เวลาเป็นสิ่งที่ไม่เคยจะหยุดนิ่ง
แม้ในยามที่ใจเราแหลกสลายกับเหตุการณ์มากมายบนโลกที่บ้าคลั่งนี้
เวลาก็เคยไม่หยุดให้เราพัก
มันยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างที่มันเป็นมาตลอด
บังคับให้เราต้องลุกขึ้นและก้าวไปพร้อมกับมัน
โดยไม่สนไม่ว่าคุณจะพร้อมหรือไม่ก็ตามกับทางข้างหน้าที่กำลังรอคุณอยู่
เผลอแปปเดียวเวลาจาก 2 ปีครึ่งก็ได้กำลังจะกลายไปเป็น 6 ปีครึ่ง
นอร์ดที่ไม่รู้จักแก่ฟินตันและบอลด์วินได้แปรสภาพไปเป็นเมืองที่คุ้นเคยราวกับอยู่อาศัยมาตราบชั่วชีวิต
ทุกตรอกซอกซอยถูกบันทึกลงในความทรงจำของทั้งคู่จนเปี่ยมไปด้วยความคุ้นเคย
ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วเหมือนกันที่ทั้งคู่เลิกถามทางจากคนท้องถิ่น
รู้ตัวอีกทีก็คุ้นเคยกับนครทางเหนือของอาณาจักรแห่งนี้ไปเสียแล้ว
“บ้าเอ๊ย! ยังแรงไม่พออีกหรือ”
เสียงบ่นอุบอิบพร้อมเสียงเหนื่อยหอบดังขึ้นสลับกับเสียงของวัตถุขนาดใหญ่ที่พุ่งผ่านอากาศ
โชคดีที่อยู่กลางป่าสนเช่นนี้
จึงไม่มีใครมาสนใจเจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลที่กำลังถูกกระแสอากาศพัดไปมา
ฟินตันใช้เวลาว่างในการฝึกฝนตนเองทั้งในด้านการใช้อาวุธและพลังจิตเพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่านไปกับความคิดที่อยากจะประกาศสงครามกับคีย์รัน
ยิ่งในช่วงหลัง ๆ
มาที่พลังจิตของเขาพัฒนาขึ้นมาจนในตอนนี้น่าจะเกือบถึง 4
แล้วมันยิ่งทำให้เขามีความกล้ามากขึ้นที่อยากจะลองทวงคืนบ้านของเขาคืนมา
ที่ที่ดินริมทะเลสาปที่ได้ซื้อเอาไว้เมื่อ 6
ปีที่แล้วได้มีการถางป่าด้านข้างกระท่อมเพิ่มเล็กน้อยเพื่อเอาไว้ใช้เป็นลานฝึก
แล้วก็ไม่ได้มีเพียงแค่ฟินตันคนเดียวหรอกที่ใช้ลานฝึกเล็ก ๆ นี้
แกรบ!
“ใครน่ะ!?”
ฟินตันหันไปทางต้นเสียงที่มีคนเหยียบกิ่งไม้ดังมา
มือทั้งสองข้างของเขาจุดเปลวเพลิงเอาไว้และเตรียมพร้อมที่จะสั่งให้เปลวเพลิงนั้นพุ่งออกไปทางจุดกำเนิดเสียงเพื่อแผดเผาผู้บุกรุก
แต่พอเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยจึงดับไฟนั้นลง
“ข้าเกือบไหม้เป็นจุณอีกแล้วสิ”
บอลด์วินพูดติดตลกพร้อมลดมือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมาแสดงให้เห็นว่าอย่าทำอะไรเขาเลยลง
แล้วนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในวันหนึ่งที่เขาว่าจะแกล้งฟินตันโดยการโผล่มาให้เจ้าตัวตกใจเล่น
ผลลัพธ์ออกมากลายเป็นเขาที่ถูกลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งมาใส่
และถึงแม้จะพยายามกระโดดหนีด้วยการอาศัยแรงผลักของอากาศที่สร้างจากพลังของตัวเองก็ตาม
สุดท้ายแขนเสื้อข้างนึงก็ไหม้จนทำเขาได้แผลไปพอสมควรอยู่ดี
“ก็เจ้าชอบมาแบบไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงเช่นนี้ไง”
ฟินตันบ่นพร้อมกับเดินมาหยิบแก้วน้ำยกขึ้นดื่ม
“วันนี้เจ้าฝึกพลังจิตหรือ?”
บอลด์วินหาที่ว่าง ๆ
ด้านข้างลานฝึกก่อนจะวางเก้าอี้ลงแล้วนั่งดูเจ้าชายหนุ่มในวัย 22
ปีฝึกฝนพลังจิตต่อ
“ใช่ ถ้าข้าไม่ทำแบบนี้ทุกอาทิตย์ข้าจะฟุ้งซ่านเอา”
ซูม!
ลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งไปกลางทะเลสาบที่มีกองก้อนหินวางอยู่บนเกาะเล็ก ๆ
อันเป็นเป้าหมายที่ฟินตันเล็งการโจมตีในการฝึกฝนพลังจิตของเขา
เมื่อพลังของเขาเติบโตขึ้นตามกาลเวลา
จากที่เคยสามารถสร้างลูกไฟขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย
ก็ได้กลายมาเป็นขนาดเท่า ๆ กับห้องนอนหนึ่งในตอนนี้
นี่ยังไม่รวมไปถึงความร้อนที่สัมผัสได้ผ่านกระแสลมที่ลูกไฟลูกแล้วลูกเล่าได้พุ่งผ่านอากาศไปจนทำให้อากาศบริเวณรอบข้างร้อนราวกับอยู่ในฤดูร้อน
“เจ้าจะค้างที่นี้หรือจะกลับบ้านกับข้า?”
คำถามของบอลด์วินทำให้ฟินตันหันหน้ามาจากทะเลสาบแล้วมองมาทางเขาแทน
“พรุ่งนี้ข้าต้องไปทำงาน แต่ขออีกครึ่งชั่วโมงค่อยกลับได้หรือไม่?”
พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ที่ฟินตันมีเวรต้องเข้าทำงานที่ร้านอาหารชื่อดังในตัวเมืองนอร์ด
อันเป็นร้านที่เขาทำงานมาได้จวนจะ 6 ปีแล้ว
และเป็นที่ที่เขาได้สนุกกับการทำงานมากจนลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย
แต่ก่อนจะไปถึงวันพรุ่งนี้
ในตอนนี้ฟินตันกำลังติดลมการฝึกฝนพลังนี้อยู่
เขาอยากจะลองทำให้ลูกแอปเปิลที่อุตส่าห์นั่งเรือเอาไปวางไว้อยู่บนกองหินบนเกาะกลางทะเลสาบไหม้ให้ได้
“ได้เลย ว่าแต่ในกระท่อมของเจ้ามีอะไรให้ข้ากินหรือเปล่า?”
ไหน ๆ คนที่มาคลุกอยู่ที่กระท่อมนี้บ่อยก็คือฟินตัน
งั้นถ้าบอลด์วินจะบอกว่ากระท่อมนี้เป็นของคนที่กำลังสร้างลูกไฟลูกแล้วลูกเล่าอยู่ตรงหน้าก็คงไม่ผิดนัก
“มีเบอร์รี่อยู่บนโต๊ะน่ะ เจ้าหิวหรือ?”
