the tale of the wind knight and the fire prince by: kritzy_8 co-planning by: naiya & monk

Chapter 4 - 6 ปีที่นอร์ด

เวลาเป็นสิ่งที่ไม่เคยจะหยุดนิ่ง แม้ในยามที่ใจเราแหลกสลายกับเหตุการณ์มากมายบนโลกที่บ้าคลั่งนี้ เวลาก็เคยไม่หยุดให้เราพัก มันยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างที่มันเป็นมาตลอด บังคับให้เราต้องลุกขึ้นและก้าวไปพร้อมกับมัน โดยไม่สนไม่ว่าคุณจะพร้อมหรือไม่ก็ตามกับทางข้างหน้าที่กำลังรอคุณอยู่
เผลอแปปเดียวเวลาจาก 2 ปีครึ่งก็ได้กำลังจะกลายไปเป็น 6 ปีครึ่ง นอร์ดที่ไม่รู้จักแก่ฟินตันและบอลด์วินได้แปรสภาพไปเป็นเมืองที่คุ้นเคยราวกับอยู่อาศัยมาตราบชั่วชีวิต ทุกตรอกซอกซอยถูกบันทึกลงในความทรงจำของทั้งคู่จนเปี่ยมไปด้วยความคุ้นเคย ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วเหมือนกันที่ทั้งคู่เลิกถามทางจากคนท้องถิ่น รู้ตัวอีกทีก็คุ้นเคยกับนครทางเหนือของอาณาจักรแห่งนี้ไปเสียแล้ว
“บ้าเอ๊ย! ยังแรงไม่พออีกหรือ”
เสียงบ่นอุบอิบพร้อมเสียงเหนื่อยหอบดังขึ้นสลับกับเสียงของวัตถุขนาดใหญ่ที่พุ่งผ่านอากาศ โชคดีที่อยู่กลางป่าสนเช่นนี้ จึงไม่มีใครมาสนใจเจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลที่กำลังถูกกระแสอากาศพัดไปมา
ฟินตันใช้เวลาว่างในการฝึกฝนตนเองทั้งในด้านการใช้อาวุธและพลังจิตเพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่านไปกับความคิดที่อยากจะประกาศสงครามกับคีย์รัน ยิ่งในช่วงหลัง ๆ มาที่พลังจิตของเขาพัฒนาขึ้นมาจนในตอนนี้น่าจะเกือบถึง 4 แล้วมันยิ่งทำให้เขามีความกล้ามากขึ้นที่อยากจะลองทวงคืนบ้านของเขาคืนมา
ที่ที่ดินริมทะเลสาปที่ได้ซื้อเอาไว้เมื่อ 6 ปีที่แล้วได้มีการถางป่าด้านข้างกระท่อมเพิ่มเล็กน้อยเพื่อเอาไว้ใช้เป็นลานฝึก แล้วก็ไม่ได้มีเพียงแค่ฟินตันคนเดียวหรอกที่ใช้ลานฝึกเล็ก ๆ นี้
แกรบ!
“ใครน่ะ!?”
ฟินตันหันไปทางต้นเสียงที่มีคนเหยียบกิ่งไม้ดังมา มือทั้งสองข้างของเขาจุดเปลวเพลิงเอาไว้และเตรียมพร้อมที่จะสั่งให้เปลวเพลิงนั้นพุ่งออกไปทางจุดกำเนิดเสียงเพื่อแผดเผาผู้บุกรุก แต่พอเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยจึงดับไฟนั้นลง
“ข้าเกือบไหม้เป็นจุณอีกแล้วสิ”
บอลด์วินพูดติดตลกพร้อมลดมือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมาแสดงให้เห็นว่าอย่าทำอะไรเขาเลยลง แล้วนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในวันหนึ่งที่เขาว่าจะแกล้งฟินตันโดยการโผล่มาให้เจ้าตัวตกใจเล่น ผลลัพธ์ออกมากลายเป็นเขาที่ถูกลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งมาใส่ และถึงแม้จะพยายามกระโดดหนีด้วยการอาศัยแรงผลักของอากาศที่สร้างจากพลังของตัวเองก็ตาม สุดท้ายแขนเสื้อข้างนึงก็ไหม้จนทำเขาได้แผลไปพอสมควรอยู่ดี
“ก็เจ้าชอบมาแบบไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงเช่นนี้ไง”
ฟินตันบ่นพร้อมกับเดินมาหยิบแก้วน้ำยกขึ้นดื่ม
“วันนี้เจ้าฝึกพลังจิตหรือ?”
บอลด์วินหาที่ว่าง ๆ ด้านข้างลานฝึกก่อนจะวางเก้าอี้ลงแล้วนั่งดูเจ้าชายหนุ่มในวัย 22 ปีฝึกฝนพลังจิตต่อ
“ใช่ ถ้าข้าไม่ทำแบบนี้ทุกอาทิตย์ข้าจะฟุ้งซ่านเอา”
ซูม!
ลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งไปกลางทะเลสาบที่มีกองก้อนหินวางอยู่บนเกาะเล็ก ๆ อันเป็นเป้าหมายที่ฟินตันเล็งการโจมตีในการฝึกฝนพลังจิตของเขา เมื่อพลังของเขาเติบโตขึ้นตามกาลเวลา จากที่เคยสามารถสร้างลูกไฟขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย ก็ได้กลายมาเป็นขนาดเท่า ๆ กับห้องนอนหนึ่งในตอนนี้ นี่ยังไม่รวมไปถึงความร้อนที่สัมผัสได้ผ่านกระแสลมที่ลูกไฟลูกแล้วลูกเล่าได้พุ่งผ่านอากาศไปจนทำให้อากาศบริเวณรอบข้างร้อนราวกับอยู่ในฤดูร้อน
“เจ้าจะค้างที่นี้หรือจะกลับบ้านกับข้า?”
คำถามของบอลด์วินทำให้ฟินตันหันหน้ามาจากทะเลสาบแล้วมองมาทางเขาแทน
“พรุ่งนี้ข้าต้องไปทำงาน แต่ขออีกครึ่งชั่วโมงค่อยกลับได้หรือไม่?”
พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ที่ฟินตันมีเวรต้องเข้าทำงานที่ร้านอาหารชื่อดังในตัวเมืองนอร์ด อันเป็นร้านที่เขาทำงานมาได้จวนจะ 6 ปีแล้ว และเป็นที่ที่เขาได้สนุกกับการทำงานมากจนลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย แต่ก่อนจะไปถึงวันพรุ่งนี้ ในตอนนี้ฟินตันกำลังติดลมการฝึกฝนพลังนี้อยู่ เขาอยากจะลองทำให้ลูกแอปเปิลที่อุตส่าห์นั่งเรือเอาไปวางไว้อยู่บนกองหินบนเกาะกลางทะเลสาบไหม้ให้ได้
“ได้เลย ว่าแต่ในกระท่อมของเจ้ามีอะไรให้ข้ากินหรือเปล่า?”
