริชตอบเสียงนิ่ง แม้จะอยากยอมให้น้องชายคนนี้มากแค่ไหน
แต่ถ้าไม่ทำตามที่ท่านแม่รับสั่งมาล่ะก็ เขาน่าจะโดนตำหนิไม่น้อยเลย
“โธ่… แล้วยังมีรองเท้านั่นอีก”
ฟินตันย่ำเท้าด้วยความไม่พอใจปนรำคาญพร้อมชี้ไปที่ร้องเท้าบูทยาวเงาสีดำที่พ่อบ้านถือเข้ามาวางเตรียมไว้ต่อหน้าของเขา
“เจ้าใส่ชุดเช่นนี้แล้วดูดีจะตายไป อย่าได้บ่นไปเลย”
มือของอัลดริชจับให้ฟินตันอยู่นิ่ง ๆ
เพื่อที่จะได้สามารถจัดชุดให้ผู้เป็นน้องชายได้
ในสายตาของเขาตอนนี้เขามองว่าน้องชายของเขาดูดีมากเลยทีเดียว
และเจ้าตัวก็ชอบบอกว่าอยากดูดีและเท่เหมือนกับเขา
แต่ทำไมถึงไม่ยอมใส่ชุดที่ส่งให้ตัวเองไปในทางนั้นกว่านี้หน่อยก็ไม่รู้
“มันก็ใช่… แต่ข้าว่ามันรุงรังนี่นา”
ฟินตันหมุนตัวดูตัวเองในกระจกหลังจากที่อัลดริชใส่ผ้าคลุมให้เขาแล้ว
เขาถอนหายใจและทำหน้านิ่งก่อนจะพูดต่อ
“ก็ดูหล่อดีหรอก แต่ข้าไม่ค่อยชอบเลย…”
“ใส่รองเท้าซะแล้วก็เลิกบ่น เจ้าน่ะ”
อัลดริชผลักหัวของฟินตันเบา ๆ ด้วยความรำคาญปนเอ็นดู
“ข้าต้องลงไปที่ท้องพระโรงหลักแล้ว
ท่านพ่อบอกข้าว่าจะมีแขกจากอาณาจักรอื่นมาเยอะมาก
เจ้าก็รีบตามมาซะล่ะ”
อัลดริชมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องนอนของฟินตัน
มุมตรงนี้สามารถมองเห็นบริเวณหน้าพระราชวังได้พอดี
เขาเห็นว่าแขกภายในงานเริ่มทยอยเดินทางมาถึงกันแล้วพอสมควร
เลยบอกน้องชายของตัวเองที่ทำหน้าบึ้งขณะสวมรองเท้าอยู่ไปว่าเขาจะต้องขอตัวก่อนแล้ว
“บอกท่านพ่อว่าข้าปวดท้องด้วยได้หรือไม่?”
ฟินตันพูดพร้อมทำท่าเอามือกุมที่ท้องของตัวเอง
“อย่ามาหลอกข้าให้ยากเลย ตามลงมาเร็ว ๆ ซะล่ะ”
อัลดริชส่ายหัวแล้วเดินเข้ามาดึงแก้มของน้องชายตัวเองเล่นด้วยความมันเขี้ยว
“อือ… ท- ท่านพี่ ข้าโตแล้วนะ! อย่าทำเหมือนว่าข้ายัง 6
ขวบจะได้หรือไม่?”
ฟินตันโวยวาย พี่ชายของเขาชอบทำแบบนี้กับเขาตลอดเลย
เหมือนว่าในสายตาของอัลดริช ฟินตันจะยังเป็นเด็กอยู่อะไรอย่างนั้น
เขาโตขนาดนี้แล้วนะ ทำแบบนี้มันน่าอายออก
“ข้าล่วงหน้าไปก่อนละ อย่าลืมตามมาเร็ว ๆ ซะล่ะ”
อัลดริชหัวเราะแล้วยิ้มด้วยความพอใจที่ได้แกล้งน้องชายของตัวเองเล่น
แล้วจึงขอตัวออกจากห้องนอนของฟินตันไปก่อน ระหว่างทางที่เขาเดินไป
เหล่าพ่อบ้านและแม่บ้านต่างโค้งตัวทำความเคารพผู้สืบทอดราชบัลลังก์พระองค์นี้กันอย่างนอบน้อมเสียหมด
เจ้าชายอัลดริช ดยุกแห่งเอสเซน
ผู้เป็นรัชทายาทลําดับที่หนึ่งของอาณาจักรโคโลเนีย
และยังเป็นคนที่สนิทกับฟินตันมากที่สุดที่เป็นคนภายในราชวงศ์
สองพี่น้องคู่นี้อยู่กันอย่างสงบสุขมาตั้งแต่ยังเด็ก
คงเพราะด้วยการที่น้องคนแรกของอัลดริชเป็นผู้หญิง
เลยอาจจะเข้ากันไม่ได้มากเท่าใดนัก
ทำให้พอเขามีน้องอีกคนเป็นผู้ชายเลยสนิทกันมากและชอบชวนน้องของเขาคนนี้ไปทำกิจกรรมต่าง
ๆ ร่วมกันด้วยเป็นประจำถ้ามีโอกาส
ด้วยความสนิทกันมากที่สุดในสมาชิกราชวงศ์นี้
ทำให้บ่อยครั้งท่านพ่อและท่านแม่ของทั้งสองจะคอยให้อัลดริชดูแลหรือบอกสอนฟินตันในเรื่องต่าง
ๆ ที่ถ้าพวกเขาพูดเองฟินตันคงจะไม่ฟังหรือทำตามแทน
ซึ่งก็ได้ผลดีในตอนที่ฟินตันยังเล็ก
ส่วนตอนนี้ที่ฟินตันโตขึ้นแล้วก็ต้องอาศัยดวงช่วยบ้างในบางครั้ง
อัลดริชมีผมสีดำดังเช่นท่านพ่อของเขา
และมีดวงตาที่เหมือนการผสมรวมกันของท่านพ่อและท่านแม่
ออกมาเป็นสีดำที่ออกไปทางน้ำตาลบ้างในบางมุมที่แสงแดดตกกระทบ
ความนุ่มลึกของเขารวมเข้ากับเครื่องหน้าที่ดูดีซะยิ่งกว่าท่านพ่อของเขาในตอนหนุ่ม
ๆ เช่นนี้ ทำให้เขาเป็นคนที่ดูดีมากเลยทีเดียว
และยิ่งส่วนสูงที่ขณะนี้มีความสูงได้ 182 เซ็นติเมตรแล้วด้วย