ระหว่างทางมายังกระท่อมกลางป่าสนนี้เมื่อตอนเที่ยงวันฟินตันได้เจอคุณยายคนนึงกำลังลากรถเข็นที่ดูหนักอยู่พอดี
เขาเลยอาสาเข้าไปช่วยคุณยายลากรถเข็นคันนั้นไปที่จุดหมายปลายทาง
และได้รับคำขอบคุณจากท่านมาเป็นบลูเบอร์รี่จำนวนหนึ่งที่รสชาติดี
“นิดหน่อย แต่ข้ารอเจ้าได้ ไม่ต้องรีบเสียล่ะ”
ว่าแล้วบอลด์วินก็ลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปในกระท่อม
ข้างในกระท่อมนี้ตัวเขาไม่ค่อยได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนบ่อยนัก
ทำให้บรรยากาศดูเป็นฟินตันมาก ๆ อย่างที่เห็น
ทั้งหนังสือมากมายที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่นี้กับที่บ้านของพวกเขาที่ไหนจะมีมากกว่ากัน
แผนที่ที่วาดแผนการเดินทางในการบุกมอนทาราที่บอลด์วินดูกี่ทีก็เป็นกังวล
และเตียงขนาดกลางที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่พึ่งตากแดดจนแห้งจนหอมนุ่มพับวางไว้อยู่
แต่ก็มีบางตัวที่มีเส้นด้ายตรงปลายไหม้ไปบ้าง
เห็นได้ชัดเลยว่าฟินตันใช้พลังจิตของตัวเองทำให้เสื้อผ้าแห้งเร็วขึ้น
แต่อาจจะใจลอยไปหน่อยจนทำให้ผ้าตรงปลายไหม้ ซึ่งน่าเอ็นดูดีแปลก ๆ
ในสายตาของบอลด์วิน
สายตาของลูกชายองครักษ์กวาดไปทั่วทั้งกระท่อมจนไปเจอกับเบอร์รี่ที่ฟินตันกล่าวถึงใส่อยู่ในตระกร้าผลไม้บนโต๊ะ
เขาเดินไปหยิบสองสามลูกเข้าปากแล้วตัดสินใจคว้าทั้งตะกร้านั้นแล้วกลับออกไปที่เก้าอี้ดังเดิม
แต่คนที่ตอนเขาเข้ามาในกระท่อมได้เลิกสร้างลูกไฟร้อนแล้วเปลี่ยนมาถือดาบเหวี่ยงไปมาแทน
ฟินตันยังคงใช้ดาบเล่มเดิมที่เจ้าตัวหวงแหนยิ่งในการฝึกฝนการใช้ดาบ
ดาบเล่มที่สวยงามและคมยิ่ง
อันเป็นคุณสมบัติของดาบประจำตัวเจ้าชายแห่งโคโลเนีย
“สนใจฝึกกับข้าสักหน่อยไหม?”
ไม่รู้เพราะอะไร แต่จู่ ๆ
บอลด์วินก็อยากไปออกแรงสักหน่อยกับสหายของเขา
“หืม? ข้าไม่ขัดนะ แต่ว่าเจ้าได้เอาดาบมาด้วยอยู่หรือ?”
ฟินตันตอบพร้อมกับยังหมุนตัวไปมาและฟันดาบกับอากาศ
“ข้าใช้กิ่งไม้ก็ได้”
บอลด์วินตบ ๆ ที่ข้างลำตัวดูและพบว่าไม่มีดาบ
เขาน่าจะเก็บเอาไว้ที่บ้านแล้วก่อนจะออกมาหาฟินตัน และเผอิญใกล้ ๆ
มีกิ่งไม้ความยาวพอเหมาะอยู่พอดี น่าจะพอใช้เป็นดาบไปพลางได้
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะใช้กิ่งไม้ด้วย จะได้เท่าเทียมกันกับเจ้า”
ฟินตันเก็บดาบใส่ฝักแล้วมองหากิ่งไม้รอบตัว
ก่อนจะได้กิ่งไม้ขนาดกำลังดีมาจากใต้ต้นสนใกล้ ๆ
“นี่แหนะ ๆๆ”
ฟินตันวางฝักดาบที่มีลวดลายวิจิตรพิงไว้กับเก้าอี้ที่บอลด์วินยกมานั่งดูเขาฝึกซ้อมก่อนหน้านี้
แล้วจึงเอากิ่งไม้ของตัวเองทำท่าเป็นตีสหายของเขาเข้าที่หลังเบา ๆ
ด้วยความมันเขี้ยว
“เห้อ… เจ้าเป็นเจ้าชายจริง ๆ ใช่ไหมบอกข้าที”
บอลด์วินถอนหายใจแล้วส่ายหน้ากับการกระทำของฟินตัน
ก็ใช่อยู่หรอกว่าน่าเอ็นดูดี
แต่บางทีเจ้าตัวก็ทำตัวดูเป็นคนธรรมดาหรือไม่ก็ออกแนวติงต๊องเกินไปสำหรับผู้เป็นเจ้าชาย
ตรงคำสุดท้ายนั้นบอลด์วินต้องเก็บเอาไว้ยิ่งชีพเลยถ้าเป็นสมัยก่อน
เพราะถ้าหากมีใครในวังรู้เข้าล่ะก็หัวของเขาได้หลุดออกจากบ่าแน่
แต่ถ้าพูดกับฟินตันเป็นการส่วนตัวก็อาจจะรอดก็ได้
แต่ถึงยังไงบอลด์วินก็ยังเคารพฟินตันอยู่ลึก ๆ อยู่ดี
ฉะนั้นไม่พูดออกไปจะเป็นการดีกว่า
“สงสัยในอำนาจของข้ารึ?”
ฟินตันกระชับกิ่งไม้ไว้ในมือด้วยท่าทางทะมัดทะแมงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ป… เปล่าขอรับ”
แล้วด้วยเพราะอะไรก็ไม่ทราบ บอลด์วินถึงได้ตอบฟินตันซะสุภาพ
“ดวลดาบกับข้าเสียหน่อยเป็นยังไง ใครแพ้จะต้อง… อ่า…
ล้างจานหลังกินข้าวเย็น ใช่ ๆ”
ฟินตันนึกอยู่พักหนึ่งถึงสิ่งที่ผู้แพ้สนการดวลดาบนี้จะต้องทำ
และคำตอบนั้นทำให้บอลด์วินอยากจะเอาเท้ายกมาก่ายหน้าผากของตัวเอง
เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าหรือเขาเป็นคนทำให้เจ้าชายคนนั้นกลายเป็นคนแบบนี้ไปซะได้
เหตุใดคนที่ควรจะดูน่าเคารพและเกรงขามถึงได้กลายมาเป็นคนที่ดูน่าเอ็นดูแบบนี้ได้กัน?
“ท่านฟินตันขอรับ ช่วยทรงจริงจังหน่อยได้ไหมขอรับ”
เห็นทีจะต้องทำเสียงแข็งแล้วพูดด้วยเหมือนตอนอยู่ในพระราชวังแล้วกระมังถึงจะทำให้ฟินตันกลับมาปกติได้
“อ- อะไรกัน ทำไมเจ้าต้องพูดกับข้าซะสุภาพ”
ฟินตันผ่อนคลายจากการจับกิ่งไม้ลงแล้วทำหน้ามุ่ยใส่คนตรงหน้า
“พระองค์ทรงอย่าได้เผลอไผลไป!”
