“หรือถ้าหากเจ้าไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแล้วล่ะ”
บอลด์วินพูดพร้อมหัวเราะ แต่กับฟินตันแล้วเขากังวลอยู่พอสมควรเลย
เพราะต่อจากนี้ไป
มันคือจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่อิสระภาพหรือไม่ก็จบลงในกองเพลิง
ไม่มีตรงกลาง เป็นเพียงไม่อันใดก็อันนึงเท่านั้น
“System Scan ของเจ้าเรียกตัววันที่เท่าไหร่?”
ฟินตันถามคนตรงหน้าที่ตอนนี้เปลี่ยนจากอ่านแผนการในกระดาษมาเริ่มทำแผลฟกช้ำให้เขาแทนแล้ว
“วันพุธของอาทิตย์หน้า”
ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง แต่วันเรียกตัวของฟินตันนี่สิ
“ของข้าวันจันทร์
บางทีแผนการทั้งหมดคงจะต้องเริ่มได้แล้วดังที่เจ้าบอก”
ขั้นตอนแรกที่ต้องทำในแผนการทั้งหมดคือการลาออกจากงาน
เพื่อที่จะได้จัดเตรียมข้าวของให้พร้อมสำหรับการเดินทางไกลที่อาจจะเป็นการเดินทางเพียงแค่ไปอย่างเดียว
และไร้ซึ่งโอกาสได้หวนคืนกลับมาสู่นครหัวเมืองทางเหนือแห่งนี้ที่ทั้งฟินตันและบอลด์วินเรียกว่าบ้านมาตลอด
6 ปีที่ผ่านมา
ในคืนนั้นฟินตันมีความคิดหลายอย่างวนไปวนมารบกวนการนอนของเขาอยู่ตลอด
มันมีทั้งความรู้สึกกลัวที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากนี้ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
แค่เขากับบอลด์วินจะสามารถต่อกรกับจำนวนคนมากมายขนาดนั้นได้จริงหรือ?
เขารู้ตัวว่าพลังจิตของเขานั้นเรียกได้ว่าแรงกล้ามากคนนึงในหมู่ผู้คนที่เคยได้พบเห็นมาในชีวิต
ถึงกระนั้นก็ยังไม่มั่นใจในตัวเองมากเท่าไหร่อยู่ดี
แต่อีกความคิดหนึ่งก็เต็มไปด้วยไฟแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทวงคืนทุกสิ่งอย่างที่เคยเป็นของเขากลับคืนมา
และปลดปล่อยความทุกข์ยากที่ประชาชนทั้งอาณาจักรต้องเผชิญให้หมดสิ้นไปเสีย
ไม่เพียงแต่ภาษีมากมายที่ขูดรีดเลือดเนื้อของชาวโคโลเนียเท่านั้นที่เป็นปัญหามาอย่างยาวนาน
แต่เสรีภาพในการแสดงออกความคิดเห็นเองก็ถูกปิดกั้นเช่นกัน
นับแต่การเข้าสู่อำนาจของคีย์รัน
หนังสือพิมพ์กว่าครึ่งของทั้งอาณาจักรได้ถูกปิดตัวลงเป็นลูกโซ่
นักเขียนถูกจำกัดเนื้อหาของผลงานที่จะสามารถตีพิมพ์ได้
และหนังสือจากต่างแดนที่ถูกทางการตีตราว่ามีเนื้อหากระทบต่อความมั่นคงของอาณาจักรเองก็ถูกห้ามนำเข้าเช่นกัน
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีตลาดมืดที่มีการค้าขายอยู่บ้าง
ทำให้ฟินตันยังพอจะได้อ่านหนังสือภาษาอื่น ๆ
ที่อาจจะมีเนื้อหาที่ทางการไม่อยากยอมรับได้บ้างนาน ๆ
ครั้งที่เขาพบเจอพ่อค้าพเนจร
และด้วยความเป็นเผด็จการอย่างเต็มขั้นของคีย์รัน
กองทัพมีการขยายตัวและอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละปีที่ผ่านไป
ผู้คนมากมายต่างถูกเกณฑ์เข้าไปเป็นทหารและรับใช้ทางการในหน้าที่ที่ควรจะเป็นการจ้างงาน
