the tale of the wind knight and the fire prince by: kritzy_8 co-planning by: naiya & monk

Chapter 3 - System Scan Week

Trigger warning: This chapter contains the mention of self-harm and suicidal thought.
 
เหตุการณ์ในวันนั้นที่เป็นเหมือนกับฝันร้ายยังคงตามหลอกหลอนฟินตันอยู่แม้เวลาจะผ่านไปแล้วกว่าสองปี ในตอนนี้ที่ตัวเขาและบอลด์วินหนีออกมาตั้งหลักไกลถึงนอร์ด เมืองบ้านเกิดของพระราชินีเฟรยา และเมืองที่เป็นตำแหน่งยศของฟินตันด้วย
หลังจากตั้งหลักและนอนพักที่เนินเขาที่ชานเมืองมอนทาราในคืนนั้นเพื่อเก็บแรง บอลด์วินและฟินตันตัดสินใจว่านอร์ดดูเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และพวกเขาก็คิดไม่ผิด เพราะในตอนที่พวกเขามาถึงนอร์ดนั้น เหล่าญาติของท่านแม่ของฟินตันยังคงมีอำนาจในนอร์ดอยู่ จึงสามารถให้การช่วยเหลือทั้งการหาที่อยู่และการปกปิดตัวตนให้ฟินตันได้ โดยฟินตันกับบอลด์วินได้รับที่ดินพร้อมบ้านหลังเล็กสองห้องนอนอันอบอุ่นอยู่ในเขตชานเมืองนอร์ด และฟินตันยังได้รับการปลอมแปลงบันทึกให้เป็นพลเมืองของนอร์ดแต่กำเนิดด้วย แต่ต้องใช้ชื่อแฝงว่าอาร์เจน เบลซ แทน เพื่อปกปิดตัวตน
การกระทำนี้ทันท่วงทีก่อนที่กลุ่มอำนาจของคีย์รันจะขยายอิทธิพลมาถึงนอร์ดและกวาดล้างกลุ่มผู้มีอำนาจเก่าที่ไม่ยอมขึ้นตรงกับคีย์รันทิ้งทั้งหมดพอดี ญาติทางฝั่งแม่ของฟินตันพยายามต่อสู้เพื่อต่อต้านอำนาจของคีย์รันอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานจำนวนคนและอำนาจของพลังได้ จนสุดท้ายก็โดนกวาดล้างจนหมดสิ้นไปในที่สุด
ก่อนที่เหล่าผู้ปกครองเมืองนอร์ดจะสิ้นจนหมด ฟินตันได้รับเงินก้อนหนึ่งมาด้วย เพื่อเป็นสิ่งที่จะการันตีว่าเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ จนกว่าจะถึงวันนึงที่เขาจะกลับมาทวงคืนการปกครองจากเผด็จการทหารอย่างคีย์รัน
 
“ท่านแม่!”
เสียงร้องโหยหวยของไคและไอริช
“อ๊ากกกก!”
เสียงร้องอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของท่านพ่อและท่านพี่อัลดริช
“เจ้าต้องการอะไรจากข้า!?”
เสียงต่อรองของท่านแม่ที่แม้จะเต็มไปด้วยเลือด
“ฟินตัน วิ่งไปแล้วอย่าได้หยุดนะ”
และเสียงคำสั่งสุดท้ายของท่านพี่บริจิดและกันเธอร์
 
ในช่วงกลางคืนที่เจ้าชายหนุ่มควรจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจในห้องที่อบอุ่น ฟินตันกลับต้องเผชิญกับฝันร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า เขากลัวการเข้านอนในทุก ๆ คืน เขากลัวว่าหากหลับตาลงแล้ว ภาพความทรงจำในวันนั้นมันจะกลับมาทำให้เขาเจ็บปวดอีก
แต่ไม่ว่าจะห้ามไม่ให้คิดเรื่องนี้ยังไง มันก็ยังกลับมาหลอกหลอนเขาอยู่บ่อย ๆ และคืนนี้ก็เช่นกัน
ฟินตันที่ฝันร้ายพยายามวิ่งหนีออกมาจากพระราชวังที่ไฟกำลังลุกท่วม เขาที่ตัวคนเดียวท่ามกลางบรรยากาศที่ราวกับนรกบนดิน ทุกก้าวที่วิ่งไปข้างหน้ามันช่างดูเชื่องช้าเสียเหลือเกิน อีกไม่นานเหล่าทหารที่ไล่ตามมาก็จะตามเขาทันแล้ว หากจะหวังให้ใครมาช่วยในยามเช่นนี้ก็คงจะไม่มีเป็นแน่
“มันจบแล้วล่ะ”
ฟินตันทรุดตัวลงกับพื้นถนนแข็งของมอนทารา เมื่อมองดูดี ๆ ก็พบว่าบนพื้นของถนนต่างมีเลือดฉาบอยู่ทั่วไปหมด ฟินตันยกมือที่วางลงบนพื้นก่อนหน้านี้ขึ้นมาดูเป็นการยืนยันอีกครั้งว่านั้นคือเลือดแน่นอน เขายังจำกลิ่นของมันที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งโสตประสาทในคืนวันนั้นได้เป็นอย่างดี
และรู้ตัวอีกที ดาบแสนคมก็ฟันลงมาแล้ว
 
“ฟินตัน”
“เฮือก!”