สิ้นสุดคำพูด บอลด์วินก็พุ่งเข้ามาพร้อมด้วยกิ่งไม้ในมือ
แล้วจะฟาดลงใส่ฟินตัน ด้วยสัญชาตญาณของการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน
ฟินตันหลบไปด้านข้างแล้วใช้กิ่งไม้ของตัวเองรับไว้ได้ทันพอดี
“นี่เจ้าเล่นทีเผลอหรือ?”
ฟินตันเริ่มไฟลุกติดแล้วทีละนิดภายในตัวของเขา
น่าสนุกขึ้นมาเสียแล้วสิ
“เหอะ ท่านเผยช่องว่างให้ข้าเองนะ”
บอลด์วินตอบกลับด้วยเสียงที่พยายามทำให้ดูเหมือนตัวร้ายในละครเวทีที่เคยดู
“ทรงเล่นตามน้ำกับข้าเสียหน่อย เพื่อความสมจริงในการฝึกขอรับ”
จบประโยคก่อนหน้าบอลด์วินก็พูดออกมาด้วยเสียงปกติแต่ยังคงความสูงของภาษาไว้ดังเดิม
ฟินตันได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ยอมพยักหน้าตกลงเพราะเขารู้สึกว่าแบบนี้มันก็สนุกดีกว่าฝึกธรรมดา
“เจ้านั่นแหละ อย่ามัวแต่พล่าม”
ฟินตันอาศัยช่วงที่บอลด์วินพึ่งพูดจบในการเดินหน้าเข้าไปหาแล้วฟันดาบกิ่งไม้ใส่จนเจ้าของดวงตาสีฟ้าต้องถอยหลังแล้วใช้ดาบกิ่งไม้ของตัวเองตั้งรับไปหลายก้าว
“ฮึบ!”
บอลด์วินหมุนตัวออกมาด้านข้างของฟินตันแล้วกำลังจะใช้ดาบกิ่งไม้ฟาดเข้าที่แขนของคนตรงหน้า
แต่ฟินตันเร็วกว่า
เขาอาศัยความได้เปรียบที่ตัวเล็กกว่าในการเบี่ยงตัวหลบได้ทันแล้วก้าวถอยหลังไปตั้งหลัก
“ฝีมือเจ้าก็ไม่เลวนี่นา”
ฟินตันบาดเหงื่อพร้อมกำกิ่งไม้แน่น
“แต่ฝีมือของเจ้านี่ธรรมดากว่าที่ข้าคิดมากเสียเหลือเกิน
ทรงเป็นถึงเจ้าชาย แต่ได้เพียงเท่านี้เองหรือ?”
บอลด์วินตั้งใจเลือกคำพูดที่ยั่วอารมณ์ของฟินตันเพื่อเป็นการฝึกจิตใจของเขาไปในตัว
และดูเหมือนว่าจะได้ผล
ฟินตันแยกเขี้ยวแล้วพุ่งเข้ามาหาเขาทันทีโดยไม่ระวังตัวเองมาก
บอลด์วินรับดาบกิ่งไม้ของฟินตันได้ทัน
ก่อนจะหมุนตัวอ้อมไปด้านหลังแล้วเตะเข้าที่ข้อพับจนฟินตันคุกเข่าลงกับพื้น
และสามารถล็อกคอของคนตัวเล็กได้สำเร็จด้วยกิ่งไม้ของเขา
ซึ่งถ้าเป็นดาบจริง ในตอนนี้ฟินตันก็คือไม่สามารถต่อสู้ต่อได้แล้ว
“ข- ข้ายอมแพ้ก็ได้”
ฟินตันชูมือขึ้นสองข้างให้กิ่งไม้หลุดจากมือเป็นการยอมแพ้
บอลด์วินเลยลดกิ่งไม้ลงจากคอของคนตรงหน้าเช่นกัน
“พระองค์ต้องไม่ทรงหลงไปกับคำพูดของศัตรูนะขอรับ
มิเช่นนั้นอาจจะเกิดช่องว่างขึ้นได้ดังเมื่อครู่”
บอลด์วินลุกขึ้นแล้วเอื้อมมือไปหาคนตัวเล็กกว่าตรงหน้า
“คร้าบ หยุดพูดคำราชาศัพท์กับข้าได้แล้วครับ”
ฟินตันประชดแล้วส่ายหน้า
ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือกับบอลด์วินเพื่อให้เขาดึงตัวฟินตันลุกขึ้นยืน
“เจ็บหรือเปล่า?”
บอลด์วินพูดพร้อมมองที่ขาของคนตรงหน้าในบริเวณที่เขาเตะเข้าใส่อย่างเป็นกังวล
“ม- ไม่เท่าไหร่”
ฟินตันปัดฝุ่นที่เปื้อนกางเกงออกหลังจากลุกขึ้น
และลูบบริเวณที่เจ็บหน่อย ๆ นั้นอย่างเบามือ
แต่ถึงจะบอกว่าไม่เป็นอะไร
กระนั่้นพอกลับมาถึงบ้านและฟินตันขอตัวไปอาบน้ำ
เขาก็เห็นก็มีรอยแดงเกิดขึ้นอยู่ดี แต่เป็นการฝึกนี่หว่า
การบาดเจ็บเล็กน้อยเป็นอะไรที่ยอมรับได้
เพราะการบาดเจ็บเล็กน้อยในขณะฝึกซ้อมนี้จะเป็นบทเรียนให้เขาไม่ทำผิดพลาดในยามต่อสู้กับคู่ต่อสู้จริง
ที่จะนำมาซึ่งบาดแผลที่ยิ่งใหญ่และอันตรายต่อร่างกายมากกว่านี้
ฉะนั้นฟินตันเลยไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไรกับรอยแดงนี้
พรุ่งนี้เช้ามาน่าจะเป็นรอยช้ำนิดหน่อยแค่นั้นเอง
“เจ้าไปอาบน้ำต่อได้เลยนะ เดี๋ยวข้าจะล้างจานให้ตามสัญญา”
หลังจากผ่านฤดูหนาวมาไม่นาน
การกลับมาอาบน้ำบ่อยยังไม่ค่อยเป็นที่คุ้นชินเท่าไหร่นัก
เพราะในระหว่างฤดูหนาวอันหนาบเหน็บของโคโลเนีย
น้ำส่วนใหญ่ได้กลายเป็นน้ำแข็งไปจนหมด
และส่วนน้อยที่ยังเป็นของเหลวอยู่ก็มีอุณหภูมิเย็นเฉียบที่ทำให้รู้สึกราวกับมีเข็มนับพันทิ่มเข้าในตอนที่สัมผัสโดน
ฟินตันที่แม้จะชอบความสบายตัวที่ได้อาบน้ำก็เลยเลือกที่จะชำระร่างกายเพียงอย่างน้อยอาทิตย์ละสองครั้งเท่านั้นตลอดเหมันตฤดู
แต่หลังจากการฝึกอันเหน็ดเหนื่อยแบบวันนี้
รวมกับอากาศของช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มจะอุ่นขึ้นมาบ้าง
ถ้าไม่ได้อาบน้ำแล้วนอนไปเลยทั้งอย่างนั้น
ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีนะต่อสุขอนามัยสักเท่าไหร่
แถมพออาบน้ำเสร็จแล้วยังรู้สึกสดชื่นขนาดนี้อีก
เลยไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ทำให้ฟินตันจะไม่อาบน้ำในวันนี้
และสหายคู่ใจของเขาก็ควรจะอาบด้วย เพราะไหน ๆ
อีกฝ่ายก็ฝึกมาด้วยกันกับเขา เขาไม่อยากให้บอลด์วินเน่าน่ะ
“ได้ แต่เจ้ามานั่งตรงนี้ก่อน”
บอลด์วินกล่าวพร้อมตบ ๆ มือลงกับเก้าอี้ตรงหน้าเขา
เชิญชวนให้ฟินตันมานั่งลงที่มัน
“มีอะไรหรือ?”
ฟินตันเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างคนผมสีดำอย่างไม่สงสัยอะไร
ผ้าเช็ดตัวยังอยู่ในมือของคนผมสีน้ำตาลอยู่เลย
“ขออนุญาตนะขอรับ”
บอลด์วินกล่าวด้วยความสุภาพแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้
ก่อนจะย่อตัวลงนั่งที่พื้นข้างหน้าฟินตันอย่างนอบน้อม
นั่นทำให้ฟินตันกระวนกระวายทันทีกับความสุภาพตรงหน้า
“จ- เจ้าจะทำอะไร? แล้วทำไมต้องพูดสุภาพด้วย?”
บอลด์วินไม่ตอบคำถามของเจ้าชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ต่อหน้าเขาในทันที
และเลือกที่จะเอื้อมมือทั้งสองข้างไปประครองขาของฟินตันขึ้นดูบริเวณข้อพับที่เขาเตะไปเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา
“กระหม่อมทำพระองค์เจ็บ”
บอลด์วินตอบพร้อมลูบบริเวณข้อพับที่แดงนั้นอย่างเบามือ
“ข้าบอกเจ้าแล้วยังไงว่าข้าไม่เป็นอะไรกับที่เจ้าทำข้า
แล้วก็ไม่ต้องพูดคำราชาศัพท์กับข้าด้วย”
ฟินตันไม่ค่อยได้ยินคำราชาศัพท์เลยในช่วงหลัง ๆ มานี้
และเขาคุ้นเคยกับคำที่สามัญชนคนทั่วไปใช้มากจนไม่อยากจะกลับไปใช้คำเหล่านั้นแล้ว
แต่ก็จะมีนาน ๆ
ครั้งที่สหายคนสนิทของเขาคนนี้ได้หยิบคำเหล่านั้นมาปัดฝุ่นแล้วพูดให้เขาได้ฟังอีกครั้ง
แล้วก็มักจะเป็นโอกาสที่คนตรงหน้าทำอะไรผิดตลอดเลยที่เขาจะได้ยินคำเหล่านั้น
เช่นอย่างในตอนที่บอลด์วินทำแก้วน้ำของเขาตกแตก
หรือในตอนที่เผลอทำหนังสือของเขาที่ยืมไปอ่านยับ
“ข้าต้องขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยจริง ๆ”
บอลด์วินไม่หยุดพูดคำราชาศัพท์กับเจ้าชายตรงหน้า แล้วค่อย ๆ
ใช้ผ้าพันแผลที่มีติดตัวไว้พันเข้าที่ข้อพับนั้น
ซึ่งฟินตันมองว่ามันก็เกินไปพอสมควรอยู่
เขาไม่ได้เป็นแผลอะไรสักหน่อย แค่รอยแดงช้ำนิดหน่อยเอง
“พูดคำสามัญกับข้าเสียก่อน ข้าถึงจะยกโทษให้เจ้า”
แม้จะไม่ได้โกรธหรือถือโทษอะไรอีกฝ่ายเลยก็ตาม
“ข้าขอโทษนะ คราวหลังข้าจะระวังกว่านี้”
บอลด์วินยอมพูดคำสามัญออกมาในระหว่างที่พันผ้าพันแผลนั้น
แต่พอพันไปได้บาง ๆ อีกฝ่ายก็เอาของบางอย่างมาพันเข้าไปด้วย
และสัมผัสที่แม้จะมีผ้าบาง ๆ กั้นไว้กับผิวของฟินตัน
แต่เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่าวัตถุนั้นมันคืออะไร
“มันเป็นการซ้อม เจ้าไม่ต้องกังวลอะไรมากหรอกน่า
ข้าไม่ติดใจอะไรหรอกถ้าบาดเจ็บ ว่าแต่นั่นคริสตัลสีเขียวถูกไหม?”
คริสตัลสีเขียวเป็นแร่ที่มีพลังในการรักษาเยียวยาอาการเจ็บป่วยได้
จึงเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากในทุก ๆ อาณาจักร
และส่งผลให้มีราคาสูงมากตามไปด้วย ยิ่งคริสตัลสีเขียวที่คุณภาพสูงมาก
ๆ
ที่ฟินตันเคยเห็นในสมัยก่อนนี่มีราคามากพอที่จะซื้อม้าได้หลายตัวเลย
“ใช่ ข้ามีติดตัวไว้นิดหน่อย แต่มันเก่าพอสมควรแล้ว
ฤทธิ์อาจจะไม่ค่อยหลงเหลือมากแล้วนะ”
คริสตัลพิเศษสีต่าง ๆ บนโลกนี้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ได้จีรัง
พอหลังจากถูกขุดขึ้นมาและสัมผัสกับอากาศแล้วเวลาไหลผ่านไป
ความสามารถของคริสตัลก็ลดลงตามไปด้วย
อย่างคริสตัลสีเหลืองก็จะให้แสงสว่างลดน้อยลงจากเดิม
และคริสตัลสีเขียวก็จะให้ผลทางการรักษาที่ช้าและไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าคริสตัลที่ขุดขึ้นมาใหม่
“เจ้าไปซื้อมาไว้ตอนไหนกัน แล้วแพงหรือเปล่าเนี่ย?”
ฟินตันคิดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นอย่างแรกเลย
เพราะถึงแม้จะเป็นเศษคริสตัลแบบนี้
แต่ราคาก็น่าจะไม่ใช่เล็กน้อยแน่นอน
“ข้าได้มาในราคา 50 เหรียญเอง เห็นพ่อค้าบอกว่าเป็นทับทิมเกรด B
เลยราคาถูกหน่อย”
บอลด์วินตอบแล้วชูถุงใส่คริสตัลสีเขียวหมอง ๆ
ใบหนึ่งในกล่องเก็บอุปกรณ์พยาบาลให้ฟินตันดู
ดูจากสภาพแล้วมันน่าจะอยู่มานานแล้ว
แต่ทำไมฟินตันถึงไม่เคยสังเกตเห็นเลยหว่า?