ยิ่งเสริมให้เขาในฐานะองค์รัชทายาทของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ดูสง่างามสมตำแหน่งได้เป็นอย่างดี
ตัวองค์รัชทายาทนี้มีลักษณะส่วนตัวที่ถ้าเทียบกับน้องชายอย่างฟินตันแล้วจะเห็นได้เลยว่าเขาจะนิ่งกว่าพอสมควร
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความอบอุ่นที่สัมผัสได้เช่นเดียวกัน
โดยของอัลดริชจะแสดงออกมาผ่านการกระทำซะมากกว่า
เช่นการที่เขาดูแลน้อง ๆ ทุกคนเป็นอย่างดี
รวมถึงการดูแลม้าที่อยู่ในสังกัดของพระราชวังทั้งหมดร่วมกับคนดูแลคนอื่น
แต่ถึงแบบนั้นอัลดริชก็ไม่ใช่คนที่วางตัวดีต่อคนรอบข้างมากเท่าฟินตัน
เขายังถือตัวบ้างอยู่เสมอเนื่องด้วยสถานะของตนเอง
แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร
เพียงแต่สถานะของตนเองมันกำหนดเขาให้กลายเป็นคนเช่นนี้เท่านั้นเอง
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยผู้มาใหม่ที่เข้ามาในห้องนอนของฟินตันที่ทำให้เหล่าพ่อและแม่บ้านต้องย่อตัวลง
“ไคกับไอริชลงไปรอที่ท้องพระโรงใหญ่แล้วนะฟินตัน
เจ้าก็ลงมาได้แล้วล่ะ”
บริจิดในชุดแขนยาวสีขาวที่สวมทับด้วยเดรสกระโปรงฟูฟ่องสีแดงเดินเข้ามาหาน้องชายของเธอในห้องเพื่อเรียกให้เขารีบตามลงไปในบริเวณงานของค่ำคืนนี้
“ข้าจะลงไปในอีกไม่ช้าแล้วล่ะท่านพี่”
ฟินตันตอบพร้อมรับดาบประจำตัวจากพ่อบ้านมากลัดเข้าไว้กับสายสะพายดาบที่เอว
เจ้าหญิงบริจิด ดัชเชสแห่งวาสเซอร์เฟิร์ต
เจ้าของผมสีน้ำตาลเข้มตรงเงายาวสวยที่ชวนให้มองในทุกครั้งที่เธอเดินไปที่แห่งใด
เธอเป็นคนที่ฉลาดและเรียนหนังสือเก่งมาตั้งแต่เล็ก
ทำให้พอเธอเริ่มเติบโตขึ้นได้ถูกท่านพ่อและท่านแม่ของเธอทาบทามให้เข้ามาช่วยทำงานเอกสารราชการแผ่นดินต่าง
ๆ แล้วเธอก็ทำได้ดีมากเสียด้วย
ปัจจุบันนี้เธอเลยทำงานร่วมกับคณะเลขาธิการพระราชวังของอาณาจักรโคโนเนียเป็นงานประจำ
“เห… แต่งแบบนี้เจ้าก็หล่อดีนี่นา”
บริจิดที่พอมองดูน้องชายของตนเองให้ดี ก็พบว่าพอแต่งตัวดี ๆ
เช่นนี้แล้วฟินตันก็ดูหล่อมากเลยทีเดียว
ตัวบริจิดกับฟินตันแม้อาจจะไม่ได้สนิทกันมากเท่าที่ฟินตันสนิทกับอัลดริช
แต่ด้วยความที่เธอดูจะใกล้ชิดกับน้องชายของเธอคนนี้มากกว่ากับพี่ชายของเธอที่เป็นองค์รัชทายาทของราชบัลลังก์
ทำให้ทั้งสองคนก็มักจะคุยเล่นกันด้วยเป็นประจำ
โดยเฉพาะในเรื่องของหนังสือเกี่ยวกับภาษาอื่น ๆ
บนทวีปยูโรปาที่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ทั้งคู่ต่างมีความสนใจร่วมกัน
“ท่านพี่ว่าเช่นนั้นหรือ?”
ฟินตันหันตัวไปมาหน้ากระจกพร้อมด้วยสีหน้าที่ยังไม่ค่อยยิ้มแย้มเท่าไรนัก
“อื้อ ข้าว่าเหมาะมากเลย แล้วนี่เจ้าได้ชวนบอลด์วินมาด้วยหรือไม่?”
เสียงเจื้อยแจ้วที่เป็นคำถามจากบริจิดทำให้ฟินตันขมวดคิ้วสงสัยว่าทำไมชื่อของสหายคนสนิทถึงได้มาอยู่ในบทสนทนานี้ได้
แต่เขาคิดว่าบริจิดน่าจะทราบมาจากเอกสารรายชื่อแขกที่เธอเป็นคนจัดการกระมัง
เพราะฟินตันจำได้ว่าเขาใส่ชื่อเชิญบอลด์วินมาด้วยในเอกสารที่ให้กรอกชื่อนั้น
“ใช่ ข้าเชิญบอลด์วินมาด้วย ท่านพี่ถามทำไมหรือ?”
ด้วยความสงสัย ฟินตันเลยถามกลับด้วย
ยิ่งด้วยรอยยิ้มอันมีพิรุธนั่นอีก
“ก็แหม… เจ้าแต่งตัวหล่อขนาดนี้
ให้บอลด์วินเห็นก็น่าจะดีไม่น้อยไม่ใช่หรือยังไง?”
ฟินตันสะดุดกึกก่อนจะรู้สึกแปลก ๆ ภายในหัว
เหมือนความคิดและจินตนาการของเขามันกำลังตีกันอยู่ในหัวหลังจากได้ยินคำพูดของบริจิด
“ล- แล้ว ท- ท- ทำไมต้องให้บอลด์วินเห็นโดยเฉพาะด้วยเล่า?
เจ้านั่นเห็นข้าใส่ชุดทางการหลายทีแล้วไม่ใช่หรือยังไงกัน?”