ฟินตันสะดุ้งลืมตาออกจากฝันร้ายแล้วเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อและน้ำตาพยายามสูดหายใจรับอากาศเข้าสู่ปอดครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมกับพยายามมองดูบรรยากาศรอบตัว นี่ไม่ใช่มอนทารา นี่ห้องนอนของเขาที่นอร์ดต่างหาก แล้วยังมีคนอีกคนอยู่ในห้องข้างโคมไฟนั้นด้วยอีก อ๋อ… บอลด์วินนั่นเอง
“ไม่เป็นอะไรนะ”
บอลด์วินมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หรืออาจจะด้วยน้ำตาและความที่เขาพึ่งตื่นเลยมองไม่ชัดก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ที่ฟินตันมั่นใจก็คือสัมผัสของการกอดในตอนนี้ว่ามันไม่ผิดแน่ว่าคือกอด
“ฮึก- ฮือ…”
ฟินตันกอดตอบสหายของเขาตรงหน้า เขายังคงสะอื้นครั้งแล้วครั้งเล่าจากฝันเมื่อครู่และไม่อาจพูดตอบอะไรคนตรงหน้าได้
“ข้าอยู่ตรงนี้เสมอ เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
สัมผัสที่หลังของฟินตันขยับขึ้นมาลูบหัวปลอบประโลมเขาเบา ๆ ทำให้เจ้าชายหนุ่มพอจะเริ่มผ่อนความถี่ของการหายใจให้ช้าลงได้บ้างทีละน้อย
น่าแปลกใจเหมือนกันว่าในครายังอยู่ที่มอนทารา บอลด์วินจะไม่กล้าสัมผัสส่วนนี้ของฟินตันมากเท่าไรนักเนื่องจากเป็นของสูง และบ่อยครั้งที่ฟินตันจะไม่ยอมให้ใครมาสัมผัสด้วยเช่นกัน แต่ในครั้งนี้เขากลับไม่ว่าอะไรบอลด์วินเลย
 
“ข- ข้าไม่ชอบเลย ฝันเช่นนี้”
ฟินตันพูดขึ้นหลังจากผ่านไปพักใหญ่ ๆ ที่เขาเริ่มสงบลง
“จิบน้ำอุ่นอาจจะช่วยให้เจ้าดีขึ้นได้บ้าง”
บอลด์วินยื่นแก้วน้ำกระเบื้องสีครีมให้ฟินตันที่นั่งอยู่บนเตียงเพื่อให้เขาจิบ ซึ่งหลังจากจิบไปสองสามคำมันก็ช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้นได้จริงเสียด้วย รสชาติและกลิ่นแบบนี้ ใส่ชาลงไปด้วยสินะ
“ขอบใจเจ้ามากนะ”
บอลด์วินพยักหน้ารับคำขอบคุณ เขามองดูฟินตันจิบน้ำอุ่นอีกเล็กน้อย ก่อนที่แก้วน้ำนั้นจะถูกวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง คนในชุดนอนสีกระดาษเก่าหาวออกมาวอดใหญ่ เป็นสัญญาณบอกบอลด์วินว่าเขาควรออกจากห้องนอนนี้แล้วกลับไปที่ห้องของตนเองได้แล้ว
“เจ้านอนต่อเสียเถอะ พรุ่งนี้เจ้าต้องเข้าร่วม System Scan ไม่ใช่หรือ?”
ฟินตันดึงปลายผ้าห่มที่ร่นลงไปอยู่ที่หน้าตักมาถือไว้ที่อก เขาเกือบลืมไปเสียแล้วว่าปีนี้เขามีอายุครบ 18 ปี และจะต้องเขารับการตรวจวัดพลังจิตในสัปดาห์ System Scan ที่จะเป็นห่วงสัปดาห์ของการตรวจวัดพลังประจำปีของทั้งอาณาจักร
การวัดระดับพลังในสัปดาห์ System Scan นี้จะเน้นไปที่การตรวจวัดระดับพลังของบุคคลที่อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์เป็นสำคัญ และรองลงมาคือการตรวจเช็คระดับพลังของประชาชนทั่วไปทุกคนที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีและมีประวัติว่ามีพลังจิต เพื่อติดตามการพัฒนาพลังของพวกเขา และเฟ้นหาตัวบุคคลที่มีศักยภาพที่จะทำคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินนี้ได้
“ข้าเกือบลืมเลย ขอบคุณเจ้ามากนะที่เตือนข้า”
ฟินตันหาวอีกทีนึงหลังจากพูดจบ บอลด์วินจึงปิดโคมไฟจากคริสตัลสีเหลืองอ่อนที่หัวเตียงและเตรียมจะกลับห้องนอนของตัวเองที่จากมาเมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงก่อน เนื่องจากเขาได้ยินเสียงคนในห้องข้าง ๆ ร้องไห้ขึ้นมา
“ราตรีสวัสดิ์ขอรับ ท่านดยุกแห่งนอร์ด”
บอลด์วินกล่าวพร้อมโค้งตัวในความมืดที่เกือบสนิท แม้จะปิดโคมไฟดั่งกล่าวแล้ว แต่ก็ยังคงเหลือแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องจนเกิดเป็นแสงสีน้ำเงินสวยอยู่ดี
“ด- เดี๋ยวก่อน”
ฟินตันเอื้อมมือไปจับชายเสื้อของคนที่กำลังจะออกไปจากห้องของเขาได้ทัน บอลด์วินคิดว่าเขาน่าจะโดนบ่นแน่เลยกับการเรียกชื่อยศของคนบนเตียง
“ข้าขอไปนอนกับเจ้าได้ไหม?”
แต่เปล่าเลย
 
น่าแปลกเสียจริงที่พอย้ายมานอนบนเตียงกับบอลด์วินในห้องนอนอีกห้องแล้วนั้น ฟินตันกลับไม่ฝันร้ายหรือฝันอะไรอีกเลยในค่ำคืนที่เหลืออยู่ อาจจะเพราะการที่เขามีองครักษ์ของเขาอยู่ข้าง ๆ ก็เป็นได้ กลิ่นและบรรยากาศภายในห้องที่ให้ความรู้สึกดั่งกับมีบอลด์วินห้อมล้อมเขาอยู่รอบตัวเช่นนี้ มันช่างปลอดภัยเสียจริงเลย
บอลด์วินแม้จะเข้านอนคนเดียวจนชินไปแล้ว แต่การที่มีคนตัวเล็กกว่ามานอนด้วยแบบนี้ก็ทำให้เขาพลอยนึกถึงเรื่องราวตอนที่เขายังเด็กอยู่ขึ้นมา ในตอนที่เขาเผลอหลับไปบนเตียงพร้อมฟินตันในช่วงบ่ายวันหนึ่งในพระราชวัง จนสุดท้ายพ่อของเขาต้องได้ไปขอประทานอภัยจากท่านพ่อและท่านแม่ของฟินตันที่เขาเผลอทำแบบนั้นไป แต่แล้วสุดท้ายทั้งพระราขาวูลแฟรมและพระราชินีเฟรยาก็ไม่ได้ถือโทษอะไรแก่ครอบครัวของเขา ทั้งสองยังกล่าวว่าดีแล้วเสียอีก ที่ทำให้ฟินตันหลับในเวลานอนกลางวันได้
“ฟินตัน…”
สิ่งแรกในตอนเช้าตรู่ของวันที่เจ้าชายหนุ่มรับรู้หลังจากนอนหลับสนิทเต็มอิ่มก็คือเสียงของเจ้าของห้องนอนที่เขาขอมาร่วมอาศัยด้วยในคืนที่ผ่านมา เขางัวเงียและพยายามพาตัวเองลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงก่อนจะตอบ
“ทำไมถึงได้ หาว… ปลุกข้าแต่เช้าจัง?”