ไหน ๆ คนที่มาคลุกอยู่ที่กระท่อมนี้บ่อยก็คือฟินตัน งั้นถ้าบอลด์วินจะบอกว่ากระท่อมนี้เป็นของคนที่กำลังสร้างลูกไฟลูกแล้วลูกเล่าอยู่ตรงหน้าก็คงไม่ผิดนัก
“มีเบอร์รี่อยู่บนโต๊ะน่ะ เจ้าหิวหรือ?”
ระหว่างทางมายังกระท่อมกลางป่าสนนี้เมื่อตอนเที่ยงวันฟินตันได้เจอคุณยายคนนึงกำลังลากรถเข็นที่ดูหนักอยู่พอดี เขาเลยอาสาเข้าไปช่วยคุณยายลากรถเข็นคันนั้นไปที่จุดหมายปลายทาง และได้รับคำขอบคุณจากท่านมาเป็นบลูเบอร์รี่จำนวนหนึ่งที่รสชาติดี
“นิดหน่อย แต่ข้ารอเจ้าได้ ไม่ต้องรีบเสียล่ะ”
ว่าแล้วบอลด์วินก็ลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปในกระท่อม ข้างในกระท่อมนี้ตัวเขาไม่ค่อยได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนบ่อยนัก ทำให้บรรยากาศดูเป็นฟินตันมาก ๆ อย่างที่เห็น ทั้งหนังสือมากมายที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่นี้กับที่บ้านของพวกเขาที่ไหนจะมีมากกว่ากัน แผนที่ที่วาดแผนการเดินทางในการบุกมอนทาราที่บอลด์วินดูกี่ทีก็เป็นกังวล และเตียงขนาดกลางที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่พึ่งตากแดดจนแห้งจนหอมนุ่มพับวางไว้อยู่ แต่ก็มีบางตัวที่มีเส้นด้ายตรงปลายไหม้ไปบ้าง เห็นได้ชัดเลยว่าฟินตันใช้พลังจิตของตัวเองทำให้เสื้อผ้าแห้งเร็วขึ้น แต่อาจจะใจลอยไปหน่อยจนทำให้ผ้าตรงปลายไหม้ ซึ่งน่าเอ็นดูดีแปลก ๆ ในสายตาของบอลด์วิน
สายตาของลูกชายองครักษ์กวาดไปทั่วทั้งกระท่อมจนไปเจอกับเบอร์รี่ที่ฟินตันกล่าวถึงใส่อยู่ในตระกร้าผลไม้บนโต๊ะ เขาเดินไปหยิบสองสามลูกเข้าปากแล้วตัดสินใจคว้าทั้งตะกร้านั้นแล้วกลับออกไปที่เก้าอี้ดังเดิม แต่คนที่ตอนเขาเข้ามาในกระท่อมได้เลิกสร้างลูกไฟร้อนแล้วเปลี่ยนมาถือดาบเหวี่ยงไปมาแทน ฟินตันยังคงใช้ดาบเล่มเดิมที่เจ้าตัวหวงแหนยิ่งในการฝึกฝนการใช้ดาบ ดาบเล่มที่สวยงามและคมยิ่ง อันเป็นคุณสมบัติของดาบประจำตัวเจ้าชายแห่งโคโลเนีย
“สนใจฝึกกับข้าสักหน่อยไหม?”
ไม่รู้เพราะอะไร แต่จู่ ๆ บอลด์วินก็อยากไปออกแรงสักหน่อยกับสหายของเขา
“หืม? ข้าไม่ขัดนะ แต่ว่าเจ้าได้เอาดาบมาด้วยอยู่หรือ?”
ฟินตันตอบพร้อมกับยังหมุนตัวไปมาและฟันดาบกับอากาศ
“ข้าใช้กิ่งไม้ก็ได้”
บอลด์วินตบ ๆ ที่ข้างลำตัวดูและพบว่าไม่มีดาบ เขาน่าจะเก็บเอาไว้ที่บ้านแล้วก่อนจะออกมาหาฟินตัน และเผอิญใกล้ ๆ มีกิ่งไม้ความยาวพอเหมาะอยู่พอดี น่าจะพอใช้เป็นดาบไปพลางได้
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะใช้กิ่งไม้ด้วย จะได้เท่าเทียมกันกับเจ้า”
ฟินตันเก็บดาบใส่ฝักแล้วมองหากิ่งไม้รอบตัว ก่อนจะได้กิ่งไม้ขนาดกำลังดีมาจากใต้ต้นสนใกล้ ๆ
“นี่แหนะ ๆๆ”
ฟินตันวางฝักดาบที่มีลวดลายวิจิตรพิงไว้กับเก้าอี้ที่บอลด์วินยกมานั่งดูเขาฝึกซ้อมก่อนหน้านี้ แล้วจึงเอากิ่งไม้ของตัวเองทำท่าเป็นตีสหายของเขาเข้าที่หลังเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว
“เห้อ… เจ้าเป็นเจ้าชายจริง ๆ ใช่ไหมบอกข้าที”
บอลด์วินถอนหายใจแล้วส่ายหน้ากับการกระทำของฟินตัน ก็ใช่อยู่หรอกว่าน่าเอ็นดูดี แต่บางทีเจ้าตัวก็ทำตัวดูเป็นคนธรรมดาหรือไม่ก็ออกแนวติงต๊องเกินไปสำหรับผู้เป็นเจ้าชาย
ตรงคำสุดท้ายนั้นบอลด์วินต้องเก็บเอาไว้ยิ่งชีพเลยถ้าเป็นสมัยก่อน เพราะถ้าหากมีใครในวังรู้เข้าล่ะก็หัวของเขาได้หลุดออกจากบ่าแน่ แต่ถ้าพูดกับฟินตันเป็นการส่วนตัวก็อาจจะรอดก็ได้ แต่ถึงยังไงบอลด์วินก็ยังเคารพฟินตันอยู่ลึก ๆ อยู่ดี ฉะนั้นไม่พูดออกไปจะเป็นการดีกว่า
“สงสัยในอำนาจของข้ารึ?”
ฟินตันกระชับกิ่งไม้ไว้ในมือด้วยท่าทางทะมัดทะแมงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ป… เปล่าขอรับ”
แล้วด้วยเพราะอะไรก็ไม่ทราบ บอลด์วินถึงได้ตอบฟินตันซะสุภาพ
“ดวลดาบกับข้าเสียหน่อยเป็นยังไง ใครแพ้จะต้อง… อ่า… ล้างจานหลังกินข้าวเย็น ใช่ ๆ”
ฟินตันนึกอยู่พักหนึ่งถึงสิ่งที่ผู้แพ้สนการดวลดาบนี้จะต้องทำ และคำตอบนั้นทำให้บอลด์วินอยากจะเอาเท้ายกมาก่ายหน้าผากของตัวเอง เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าหรือเขาเป็นคนทำให้เจ้าชายคนนั้นกลายเป็นคนแบบนี้ไปซะได้ เหตุใดคนที่ควรจะดูน่าเคารพและเกรงขามถึงได้กลายมาเป็นคนที่ดูน่าเอ็นดูแบบนี้ได้กัน?