ฟินตันตอบอย่างติดขัดโดยไม่ทราบสาเหตุ
แต่นั่นก็ทำให้บริจิดยิ่งยิ้มออกมาได้ด้วยความพอใจ
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าไปก่อนแล้วกันนะ เจ้าก็ตามลงมาเร็ว ๆ ด้วยล่ะ”
บริจิดเอามือป้องปากแล้วหัวเราะออกมาด้วยความอารมณ์ดี
ทำให้ฟินตันไม่รีรออะไรแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามพี่สาวของตนเองไปแหวใส่ทันที
ฟินตันพูดคุยกับบริจิดไประหว่างทางเรื่อย ๆ
จนมาถึงโถงพระโรงหลักของพระราชวัง
โดยปกติแล้วโถงพระโรงแห่งนี้ก็มีการประดับประดาไปด้วยทองและแร่มีค่ามากมายอยู่แล้ว
แต่ด้วยวาระพิเศษเช่นนี้
จึงมีการจัดแต่งสถานที่ให้หรูหราสมพระเกียรติของพระราชาวูลแฟรมมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมอีก
ทั้งดอกไม้มากมายที่ช่วยทำให้บรรยากาศของงานดูสดใสขึ้น
โคมระย้าที่ส่องแสงสว่างด้วยคริสตัลมรกตสีเหลืองอ่อนคุณภาพสูง
พรมลวดลายวิจิตรที่มีรายละเอียดงดงามราวกับภาพวาด
กับอาหารและเครื่องดื่มชั้นยอดที่ถูกจัดเตรียมโดยพ่อครัวของพระราชวังที่มีสูตรการทำอาหารส่งต่อมายาวนานกว่า
300 ปี และผู้คนคับคั่งในชุดที่เป็นทางการและหรูหราแล้วนั้น
งานวันเฉลิมพระชนมพรรษานี้ออกมาตรงตามความตั้งใจของพระราชาวูลแฟรมอย่างไร้ที่ติจริง
ๆ
ในตอนที่ทั้งบริจิดและฟินตันเข้ามาในบริเวณโถงพระโรงแล้วก็พบว่าท่านพ่อของทั้งสองคนกำลังพูดคุยกับพระราชาจากอาณาจักรบรูกไชน์ร่วมกับอัลดริชอยู่ก่อนแล้ว
โดยอาณาจักรบรูกไชน์ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโคโลเนีย
เป็นศูนย์กลางการค้าขายทางเรือและด้านวิทยาศาสตร์ของภูมิภาคนี้
จึงเป็นคู่ค้าสำคัญที่ต้องรักษาสัมพันธ์ไว้ให้ดีหากต้องการค้าขายกับอาณาจักรที่อยู่ห่างออกไปและหากอยากที่จะได้รับวิทยาการใหม่
ๆ มาใช้ในอาณาจักร
ถัดออกไปไม่ไกลในบริเวณโต๊ะอาหารก็มีพระราชินีเฟรยากับไคและไอริชกำลังนั่งพูดคุยอยู่กับท่านทูตที่เป็นตัวแทนของพระราชาและพระชารินีจากอาณาจักรซิลวาสและไพราซันอยู่
ทั้งซิลวาสและไพราซันเป็นอาณาจักรที่อยู่ทางทิศใต้ของทวีปยูโรปา
ในด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรโคโลเนีย
ทั้งสองอาณาจักรมีสภาพอากาศที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยป่าอันอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปศุสัตว์และการทำเหมืองแร่คริสตัลมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอาณาจักร
“แขกมาเยอะจริง ๆ ด้วยสิท่านพี่”
ฟินตันเอียงหัวไปพูดกับบริจิดพร้อมด้วยความกังวลหน่อย ๆ
ภายในใจจากการที่กลายเป็นจุดสนใจของสายตามากมายในห้องเพราะพวกเขาพึ่งมาใหม่
“กังวลหรือ?”
บริจิดที่แม้อาจจะไม่ได้สนิทกับฟินตันมากเท่ากับอัลดริช
แต่เนื่องด้วยเป็นคนที่ชอบสังเกตสิ่งรอบตัวอยู่ตลอดเวลาเลยทำให้เธอดูออกว่าคนข้าง
ๆ เธอกำลังประม่าอยู่พอสมควรเลย
“นิดหน่อยขอรับ”
ฟินตันตอบพร้อมเอาแขนทั้งสองข้างไขว้หลังแล้วกุมมือตัวเองไว้ขณะเดินหน้าเข้าไปในโถงพระโรงลึกขึ้นเรื่อย
ๆ
“มั่นใจแล้วเก๊กหล่อเหมือนตัวเองหล่อมากเหมือนอัลดริชเข้าไว้
ไม่มีอะไรให้กลัวหรอก อ๊ะ! ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะคะ”
บริจิดให้คำแนะนำกับฟินตันที่เหมือนเป็นการหลอกด่าอัลดริชหน่อย ๆ
ก่อนจะหันไปทักทายสหายต่างอาณาจักรด้วยภาษารัสเชี่ยนกับเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรรัสตัน
อาณาจักรที่มีพื้นที่กว้างใหญ่มากที่สุดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของทวีปยูโรปา
รวมถึงเป็นผู้นำด้านการทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์ของทั้งทวีปด้วย
ฟินตันหลังจากทักทายและทำความเคารพสหายของบริจิดเรียบร้อยเขาก็ขอตัวออกมาเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวให้ทั้งสองคนได้สนทนากัน
และได้พบกับกันเธอร์และคณะองครักษ์ที่วันนี้สวมชุดองครักษ์สีดำสนิทเรียบร้อยมาเต็มยศกันทุกคน
“คุณกันเธอร์ สวัสดีครับ”
ฟินตันทักทายในแบบที่เขาทักทายกันเธอร์ปกติ
และนำมาซึ่งสีหน้าหนักใจของผู้ถูกทักทุกที
และยิ่งครั้งนี้ที่อยู่ในงานพระราชพิธีขนาดใหญ่แล้วด้วย
ความหนักใจยิ่งมากกว่าเดิมหลายเท่า