คงเพราะไม่ได้มายุ่งกับกล่องนี้ล่ะมั้ง เจ้าชายหนุ่มคิด
“50 เหรียญก็แพงอยู่ดี เจ้านี่นะ”
ฟินตันส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ 50 เหรียญซื้อครัวซองต์ได้ตั้ง 10 ชิ้น
แต่ก็ซื้อมานานแล้วจะทำอะไรได้
แร่คริสตัลเหล่านี้เองก็มีเกรดของมัน
นอกจากความใสบริสุทธิ์ของแร่ที่มีผลต่อคุณภาพแล้ว
แร่ที่มีคุณภาพสูงเองก็จะสามารถใช้งานได้เป็นเวลานานอีกด้วย
โดยมีการจัดระดับเป็นเกรดตั้งแต่ S, A, B, C จนถึง F
ในส่วนของแร่เกรด B
ที่บอลด์วินซื้อมานี้จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่หลักหลายเดือนจนถึงหนึ่งปี
เป็นที่นิยมมากที่สุดในท้องตลาดด้วยราคาที่สามารถพอเข้าถึงได้โดยบุคคลทั่วไป
แต่จ่ายไป 50
เหรียญแล้วได้แร่ใส่ถุงมาขนาดเท่าผลส้มนี่บอลด์วินน่าจะโดนหลอกขายแล้วแน่
ๆ เลย
“ข้าซื้อมาได้เกินครึ่งปีแล้ว และมันยังมีฤทธิ์พอสมควรอยู่เช่นนี้
ข้าว่ามันน่าจะเป็นเกรด B ที่สูงหน่อย ไม่แพงหรอกน่า”
ฟินตันคิดตามที่คนตรงหน้าพูดระหว่างที่เขากำลังเก็บกล่องอุปกรณ์ปฐมพยาบาล
ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจกับราคาและสิ่งที่ได้รับมาว่าก็พอสมเหตุสมผลเป็นที่ยอมรับได้
“ขอบใจเจ้ามากเลยนะ”
ในตอนที่บอลด์วินกำลังลุกขึ้นยืนนั้นฟินตันก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาน่าจะขอบคุณคนตรงหน้าสักหน่อยที่ดูแลเขาดีเช่นนี้
“ด้วยความยินดีขอรับ ท่านฟินตัน ดยุกแห่งนอร์ด”
หลังบอลด์วินพูดจบก็มีฝ่ามือเหวี่ยงลงใส่ที่ต้นแขนของเขา
ตามมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายของฟินตัน
“หยุด เรียก ข้า ด้วย ชื่อ เต็ม สัก ที เถอะ”
บอลด์วินหัวเราะออกมากับการกระทำของฟินตันที่พูดออกมาทีละพยางค์พร้อมทำหน้าน่ากลัวใส่เขา
แล้วลุกขึ้นเดินหนีพร้อมส่ายหน้าหนีเข้าห้องนอนของตัวเองไป
แต่ดูยังไงก็น่าเอ็นดูมากกว่า
ใบหน้าบึ่้งตึงผสมกับใบหน้าที่เบื่อหน่ายหน่อย ๆ
เช่นนั้นน่ะนะจะทำให้เขากลัวและเลิกเรียกฟินตันเช่นนั้น?
น่ารักจะตายไป
“อาร์เจน! ขาของเจ้าไปถูกอะไรมาหรือ?”
ทันทีที่มาถึงร้านอาหาร ณ กลางเมืองนอร์ดที่ฟินตันทำงาน
และถูกเห็นเข้าโดยเพื่อนร่วมงานคนสนิทที่มาถึงก่อนหน้าเขา
ขาของฟินตันที่มีผ้าพันไว้บริเวณข้อพับก็กลายไปเป็นจุดสนใจในทันที
“ข้าชนของนิดหน่อยน่ะ ไม่เป็นอะไรมากนักหรอก”
ฟินตันตอบโกหกออกไปพร้อมทำใบหน้าว่าอย่าเป็นห่วงไปเลย
“ทำงานไหวไหมน่ะอาร์เจน เจ้าหยุดพักก็ได้นะวันนี้”
ในระหว่างนั้นเจ้าของร้านอาหารก็เดินถือขวดซอสออกมาเติมเพิ่มที่บริเวณครัวพอดีและได้ยินที่ทั้งสองคนคุยกันก่อนหน้า
ฟินตันที่เกรงใจมาก ๆ ก็ไม่อยากจะลาหยุดอะไร
เพราะเขาก็ไม่ได้เจ็บอะไรหนักสักหน่อย บอลด์วินทำเป็นเรื่องใหญ่เฉย ๆ
เอง
“ม- ไม่เป็นอะไรหรอกครับคุณชาล็อต ผมทำงานไหวครับ”
“อย่าฝืนตัวเองนักล่ะ ถ้าไม่ไหวก็บอกข้าได้ทันทีเลย”
“ครับ”
ชาล็อต ฟาร์เล่ย์ เจ้าของร้านอาหารชื่อดังใจกลางเมืองนอร์ด
เธอเป็นที่รู้จักจากอาหารของเธอที่มีรสชาติถูกปากคนทั่งในเมืองและที่เดินทางผ่าน
จนทำให้เขาเหล่านั้นต้องคอยกลับมาแวะเวียนลิ้มลองรสชาติอันโอชะเหล่านี้อีกครั้งแล้วครั้งเล่า
นอกจากนี้เธอยังขายน้ำยาโพชั่นต่าง ๆ มากมายด้วย
โดยอาศัยพลังจิตของเธอที่ชื่อ Aquakinesis
อันเป็นความสามารถในการควบคุมน้ำได้ตามที่ใจนึก
เธอจึงสามารถผสมโพชั่นได้ในอัตราส่วนที่แม่นยำจนได้โพชั่นคุณภาพดีออกมาวางขายเป็นตัวทำรายได้รองลงมาจากร้านอาหาร
ฟินตันทำงานที่ร้านอาหารแห่งนี้มาโดยตลอดและคุ้นชินกับเพื่อนร่วมงานรวมไปถึงเจ้านายของเขาเป็นอย่างดี
บรรยากาศในการทำงานที่เป็นกันเองกับทุกคนนี้ทำให้เจ้าตัวชอบในสถานที่แห่งนี้มาก
ๆ มิหนำซ้ำ
ชาล็อตยังเป็นคนที่ใจดีและดูแลลูกจ้างทุกคนของเธอราวกับเป็นคนในครอบครัว
เข้าอกเข้าใจและใจเย็นอยู่เสมอเวลามีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นกับพนักงาน
เธอจึงเป็นที่รักของทุกคนในร้านอาหารแห่งนี้มาก
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะนอร่า”
ฟินตันบอกกับเพื่อนสนิทของเขาที่ได้พบกันในร้านอาหารแห่งนี้
โดยนอร่าทำงานมาก่อนที่ฟินตันจะเข้าทำงานได้ปีกว่า ๆ แล้ว
และเป็นคนคอยช่วยสอนงานฟินตันมาตลอด
เขาเลยสนิทกับเธอคนนี้มากที่สุดในบรรดาพนักงานกว่าสิบชีวิต
บรรยากาศในร้านอาหารมีผู้คนผ่านมาประปรายตามปกติ
แต่ก็มีแนวโน้มที่ลดลงเรื่อย ๆ
ในเวลาหลายปีที่เดินผ่านไปตลอดการทำงานที่ร้านแห่งนี้
สภาพเศรษฐกิจช่วงหลังจากการเข้าควบคุมอำนาจของคีย์รันเต็มไปด้วยมาตรการมากมายที่ขูดรีดภาษีจากประชาชนมากขึ้นเรื่อย
ๆ ส่งผลให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
เมื่อก่อนครัวซองต์แค่ชิ้นละ 2 เหรียญเอง ในตอนนี้ราคา 5