ฟินตันตอบไปหาวไป มือก็พลางขยี้ตาเพื่อให้ขี้ตาหลุดออกไปด้วย
“จุดไฟให้ข้าเสียหน่อยได้หรือไม่?”
บอลด์วินถามพร้อมยื่นไม้อ่อยไฟมาใส่มือของฟินตัน เขารับมาแล้วถอนหายใจพร้อมส่ายหัวหลาย ๆ ทีเพราะความง่วงที่ยังเหลืออยู่บ้าง ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามคนเจ้าของผมสีดำนั้นออกมาที่บริเวณเตาผิงใกล้กับโต๊ะรับประทานอาหาร เสียงเอี๊ยดอ๊าดของพื้นไม้ใต้ฝ่าเท้ายิ่งเป็นการกล่อมให้เขาอยากที่จะหลับต่อเสียจริง
เจ้าชายที่สายตายังพร่ามัวบ้างหลังตื่นนอนมองไปเห็นกองฟืนและถ่านวางรออยู่แล้วใต้หม้อที่แขวนไว้ จึงเข้าใจได้ทันทีว่าจะต้องทำอะไรต่อ
ฟินตันตั้งสติเล็กน้อยแล้วเพ่งสมาธิไปที่มือข้างขวาที่จับไม้อ่อยไฟไว้ อย่างน่าอัศจรรย์ในทุก ๆ ครั้งที่บอลด์วินได้เห็น เปลวไฟผุดขึ้นจากมือของฟินตันและติดเข้าที่ไม้อ่อยไฟได้สำเร็จ
เจ้าของผมสีน้ำตาลไม้สปรูซมองไม้อ่อยไฟที่เริ่มไหม้บนมือเขาครู่หนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่าไฟติดแล้วแน่ ๆ โดยไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด แล้วจึงวางไม้อ่อยไฟที่ติดไฟนั้นใส่ในกองฟืนและถ่านที่บอลด์วินวางไว้รอใต้หม้อเพื่อทำอาหารเช้า
“ขอบใจเจ้ามากเลยนะ กลับไปนอนต่อก็ได้นะหากเจ้าต้องการ ถ้าอาหารเช้าพร้อมทานแล้วเดี๋ยวข้าจะไปปลุก”
บอลด์วินกล่าวขอบคุณแล้วกลับเข้าสู่โหมดการทำอาหาร ไม่น่าเชื่อว่าลูกชายขององครักษ์ผู้นี้สามารถทำอาหารออกมาได้รสชาติดีพอสมควรเลยทีเดียว อาจเป็นเพราะการได้เรียนรู้มาจากผู้เป็นแม่ที่ได้สอนเขาไว้ในยามยังอยู่ที่มอนทาราก็ได้
“ข้าอยู่ช่วยเจ้าดีกว่า”
ถึงฟินตันจะไม่ได้ทำอาหารเก่งเท่าบอลด์วิน แต่เขาก็มักจะคอยช่วยเหลืออีกฝ่ายอยู่เสมอในจุดที่เขาทำได้ เช่นการส่งวัตถุดิบหรือเครื่องปรุงให้หรือการหั่นอะไรง่าย ๆ รวมไปถึงการใช้พลังจิตที่ตนมีให้เกิดประโยชน์
“ฟินตัน ข้าขอไฟแรงหน่อย”
ระหว่างการเดินทางมายังนอร์ดเมื่อสองปีก่อนนั้น ฟินตันได้เล่าให้บอลด์วินฟังถึงการที่เขาสามารถใช้พลังจิตได้แม้จะยังมีอายุไม่ถึง 18 ปี รวมถึงได้แสดงให้ดูว่าเขาสามารถใช้พลังจิตได้จริง ๆ บอลด์วินตกใจและประหลาดใจไปพร้อมกันในขณะที่รู้ความจริงข้อนั้น เขายังจำได้ชัดเจนถึงความทรงจำในตอนนี้ที่ฟินตันสร้างเปลวเพลิงขึ้นมาบนฝ่ามือของเขาและช่วยเขาในการก่อไฟ และตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบัน หากวันไหนบอลด์วินลืมที่จะซื้อเศษวัตถุที่ติดไฟได้ง่ายมาเป็นเชื้อให้ไฟจากหินเหล็กไฟหรือไม้ขีดไฟลามไปติดล่ะก็ ฟินตันก็จะได้รับหน้าที่เป็นคนจุดไฟให้ตลอด
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตอนเช้าดำเนินไปอย่างที่มันเป็นมาตลอดสองปีในบ้านหลังเล็กนี้ ฟินตันที่ได้ช่วยทำอาหารเช้าด้วยแบบนี้ยิ่งรู้สึกว่าอาหารในถ้วยมันอร่อยกว่าปกติยิ่งกว่าเดิมอีก คงเป็นเพราะความภูมิใจที่วันนี้บอลด์วินยอมให้เขาช่วยคนซุปกระมัง
“เจ้าก็ต้องเข้าร่วม System Scan ใช่หรือไม่?”
ฟินตันถามบอลด์วินที่กำลังรินน้ำใส่แก้วอยู่
“อื้อ แต่ของข้าเป็นวันมะรืน ทำไมหรือ?”