“ท- ท่านฟินตันขอรับ กระหม่อมว่าไม่เหมาะเท่าไรนักนะขอรับ”
กันเธอร์หยุดเดินแล้วกระซิบเสียงเบา
คณะองครักษ์จึงหยุดเดินตามไปด้วยและพากันโค้งทำความเคารพเจ้าชายหนุ่ม
จากนั้นจึงหยุดยืนรอระหว่างการสนทนาของผู้เป็นหัวหน้ากับเจ้าชาย
“ผ- ผม อ๊ะ! ข้าลืมตัวไปหน่อย ว่าแต่บอลด์วินล่ะ”
ฟินตันที่พูดคำว่าผมออกมาส่ายหน้าหลาย ๆ
ทีแล้วจึงพยายามตั้งสติให้ตนเองพูดออกมาด้วยภาษาที่ลดความเคารพคนตรงหน้าลง
“บอลด์วินบอกกระหม่อมว่าจะตามออกมาภายหลังขอรับ
ขออภัยด้วยนะขอรับที่ต้องทำให้พระองค์ต้องคอย”
กันเธอร์โค้งขอโทษฟินตันครั้งนึงก่อนจะกลับมายืนตรงดังเดิม
และแม้ฟินตันอยากจะห้ามคนตรงหน้ามากแค่ไหนก็ตามเขาก็ทำไม่ได้เลย
“อื้อ ถ้าอย่างนั้นข้ารอก็ได้ ไม่เป็นอะไรหรอก
พวกเจ้ากลับไปทำหน้าที่ของพวกเจ้าต่อเถอะ”
ฟินตันพยักหน้าพร้อมสั่งให้คณะองครักษ์กลับสู่การปฏิบัติหน้าที่ต่อไปดังเดิมและไม่ขอรบกวนพวกเขาอีก
โดยเฉพาะกันเธอร์ที่เป็นหัวหน้าองครักษ์
ตลอดช่วงแรกเริ่มต้นของงานเลี้ยงก็ได้มีหลายคนเข้ามาทักทายและพูดคุยกับฟินตันเช่นเดียวกับที่พวกเขาทักทายสมาชิกราชวงศ์คนอื่น
ๆ
และฟินตันก็ถือว่าทำหน้าที่บุตรของผู้ปกครองได้อย่างดีไม่ต่างจากอัลดริชและบริจิด
ทั้งการพูดคุยเพื่อรักษาสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการพูดคุยทั่วไป
ฟินตันมีความสามารถในด้านนี้ดีพอ ๆ กับพี่ของเขาทั้งสองคนเลย
และเมื่อแขกส่วนใหญ่เข้ามาถึงภายในงานแล้ว
ก็ถึงเวลากล่าวตอนรับโดยพระราชาวูลแฟรม
ฟินตันเลยได้ขอตัวจากแขกที่เขาพูดคุยด้วยอยู่ออกมายืนอยู่บริเวณด้านหลังของกลุ่มคนที่ยืนรอฟังท่านพ่อของเขาอยู่หน้าระเบียงที่ยื่นออกมา
ที่จัดเตรียมไว้รอให้พระราชาวูลแฟรมขึ้นไปกล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านในค่ำคืนนี้
ในตอนนั้นเองที่ฟินตันเหลือบไปเห็นนายพลคีย์รันและมือขวาของเขาอย่างดันสตันอยู่
ณ บริเวณเกือบหน้าสุดของกลุ่มคน
นายพลคีย์รันเป็นหัวหน้าทัพหลักของอาณาจักรโคโลเนีย
มีชื่อเสียงในเรื่องของความเด็ดขาดและความรวดเร็วในการจัดการงาน
เขามีอำนาจมากถึงแม้ว่าจะไม่มีพลังจิตเลยก็ตาม
และเขาก็สามารถไต่เต้าในหน้าที่การทหารขึ้นมาถึงผู้นำกองทัพได้ด้วยตัวของเขาเอง
ฟินตันรู้สึกเกรงกลัวคีย์รันอยู่ตั้งแต่เขายังเล็กแล้วอยู่หน่อย ๆ
คงเพราะด้วยการที่คีย์รันดูเป็นคนที่ลึกลับและน่ากลัวในสายตาของฟินตัน
ยิ่งการที่เขามีมือขวาอย่างดันสตัน
กับรวมถึงความสามารถของคีย์รันที่ไม่ใช่การมีพลังจิตแล้วนั้น
ทำให้ฟินตันกลัวคน ๆ นี้อยู่ในใจนิดหน่อยมาตลอด
“ขอบคุณแขกของข้าทุกท่านที่มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ของข้า”
พระราชาวูลแฟรมเริ่มกล่าวต้อนรับด้วยเสียงที่ดังก้องไปทั่วท้องพระโรง
เรียกความสนใจของทุกคนภายในท้องพระโรงให้หันไปตามต้นเสียงบนระเบียงทันที
บนระเบียงที่จัดเตรียมไว้นั้น นอกจากจะมีพระราชาวูลแฟรมแล้ว
ก็ยังมีอัลดริชและคณะองครักษ์อยู่ด้วย
ส่วนบริจิดอยู่ที่บริเวณเครื่องดื่ม
และพระราชินีเฟรยากับไคและไอริชอยู่ที่บริเวณโต๊ะอาหารเช่นเดิม
“เนื่องในโอกาสที่ดียิ่งเช่นนี้ ข้า
ในนามของผู้ปกครองโคโลเนียอันรุ่งโรจน์
ขอต้อนรับทุกท่านด้วยความยินดียิ่-”
ฟุ่บ!
ฉึก!
“อ- อึก!”
ดวงตาของฟินตันเบิกโพลงขึ้นในขณะที่วัตถุแหลมคล้ายลูกธนูพุ่งเข้าปักที่ไหล่ของผู้เป็นพ่อของเขา
“กรี๊ดดดดด!“
เสียงกรีดร้องของผู้คนในงานและเสียงตกใจเริ่มดังขึ้นในขณะที่ชุดสีขาวของพระราชาวูลแฟรมเริ่มมีสีแดงเปื้อนออกมามากขึ้นเรื่อย
ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป
“ใครบังอาจ!”
อัลดริชตะโกนลั่นก่อนที่แสงสว่างภายในท้องพระโรงทั้งหมดจะดับลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ข้าเอง…”
เสียงที่เย็นยะเยือกดังขึ้นในความมืดนั้นก่อนที่แสงสว่างจะกลับมา
แล้วเหล่าคริสตัลส่วนใหญ่ที่ให้แสงสว่างอยู่บนเพดานนั้นก็ได้ระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง
ๆ สร้างความโกลาหลให้แก่งานเลี้ยงทั้งงาน
แขกภายในงานต่างพากันวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว
ฟินตันหันไปตามต้นเสียงเย็นยะเยือกก่อนหน้าแล้วเห็นว่าเป็นคีย์รัน
“นี่เจ้า!”