เหรียญแล้วซะได้
ขนาดว่าโคโลเนียสามารถปลูกข้าวสาลีที่เป็นวัตถุดิบในการทำแป้งทำขนมปังได้ด้วยตนเองซะส่วนใหญ่แท้
ๆ
คงมาจากปัจจัยการผลิตอื่นที่ร่วมกับภาษีที่สูงที่ส่งผลให้ราคาสินค้าต่างสูงขึ้นเช่นนี้
หลายกิจการในนอร์ดเองก็ได้ปิดตัวลงไป
อย่างโรงละครที่เปิดทำการมาตลอดอย่างยาวนานแห่งหนึ่งก็พึ่งปิดตัวลงไปเมื่อเดือนก่อน
ฟินตันยังจำตอนนี้เขาและบอลด์วินไปดูละครเวทีด้วยกันที่นั่นได้อยู่เลย
น่าเสียดายจริง ๆ
ที่โรงละครที่มีการออกแบบสวยงามเช่นนั้นต้องปิดตัวลงเพราะพิษเศรษฐกิจ
“อาร์เจน ช่วยยกอันนี้ไปเสิร์ฟลูกค้าโต๊ะที่ห้าให้ข้าหน่อย”
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเดินมาขอให้ฟินตันช่วย
เนื่องจากมีถาดอาหารสองถาดที่ต้องยกไปเสิร์ฟ
หากยกไปได้พร้อมกันเลยในคราวเดียวน่าจะดีกว่า
“ได้เลย”
แม้จะเป็นเจ้าชายมาทั้งชีวิต
แต่ฟินตันก็ไม่ได้มีท่าทีที่รังเกียจอาชีพบริการแต่อย่างใด
เขาชื่นชมคนที่ประกอบอาชีพเหล่านี้ด้วยซ้ำว่าเป็นคนที่เข้มแข็งและขยันมาก
ต้องออกแรงอย่างเดียวยังไม่พอ
ยังต้องคอยทำให้ถูกต้องตามความต้องการละความพึงพอใจของลูกค้าอีกต่างหาก
“อาหารที่ท่านลูกค้าสั่งได้แล้วครับ”
เพื่อนร่วมงานของฟินตันพูดพร้อมค่อย ๆ
วางจานอาหารลงตรงหน้าลูกค้าสองท่านอย่างเบามือ
ตามด้วยจานอาหารที่ฟินตันถือตามมาที่ถูกวางลง
“กลิ่นหอมเสียจริง น่ากินเสียเหลือเกิน”
ในระหว่างที่เดินออกมาฟินตันได้ยินคำชมจากลูกค้า
แค่นี้ก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
เวลาที่ผ่านไปไม่เพียงแต่จะทำให้ฟินตันเติบโตขึ้น
แต่ตัวเขาเองที่ทำงานเป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารก็เริ่มที่จะได้ความรู้และวิธีเกี่ยวกับการทำอาหารไปด้วย
เขาเริ่มขยับเข้ามาทำงานในครัวบ้างในยามที่พ่อครัวหลักกับคุณชาล็อตไม่อยู่ที่ร้าน
และคอยเป็นลูกมือช่วยกับลูกจ้างคนอื่น ๆ ในการปรุงอาหาร
ครั้งนี้ที่ชาล็อตออกไปเลือกซื้อวัตถุดิบเองก็เช่นกัน
ฟินตันเป็นคนทำน้ำซอสในจานที่พึ่งยกไปเสิร์ฟให้ลูกค้าเมื่อครู่ทั้งสองจานเลย
พอได้ยินคำชมมันเลยทำให้เขาอดที่จะดีใจไม่ได้ขึ้นมา
“นี่อาร์เจน ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยได้หรือเปล่า?”
ในระหว่างที่ฟินตันกำลังยืนพิงกับผนังเพื่อมองดูความเรียบร้อยของร้านอยู่นั้นนอร่าก็เดินเข้ามาสะกิดเขา
และจากประสบการณ์ที่รู้จักกันมานาน
เขารู้ได้เลยว่าเวลาแห่งการพูดคุยครั้งยิ่งใหญ่ได้มาเยือนเขาแล้ว
“อะไรหรือ?”
ฟินตันตอบแต่สายตายังคงมองดูว่ามีลูกค้าโต๊ะใดต้องการน้ำเปล่าเพิ่มหรือเปล่า
“กับบอลด์วินเจ้าไปกันถึงไหนแล้วหรือ?”
ฟินตันรีบหันหน้าควับมาหานอร่าทันทีที่มีการกล่าวถึงชื่อบุคคลที่สามกับเขา
“ข้าบอกเจ้าเสียกี่ครั้งแล้วว่าข้ากับบอลด์วินเป็นแค่สหายกัน”
ตาของฟินตันกรอกไปรอบ ๆ ด้วยความเหนื่อยหน่ายแล้วถอนหายใจ
เป็นเวลานานมากจนจำไม่ได้แล้วที่นอร่าจะชอบถามเรื่องของเขากับบอลด์วินว่ามีความสัมพันธ์เป็นไปมากกว่าสหายทั่วไปหรือเปล่า
ซึ่งเขาก็ไม่เคยเข้าใจเลยถึงสิ่งที่นอร่าเป็นอยู่
แต่เนื่องจากเห็นว่าไม่มีพิษภัยอะไรจึงไม่ได้สนในมากนัก
บ่อยครั้งที่นอร่าเห็นว่าฟินตันกับบอลด์วินอยู่ด้วยกัน
เธอก็มักจะพูดเย้าแหย่พวกเขาทั้งคู่อยู่เสมอว่าเหมือนคนรักกันมากกว่าสหายบ้างล่ะ
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็เป็นแค่สหายกันทั่วไปแค่นั้นเอง
แม้แท้ที่จริงจะเป็นเจ้าชายกับองครักษ์ก็ตาม
“ไม่ใช่หรอกนะข้าว่า เจ้าชอบบอลด์วินก็ยอมรับมาเสียเถิด”
ฟินตันทำหน้าเบื่อหน่ายใส่นอร่า อย่างเขานี่นะชอบบอลด์วิน
ไม่น่าจะดูเป็นไปได้เลยสักนิดเดียว
เย็นวันนั้นที่ฟินตันกลับมาถึงที่บ้านของเขากับบอลด์วิน
ก็ยังคงมีคำพูดของนอร่าวนเวียนอยู่ในโสตประสาทอยู่ตลอดทางจนเขาอยากจะส่ายหน้าแรง
ๆ เพื่อสลัดให้มันหลุดไปให้ได้ซะ
แต่พอเข้ามาในบ้านก็พบกับความเงียบเชียบ
เขาคิดว่าบอลด์วินน่าจะยังกลับมาไม่ถึงเลยตัดสินใจที่จะอ่านหนังสือรอสักบทสองบทพอให้มีอะไรทำ
จู่ ๆ
ฟินตันก็นึกขึ้นได้ว่าในตอนเช้าบอลด์วินบอกเขาว่าวันนี้จะทำซุปจากเนื้อวัวที่ได้มาจากเพื่อนในที่ทำงานของเขามากินกัน
ฟินตันเลยตั้งหน้าตั้งตารอมาก ๆ
ถึงขั้นอยากจะลุกไปจุดไฟที่เตาไว้รอแล้ว
แต่ก่อนจะเริ่มอ่านหนังสือเขาขอไปเข้าห้องน้ำเสียหน่อยละกัน
เมื่อตอนก่อนกลับจากร้านของคุณชาล็อตเผลอดื่มน้ำแอปเปิลที่เธอเอามาให้ลองชิมเยอะไปเสียหน่อย
ฟินตันวางหนังสือที่เตรียมจะหยิบมาอ่านลงบนโต๊ะ
ก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำพร้อมเปิดประตูเข้าไป
“เอ๊ะ…”
แต่ห้องน้ำที่ควรจะว่างเปล่ากับมีคนอยู่ข้างใน บอลด์วินนั่นเอง
แต่นั่นเขากำลัง…
“อือ… อึก เอ๊ย! ฟ- ฟินตัน!”