“ท่านฟินตันขอรับ ช่วยทรงจริงจังหน่อยได้ไหมขอรับ”
เห็นทีจะต้องทำเสียงแข็งแล้วพูดด้วยเหมือนตอนอยู่ในพระราชวังแล้วกระมังถึงจะทำให้ฟินตันกลับมาปกติได้
“อ- อะไรกัน ทำไมเจ้าต้องพูดกับข้าซะสุภาพ”
ฟินตันผ่อนคลายจากการจับกิ่งไม้ลงแล้วทำหน้ามุ่ยใส่คนตรงหน้า
“พระองค์ทรงอย่าได้เผลอไผลไป!”
สิ้นสุดคำพูด บอลด์วินก็พุ่งเข้ามาพร้อมด้วยกิ่งไม้ในมือ แล้วจะฟาดลงใส่ฟินตัน ด้วยสัญชาตญาณของการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน ฟินตันหลบไปด้านข้างแล้วใช้กิ่งไม้ของตัวเองรับไว้ได้ทันพอดี
“นี่เจ้าเล่นทีเผลอหรือ?”
ฟินตันเริ่มไฟลุกติดแล้วทีละนิดภายในตัวของเขา น่าสนุกขึ้นมาเสียแล้วสิ
“เหอะ ท่านเผยช่องว่างให้ข้าเองนะ”
บอลด์วินตอบกลับด้วยเสียงที่พยายามทำให้ดูเหมือนตัวร้ายในละครเวทีที่เคยดู
“ทรงเล่นตามน้ำกับข้าเสียหน่อย เพื่อความสมจริงในการฝึกขอรับ”
จบประโยคก่อนหน้าบอลด์วินก็พูดออกมาด้วยเสียงปกติแต่ยังคงความสูงของภาษาไว้ดังเดิม ฟินตันได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ยอมพยักหน้าตกลงเพราะเขารู้สึกว่าแบบนี้มันก็สนุกดีกว่าฝึกธรรมดา
“เจ้านั่นแหละ อย่ามัวแต่พล่าม”
ฟินตันอาศัยช่วงที่บอลด์วินพึ่งพูดจบในการเดินหน้าเข้าไปหาแล้วฟันดาบกิ่งไม้ใส่จนเจ้าของดวงตาสีฟ้าต้องถอยหลังแล้วใช้ดาบกิ่งไม้ของตัวเองตั้งรับไปหลายก้าว
“ฮึบ!”
บอลด์วินหมุนตัวออกมาด้านข้างของฟินตันแล้วกำลังจะใช้ดาบกิ่งไม้ฟาดเข้าที่แขนของคนตรงหน้า แต่ฟินตันเร็วกว่า เขาอาศัยความได้เปรียบที่ตัวเล็กกว่าในการเบี่ยงตัวหลบได้ทันแล้วก้าวถอยหลังไปตั้งหลัก
“ฝีมือเจ้าก็ไม่เลวนี่นา”
ฟินตันบาดเหงื่อพร้อมกำกิ่งไม้แน่น
“แต่ฝีมือของเจ้านี่ธรรมดากว่าที่ข้าคิดมากเสียเหลือเกิน ทรงเป็นถึงเจ้าชาย แต่ได้เพียงเท่านี้เองหรือ?”
บอลด์วินตั้งใจเลือกคำพูดที่ยั่วอารมณ์ของฟินตันเพื่อเป็นการฝึกจิตใจของเขาไปในตัว และดูเหมือนว่าจะได้ผล ฟินตันแยกเขี้ยวแล้วพุ่งเข้ามาหาเขาทันทีโดยไม่ระวังตัวเองมาก
บอลด์วินรับดาบกิ่งไม้ของฟินตันได้ทัน ก่อนจะหมุนตัวอ้อมไปด้านหลังแล้วเตะเข้าที่ข้อพับจนฟินตันคุกเข่าลงกับพื้น และสามารถล็อกคอของคนตัวเล็กได้สำเร็จด้วยกิ่งไม้ของเขา ซึ่งถ้าเป็นดาบจริง ในตอนนี้ฟินตันก็คือไม่สามารถต่อสู้ต่อได้แล้ว
“ข- ข้ายอมแพ้ก็ได้”
ฟินตันชูมือขึ้นสองข้างให้กิ่งไม้หลุดจากมือเป็นการยอมแพ้ บอลด์วินเลยลดกิ่งไม้ลงจากคอของคนตรงหน้าเช่นกัน
“พระองค์ต้องไม่ทรงหลงไปกับคำพูดของศัตรูนะขอรับ มิเช่นนั้นอาจจะเกิดช่องว่างขึ้นได้ดังเมื่อครู่”
บอลด์วินลุกขึ้นแล้วเอื้อมมือไปหาคนตัวเล็กกว่าตรงหน้า
“คร้าบ หยุดพูดคำราชาศัพท์กับข้าได้แล้วครับ”
ฟินตันประชดแล้วส่ายหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือกับบอลด์วินเพื่อให้เขาดึงตัวฟินตันลุกขึ้นยืน
“เจ็บหรือเปล่า?”
บอลด์วินพูดพร้อมมองที่ขาของคนตรงหน้าในบริเวณที่เขาเตะเข้าใส่อย่างเป็นกังวล
“ม- ไม่เท่าไหร่”
ฟินตันปัดฝุ่นที่เปื้อนกางเกงออกหลังจากลุกขึ้น และลูบบริเวณที่เจ็บหน่อย ๆ นั้นอย่างเบามือ
 
แต่ถึงจะบอกว่าไม่เป็นอะไร กระนั่้นพอกลับมาถึงบ้านและฟินตันขอตัวไปอาบน้ำ เขาก็เห็นก็มีรอยแดงเกิดขึ้นอยู่ดี แต่เป็นการฝึกนี่หว่า การบาดเจ็บเล็กน้อยเป็นอะไรที่ยอมรับได้ เพราะการบาดเจ็บเล็กน้อยในขณะฝึกซ้อมนี้จะเป็นบทเรียนให้เขาไม่ทำผิดพลาดในยามต่อสู้กับคู่ต่อสู้จริง ที่จะนำมาซึ่งบาดแผลที่ยิ่งใหญ่และอันตรายต่อร่างกายมากกว่านี้ ฉะนั้นฟินตันเลยไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไรกับรอยแดงนี้ พรุ่งนี้เช้ามาน่าจะเป็นรอยช้ำนิดหน่อยแค่นั้นเอง
“เจ้าไปอาบน้ำต่อได้เลยนะ เดี๋ยวข้าจะล้างจานให้ตามสัญญา”
หลังจากผ่านฤดูหนาวมาไม่นาน การกลับมาอาบน้ำบ่อยยังไม่ค่อยเป็นที่คุ้นชินเท่าไหร่นัก เพราะในระหว่างฤดูหนาวอันหนาบเหน็บของโคโลเนีย น้ำส่วนใหญ่ได้กลายเป็นน้ำแข็งไปจนหมด และส่วนน้อยที่ยังเป็นของเหลวอยู่ก็มีอุณหภูมิเย็นเฉียบที่ทำให้รู้สึกราวกับมีเข็มนับพันทิ่มเข้าในตอนที่สัมผัสโดน ฟินตันที่แม้จะชอบความสบายตัวที่ได้อาบน้ำก็เลยเลือกที่จะชำระร่างกายเพียงอย่างน้อยอาทิตย์ละสองครั้งเท่านั้นตลอดเหมันตฤดู
แต่หลังจากการฝึกอันเหน็ดเหนื่อยแบบวันนี้ รวมกับอากาศของช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มจะอุ่นขึ้นมาบ้าง ถ้าไม่ได้อาบน้ำแล้วนอนไปเลยทั้งอย่างนั้น ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีนะต่อสุขอนามัยสักเท่าไหร่ แถมพออาบน้ำเสร็จแล้วยังรู้สึกสดชื่นขนาดนี้อีก เลยไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ทำให้ฟินตันจะไม่อาบน้ำในวันนี้ และสหายคู่ใจของเขาก็ควรจะอาบด้วย เพราะไหน ๆ อีกฝ่ายก็ฝึกมาด้วยกันกับเขา เขาไม่อยากให้บอลด์วินเน่าน่ะ
“ได้ แต่เจ้ามานั่งตรงนี้ก่อน”
บอลด์วินกล่าวพร้อมตบ ๆ มือลงกับเก้าอี้ตรงหน้าเขา เชิญชวนให้ฟินตันมานั่งลงที่มัน
“มีอะไรหรือ?”
ฟินตันเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างคนผมสีดำอย่างไม่สงสัยอะไร ผ้าเช็ดตัวยังอยู่ในมือของคนผมสีน้ำตาลอยู่เลย
“ขออนุญาตนะขอรับ”
บอลด์วินกล่าวด้วยความสุภาพแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งที่พื้นข้างหน้าฟินตันอย่างนอบน้อม นั่นทำให้ฟินตันกระวนกระวายทันทีกับความสุภาพตรงหน้า
“จ- เจ้าจะทำอะไร? แล้วทำไมต้องพูดสุภาพด้วย?”
บอลด์วินไม่ตอบคำถามของเจ้าชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ต่อหน้าเขาในทันที และเลือกที่จะเอื้อมมือทั้งสองข้างไปประครองขาของฟินตันขึ้นดูบริเวณข้อพับที่เขาเตะไปเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา
“กระหม่อมทำพระองค์เจ็บ”
บอลด์วินตอบพร้อมลูบบริเวณข้อพับที่แดงนั้นอย่างเบามือ
“ข้าบอกเจ้าแล้วยังไงว่าข้าไม่เป็นอะไรกับที่เจ้าทำข้า แล้วก็ไม่ต้องพูดคำราชาศัพท์กับข้าด้วย”
ฟินตันไม่ค่อยได้ยินคำราชาศัพท์เลยในช่วงหลัง ๆ มานี้ และเขาคุ้นเคยกับคำที่สามัญชนคนทั่วไปใช้มากจนไม่อยากจะกลับไปใช้คำเหล่านั้นแล้ว แต่ก็จะมีนาน ๆ ครั้งที่สหายคนสนิทของเขาคนนี้ได้หยิบคำเหล่านั้นมาปัดฝุ่นแล้วพูดให้เขาได้ฟังอีกครั้ง แล้วก็มักจะเป็นโอกาสที่คนตรงหน้าทำอะไรผิดตลอดเลยที่เขาจะได้ยินคำเหล่านั้น เช่นอย่างในตอนที่บอลด์วินทำแก้วน้ำของเขาตกแตก หรือในตอนที่เผลอทำหนังสือของเขาที่ยืมไปอ่านยับ
“ข้าต้องขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยจริง ๆ”
บอลด์วินไม่หยุดพูดคำราชาศัพท์กับเจ้าชายตรงหน้า แล้วค่อย ๆ ใช้ผ้าพันแผลที่มีติดตัวไว้พันเข้าที่ข้อพับนั้น ซึ่งฟินตันมองว่ามันก็เกินไปพอสมควรอยู่ เขาไม่ได้เป็นแผลอะไรสักหน่อย แค่รอยแดงช้ำนิดหน่อยเอง
“พูดคำสามัญกับข้าเสียก่อน ข้าถึงจะยกโทษให้เจ้า”
แม้จะไม่ได้โกรธหรือถือโทษอะไรอีกฝ่ายเลยก็ตาม
“ข้าขอโทษนะ คราวหลังข้าจะระวังกว่านี้”
บอลด์วินยอมพูดคำสามัญออกมาในระหว่างที่พันผ้าพันแผลนั้น แต่พอพันไปได้บาง ๆ อีกฝ่ายก็เอาของบางอย่างมาพันเข้าไปด้วย และสัมผัสที่แม้จะมีผ้าบาง ๆ กั้นไว้กับผิวของฟินตัน แต่เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่าวัตถุนั้นมันคืออะไร
“มันเป็นการซ้อม เจ้าไม่ต้องกังวลอะไรมากหรอกน่า ข้าไม่ติดใจอะไรหรอกถ้าบาดเจ็บ ว่าแต่นั่นคริสตัลสีเขียวถูกไหม?”
คริสตัลสีเขียวเป็นแร่ที่มีพลังในการรักษาเยียวยาอาการเจ็บป่วยได้ จึงเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากในทุก ๆ อาณาจักร และส่งผลให้มีราคาสูงมากตามไปด้วย ยิ่งคริสตัลสีเขียวที่คุณภาพสูงมาก ๆ ที่ฟินตันเคยเห็นในสมัยก่อนนี่มีราคามากพอที่จะซื้อม้าได้หลายตัวเลย
“ใช่ ข้ามีติดตัวไว้นิดหน่อย แต่มันเก่าพอสมควรแล้ว ฤทธิ์อาจจะไม่ค่อยหลงเหลือมากแล้วนะ”
คริสตัลพิเศษสีต่าง ๆ บนโลกนี้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ได้จีรัง พอหลังจากถูกขุดขึ้นมาและสัมผัสกับอากาศแล้วเวลาไหลผ่านไป ความสามารถของคริสตัลก็ลดลงตามไปด้วย อย่างคริสตัลสีเหลืองก็จะให้แสงสว่างลดน้อยลงจากเดิม และคริสตัลสีเขียวก็จะให้ผลทางการรักษาที่ช้าและไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าคริสตัลที่ขุดขึ้นมาใหม่
“เจ้าไปซื้อมาไว้ตอนไหนกัน แล้วแพงหรือเปล่าเนี่ย?”
ฟินตันคิดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นอย่างแรกเลย เพราะถึงแม้จะเป็นเศษคริสตัลแบบนี้ แต่ราคาก็น่าจะไม่ใช่เล็กน้อยแน่นอน
“ข้าได้มาในราคา 50 เหรียญเอง เห็นพ่อค้าบอกว่าเป็นทับทิมเกรด B เลยราคาถูกหน่อย”
บอลด์วินตอบแล้วชูถุงใส่คริสตัลสีเขียวหมอง ๆ ใบหนึ่งในกล่องเก็บอุปกรณ์พยาบาลให้ฟินตันดู ดูจากสภาพแล้วมันน่าจะอยู่มานานแล้ว แต่ทำไมฟินตันถึงไม่เคยสังเกตเห็นเลยหว่า? คงเพราะไม่ได้มายุ่งกับกล่องนี้ล่ะมั้ง เจ้าชายหนุ่มคิด
“50 เหรียญก็แพงอยู่ดี เจ้านี่นะ”
ฟินตันส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ 50 เหรียญซื้อครัวซองต์ได้ตั้ง 10 ชิ้น แต่ก็ซื้อมานานแล้วจะทำอะไรได้
แร่คริสตัลเหล่านี้เองก็มีเกรดของมัน นอกจากความใสบริสุทธิ์ของแร่ที่มีผลต่อคุณภาพแล้ว แร่ที่มีคุณภาพสูงเองก็จะสามารถใช้งานได้เป็นเวลานานอีกด้วย โดยมีการจัดระดับเป็นเกรดตั้งแต่ S, A, B, C จนถึง F ในส่วนของแร่เกรด B ที่บอลด์วินซื้อมานี้จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่หลักหลายเดือนจนถึงหนึ่งปี เป็นที่นิยมมากที่สุดในท้องตลาดด้วยราคาที่สามารถพอเข้าถึงได้โดยบุคคลทั่วไป แต่จ่ายไป 50 เหรียญแล้วได้แร่ใส่ถุงมาขนาดเท่าผลส้มนี่บอลด์วินน่าจะโดนหลอกขายแล้วแน่ ๆ เลย
“ข้าซื้อมาได้เกินครึ่งปีแล้ว และมันยังมีฤทธิ์พอสมควรอยู่เช่นนี้ ข้าว่ามันน่าจะเป็นเกรด B ที่สูงหน่อย ไม่แพงหรอกน่า”
ฟินตันคิดตามที่คนตรงหน้าพูดระหว่างที่เขากำลังเก็บกล่องอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจกับราคาและสิ่งที่ได้รับมาว่าก็พอสมเหตุสมผลเป็นที่ยอมรับได้
“ขอบใจเจ้ามากเลยนะ”
ในตอนที่บอลด์วินกำลังลุกขึ้นยืนนั้นฟินตันก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาน่าจะขอบคุณคนตรงหน้าสักหน่อยที่ดูแลเขาดีเช่นนี้
“ด้วยความยินดีขอรับ ท่านฟินตัน ดยุกแห่งนอร์ด”
หลังบอลด์วินพูดจบก็มีฝ่ามือเหวี่ยงลงใส่ที่ต้นแขนของเขา ตามมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายของฟินตัน
“หยุด เรียก ข้า ด้วย ชื่อ เต็ม สัก ที เถอะ”
บอลด์วินหัวเราะออกมากับการกระทำของฟินตันที่พูดออกมาทีละพยางค์พร้อมทำหน้าน่ากลัวใส่เขา แล้วลุกขึ้นเดินหนีพร้อมส่ายหน้าหนีเข้าห้องนอนของตัวเองไป แต่ดูยังไงก็น่าเอ็นดูมากกว่า ใบหน้าบึ่้งตึงผสมกับใบหน้าที่เบื่อหน่ายหน่อย ๆ เช่นนั้นน่ะนะจะทำให้เขากลัวและเลิกเรียกฟินตันเช่นนั้น?
น่ารักจะตายไป
 
“อาร์เจน! ขาของเจ้าไปถูกอะไรมาหรือ?”
ทันทีที่มาถึงร้านอาหาร ณ กลางเมืองนอร์ดที่ฟินตันทำงาน และถูกเห็นเข้าโดยเพื่อนร่วมงานคนสนิทที่มาถึงก่อนหน้าเขา ขาของฟินตันที่มีผ้าพันไว้บริเวณข้อพับก็กลายไปเป็นจุดสนใจในทันที
“ข้าชนของนิดหน่อยน่ะ ไม่เป็นอะไรมากนักหรอก”
ฟินตันตอบโกหกออกไปพร้อมทำใบหน้าว่าอย่าเป็นห่วงไปเลย
“ทำงานไหวไหมน่ะอาร์เจน เจ้าหยุดพักก็ได้นะวันนี้”
ในระหว่างนั้นเจ้าของร้านอาหารก็เดินถือขวดซอสออกมาเติมเพิ่มที่บริเวณครัวพอดีและได้ยินที่ทั้งสองคนคุยกันก่อนหน้า ฟินตันที่เกรงใจมาก ๆ ก็ไม่อยากจะลาหยุดอะไร เพราะเขาก็ไม่ได้เจ็บอะไรหนักสักหน่อย บอลด์วินทำเป็นเรื่องใหญ่เฉย ๆ เอง
“ม- ไม่เป็นอะไรหรอกครับคุณชาล็อต ผมทำงานไหวครับ”
“อย่าฝืนตัวเองนักล่ะ ถ้าไม่ไหวก็บอกข้าได้ทันทีเลย”
“ครับ”
 
ชาล็อต ฟาร์เล่ย์ เจ้าของร้านอาหารชื่อดังใจกลางเมืองนอร์ด เธอเป็นที่รู้จักจากอาหารของเธอที่มีรสชาติถูกปากคนทั่งในเมืองและที่เดินทางผ่าน จนทำให้เขาเหล่านั้นต้องคอยกลับมาแวะเวียนลิ้มลองรสชาติอันโอชะเหล่านี้อีกครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากนี้เธอยังขายน้ำยาโพชั่นต่าง ๆ มากมายด้วย โดยอาศัยพลังจิตของเธอที่ชื่อ Aquakinesis อันเป็นความสามารถในการควบคุมน้ำได้ตามที่ใจนึก เธอจึงสามารถผสมโพชั่นได้ในอัตราส่วนที่แม่นยำจนได้โพชั่นคุณภาพดีออกมาวางขายเป็นตัวทำรายได้รองลงมาจากร้านอาหาร
ฟินตันทำงานที่ร้านอาหารแห่งนี้มาโดยตลอดและคุ้นชินกับเพื่อนร่วมงานรวมไปถึงเจ้านายของเขาเป็นอย่างดี บรรยากาศในการทำงานที่เป็นกันเองกับทุกคนนี้ทำให้เจ้าตัวชอบในสถานที่แห่งนี้มาก ๆ มิหนำซ้ำ ชาล็อตยังเป็นคนที่ใจดีและดูแลลูกจ้างทุกคนของเธอราวกับเป็นคนในครอบครัว เข้าอกเข้าใจและใจเย็นอยู่เสมอเวลามีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นกับพนักงาน เธอจึงเป็นที่รักของทุกคนในร้านอาหารแห่งนี้มาก
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะนอร่า”
ฟินตันบอกกับเพื่อนสนิทของเขาที่ได้พบกันในร้านอาหารแห่งนี้ โดยนอร่าทำงานมาก่อนที่ฟินตันจะเข้าทำงานได้ปีกว่า ๆ แล้ว และเป็นคนคอยช่วยสอนงานฟินตันมาตลอด เขาเลยสนิทกับเธอคนนี้มากที่สุดในบรรดาพนักงานกว่าสิบชีวิต
 