วูลแฟรมค้ำตัวเองกับระเบียงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น
“ไอ้แก่นี่ ข้าไม่ขออดทนโดนกดหัวใช้อีกแล้วล่ะนะ”
คีย์รันกล่าวอย่างไร้ซึ่งความกลัวก่อนภายมือไปทางวูลแฟรมพร้อมด้วยลูกธนูแบบเดิมอีกมากมายที่จู่
ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนอากาศโดยไม่มีที่มา
“กรี๊ดดดดดด!!”
“รีบหนีเร็วเข้า!!”
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
ฟุ่บ!
แม้เหล่าองครักษ์จะพุ่งเข้ามาเพื่อป้องกันเร็วแค่ไหน
แล้วแม้อัลดริชจะใช้พลังจิตของตัวเองในการสร้างเกราะป้องกันผู้เป็นพ่อยังไง
ลูกธนูมากมายเหล่านั้นก็พุ่งเข้าใส่ร่างกายของแทบทุกคนบนระเบียงนั้นด้วยความเร็วสูง
ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนบนระเบียง
พร้อมด้วยควันสีดำที่ลอยขึ้นมาจากเหล่าร่างกายในบริเวณที่ธนูนั้นได้ปักลง
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของทั้งผู้เป็นพ่อและผู้เป็นพี่ชาย
รวมเข้ากับเหล่าองครักษ์หลาย ๆ คนแล้วนั้น ทำให้ฟินตันตัวสั่นไปหมด
แบบนี้มัน… เวทมนตร์…
นอกเหนือจากผู้มีพลังจิตแล้ว
บนทวีปยูโรปานี้ก็ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มนึงอยู่ที่พยายามอยากจะครอบครองพลังเหนือธรรมชาตินี้
แม้จะเป็นผู้ที่ไม่ถูกเลือกโดยพระเจ้า
เส้นทางที่พวกเขาเหลืออยู่คือเวทมนตร์
ศาสตร์ลึกลับโบราณที่ว่ากันว่ามีมานานตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาบนดาวเคราะห์ดวงนี้
ศาสตร์ที่มีสองด้าน และหากควบคุมและใช้งานไม่ดี
ผลเสียอาจจะเกิดขึ้นกับผู้ใช้งานมากกว่าผลดี แต่อย่างไรก็ตาม
ถ้าเพื่อการจะได้มีความสามารถพิเศษโดยไม่ต้องรอธรรมชาติหรือพระเจ้าคัดเลือกแล้ว
ความทะเยอทะยานและหิวกระหายในอำนาจของมนุษย์สามารถทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ
ภายในห้องที่ทุกอย่างวุ่นวายยิ่งกว่าเดิมในตอนที่พระราชาวูลแฟรมทรุดลงไปพร้อมกับอัลดริชและดิ้นทุรนทุราย
ของเหลวสีแดงที่ค่อย ๆ
ไหลลงมาจากระเบียงสีขาวทีละนิดพร้อมด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ค่อย ๆ
เบาลง
ภาพของพระราชินีเฟรยาที่รีบวิ่งขึ้นไปหาพระสวามีและพยายามเรียกให้เขาตื่นขึ้นมาถูกฝังลึกลงในความทรงจำของฟินตัน
เขาถอยหลังไปก้าวนึงและยกมือขึ้นมาปิดปากไว้ด้วยความช็อก
“บุกได้!!”
เสียงตะโกนของคีย์รันดังขึ้นพร้อมด้วยการแตกกระจายของกระจกด้านหลังบัลลังก์ในท้องพระโรง
พร้อมไปถึงการระเบิดที่ทางประตูหน้าของพระราชวัง
หลังกลุ่มเศษซากจากการทำลายนั้นจางลง
ก็ตามมาด้วยผู้คนมากมายในชุดเครื่องแบบทหารของอาณาจักร
แล้วแทนที่ทหารเหล่านั้นจะโจมตีคีย์รันผู้เป็นภัยต่ออาณาจักรอยู่ในตอนนี้
ทหารเหล่านั้นกับฆ่าทุกคนที่พวกเขาเห็นตรงหน้าราวกับสัตว์ประหลาดกระหายเลือดที่ไร้ซึ่งสติ
“หยุดนะ อ- อย่า กรี๊ดดดดด!”
“อั๊ก!!”
เสียงร้องดังมาจากทุกทิศทางของท้องพระโรง
เลือดสีแดงสดสาดไปทั่วทั้งบนพื้นและผนัง
ทั้งชายและหญิงหรือแม้แต่เด็กต่างตกเป็นเป้าหมายทั้งสิ้น
สายตาของฟินตันยังคงจับจ้องไปที่ระเบียงนั้น
ทหารกลุ่มนึงกำลังวิ่งขึ้นไปหาท่านแม่ของเขาที่กำลังโอบกอดร่างไร้วิญญาณของท่านพ่อของเขาเอาไว้
ด้านหลังไปมีไคและไอริชยืนเกาะชายชุดของผู้เป็นแม่อยู่อย่างสั่นกลัว
โดยไร้ซึ่งความปรานี
ทหารคนนึงใช้ดาบฟาดลงจนแขนข้างนึงของพระราชินีเฟรยาที่ประครองพระราชาวูลแฟรมอยู่จนขาดออก
เสียงกรีดร้องลั่นที่ตามมามันยิ่งทำให้เหมือนว่าโลกใบนี้ของฟินตันกำลังจะถล่มทลาย
“ย- หยุดนะ พวกเจ้าต้องการอะไร?!”