“ข- ข้าขอโทษ! ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”
ภาพที่ฟินตันเห็นคือบอลด์วินที่เปลือยเปล่าในท่อนล่างพร้อมกับคาบปลายชายเสื้อของตัวเองไว้ในปาก
ฝ่ามือกำลังกระทำจังหวะขึ้นและลงปรนเปรออยู่กับความแข็งขื่นบริเวณด้านหน้าของร่างกาย
พร้อมด้วยเสียงต่ำและลมหายใจหนักถี่ที่แสดงถึงความพึงพอใจ
ทันทีที่สายตาประสานเข้าหากัน
ฟินตันจึงรีบปิดประตูห้องน้ำด้วยความเร็วจนเกิดเสียงดังปังขึ้น
ก่อนจะพิงตัวกับพนังบ้านไว้ด้วยอาการร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก
ก๊อก ๆ
“ฟินตัน”
หลังจากนั้นสิบนาทีเศษ
เสียงเคาะประตูห้องนอนของฟินตันดังขึ้นพร้อมด้วยเสียงจากคนที่เขาหลบหน้าเข้ามาอยู่ในห้องนอน
พอฟินตันปิดประตูห้องน้ำเสียงดังในครั้งนั้นไป เขาค่อย ๆ
พยายามตั้งสติกับตัวเองและหยิบหนังสือมาอ่าน ก่อนจะรู้สึกแปลก ๆ
ถ้าหากบอลด์วินเสร็จกิจแล้วออกจากห้องน้ำมาเจอเขา
เจ้าชายหนุ่มจึงเลือกที่จะหนีเข้ามาอยู่ในห้องนอนของตัวเองเพื่อระงับความรู้สึกที่ว่าแทนการนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น
แม้จะอยากเข้าห้องน้ำก็ตามที แต่มันรู้สึกแปลก ๆ นี่นา
“ข้าเปิดเข้าไปได้หรือไม่?”
เมื่อไร้เสียงตอบรับจากเจ้าของห้อง เพราะฟินตันกำลังทำตัวไม่ถูกอยู่
บอลด์วินจึงถามอีกครั้ง
“ข- ข้ากำลังไป”
ฟินตันวางหนังสือลงบนเตียงแล้วเดินไปที่หน้าประตูห้องนอน
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูให้เปิดออก
เผยให้เห็นคนตรงหน้าที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่
“ช่วยข้าหั่นเนื้อเสียหน่อยได้หรือไม่?”
บอลด์วินถามพร้อมพยายามยิ้มเล็กน้อย แล้วไม่รู้ว่าทำไม
แต่ฟินตันรู้สึกว่าไม่สามารถมองหน้าของคนตรงหน้าเขาได้เลย
“ด… ได้”
แต่กระนั้นเขาก็ตอบรับคำขอของอีกฝ่ายที่ขอให้เขาช่วยทำอาหาร
ฟินตันแวะเข้าห้องน้ำตามที่อยากทำ
ก่อนจะออกมาช่วยสหายของเขาเตรียมอาหารเย็น
ระหว่างการหั่นเนื้อที่ชิ้นไม่ใหญ่มากนั้นมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน
ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างทำอาหารด้วยกัน ทั้ง ๆ
ที่ปกติแล้วจะเป็นช่วงเวลาพูดคุยถามไถ่ถึงเรื่องที่พบเจอมาในวันนี้ของทั้งสอง
เวลาล่วงเลยมาจนถึงขณะรับประทานอาหารเย็น
บอลด์วินวางถ้วยซุปเนื้อวัวลงที่โต๊ะสองถ้วย
ตามมาด้วยฟินตันที่ถือช้อนมาสองคันอย่างรู้งาน
แต่ความเงียบนี้มันทำให้บรรยากาศอึดอัดมาก ๆ เลย บอลด์วินคิดในใจ
เขาคงต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนสินะ
“ข้าขอโทษนะนี่ให้เจ้าเห็นภาพเช่นนั้น”
บอลด์วินพูดพร้อมลอบมองใบหน้าของฟินตันเพื่อดูปฏิกิริยาตอบกลับ
“ม- ไม่เป็นอะไรเลย มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ข้าเข้าใจ”
ไม่ใช่ว่าฟินตันไม่เคยทำอะไรแบบนั้นมาก่อนเสียหน่อยในชีวิตนี้
เพียงแต่นี้เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนอื่นทำเรื่องแบบนั้นต่างหาก
แถมยังเป็นสหายคนสนิทอีกด้วย ความกระอักกระอ่วนมันเลยมากมายเพียงนี้
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกลับมาถึงบ้านเร็วขนาดนั้น
ไว้คราวหลังข้าจะไม่ลืมล็อกประตูนะ”
ใบหน้าของฟินตันมีสีแดงเรื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเขาได้ยินคำว่าคราวหลัง
แต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะซดน้ำซุปรสชาติดีนั้นไปเป็นการกลบเกลื่อน
“ข้าก็… จะดูให้ดีก่อนเหมือนกันคราวหลัง หลอดไฟในห้องน้ำเปิดอยู่แท้
ๆ ข้าดูไม่ดีเอง”
ฟินตันพูดพร้อมคนช้อนวนไปวนมาในถ้วยของตัวเอง
พอหลุบตาขึ้นมาก็เจอบอลด์วินมองมาอยู่
จึงหลบสายตาลงไปมองถ้วยซุปดังเดิม ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
แต่ภาพไม่กี่วินาทีในตอนนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำของเขาอยู่เลย
แล้วพอยิ่งเห็นหน้าของบอลด์วินแล้วแบบนี้ก็ยิ่งทำให้นึกถึงตอนนั้นขึ้นมา
“ว่าแต่ขาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”
บอลด์วินรู้ดีว่าควรที่จะเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาได้แล้ว
ก่อนที่ทั้งเขาและฟินตันจะมองหน้ากันไม่ติดไปมากกว่านี้
เลยย้ายมาถามถึงขาของฟินตันที่ยังมีผ้าพันแผลพันไว้อยู่แทน
“นิดหน่อย”
ฟินตันโล่งใจขึ้นมาพอสมควรที่หัวข้อในการพูดคุยเปลี่ยนไปแล้ว
เขาอยากจะถอนหายใจออกมาดัง ๆ เพราะความโล่งใจนี้มากเลย
“ข้าขอดูเสียหน่อยนะหลังกินข้าวเสร็จแล้ว”
บอลด์วินพูดแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
ก่อนจะนึกได้ว่ายังไม่ได้รินน้ำให้คนที่นั่งเยื้องไปทางขวาเลย
หลังรับประทานอาหารเย็นและจัดการทำความสะอาดถ้วยจานชามที่ใช้เรียบร้อยแล้ว
บอลด์วินก็ย่อตัวคุกเข่าลงที่พื้นเหมือนวันก่อนหน้า
แล้วแกะผ้าพันแผลที่ขาของฟินตันออกอย่างเบามือ
ราวกับว่าขาของฟินตันหักอะไรอย่างนั้น ทั้งที่จริง ๆ
แล้วแค่น่าจะเป็นรอยช้ำเอง แล้วก็ใช่จริงเสียด้วย
พอผ้าพันแผลถูกนำออกไป
บริเวณที่เจ้าชายหนุ่มถูกสหายของเขาเตะเข้าใส่เมื่อวันก่อนได้เกิดรอยฟกช้ำขึ้น
แต่ด้วยฤทธิ์ของทับทิมสีเขียวที่บอลด์วินน้ำมาฟันไว้ในผ้าพันแผลนี้ด้วยเลยทำให้รอยช้ำไม่ได้เข้มมาก
ออกจะดูเป็นหย่อม ๆ มากกว่าเป็นรอยใหญ่แบบที่ควรจะเป็น
ฟินตันมองดูรอยช้ำดังกล่าวแล้วเอื้อมมือลงไปลูบเบา ๆ
ก่อนจะรู้สึกเจ็บขึ้นมาในตอนที่เขาลงน้ำหนักใส่บริเวณนั้น
เลยชักมือกลับออกจากขาทันที
“ผลของคริสตัลของข้าดีพอสมควรเลย
ถ้าอย่างนั้นข้าว่าพันไว้อีกหนึ่งวันน่าจะหายดี ตกลงไหม?”