บรรยากาศในร้านอาหารมีผู้คนผ่านมาประปรายตามปกติ แต่ก็มีแนวโน้มที่ลดลงเรื่อย ๆ ในเวลาหลายปีที่เดินผ่านไปตลอดการทำงานที่ร้านแห่งนี้ สภาพเศรษฐกิจช่วงหลังจากการเข้าควบคุมอำนาจของคีย์รันเต็มไปด้วยมาตรการมากมายที่ขูดรีดภาษีจากประชาชนมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนครัวซองต์แค่ชิ้นละ 2 เหรียญเอง ในตอนนี้ราคา 5 เหรียญแล้วซะได้ ขนาดว่าโคโลเนียสามารถปลูกข้าวสาลีที่เป็นวัตถุดิบในการทำแป้งทำขนมปังได้ด้วยตนเองซะส่วนใหญ่แท้ ๆ คงมาจากปัจจัยการผลิตอื่นที่ร่วมกับภาษีที่สูงที่ส่งผลให้ราคาสินค้าต่างสูงขึ้นเช่นนี้
หลายกิจการในนอร์ดเองก็ได้ปิดตัวลงไป อย่างโรงละครที่เปิดทำการมาตลอดอย่างยาวนานแห่งหนึ่งก็พึ่งปิดตัวลงไปเมื่อเดือนก่อน ฟินตันยังจำตอนนี้เขาและบอลด์วินไปดูละครเวทีด้วยกันที่นั่นได้อยู่เลย น่าเสียดายจริง ๆ ที่โรงละครที่มีการออกแบบสวยงามเช่นนั้นต้องปิดตัวลงเพราะพิษเศรษฐกิจ
“อาร์เจน ช่วยยกอันนี้ไปเสิร์ฟลูกค้าโต๊ะที่ห้าให้ข้าหน่อย”
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเดินมาขอให้ฟินตันช่วย เนื่องจากมีถาดอาหารสองถาดที่ต้องยกไปเสิร์ฟ หากยกไปได้พร้อมกันเลยในคราวเดียวน่าจะดีกว่า
“ได้เลย”
แม้จะเป็นเจ้าชายมาทั้งชีวิต แต่ฟินตันก็ไม่ได้มีท่าทีที่รังเกียจอาชีพบริการแต่อย่างใด เขาชื่นชมคนที่ประกอบอาชีพเหล่านี้ด้วยซ้ำว่าเป็นคนที่เข้มแข็งและขยันมาก ต้องออกแรงอย่างเดียวยังไม่พอ ยังต้องคอยทำให้ถูกต้องตามความต้องการละความพึงพอใจของลูกค้าอีกต่างหาก
“อาหารที่ท่านลูกค้าสั่งได้แล้วครับ”
เพื่อนร่วมงานของฟินตันพูดพร้อมค่อย ๆ วางจานอาหารลงตรงหน้าลูกค้าสองท่านอย่างเบามือ ตามด้วยจานอาหารที่ฟินตันถือตามมาที่ถูกวางลง
“กลิ่นหอมเสียจริง น่ากินเสียเหลือเกิน”
ในระหว่างที่เดินออกมาฟินตันได้ยินคำชมจากลูกค้า แค่นี้ก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
เวลาที่ผ่านไปไม่เพียงแต่จะทำให้ฟินตันเติบโตขึ้น แต่ตัวเขาเองที่ทำงานเป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารก็เริ่มที่จะได้ความรู้และวิธีเกี่ยวกับการทำอาหารไปด้วย เขาเริ่มขยับเข้ามาทำงานในครัวบ้างในยามที่พ่อครัวหลักกับคุณชาล็อตไม่อยู่ที่ร้าน และคอยเป็นลูกมือช่วยกับลูกจ้างคนอื่น ๆ ในการปรุงอาหาร ครั้งนี้ที่ชาล็อตออกไปเลือกซื้อวัตถุดิบเองก็เช่นกัน ฟินตันเป็นคนทำน้ำซอสในจานที่พึ่งยกไปเสิร์ฟให้ลูกค้าเมื่อครู่ทั้งสองจานเลย พอได้ยินคำชมมันเลยทำให้เขาอดที่จะดีใจไม่ได้ขึ้นมา
“นี่อาร์เจน ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยได้หรือเปล่า?”
ในระหว่างที่ฟินตันกำลังยืนพิงกับผนังเพื่อมองดูความเรียบร้อยของร้านอยู่นั้นนอร่าก็เดินเข้ามาสะกิดเขา และจากประสบการณ์ที่รู้จักกันมานาน เขารู้ได้เลยว่าเวลาแห่งการพูดคุยครั้งยิ่งใหญ่ได้มาเยือนเขาแล้ว
“อะไรหรือ?”
ฟินตันตอบแต่สายตายังคงมองดูว่ามีลูกค้าโต๊ะใดต้องการน้ำเปล่าเพิ่มหรือเปล่า
“กับบอลด์วินเจ้าไปกันถึงไหนแล้วหรือ?”
ฟินตันรีบหันหน้าควับมาหานอร่าทันทีที่มีการกล่าวถึงชื่อบุคคลที่สามกับเขา
“ข้าบอกเจ้าเสียกี่ครั้งแล้วว่าข้ากับบอลด์วินเป็นแค่สหายกัน”
ตาของฟินตันกรอกไปรอบ ๆ ด้วยความเหนื่อยหน่ายแล้วถอนหายใจ เป็นเวลานานมากจนจำไม่ได้แล้วที่นอร่าจะชอบถามเรื่องของเขากับบอลด์วินว่ามีความสัมพันธ์เป็นไปมากกว่าสหายทั่วไปหรือเปล่า ซึ่งเขาก็ไม่เคยเข้าใจเลยถึงสิ่งที่นอร่าเป็นอยู่ แต่เนื่องจากเห็นว่าไม่มีพิษภัยอะไรจึงไม่ได้สนในมากนัก
บ่อยครั้งที่นอร่าเห็นว่าฟินตันกับบอลด์วินอยู่ด้วยกัน เธอก็มักจะพูดเย้าแหย่พวกเขาทั้งคู่อยู่เสมอว่าเหมือนคนรักกันมากกว่าสหายบ้างล่ะ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็เป็นแค่สหายกันทั่วไปแค่นั้นเอง แม้แท้ที่จริงจะเป็นเจ้าชายกับองครักษ์ก็ตาม
“ไม่ใช่หรอกนะข้าว่า เจ้าชอบบอลด์วินก็ยอมรับมาเสียเถิด”
ฟินตันทำหน้าเบื่อหน่ายใส่นอร่า อย่างเขานี่นะชอบบอลด์วิน ไม่น่าจะดูเป็นไปได้เลยสักนิดเดียว
 
เย็นวันนั้นที่ฟินตันกลับมาถึงที่บ้านของเขากับบอลด์วิน ก็ยังคงมีคำพูดของนอร่าวนเวียนอยู่ในโสตประสาทอยู่ตลอดทางจนเขาอยากจะส่ายหน้าแรง ๆ เพื่อสลัดให้มันหลุดไปให้ได้ซะ แต่พอเข้ามาในบ้านก็พบกับความเงียบเชียบ เขาคิดว่าบอลด์วินน่าจะยังกลับมาไม่ถึงเลยตัดสินใจที่จะอ่านหนังสือรอสักบทสองบทพอให้มีอะไรทำ
จู่ ๆ ฟินตันก็นึกขึ้นได้ว่าในตอนเช้าบอลด์วินบอกเขาว่าวันนี้จะทำซุปจากเนื้อวัวที่ได้มาจากเพื่อนในที่ทำงานของเขามากินกัน ฟินตันเลยตั้งหน้าตั้งตารอมาก ๆ ถึงขั้นอยากจะลุกไปจุดไฟที่เตาไว้รอแล้ว แต่ก่อนจะเริ่มอ่านหนังสือเขาขอไปเข้าห้องน้ำเสียหน่อยละกัน เมื่อตอนก่อนกลับจากร้านของคุณชาล็อตเผลอดื่มน้ำแอปเปิลที่เธอเอามาให้ลองชิมเยอะไปเสียหน่อย
ฟินตันวางหนังสือที่เตรียมจะหยิบมาอ่านลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำพร้อมเปิดประตูเข้าไป
“เอ๊ะ…”
แต่ห้องน้ำที่ควรจะว่างเปล่ากับมีคนอยู่ข้างใน บอลด์วินนั่นเอง แต่นั่นเขากำลัง…
“อือ… อึก เอ๊ย! ฟ- ฟินตัน!”