บอลด์วินตอบพลางเลื่อนแก้วน้ำมาตรงหน้าฟินตันหลังรินเสร็จ
“ขอบใจนะ… เปล่าหรอก ข้าแค่ไม่อยากไปคนเดียว”
ฟินตันแสดงสีหน้าที่มีความกังวลออกมาเป็นอย่างมากในขณะที่พูดตอบนั้น ตัวเขากลัวว่าทางการจะจำเขาได้และอาจจะจับตัวเขาไป หรือยิ่งกว่านั้น เขาอาจจะถูกฆ่าก็ได้ หรือถ้าไม่ถูกจับไปเพราะมีคนจำเขาได้ในขณะตรวจวัดพลัง แต่พลังจิตของเขาที่ในตอนนี้น่าจะเกินกว่า level 1 ไปไกลมากโขแล้ว เขาอาจจะโดนพาตัวเข้าไปในตัวเมืองมอนทารา และเมื่อถูกตรวจสอบประวัติโดยละเอียด สุดท้ายความจริงมันก็ต้องปรากฏว่าเขาไม่ใช่อาร์เจน เบลซ แต่คือเจ้าชายฟินตัน ดยุกแห่งนอร์ด
“ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวล”
คำตอบของบอลด์วินทำให้ฟินตันพอจะยิ้มออกมาได้บ้างเล็กน้อย ถึงภายในใจจะยังกังวลอยู่ก็ตามที
 
ผู้คนจากทุกสารทิศต่างเข้ามารายงานตัวในจุดตรวจวัดที่ใกล้กับตนเองมากที่สุด อย่างเช่นในเขตอาณาบริเวณเมืองนอร์ดแห่งนี้ ลานด้านหน้าปราสาท ณ ใจกลางเมืองก็ได้ถูกแปรสภาพให้กลายสภาพเป็นจุดตรวจวัดพลังในช่วงสัปดาห์ System Scan และถึงแม้ว่าการตรวจวัดนี้จะเน้นไปที่ผู้ที่มีอายุครบ 18 ปีเป็นหลักก็ตาม แต่พอเอาเข้าจริงแล้วนั้นก็มีผู้ที่ไม่ได้มาตรวจวัดระดับพลังจากปีก่อน ๆ มาเข้ารับการตรวจวัดด้วย
เจ้าชายหนุ่มที่ปลอมตัวมาเป็นอาร์เจน เบลซ วันนี้มาในชุดสบาย ๆ ที่ปกปิดความกังวลเอาไว้ภายในใจ พร้อมด้วยบอลด์วินที่ไม่ได้กังวลอะไรมากจากการที่ตัวเขาเองเคยเข้ารับการตรวจวัดแล้วในปีที่แล้ว และผลก็ออกมาด้วยว่าเขาเป็นผู้มีพลังจิต Level 1 ประเภท Psychokinesis ในชื่อ Blast Hand อันเป็นพลังจิตที่สามารถรวบรวมกระแสอากาศเข้าไว้ในฝ่ามือแล้วปล่อยออกมาเป็นคลื่นกระแสลมที่สามารถสร้างแรงกระแทกได้ แต่เนื่องจากในขณะนี้ยังแค่ level 1 จึงแค่พอที่จะสร้างกระแสลมไว้ดับร้อนได้แค่นั้น
แต่ละคิวเบื้องหน้าฟินตันผ่านไปอย่างเชื่องช้า หลังจากที่เขาลงทะเบียนรายงานตัวที่โต๊ะจุดแรกเสร็จ ฟินตันและคนอื่น ๆ ที่อายุครบ 18 ปีก็ต้องแยกออกมาต่อแถวรอเข้ารับการตรวจวัดระดับพลัง ทำให้เจ้าชายหนุ่มกับองครักษ์ต้องได้แยกกันนั่งรอโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
บอลด์วินที่นั่งรออยู่เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจมากขนาดนั้นกับความกังวลที่ฟินตันมี อันที่จริงตัวเขาเองก็กังวลเช่นกันว่าความลับที่ว่าฟินตันปลอมตัวในชื่อว่าอาร์เจน เบลซ จะถูกค้นพบในเร็ววันนี้หรือไม่ และถึงแม้จะผ่านโต๊ะลงทะเบียนรายงานตัวมาได้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจรับประกันได้ว่าตลอดช่วงการตรวจวัดจะไม่น่าเป็นห่วง
 
“นาม?”
เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจวัดเอ่ยพร้อมมองใบหน้าอันเป็นกังวลของฟินตันสลับกับเอกสารในมือ
“ฟ… อาร์เจน เบลซ ขอรับ”
ฟินตันกุมมือตัวเองแน่นทันทีที่เผลอหลุดพยัญชนะตัวแรกของชื่อจริงตนเองออกมา ยังดีที่ว่าเขาไม่ได้เปล่งเสียงออกมาชัด
“อืม… เชิญนั่งลงก่อนสิ”
ฟินตันนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตามคำเชิญของคนตรงหน้า มือของเขายังคงกุมกันไว้แน่นด้วยความกังวล
“ยื่นมือทั้งสองข้างของเจ้าออกมา”
เสียงของอีกคนที่ดังมาจากทางด้านซ้ายทำให้ฟินตันให้ไปมอง มีเจ้าหน้าที่อีกคนเดินมาพร้อมกับก้อนคริสตัลควอซต์
ฟินตันยื่นมือทั้งสองข้างของตนเองออกมาด้วยความกังวล แม้ว่าเขาจะรู้ลำดับขั้นตอนการตรวจวัดพลังจากการที่เคยไปสังเกตการณ์สมัยยังเล็กอยู่ก็ตาม
“รับคริสตัลนี้ไปแล้วถือเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นให้เจ้าเพ่งสมาธิไปที่มัน ช้า ๆ ไม่ต้องรีบร้อน”
สิ้นคำพูดของเจ้าหน้าที่คนนั้น คริสตัลที่ไร้ซึ่งสีและความขุ่นได้ถูกวางลงบนมือของฟินตัน ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเกือบเที่ยงวันเช่นนี้ แสงที่ส่องผ่านมันกลับได้กลายเป็นแสงสีขาวอย่างน่าอัศจรรย์
ฟินตันถือก้อนคริสตัลนั้นไว้อย่างใจเย็น แล้วค่อย ๆ เพ่งสมาธิไปที่มันเหมือนกับที่เพิ่งสมาธิไปกับการจุดไฟเมื่อตอนเช้า
พรึ่บ
เปลวไฟลุกขึ้นเป็นก้อนเพลิงขนาดเท่าผลของฟักทองลอยอยู่บนอากาศด้านขนาดฟินตัน เจ้าหน้าที่ทางการทั้งสองคนสะดุ้งตกใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าว
“Pyrokinesis level 2 อืม… เจ้าพอได้แล้ว”
ด้วยพลังจากแร่คริสตัลสีขาวที่มีส่วนช่วยในการมอบพลังให้แก่ผู้ที่มีพลังจิต ทำให้พวกเขาที่ใช้งานมันสามารถที่จะใช้งานพลังจิตได้โดยง่ายดายและได้ผลลัพธ์เป็นพลังที่ชัดเจนและแกร่งกล้ากว่าปกติ ยิ่งคริสตัลสีขาวที่มีคุณภาพดีจนกลายสภาพเป็นก้อนคริสตัลไร้สีไร้ที่ติเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ผู้ที่มาเข้ารับการตรวจวัดพลังในวันนี้สามารถแสดงพลังจิตที่อาจจะถูกซ่อนเอาไว้ให้สามารถนำออกมาใช้งานและตรวจวัดได้โดยกรรมการตรวจวัด