“ท่านแม่… ข้ากลัว”
“อย่าทำอะไรท่านแม่ของข้าเลยนะ”
เฟรยาพยายามต่อรองในขณะที่ถอยหลังหนีทหารกลุ่มนั้นพร้อมกอดปลอบไคและไอริชที่กำลังร้องไห้ไว้ด้วย
“หึ… จัดการพวกมันซะ”
สิ้นคำสั่งของคีย์รัน
ทหารคนนึงในทหารกลุ่มนั้นก็ได้สร้างเปลวไฟขึ้นมาจากมือเปล่า
แล้วพ่นเปลวเพลิงสีม่วงประหลาดนั้นลงไปจนทั่วทั้งตัวของเฟรยา ไค
และไอริช
เปลวเพลิงร้อนที่โดนเข้ากับแผลของเฟรยาแล้วนั้นยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้กับเธอเป็นอย่างมาก
ตามมาด้วยการลุกขึ้นไหม้ท่วมทั้งสามคนบนระเบียงคนนั้น
เสียงกรี๊ดร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาจากบนระเบียง
กลุ่มไฟสีม่วงนั้นขยับไหวไปมาตามการดิ้นทุรนทุรายของสามแม่ลูกบนระเบียงหรู
และโดยไม่รอช้า
ดาบถูกฟาดลงเพื่อหยุดเสียงร้องอันน่าบีบหัวใจนั้นทันที
“ดีมาก น่ารำคาญเสียจริงเสียงอีตัวแบบนั้น เหอะ”
คีย์รันถุยน้ำลายลงที่พื้นก่อนจะเริ่มเดินไปทางบัลลังก์ด้วยสีหน้ายกยิ้ม
ระหว่างทางที่มีคนวิ่งหนีผ่านก็ถูกลูกน้องของเขาจัดการไปหมด
ฟินตันที่มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างรู้สึกช็อกเป็นอย่างมาก
เขารู้สึกท่วมท้นไปด้วยความตกใจ กลัว สิ้นหวัง ก่อนที่จู่ ๆ
พื้นที่เขายืนอยู่จะมีเปลวไฟร้อนลุกโชนขึ้น
มือของเขาที่ขยับไปทางใดด้วยความสับสนก็พบว่าเปลวเพลิงเหล่านั้นก็ขยับตามไปด้วย
ไม่ผิดแน่ นี่มันพลังจิต
“ฟ- ฟินตัน วิ่งเร็วเข้า!”
ในตอนที่ฟินตันกำลังค้างอยู่ตรงนั้น
บริจิดก็วิ่งเข้ามาจับมือของเขาไว้แล้วเรียกสติของเขาให้กลับคืนมา
แม้บริจิดเองก็จะตกใจเช่นกันว่าเหตุผลใดทำให้น้องชายของตนที่อายุเพียงแค่
16 ปีถึงได้สามารถใช้พลังจิตในชื่อ Pyrokinesis
ที่เป็นพลังในการสร้างและควบคุมเปลวเพลิงได้
“ท่านพี่…”
ฟินตันน้ำตาไหลก่อนจะส่งเปลวเพลิงรอบตัวพุ่งไปติดใส่ผ้าและส่วนประกอบของโครงสร้างพระราชวังจนไฟลุกท่วมไปหมด
“วิ่ง! เดี๋ยวนี้!”
ฟินตันและบริจิดวิ่งด้วยความเร็วที่มากสุดเท่าที่ทั้งสองจะทำได้ออกจากท้องพระโรงไปตามทางเดินของพระราชวังที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
มีเสียงกรีดร้องและเสียงพยายามร้องขอชีวิตมาจากทุกทิศทาง
ยิ่งรวมกับเปลวไฟและกลุ่มควันที่เกิดจากฟินตันแล้วด้วยก็ยิ่งทำให้บรรยากาศวุ่นวายไปหมด
“ท- ท่านพี่ ทำไมมีเปลวไฟออกมาจากมือข้ากัน?”
ฟินตันถามด้วยเสียงที่สั่นจากเหตุการณ์อันสะเทือนใจเมื่อครู่
“พลังจิตยังไงล่ะ เจ้าอย่าหยุดวิ่งนะ”
บริจิดออกคำสั่งให้น้องชายของตนเองอย่าหยุดวิ่งในขณะที่กำลังพยายามวิ่งให้เร็วที่สุดตามไปด้วย
ผลั่ก!
แต่แล้วในจุดตัดของทางเดินที่เป็นสามแยกแห่งหนึ่ง
ก็ได้มีทหารกลุ่มนึงพุ่งมาผลักบริจิดและฟินตันให้ล้มลงด้วยด้ามของดาบ
ทำให้หัวของทั้งสองกระแทกกับผนังของพระราชวังจนเลือดไหลกันทั้งคู่
“หืม… นี่มันเจ้าหญิงบริจิดกับเจ้าชายฟินตันไม่ใช่หรือยังไงกัน?”
ทหารคนนึงกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่น่ากลัว
“ข้าเล็งอีนังนี่มานานแล้วพอดีด้วยสิ”
ทหารคนนั้นเอื้อมมือไปกำเส้นผมของบริจิดแล้วดึงตัวของเธอให้ลุกขึ้นนั่งจากที่นอนเจ็บอยู่บนพื้น
“จ- เจ็บ ปล่อยข้านะ!”
บริจิดพยายามดิ้นให้หลุดจากการรวบดึงเส้นผมของคนที่อยู่ตรงหน้า
“ข้าขอเล่นด้วยคนจะได้ไหมล่ะ?”
ทหารอีกคนเดินเข้ามาย่อตัวลงใกล้กับบริจิดพร้อมกับจับไปที่ใบหน้าของเธอแล้วบีบแรง
ๆ จนเธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“พ- พวกเจ้าจะทำอะไรข้า?!”
บริจิดพยายามถามและดิ้นไปมา ทหารคนนึงจะได้ถุยน้ำลายใส่ใบหน้าของเธอ
เธอจึงเลือกที่จะกัดเข้าที่แขนของทหารคนที่จับใบหน้าของเธออยู่
“อ๊ากก!! อีนังนี่!”
ฉึก!
ภาพหายไปจากดวงตาข้างนึงของบริจิด
ตามมาด้วยกลิ่นคาวของเลือดและของเหลวภายในดวงตาที่หยดลงจากใบหน้าของเธอ
ทหารคนนั้นได้ใช้มีดแทงเข้าที่ดวงตาข้างซ้ายของเธอจนบอดไปแล้วถาวร
เธอกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะพยายามถีบพวกทหารกลุ่มนั้น
“ฟินตัน! วิ่งไป! เร็ว! อ๊ะ!!”
ฟินตันที่ถูกมองข้ามไปโดยทหารเหล่านั้นลุกขึ้น พยายามหายใจเข้าและออก
ก่อนจะได้รับคำสั่งจากพี่สาวของตนให้รีบวิ่งหนีไปต่อ
“แต่ท่านพี่- อึก”
ก่อนที่ฟินตันจะได้ห่วงอะไรพี่สาวของตนเอง
บริจิดก็ถูกแทงเข้าที่ไหล่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเลือดกระจายทั่วไปหมด
“กรี๊ดดดดด ฟ- ฟินตัน เร็วเข้า!”
“หืม? ฟินตัน เจ้าจะหนีไปไหน?”