“ข- ข้าขอโทษ! ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”
ภาพที่ฟินตันเห็นคือบอลด์วินที่เปลือยเปล่าในท่อนล่างพร้อมกับคาบปลายชายเสื้อของตัวเองไว้ในปาก ฝ่ามือกำลังกระทำจังหวะขึ้นและลงปรนเปรออยู่กับความแข็งขื่นบริเวณด้านหน้าของร่างกาย พร้อมด้วยเสียงต่ำและลมหายใจหนักถี่ที่แสดงถึงความพึงพอใจ ทันทีที่สายตาประสานเข้าหากัน ฟินตันจึงรีบปิดประตูห้องน้ำด้วยความเร็วจนเกิดเสียงดังปังขึ้น ก่อนจะพิงตัวกับพนังบ้านไว้ด้วยอาการร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก
 
ก๊อก ๆ
“ฟินตัน”
หลังจากนั้นสิบนาทีเศษ เสียงเคาะประตูห้องนอนของฟินตันดังขึ้นพร้อมด้วยเสียงจากคนที่เขาหลบหน้าเข้ามาอยู่ในห้องนอน
พอฟินตันปิดประตูห้องน้ำเสียงดังในครั้งนั้นไป เขาค่อย ๆ พยายามตั้งสติกับตัวเองและหยิบหนังสือมาอ่าน ก่อนจะรู้สึกแปลก ๆ ถ้าหากบอลด์วินเสร็จกิจแล้วออกจากห้องน้ำมาเจอเขา เจ้าชายหนุ่มจึงเลือกที่จะหนีเข้ามาอยู่ในห้องนอนของตัวเองเพื่อระงับความรู้สึกที่ว่าแทนการนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น แม้จะอยากเข้าห้องน้ำก็ตามที แต่มันรู้สึกแปลก ๆ นี่นา
“ข้าเปิดเข้าไปได้หรือไม่?”
เมื่อไร้เสียงตอบรับจากเจ้าของห้อง เพราะฟินตันกำลังทำตัวไม่ถูกอยู่ บอลด์วินจึงถามอีกครั้ง
“ข- ข้ากำลังไป”
ฟินตันวางหนังสือลงบนเตียงแล้วเดินไปที่หน้าประตูห้องนอน เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูให้เปิดออก เผยให้เห็นคนตรงหน้าที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่
“ช่วยข้าหั่นเนื้อเสียหน่อยได้หรือไม่?”
บอลด์วินถามพร้อมพยายามยิ้มเล็กน้อย แล้วไม่รู้ว่าทำไม แต่ฟินตันรู้สึกว่าไม่สามารถมองหน้าของคนตรงหน้าเขาได้เลย
“ด… ได้”
แต่กระนั้นเขาก็ตอบรับคำขอของอีกฝ่ายที่ขอให้เขาช่วยทำอาหาร
ฟินตันแวะเข้าห้องน้ำตามที่อยากทำ ก่อนจะออกมาช่วยสหายของเขาเตรียมอาหารเย็น ระหว่างการหั่นเนื้อที่ชิ้นไม่ใหญ่มากนั้นมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างทำอาหารด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วจะเป็นช่วงเวลาพูดคุยถามไถ่ถึงเรื่องที่พบเจอมาในวันนี้ของทั้งสอง
เวลาล่วงเลยมาจนถึงขณะรับประทานอาหารเย็น บอลด์วินวางถ้วยซุปเนื้อวัวลงที่โต๊ะสองถ้วย ตามมาด้วยฟินตันที่ถือช้อนมาสองคันอย่างรู้งาน แต่ความเงียบนี้มันทำให้บรรยากาศอึดอัดมาก ๆ เลย บอลด์วินคิดในใจ เขาคงต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนสินะ
“ข้าขอโทษนะนี่ให้เจ้าเห็นภาพเช่นนั้น”
บอลด์วินพูดพร้อมลอบมองใบหน้าของฟินตันเพื่อดูปฏิกิริยาตอบกลับ
“ม- ไม่เป็นอะไรเลย มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ข้าเข้าใจ”
ไม่ใช่ว่าฟินตันไม่เคยทำอะไรแบบนั้นมาก่อนเสียหน่อยในชีวิตนี้ เพียงแต่นี้เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนอื่นทำเรื่องแบบนั้นต่างหาก แถมยังเป็นสหายคนสนิทอีกด้วย ความกระอักกระอ่วนมันเลยมากมายเพียงนี้
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกลับมาถึงบ้านเร็วขนาดนั้น ไว้คราวหลังข้าจะไม่ลืมล็อกประตูนะ”
ใบหน้าของฟินตันมีสีแดงเรื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเขาได้ยินคำว่าคราวหลัง แต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะซดน้ำซุปรสชาติดีนั้นไปเป็นการกลบเกลื่อน
“ข้าก็… จะดูให้ดีก่อนเหมือนกันคราวหลัง หลอดไฟในห้องน้ำเปิดอยู่แท้ ๆ ข้าดูไม่ดีเอง”
ฟินตันพูดพร้อมคนช้อนวนไปวนมาในถ้วยของตัวเอง พอหลุบตาขึ้นมาก็เจอบอลด์วินมองมาอยู่ จึงหลบสายตาลงไปมองถ้วยซุปดังเดิม ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ภาพไม่กี่วินาทีในตอนนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำของเขาอยู่เลย แล้วพอยิ่งเห็นหน้าของบอลด์วินแล้วแบบนี้ก็ยิ่งทำให้นึกถึงตอนนั้นขึ้นมา
“ว่าแต่ขาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”
บอลด์วินรู้ดีว่าควรที่จะเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาได้แล้ว ก่อนที่ทั้งเขาและฟินตันจะมองหน้ากันไม่ติดไปมากกว่านี้ เลยย้ายมาถามถึงขาของฟินตันที่ยังมีผ้าพันแผลพันไว้อยู่แทน
“นิดหน่อย”
ฟินตันโล่งใจขึ้นมาพอสมควรที่หัวข้อในการพูดคุยเปลี่ยนไปแล้ว เขาอยากจะถอนหายใจออกมาดัง ๆ เพราะความโล่งใจนี้มากเลย
“ข้าขอดูเสียหน่อยนะหลังกินข้าวเสร็จแล้ว”
บอลด์วินพูดแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ก่อนจะนึกได้ว่ายังไม่ได้รินน้ำให้คนที่นั่งเยื้องไปทางขวาเลย
 
หลังรับประทานอาหารเย็นและจัดการทำความสะอาดถ้วยจานชามที่ใช้เรียบร้อยแล้ว บอลด์วินก็ย่อตัวคุกเข่าลงที่พื้นเหมือนวันก่อนหน้า แล้วแกะผ้าพันแผลที่ขาของฟินตันออกอย่างเบามือ ราวกับว่าขาของฟินตันหักอะไรอย่างนั้น ทั้งที่จริง ๆ แล้วแค่น่าจะเป็นรอยช้ำเอง แล้วก็ใช่จริงเสียด้วย พอผ้าพันแผลถูกนำออกไป บริเวณที่เจ้าชายหนุ่มถูกสหายของเขาเตะเข้าใส่เมื่อวันก่อนได้เกิดรอยฟกช้ำขึ้น แต่ด้วยฤทธิ์ของทับทิมสีเขียวที่บอลด์วินน้ำมาฟันไว้ในผ้าพันแผลนี้ด้วยเลยทำให้รอยช้ำไม่ได้เข้มมาก ออกจะดูเป็นหย่อม ๆ มากกว่าเป็นรอยใหญ่แบบที่ควรจะเป็น
ฟินตันมองดูรอยช้ำดังกล่าวแล้วเอื้อมมือลงไปลูบเบา ๆ ก่อนจะรู้สึกเจ็บขึ้นมาในตอนที่เขาลงน้ำหนักใส่บริเวณนั้น เลยชักมือกลับออกจากขาทันที
“ผลของคริสตัลของข้าดีพอสมควรเลย ถ้าอย่างนั้นข้าว่าพันไว้อีกหนึ่งวันน่าจะหายดี ตกลงไหม?”