แต่ก้อนคริสตัลสีขาวนี้เองก็มีโทษเช่นกัน เนื่องจากความสามารถในการมอบพลังให้แก่ esper เช่นนี้ หากมีการใช้งานเป็นเวลานานต่อเนื่องกันก็จะเป็นเหมือนการใช้แรงมากเกินตัว จนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียลงและอาจเกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ และหากยังฝืนใช้งานต่อไปก็มีผลทำให้เสียชีวิตได้ แต่ถึงอย่างนั้น พลังจิตบางประเภทก็อาศัยจุดที่ร่างกายเกิดการทำงานมากเกินขอบเขตของตัวเองนี้ในการเปิดความสามารถของพลังจิตนั้นออกมาใช้งาน เช่นพลังที่ชื่อว่า Sense Amplify ที่ความสามารถของพลังคือการมีประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่ดีมากกว่าคนทั่วไปมาก ๆ แต่ถ้าหากจะใช้งานพลังจะต้องมีการกินคริสตัลสีขาวนี้เพื่อให้ร่างกายเกิดการทำงานหนักกว่าปกติ และนำไปสู่การใช้งานพลังได้ในช่วงเวลาที่ร่างกายทำงานเกินขอบเขตของมันนั้น
ฟินตันลืมตาขึ้นพร้อมกับเปลวไฟที่ยังคงลุกอยู่ตรงหน้า ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ สองสามทีเปลวไฟนั้นถึงได้หายไป แต่เป็นที่น่าประหลาดใจกับเจ้าตัวเหมือนกันว่าตัวเขาพัฒนาพลังไปถึง level 2 แล้ว คงเป็นเพราะเวลาที่ผ่านมานานกว่า 2 ปี จากคืนวันนั้นที่เขาเริ่มมีพลัง
ฟินตันส่งก้อนคริสตัลในมือคืนแก่เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจวัด ก่อนที่ความรู้สึกเป็นกังวลจะเข้าปกคลุมตัวเขา เนื่องจากผลการตรวจวัดออกมาถึง level 2 เช่นนี้ เขาต้องเป็นที่ต้องตาแก่คณะกรรมการตรวจวัดแน่นอน แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น…
“พิมพ์ลายนิ้วมือของเจ้าซะแล้วลงชื่อตรงนี้ เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
ฟินตันงุนงงกับคำสั่งที่ได้รับ เขาไม่โดนเรียกตัวเข้าไปในสถานพัฒนาพลังจิตของกรมพลังจิตหรือเนี่ย?
 
“ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ”
ฟินตันเล่าเหตุการณ์ในจุดตรวจวัดพร้อมบ่นให้กับคนที่เดินอยู่ข้างกายฟัง
“ดีแล้วมิใช่หรือยังไงแบบนี้ หรือเจ้าอยากกลับไปมอนทารา?”
บอลด์วินพูดตอบพร้อมกับขยับตัวเข้ามากอดคอคนตัวเล็กกว่าจนทำให้ฟินตันถอนหายใจออกมา
แม้เวลาจะผ่านไปสองปี ฟินตันได้เติบโตและตัวสูงขึ้นมาที่ 176 เซ็นติเมตร แต่บอลด์วินก็ได้สูงหนีเขาไปที่ 188 เซ็นติเมตรแล้วซะได้ ทำให้การมากอดคอเขาแบบนี้ บอลด์วินต้องได้ทิ้งน้ำหนักใส่ตัวเขาจำนวนมากด้วย และมันก็หนักพอสมควรเลย
“จะบ้าหรือยังไง? ข้าจะกลับไปมอนทาราก็ต่อเมื่อข้าพร้อมจะทวงทุกอย่างคืนเท่านั้น”
เสียงที่จริงจังยามกล่าวถึงเรื่องเช่นนี้ของฟินตันทำเอาบอลด์วินเป็นกังวลอยู่ตลอดทุกครั้ง ตัวเขาเองไม่ค่อยอยากจะสนับสนุนความคิดที่อยากจะทำการทวงคืนอาณาจักรจากคีย์รันในตอนนี้สักเท่าไหร่นัก พวกเขาไม่มีทั้งพลังและคนที่จะไปร่วมต่อกรกับคนที่คุมทั้งกองทัพของอาณาจักรได้หรอก
“ใจร่ม ๆ ก่อนเจ้าน่ะ อย่าพึ่งรีบร้อน”
บอลด์วินพยายามห้ามปรามเจ้าชายหนุ่มที่กำลังเริ่มมีไฟลุกกรุ่นขึ้นภายในใจ
“ข้า… ยังไม่ได้ขอโทษไคกับไอริชเลย”
ฟินตันพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเศร้าออกมาอย่างชัดเจน บอลด์วินจึงขยับตัวออกมาเดินดี ๆ ด้านข้างดังเดิม แต่ยังคงมือที่วางพาดไหล่ของฟินตันไว้อยู่เพื่อบีบปลอบเบา ๆ
 
มันเป็นความคิดที่แล่นอยู่ในหัวฟินตันตั้งแต่เขาเดินทางออกมาจากกรุงมอนทารา ทุกครั้งที่เขาหันหลังกลับไปมองตามทางเดินแล้วเห็นกลุ่มควันที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากนครหลวงของอาณาจักรมันค่อย ๆ เล็กลงทีละนิดตามระยะทางที่เขาเดินทางห่างออกมา เขาอยากจะเอ่ยคำว่าขอโทษกับน้อง ๆ ของเขาทั้งสองคนกับสิ่งที่ได้เผลอพูดด้วยถ้อยคำพูดที่รุนแรงออกไป แต่ไม่ว่าจะอยากพูดคำสองพยางค์คำนั้นมากแค่ไหนเขาก็ไม่อาจมีโอกาสได้พูดอีกแล้ว
เขารู้สึกสมเพชที่ตัวเองไม่อาจจะปกป้องใครในครอบครัวไว้ได้เลย มิหนำซ้ำยังเป็นคนเดียวที่เหลือรอดมาได้เพราะการเสียสละของผู้คนมากมายอีกต่างหาก ทั้งที่บริจิดยอมสละตนเองเพื่อให้เขาได้หนีออกมาจากพระราชวังได้ และกันเธอร์ที่ยอมตายในหน้าที่เพื่อรักษาไว้ซึ่งราชวงศ์ตามคำปฏิญาณตนที่ได้เคยกล่าวไว้ มันทำให้เขาคิดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งว่าเขาควรจะตาย ๆ ไปซะในเหตุการณ์เมื่อวันนั้นมากกว่าที่จะได้เดินอยู่บนถนนเฉกเช่นในขณะนี้
มีหลายครั้งที่ความคิดเหล่านี้มันได้รบเร้าฟินตันมากจนกระทั่งเขาได้ลงมือทำสิ่งที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดไปหลายครั้ง ทั้งรอยแผลเป็นบนข้อมือหลายรอยที่แม้จะเป็นรอยแผลเป็นบาง ๆ แต่ก็คอยย้ำเตือนแก่เจ้าของร่างกายได้อย่างดีถึงตอนที่เขาให้มีดกรีดลงที่ข้อมือตัวเองซ้ำ ๆ ตามมาด้วยอาการแสบสาหัสเมื่อในตอนที่น้ำตาหยดลงไปในแผลที่เลือดซึมออกมานั้น โชคยังดีที่บอลด์วินเข้ามาเจอเข้าก่อน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะลงมือทำมากกว่านี้แล้วได้กลับไปเจอท่านพ่อและท่านแม่แล้วก็ได้
 
“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ?”