ทหารคนนึงที่เห็นว่าฟินตันกำลังจะหนีไปแล้วเลยจะวิ่งตามไปจับตัวฟินตัน
บริจิดซึ่งกำลังเจ็บปวดเจียนตายก็ได้พุ่งไปจับข้อเท้าของทหารคนนั้นไว้จนล้มลง
เปิดทางให้ฟินตันได้เริ่มวิ่งหนีอีกครั้ง
“อีนังบ้านี่!”
ผลั่ก!
เสียงของรองเท้าที่แข็งของทหารกระแทกเข้ากับคางของบริจิดดังไปทั่วทั้งทางเดิน
ฟินตันหันกลับมามองพี่สาวของตัวเองขณะวิ่งออกไปได้ระยะหนึ่ง
ภาพที่เห็นทำเขาสะอิดสะเอียดและเหมือนจะอาเจียนออกมา
ทหารกลุ่มนั้นถอดกางเกงออก
บริจิดถูกฉีกเสื้อและกระโปรงของเธอจนขาดไปหมด
และกำลังถูกทหารเหล่านั้นรุมกระทำในสิ่งที่เป็นการเหยียดหยามเกียรติของเธออย่างร้ายแรงที่สุดอยู่
ดวงตาที่เหลืออยู่ข้างเดียวของบริจิดไร้ซึ่งแววตาไปเสียแล้ว
แต่ยังจับจ้องมาหาฟินตันอยู่
ราวกับจะบอกเขาว่าอย่าได้สนใจและให้วิ่งต่อไปอย่าได้หยุดเด็ดขาด
เมื่อมองดูดี ๆ จึงพบถึงสาเหตุที่ดวงตาของบริจิดไร้ซึ่งแววตา
นั่นก็เพราะว่าเลือดที่นองไปทั่วบนพื้นทางเดินสีขาวนี้จากการที่เธอถูกแทงเข้าที่ท้องในตอนที่ฟินตันได้จังหวะวิ่งหนีออกมา
เจ้าชายในชุดสีขาวที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาและเลือดในหลายจุดเลือกที่จะปลดผ้าคลุมของตนเองออกให้สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น
แล้ววิ่งต่อไปยังสวนด้านหลังพระราชวัง
เขาพิงกับกำแพงเพื่อพักเหนื่อยก่อนจะค่อย ๆ
ย่องไปทางประตูทางออกที่ใกล้ที่สุดอย่างระมัดระวังเผื่อว่าจะมีใครมาเห็นเข้า
“ฟินตัน”
เสียงเรียกชื่อของเขาทำเอาเขาสะดุ้งและล้มลงกับพื้น
เขาเตรียมใจไว้แล้วว่ามันคงถึงตาของเขาบ้างแล้วสินะ
ก่อนจะพบว่าแท้จริงแล้วเป็นเสียงของกันเธอร์
และนั้นทำให้เจ้าชายหนุ่มยิ่งร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิมเสียอีก
“ค- คุณกันเธอร์ ฮึก- ผม ผม…”
ฟินตันรีบลุกขึ้นแล้วเข้าไปสวมกอดผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์ของราชวงศ์
แล้วจึงพึ่งสังเกตเห็นว่าแขนซ้ายของกันเธอร์ไม่มีอยู่แล้ว
“ท่านฟินตัน ฟังกระหม่อมนะ กระหม่อมมีเวลาเหลือไม่มาก
แต่กระหม่อมจะพาพระองค์หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่กระหม่อมจะทำได้
อึก…”
ความเจ็บปวดแล่นผ่านร่างกายของกันเธอร์พร้อมด้วยเลือดที่ยิ่งไหลออกมาเรื่อย
ๆ จากการไร้การปฐมพยาบาลจนทำให้หัวหน้าองครักษ์เซจวนจะล้มลง
ยังดีที่ได้การประครองจากเจ้าชายตรงหน้าไว้ก่อน
“พ่อ! มันเกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย?”
ในระหว่างที่กันเธอร์พยายามจะปลอบฟินตันและยืนทรงตัวนั้นเองก็มีเสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้น
บอลด์วินนั่นเอง
“บอลด์วิน อึก- ฮือ…”
บอลด์วินรับตัวฟินตันมากอดปลอบไว้จากผู้เป็นพ่อ
ก่อนที่ฟินตันจะร้องไห้ออกมาใส่จนไหล่ของชุดสีน้ำเงินเข้มอย่างดีของเขาที่เตรียมมาใส่ในงานสำคัญที่กลายเป็นโศกนาฏกรรมนี้จนเปียกไปด้วยน้ำตาของเขาไปหมด
แต่ก็ไม่มีเวลาให้พวกเขาสงสัยและตกใจอะไรต่อมาก
ในตอนนั้นเองที่มีเสียงดังมาจากด้านหลังของพวกเขาทางด้านพระราชวัง
“เห้ย! มีพวกมันอยู่ทางนี้”
เหล่าทหารที่ทรยศต่ออาณาจักรเจอพวกเขาเข้าให้แล้ว
กันเธอร์เลยตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ทันที
เพื่อรักษาไว้ซึ่งสมาชิกราชวงศ์คนสุดท้าย
และเพื่ออนาคตของอาณาจักรแห่งนี้
“บอลด์วิน พ่อไม่มีเวลาอธิบายมาก ฟังพ่อนะ ตอนนี้มันเกิดกบฏขึ้น
เจ้าต้องพาฟินตันหนีไปให้ไกลที่สุด
ฟินตันเป็นคนสุดท้ายของราชวงศ์ที่เหลืออยู่แล้ว
ลูกเข้าใจความสำคัญนี้ใช่ไหม?”
กันเธอร์เอามือที่เหลืออยู่ข้างเดียววางลงที่ไหล่ของบอลด์วิน
แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังที่สุดเท่าที่บอลด์วินเคยได้ยินมาตลอดทั้งชีวิตจากชายตรงหน้า
“ค- ครับพ่อ”
บอลด์วินรับปากพร้อมพยักหน้า
“เข้าใจแล้วก็ดี วิ่งไปให้เร็วที่สุดซะ!”
กันเธอร์บีบไหล่ของลูกชายตนเองแล้วปล่อยมือจากไหล่นั้น
มือข้างนั้นเปลี่ยนไปหยิบดาบออกมาจากฝักแทนเพื่อเตรียมรับมือทหารกลุ่มใหญ่
ที่ดูยังไงเขาก็ไม่น่าจะต่อกรได้แน่นอน
แต่อย่างน้อยถ้าสามารถถ่วงเวลาให้บอลด์วินพาฟินตันที่กำลังขวัญเสียหนีไปได้มันก็ยังดี
แม้จะต้องยอมสละชีวิตตนเองก็ตาม
“ล- แล้วพ่อล่ะครับ?”