บอลด์วินเงยหน้าขึ้นมาถามหลังจากตรวจสอบดูการบาดเจ็บแล้วเรียบร้อย
“อื้อ ตามที่เจ้าว่าเลย”
บอลด์วินพยักหน้าพร้อมกับเดินไปหยิบกล่องเครื่องมือปฐมพยาบาลมาจากบนตู้เก็บของ ในตอนนั้นเองที่มีกระดาษม้วนหนึ่งหล่นลงมาด้วย ด้วยความสงสัย บอลด์วินจึงถือติดมือมาด้วย
“อะไรล่ะนั่น?”
ฟินตันถามทันทีที่มีของชิ้นอื่นนอกจากกล่องเครื่องมือปฐมพยาบาลวางลงที่พื้นข้างเก้าอี้ที่เขานั่ง
“มันหล่นลงมาจากตู้น่ะ ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันคืออะไร”
บอลด์วินค่อย ๆ คลี่กระดาษม้วนนั้นออกก่อนจะเห็นข้อความที่เขียนไว้ในนั้น ซึ่งทำให้ทั้งเขาและคนบนเก้าอี้รู้ได้ทันทีว่านี่คืออะไร
มันคือแผนการที่เขาและบอลด์วินวางไว้ถึงการทวงคืนอาณาจักรจากคีย์รันเมื่อสามปีที่แล้วนั่นเอง
 
ในตอนนั้นฟินตันรู้ตัวดีว่าพลังจิตของตนกำลังเริ่มพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างก้าวกระโดดหลังจากที่เขาทำการฝึกซ้อมการใช้พลังจิตอยู่เป็นระยะสลับกับการใช้อาวุธอื่น ๆ แบบที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ และยิ่งในปัจจุบันที่ระดับพลังของฟินตันน่าจะอยู่ใน 4 แล้วจากการประมาณการด้วยหาข้อมูลจากบันทึกต่าง ๆ ฉะนั้นหากเขาเข้ารับการวัดระดับพลังตามกำหนดที่นัดหมายในสัปดาห์ System Scan แล้วล่ะก็ เขาต้องเป็นที่หมายตาจากคณะกรรมการตรวจวัดและถูกเลือกให้เข้าไปที่ศูนย์ฝึกฝนพลังจิต ณ กรุงมอนทาราเป็นแน่ และนั่นก็น่าจะเป็นจุดที่ความลับทั้งหมดของเขาถูกเปิดเผยออก
บอลด์วินจึงได้คุยเรื่องนี้กับเขาอย่างจริงจังในคืนวันหนึ่ง ทั้งสองตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการตรวจวัดระดับพลังในสัปดาห์ System Scan นับจากนั้นมา และเริ่มวางแผนที่จะใช้ช่วงเวลาที่มีอยู่นี้ในการฝึกฝนตัวเองให้หนักขึ้นเพื่อพัฒนาพลังของพวกเขาทั้งคู่ เพื่อที่จะได้มีความสามารถมากพอที่จะพอต่อกรกับคีย์รันและพวกได้
บอลด์วินยังพบอีกด้วยว่าเขายังเหลือญาติอยู่หนึ่งคนที่มอนทารา นั่นก็คือลูกพี่ลูกน้องของเขานั่นเอง เขาได้อาศัยลูกพี่ลูกน้องคนนี้ในการรับรู้ข่าวสารจากภายในมอนทารามาตลอด และรู้มาว่าพลังเวทของคีย์รันมีชื่อว่า Imagine Drawing เป็นเวทมนตร์ที่แปลเปลี่ยนสิ่งที่วาดลงบนกระดาษให้กลายไปเป็นสิ่งของจริง ๆ ได้ และเนื่องด้วยมีคำว่ากระดาษ และฟินตันมีพลังที่สามารถสร้างเปลวเพลิงได้ สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกกันเป็นอย่างยิ่ง นี่จึงเป็นช่องโหว่อย่างดีที่พวกเขาจะสามารถต่อกรกับคีย์รันได้ และมอบหมายให้ฟินตันฝึกฝนพลังจิตของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นมากพอจะเริ่มต้นตามแผนการของพวกเขา
และเนื่องด้วยการตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการตรวจวัดพลังจิตในสัปดาห์ System Scan เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะโดนพาตัวไปยังมอนทาราก่อนกำหนด พวกเขามีเวลาเพียงสี่ปีเท่านั้น เนื่องจากกฎหมายกำหนดไว้ว่าจะสามารถขาดการตรวจวัดพลังจิตได้ไม่เกินสามปี มิเช่นนั้นจะถูกตามจำกุมตัวทันทีด้วยข้อหาจงใจหลบเลี่ยงการตรวจวัด
 
“นี่… มันใกล้จะถึงสัปดาห์ System Scan ปีที่สี่แล้วนะ แผนการของเราเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ฟินตันเอื้อมมือไปสะกิดไหล่ของบอลด์วินแล้วถามด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อยภายในใจ เจ้าของกลุ่มผมสีดำเงยหน้ามาสบตากับดวงตาคู่สีน้ำตาลด้วยความมั่นใจหนักแน่นภายในใจของเขา
“ข้าว่าเจ้าพร้อมแล้วล่ะ”
 
เลเอ็นเดอะเกมเมนบีกิเนน - leten Þe gammen biginnen
ให้เกมมันเริ่มขึ้นกันเลย