เสียงคนข้าง ๆ ทำให้ฟินตันหลุดออกจากภวังค์ เขาแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเขากับบอลด์วินมาอยู่ที่ร้านอาหารได้อย่างไร
“ป- เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
ฟินตันตอบบ่ายเบี่ยง เขาไม่อยากให้บอลด์วินเป็นห่วงเขามากเท่าไรนักน่ะ แค่ที่คนตรงหน้าทำมาตลอดสองปีนี้มันก็มากเกินไปที่เขาสมควรจะได้รับไปไกลมากแล้ว
“อาร์เจน เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้าคุยกับข้าได้ทุกเรื่อง”
นามแฝงของฟินตันถูกเอ่ยขึ้น แม้เจ้าของชื่อจะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่กับชื่อนี้ แต่เนื่องจากทั้งสองคนอยู่ในที่สาธารณะ ถ้าหากบอลด์วินเอ่ยชื่อที่แท้จริงอย่างฟินตันออกมาล่ะก็ คงจะนำมาซึ่งอันตรายอย่างมากเลยล่ะ
“ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ”
ฟินตันพูดพร้อมฝืนยิ้มออกมา ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแก้กระหาย
“อืม… เจ้าว่าแบบนั้นก็แบบนั้น ไหน ข้าขอดูใบรายงานการตรวจวัดพลังของเจ้าเสียหน่อย”
บอลด์วินรู้อยู่ลึก ๆ ว่าฟินตันไม่ได้ไม่เป็นอะไรอย่างที่พูด แต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้คนตรงหน้าเท่าใดนัก ไว้ค่อยหาวิธีทำให้คนตรงหน้าดีขึ้นในภายหลังก็ยังไม่สายหรอกน่า
บอลด์วินถือวิสาสะหยิบใบรายงานผลการตรวจวัดพลังจิตของฟินตันออกมาอ่านดู รายละเอียดระบุไว้ถึงประเภทพลังและชื่อพลังที่ฟินตันมี ประเภท Psychokinesis ชื่อพลัง Pyrokinesis ระดับ level 2 นัดรายงานตัวใน System Scan ปีถัดไปในวันที่ 2 ของสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน
รายละเอียดการตรวจวัดทุกอย่างปกติดี ตาของบอลด์วินกวาดไปเจอส่วนสูง 176 เซ็นติเมตรของฟินตันด้วย เจ้าตัวได้แต่คิดว่าฟินตันเติบโตมาอย่างดีเลยโดยการมีเขาอยู่ข้าง ๆ แต่ถึงกระนั่นคนตรงหน้าของเขาก็ยังดูอบอุ่นและน่าเอ็นดูเหมือนเดิมกับตอนที่เขารู้จักแรก ๆ เพียงแค่ตอนนี้สูงสง่าสมกับเป็นเจ้าชายยิ่งกว่าเดิมเท่านั้นเอง
ชีวิตของพวกเขาทั้งสองที่นอร์ดดูราบรื่นไปกว่าที่คิดในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีบ้างที่มีอุปสรรคเข้ามาให้ปวดหัวและสะดุด แต่ก็มักจะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ใช้เวลาไม่นานก็สามารถแก้ได้ ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นเรื่องเงินซะส่วนใหญ่ เพื่อไม่ให้เป็นการผิดสังเกตจากทางการมากจนเกินไป ฟินตันต้องหาทางเปลี่ยนเงินจำนวนมากนี้เป็นอย่างอื่น จึงได้นำเงินที่ได้รับมาจากญาติทางฝั่งแม่ของเขาเกินกว่าครึ่งไปซื้อที่ดินอีกฝืนอยู่ในป่า เป็นที่ดินที่มีหนองน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางป่าสนอันร่มรื่น พวกเขาได้ลงมือกันสร้างกระท่อมเล็ก ๆ ขึ้นมาด้วยกันด้วยเพื่อเอาไว้พักผ่อนในยามที่อยากได้ความสงบหรืออยากจะออกมานั่งคิดอะไรเงียบ ๆ ซึ่งก็มักจะเป็นฝั่งฟินตันที่ใช้กระท่อมริมทะเลสาปนี้ได้คุ้มค่าเสียกว่าใคร
ผลจากการทำเช่นนี้ทำให้พวกเขาต้องประหยัดมากพอสมควร อีกทั้งต้องออกทำงานเหมือนกับคนอื่น ๆ ทั่วไปในเมือง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทั้งสองอยากจะให้เป็น เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับตัวกลมกลืนกับผู้คนและเมืองให้ได้มากที่สุด เช่นนี้ทางการจะเห็นความผิดปกตินี้ได้ยาก เพราะถ้าหากมีคนสองคนที่ไม่เป็นที่รู้จักจากคนทั้งเมืองอาศัยอยู่ด้วยเงินจำนวนมหาศาลแม้จะไม่ได้อาชีพอะไร ย่อมน่าสงสัยมากกว่าคนที่มีงานทำในเมืองและเป็นที่รู้จักกับผู้คนอย่างแน่นอน
 
“เจ้าอ่านอะไรอยู่?”