บอลด์วินหันกลับมาถามพ่อของตนเองหลังจากเริ่มวิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าวพร้อมกับฟินตัน
“มีชีวิตอยู่ต่อไปซะนะ ลูกชายของข้า”
เสียงดาบกระทบกันเป็นสัญญาณว่าบอลด์วินไม่ควรถามหรือหยุดอยู่ตรงนั้นอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว
สองฝีเท้าของเขาและฟินตันรีบมุ่งหน้าออกจากเขตพระราชวังที่มีกลุ่มควันพวยพุ่งทันทีด้วยความเร็วที่มากที่สุดตามคำสั่งสุดท้ายของผู้เป็นพ่อ
สายน้ำตาที่หยดลงตามพื้นหยดแล้วหยดเล่าของทั้งสองก็ไม่อาจมาเป็นเหตุผลให้ทั้งบอลด์วินและฟินตันต้องวิ่งช้าลงได้
พวกเขาวิ่งหนีไปเรื่อย ๆ
ผ่านท้องถนนของนครมอนทาราที่วุ่นวายในยามดึกที่แปลกตา
ความสับสนของผู้คน
ข่าวที่สะพัดไปทั่วว่าทั้งพระราชาและพระราชินีรวมถึงทุกคนในราชวงศ์สิ้นแล้วยิ่งทำให้เมืองที่วุ่นวายอยู่แล้วนั้นวุ่นวายยิ่งกว่าเดิมจนเข้าสู่ความโกลาหล
สองเท้าของทั้งสองคนได้เริ่มลดความถี่และเร็วของการก้าวไปข้างหน้าลงเมื่อพวกเขาวิ่งมาจนถึงเนินเขาในเขตชานเมืองที่ได้มาด้วยกันเมื่อวันก่อน
ฟินตันยังคงร้องไห้และสะอื้นอยู่ตลอดเวลาจนชุดที่ใส่อยู่เปื้อนไปหมด
“ฟินตัน เจ้านั่งลงก่อนนะ”
ฟินตันไม่ตอบแต่ก็ยอมนั่งลงที่เก้าอี้ของตนเอง
ทิวทัศน์เบื้องหน้าของพวกเขาที่ควรจะเป็นเมืองที่สวยงามแม้ยามกลางคืนเช่นนี้
กลับเป็นภาพของนครที่เต็มไปด้วยสีส้มของเปลวเพลิงและกลุ่มควันสีเทาที่พวกพุ่งออกมาจากพระราชวังและบริเวณโดยรอบ
จะบอกว่าจากนครที่สวยงามราวกับสวงสวรรค์ได้กลายสภาพเป็นนรกบนดินก็คงไม่ผิดนัก
บอลด์วินที่มองภาพที่สะเทือนใจตรงหน้าแล้วก็ได้เพียงแค่ปาดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยแขนเสื้อลวก
ๆ เท่านั้น เพราะตอนนี้เขามีภารกิจที่ต้องทำอยู่
และภารกิจนั้นเดิมพันถึงอนาคตของอาณาจักรที่เขาอยู่อาศัยนี้ด้วย
ภารกิจการปกป้องเจ้าชายฟินตัน
สมาชิกแห่งราชวงศ์พระองค์สุดท้ายที่เหลืออยู่ในขณะนี้
“บอลด์วิน…”
ฟินตันเรียกชื่อของบอลด์วินทั้งน้ำตาเมื่อเขาคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าชายหนุ่ม
มือของฟินตันยังคงสั่น
ดวงตาของเขาเบิกกว้างและมีน้ำตาไหลออกมาตลอดเวลา
ยิ่งรวมกับอาการสั่นเกร็งและเลือดที่เปื้อนชุดสีขาวนั้นแล้วด้วยนั้น
ยิ่งที่ทำให้บอลด์วินต้องรักษาคนตรงนั้นเขาไว้ให้ได้
“ข้า… บอล์ดวิน ไอเซินฮาร์ท
ขอสาบานว่าจะรับใช้แด่ราชวงศ์และอาณาจักรอันเป็นที่รัก
จะยอมตายอย่างกล้าหาญ มีเกียรติ และศักดิ์ศรี เพื่อรับใช้แผ่นดินนี้
ตราบจนกว่าชีวิตของข้าจะหาไม่”
ฟินตันชะงักจากอาการสะอื้น
เพราะสิ่งที่บอลด์วินกล่าวต่อเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นนั้นคือคำสาบานตนก่อนเข้ารับตำแหน่งเป็นองครักษ์ของราชวงศ์
บทพูดที่เขาเคยได้ยินมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในตอนที่มีอัศวินคนใหม่ ๆ
เข้ามาในคณะองครักษ์ของราชวงศ์
“เจ้า…”
ก่อนที่ฟินตันจะได้กล่าวอะไร
บอลด์วินก็ถือวิสาสะหยิบดาบประจำตัวของฟินตันออกมาจากฝักที่ยังคงเหน็บอยู่กับเอวของฟินตันจนถึงตอนนี้มาใส่มือของผู้เป็นเจ้าของ
จากนั้นก็ประครองจับมือของฟินตันที่สั่นเทานั้นบังคับวางดาบเล่มงามลงไปบนไหล่ของเขาทั้งสองข้างอย่างช้า
ๆ เพื่อให้พิธีการสาบานตนเป็นองครักษ์นั้นเสร็จสิ้นลง
“ข้าจะปกป้องเจ้าไปตลอดชีวิตของข้าเลย”
บอลด์วินกล่าวพร้อมมองไปที่ฟินตันด้วยความจริงจัง
“อึก- อื้อ…”
ฟินตันปล่อยมือจากดาบและปล่อยให้มันตกลงที่พื้นอย่างไม่เกรงกลัวว่ามันจะบิ่น
แล้วทรุดตัวลงจากเก้าอี้ที่ทำจากท่อนไม้แก่เพื่อสวมกอดคนคนสุดท้ายที่เขาหลงเหลืออยู่ในชีวิต
ณ ตอนนี้
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเต็มไปหมด
เหตุการณ์ในวันนี้มันคงจะฝังอยู่ในใจของเขาไปตราบชั่วชีวิตเป็นแน่แท้