บอลด์วินเงยหน้าขึ้นมาถามหลังจากตรวจสอบดูการบาดเจ็บแล้วเรียบร้อย
“อื้อ ตามที่เจ้าว่าเลย”
บอลด์วินพยักหน้าพร้อมกับเดินไปหยิบกล่องเครื่องมือปฐมพยาบาลมาจากบนตู้เก็บของ
ในตอนนั้นเองที่มีกระดาษม้วนหนึ่งหล่นลงมาด้วย ด้วยความสงสัย
บอลด์วินจึงถือติดมือมาด้วย
“อะไรล่ะนั่น?”
ฟินตันถามทันทีที่มีของชิ้นอื่นนอกจากกล่องเครื่องมือปฐมพยาบาลวางลงที่พื้นข้างเก้าอี้ที่เขานั่ง
“มันหล่นลงมาจากตู้น่ะ ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันคืออะไร”
บอลด์วินค่อย ๆ
คลี่กระดาษม้วนนั้นออกก่อนจะเห็นข้อความที่เขียนไว้ในนั้น
ซึ่งทำให้ทั้งเขาและคนบนเก้าอี้รู้ได้ทันทีว่านี่คืออะไร
มันคือแผนการที่เขาและบอลด์วินวางไว้ถึงการทวงคืนอาณาจักรจากคีย์รันเมื่อสามปีที่แล้วนั่นเอง
ในตอนนั้นฟินตันรู้ตัวดีว่าพลังจิตของตนกำลังเริ่มพัฒนาขึ้นไปเรื่อย
ๆ
อย่างก้าวกระโดดหลังจากที่เขาทำการฝึกซ้อมการใช้พลังจิตอยู่เป็นระยะสลับกับการใช้อาวุธอื่น
ๆ แบบที่ทำอยู่ในทุกวันนี้
และยิ่งในปัจจุบันที่ระดับพลังของฟินตันน่าจะอยู่ใน 4
แล้วจากการประมาณการด้วยหาข้อมูลจากบันทึกต่าง ๆ
ฉะนั้นหากเขาเข้ารับการวัดระดับพลังตามกำหนดที่นัดหมายในสัปดาห์
System Scan แล้วล่ะก็
เขาต้องเป็นที่หมายตาจากคณะกรรมการตรวจวัดและถูกเลือกให้เข้าไปที่ศูนย์ฝึกฝนพลังจิต
ณ กรุงมอนทาราเป็นแน่
และนั่นก็น่าจะเป็นจุดที่ความลับทั้งหมดของเขาถูกเปิดเผยออก
บอลด์วินจึงได้คุยเรื่องนี้กับเขาอย่างจริงจังในคืนวันหนึ่ง
ทั้งสองตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการตรวจวัดระดับพลังในสัปดาห์ System
Scan นับจากนั้นมา
และเริ่มวางแผนที่จะใช้ช่วงเวลาที่มีอยู่นี้ในการฝึกฝนตัวเองให้หนักขึ้นเพื่อพัฒนาพลังของพวกเขาทั้งคู่
เพื่อที่จะได้มีความสามารถมากพอที่จะพอต่อกรกับคีย์รันและพวกได้
บอลด์วินยังพบอีกด้วยว่าเขายังเหลือญาติอยู่หนึ่งคนที่มอนทารา
นั่นก็คือลูกพี่ลูกน้องของเขานั่นเอง
เขาได้อาศัยลูกพี่ลูกน้องคนนี้ในการรับรู้ข่าวสารจากภายในมอนทารามาตลอด
และรู้มาว่าพลังเวทของคีย์รันมีชื่อว่า Imagine Drawing
เป็นเวทมนตร์ที่แปลเปลี่ยนสิ่งที่วาดลงบนกระดาษให้กลายไปเป็นสิ่งของจริง
ๆ ได้ และเนื่องด้วยมีคำว่ากระดาษ
และฟินตันมีพลังที่สามารถสร้างเปลวเพลิงได้
สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกกันเป็นอย่างยิ่ง
นี่จึงเป็นช่องโหว่อย่างดีที่พวกเขาจะสามารถต่อกรกับคีย์รันได้
และมอบหมายให้ฟินตันฝึกฝนพลังจิตของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นมากพอจะเริ่มต้นตามแผนการของพวกเขา
และเนื่องด้วยการตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการตรวจวัดพลังจิตในสัปดาห์
System Scan
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะโดนพาตัวไปยังมอนทาราก่อนกำหนด
พวกเขามีเวลาเพียงสี่ปีเท่านั้น
เนื่องจากกฎหมายกำหนดไว้ว่าจะสามารถขาดการตรวจวัดพลังจิตได้ไม่เกินสามปี
มิเช่นนั้นจะถูกตามจำกุมตัวทันทีด้วยข้อหาจงใจหลบเลี่ยงการตรวจวัด
“นี่… มันใกล้จะถึงสัปดาห์ System Scan ปีที่สี่แล้วนะ
แผนการของเราเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ฟินตันเอื้อมมือไปสะกิดไหล่ของบอลด์วินแล้วถามด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อยภายในใจ
เจ้าของกลุ่มผมสีดำเงยหน้ามาสบตากับดวงตาคู่สีน้ำตาลด้วยความมั่นใจหนักแน่นภายในใจของเขา
“ข้าว่าเจ้าพร้อมแล้วล่ะ”
เลเอ็นเดอะเกมเมนบีกิเนน - leten Þe gammen biginnen
ให้เกมมันเริ่มขึ้นกันเลย