บอลด์วินนั่งลงที่โต๊ะในห้องครัวพร้อมกับผลแอปเปิลในมือ
“นวนิยาย ทำไมหรือ?”
ฟินตันเงยหน้าจากหนังสือเล่มใหม่ที่เขาพึ่งซื้อมาเมื่อตอนกลางวัน เล่มนี้เป็นหนังสือนวนิยายที่เขียนด้วยภาษาอิงเกลี่ยน อันเป็นหนึ่งในภาษาที่ฟินตันเชี่ยวชาญมากที่สุดภาษาหนึ่ง
“ข้าอ่านที่หน้าปกไม่ออก มันคือภาษาอะไรหรือ?”
บอลด์วินถามด้วยความสงสัยพร้อมกับก้มลงมองหน้าปกถูกถูกเปิดค้างไว้ในมือของฟินตัน
“ภาษาอิงเกลี่ยนน่ะ ข้ากับท่านพี่บริจิดชอบภาษานี้กันมากที่สุดเลย”
ฟินตันพูดตอบไปก็นึกถึงช่วงเวลาในอดีตไป ในครั้งแรกที่เขากับบริจิดได้ยินเสียงพูดของภาษานี้จากท่านฑูตที่เข้ามาเข้าเฝ้าท่านพ่อของเขา อีกทั้งได้เห็นการเขียนและรูปแบบภาษาที่มีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษาบ้านเกิดของพวกเขาอย่างภาษาเคลต์ ทำให้เขาและบริจิดเริ่มศึกษาภาษานี้ด้วยกันทันที และให้ความสนใจภาษาอื่นอย่างแฟเลี่ยน รูนิน หรือรัสเชี่ยนที่ศึกษาอยู่ก่อนหน้าน้อยลง
พอฟินตันนึกถึงช่วงเวลาเก่า ๆ เช่นนั้นแล้วก็มีน้ำตารื้นออกมา เขารีบปาดมันออกอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้บอลด์วินเห็น
“แล้วมันเขียนว่าอะไรหรือ?”
บอลด์วินถามถึงชื่อของหนังสือ
“เดอะเทลออฟเดอะเซลวาร์ดรากาวน์ แปลว่าเรื่องเล่าของมังกรสีเงิน”
นวนิยายเรื่องนี้เป็นนวนิยายแนวแฟนตาซีที่ฟินตันได้รับการแนะนำมาจากเพื่อนร่วมงานของเขา เธอบอกว่านวนิยายเรื่องนี้เขียนได้ดีมาก แม้ว่าจะถูกแปลมาเป็นภาษาเคลต์แล้วก็ตาม โดยหลังจากที่ฟินตันได้ลองอ่านดูหนึ่งบทแล้วรู้ว่าต้นฉบับของมันเป็นภาษาอิงเกลี่ยน เขาก็ตัดสินใจได้ทันทีเลยว่าเขาอยากจะซื้อต้นฉบับที่เป็นภาษาต่างแดนนั้นมาอ่าน
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรหรือ?”
ฟินตันแปลกใจนิดหน่อยที่บอลด์วินถามเขามากแปลก ๆ วันนี้ แต่เขาก็มองข้ามไป
“เป็นเรื่องการผจญภัยของมังกรสีเงินอันทรงฤทธิ์เดชในร่างมนุษย์ กับสหายคู่หัวใจของเขาในดินแดนที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์น่ะ เจ้าสนใจหรือ?”
ปกติบอลด์วินไม่ค่อยเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมากสักเท่าไหร่นัก ถ้าไม่เชื่อก็ลองเทียบจำนวนหนังสือบนชั้นหนังสือในห้องนอนของเขากับของบอลด์วินดูก็ได้ ชั้นหนังสือของฟินตันนี่ใกล้จะล้นอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังซื้อหนังสือเล่มใหม่ ๆ มาเติมเพิ่มอยู่ตลอด
“เปล่าหรอก พอดีข้าเห็นว่ามันเป็นภาษาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้นแหละ”
บอลด์วินขยับใบหน้าออกจากการสำรวจมองหนังสือแล้วกลับไปนั่งพิงพนักพิงเก้าอี้ดังเดิม
“ภาษานี้ไม่ยากเลย ถ้าเจ้าอยากเรียนข้าสอนให้ได้นะ”
ฟินตันกล่าวพร้อมมาอะไรมาคั่นหน้าหนังสือไว้ เพื่อจะได้เอื้อมมือไปหยิบแอปเปิลมากินได้สะดวกโดยไม่ลืมว่าอ่านถึงหน้าไหนแล้ว
“ข้าขอถามอะไรหน่อยจะได้หรือไม่?”
บอลด์วินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อะไรกัน? เสียงแบบนั้น?”
ฟินตันกัดลูกแอปเปิลพร้อมมองคนที่นั่งเยื้องไปทางซ้ายด้วยสายตาสงสัย
“เมื่อตอนหลังจากวัดระดับพลังเสร็จน่ะ เจ้าคิดเรื่องอะไรอยู่หรือ?”
ฟินตันหยุดชะงักจากการกำลังจะกัดแอปเปิลอีกคำ เขามองใบหน้าของบอลด์วินพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เปล่าสักหน่อย”
เขาโกหกไปอีกครั้ง
“แล้วทำไมถึงได้ทำหน้าเช่นนั้นเล่า?”
นั่นทำให้ฟินตันละสายตาจากบอลด์วินลงมามองหนังสือด้านหน้าตัวเองพร้อมพูด
“เจ้ารู้จักข้าดีเกินไปแล้วไหมเนี่ย?”
เขาพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“แปลว่าเจ้าไม่ได้ไม่เป็นอะไรอย่างที่พูดถูกไหม?”
เจ้าชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอดังอึก สหายของเขาคนนี้ดูเขาออกหมดทุกมุมเลยว่าเขาเป็นหรือรู้สึกอะไรยังไง คงต้องได้พูดออกไปแล้วจริง ๆ นั่นแหละ
“ข้าคิดว่า… บางทีคืนนั้นข้าน่าจะตาย ๆ ไปซะกับทุกคนก็ดี”
บอลด์วินเบิกตาโพลงกับข้อความที่ได้ยิน คู่สนทนาตรงข้ามวางแอปเปิลไว้บนโต๊ะแล้วเริ่มกอดตัวเองไว้ แล้วพูดต่อ
“ข้ารู้สึกว่าข้าไม่สมควรที่จะยังมีโอกาสหายใจอยู่ในทุกวันนี้”
มือทั้งสองข้างของฟินตันจิกเข้าที่แขนของตัวเองแน่นก่อนที่น้ำตาจะเริ่มไหลรินออกมา เขาพยายามประครองตัวเองที่แตกแหลกสลายมานานกว่าสองปีไว้ แต่นานวันเข้ามันก็ยิ่งยากที่จะประครองรอยร้าวอันเจ็บปวดนี้ไว้ได้ เว้นเสียแต่…
“ข้าถึงได้ย้ำยังไงเล่าว่าข้าอยู่ตรงนี้ข้าง ๆ เจ้าเสมอ”
บอลด์วินเขยิบเก้าอี้มานั่งข้างกับฟินตันเพื่อที่จะได้คุยและปลอบกันได้สะดวกขึ้น
“ข- ข้าไม่อยากให้เจ้า ฮึก- ต้องเห็นข้าเป็นภาระมากไปกว่านี้”
ต้องบอลด์วินต้องยอมสละทุกอย่าง ทั้งอนาคต ชีวิต เวลาทั้งหมด เพื่อมาปกป้องเขาเช่นนี้ หากเขาไม่ใช่ภาระแล้วมันจะเป็นสิ่งอื่นไปได้อย่างไร? นั่นคือสิ่งที่ฟินตันคิด
“เจ้าอย่าคิดเช่นนั้นสิ ข้าไม่อาจมองเจ้าเป็นคำเช่นภาระได้หรอก”
บอลด์วินถือวิสาสะเอื้อมมือไปดันไหล่ของฟินตันให้เจ้าตัวเอนตัวมาพิงเขาไว้
“ข้าแบกมันเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว…”
ฟินตันเก็บความรู้สึกเหล่านี้ไว้ในใจมากตลอดสองปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยกับบอลด์วิน เขาเลือกที่จะกดและเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ภายในใจ มีบ้างที่กาลเวลาที่ผ่านไปมันทำให้ความรู้สึกนี้หายหน้าหายตาไปจากชีวิตของเขา แต่มันก็มักจะกลับมาเมื่อมีสิ่งที่ทำให้เขานึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาในอดีตมากระตุ้นเข้า
“ถ้าแบกเอาไว้ไม่ไหวก็เล่าให้ข้าฟังได้นะ”
คืนนั้นทั้งคืนเป็นเหมือนคืนแห่งการปลดปล่อยสิ่งที่ติดข้างอยู่ในใจของเจ้าชายหนุ่มผู้แหลกสลายมาตลอดสองปี มีหลายคำพูดที่ทำให้คู่สนทนาที่ตอนนี้ย้ายตัวมาอยู่ในห้องนอนแล้วรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ทั้งการที่ฟินตันเคยคิดอยากจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง จนมีกระทั่งบางครั้งที่ความคิดมันได้กลายไปเป็นการกระทำ อย่างเช่นในครั้งที่บอลด์วินเคยห้ามไว้ได้ทันครั้งนั้น ในตอนนั้นบอลด์วินคิดว่ามันคงเป็นเพียงอาการเครียดหลังจากผ่านเหตุการณ์ในคืนวันนั้นมาไม่นาน แต่แท้จริงแล้วแม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ฟินตันก็เกือบที่จะตัดสินใจบอกลาโลกที่โหดร้ายนี้ไปแล้วหลายครั้ง
การเปิดอกคุยกันในครั้งที่นอกจะเป็นการยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอกของฟินตัน ยังเป็นการทำให้ทั้งสองคนปลดล็อกอะไรบางอย่างภายในใจของกันและกัน และสนิทกันมากขึ้นยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ มันเหมือนทั้งคู่ได้ก้าวข้ามผ่านไปมากกว่าคำว่าสหาย กลายไปเป็นเหมือนคำที่อบอุ่นยิ่งอย่างคำว่าครอบครัว
และในคืนนั้นฟินตันก็ได้ขอบอลด์วินอาศัยร่วมห้องด้วยอีกคืน เนื่องจากเขาพึ่งคิดนึกย้อนความทรงจำระลอกใหญ่ไปถ่ายทอดความรู้สึกในช่วงนั้นให้เจ้าของห้องฟัง หากเขากลับห้องนอนของตัวเองไปนอนอยู่คนเดียวล่ะก็ เขาเกรงว่าฝันร้ายในครั้งนี้มันจะน่ากลัวมากจนเขาทนไม่ไหวแน่ ๆ
ก่อนที่ฟินตันจะหลับไป เขาทิ้งท้ายไว้ถึงความแค้นและความรู้สึกที่อยากจะทวงคืนทุกอย่างที่เขาเสียไปกลับคืนมาให้แก่บอลด์วินได้ฟัง บอลด์วินรู้สึกแปลกใจที่ถึงแม้ฟินตันจะดูแหลกสลายไปหมดเช่นนี้ แต่ภายในใจกลับมีไฟร้อนที่กำลังลุกกรุ่นและพร้อมที่จะแผดเผาทุกอย่างอยู่ นับว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีของการเป็นผู้นำเลยทีเดียว การที่ไม่ย่อท้อแม้จะมีอุปสรรคและการสูญเสียมากมายแบบนี้ แต่ไฟที่ร้อนแรงนี้หากไม่คุมไว้ให้ดีก็อาจจะก่อให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันตามมาได้ บอลด์วินจึงได้ห้ามฟินตันไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกออกไปเดินทางเข้าสู่นครมอนทารา แม้เจ้าตัวจะกลัวนักกลัวหนาก็ตามกับการเข้าใกล้เมืองบ้านเกิดนั้น แต่ก็ยังอยากที่จะพุ่งเข้าใส่ตามไฟในอกที่ลุกอยู่ดี
หลังจากหลับไปแล้วก็นับเป็นโชคดีของฟินตันที่เขาไม่ฝันร้ายอะไรเลยในคืนนี้ กลับกัน เขาได้ฝันถึงเรื่องราวดี ๆ ในอดีตที่ทำให้เขายิ้มออกมาได้ในความฝันนั้น ต้องเป็นเพราะบอลด์วินเป็นตัวไล่ฝันร้ายแน่ ๆ ฟินตันคิดเช่นนั้น