กรุงมอนทาราที่บอลด์วินได้อ่านจากลายมือในจดหมายของลูกพี่ลูกน้องของเขาเองก็ได้เปลี่ยนไปมากจากครั้งสุดท้ายที่เขาได้มองเส้นขอบฟ้าที่เต็มไปด้วยอาคารมากมายนั้น
จดหมายเล่าถึงการที่กรุงมอนทาราหันหนีความเป็นวิทยาศาสตร์และพลังจิต
และมุ่งหันหน้าเข้าสู่ความเป็นเวทมนตร์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หอคอยเวทมนตร์มากมายที่ถูกสร้างขึ้นทับบ้านเรือนของประชาชน
กรมพลังจิตที่ถูกละเลยมากขึ้นทุกวัน
และมันจะใช้เป็นหน่วยงานในการควบคุมผู้มีพลังจิตที่อาจเป็นภัยคุกคามต่ออาณาจักรมากกว่าการเป็นหน่วยงานที่จะสนับสนุนพวกเขาในการทำสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ
การต่อต้านอำนาจของคีย์รันมีเพียงในช่วงเวลาเริ่มแรกของการยึดอำนาจเท่านั้น
อย่างที่ทุกคนทราบดี หากผู้ใดที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อคีย์รันและพวก
ก็จะมีจุดจบอยู่ที่ความตายเท่านั้น
การปกครองด้วยความหวาดกลัวนี้ทำให้ประชาชนทั่วทั้งอาณาจักรไม่กล้าที่จะส่งเสียงของตนออกมาหรือเรียกร้องอะไรจากทางการ
มิหนำซ้ำ
เหล่าผู้ที่มีความสามารถและทุนทรัพย์ก็ได้ระหกระเหินเดินทางออกจากอาณาจักรแห่งนี้ไปสู่อาณาจักรรอบข้างมากขึ้นเรื่อย
ๆ
แต่ด้วยพิษเศรษฐกิจในช่วงปีหลังมานี้ก็ได้ทำให้ตัวเลขดังกล่าวลดน้อยลงเป้นอย่างมาก
“คุณชาล็อตครับ ผม… มีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อยครับ”
ในช่วงบ่ายวันถัดมาที่ร้านอาหารของชาล็อตใจกลางนครนอร์ด
ฟินตันอาศัยจังหวะที่ลูกค้าคนหนึ่งเดินออกจากร้านไปในการขอเข้าไปคุยกับเจ้านายของเขา
“หืม? ว่าไงล่ะอาร์เจน”
ชาล็อตวางขวดโพชั้นสีน้ำเงินสวยลงบนโต๊ะแล้วเงยหน้ามาตอบเขาด้วยความสงสัย
“ผมอยากจะขอลาออกภายในวันศุกร์นี้น่ะครับ
ขอบคุณมากเลยนะครับที่ให้โอกาสผมได้ทำงานที่นี้มาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา”
ฟินตันพูดทุกอย่างออกมาในคราเดียวพร้อมกับโค้งตัวหน่อย ๆ
เพื่อแสดงความนอบน้อมต่อผู้เป็นนายจ้างของเขา
แม้ภายในใจจะเสียดายที่จะต้องจากลาจากผู้ที่ให้เขาได้ทำงานและมีรายได้ไปซื้อหนังสือและครัวซองต์มากมาย
แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่เขากำลังจะทำในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว
เวลาแห่งการจากลาก็จำเป็นต้องมาถึง
“ทำไมกันล่ะ? มีปัญหาอะไรหรือ?”
ชาล็อตถอดแว่นตาของเธอออกแล้วเดินมาตรงหน้าของฟินตัน
มือของเธอวางลงที่ไหล่ของเจ้าชายหนุ่มก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน
“ผมจะต้องได้ย้ายเมืองน่ะครับ วันเสาร์นี้
ขออภัยด้วยนะครับที่แจ้งกะทันหันเพียงนี้”
ฟินตันพยายามกลั้นความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้ออกมาไว้
เขาไม่รู้เลยว่าเวลาเพียง 6
ปีจะทำให้เขาผูกพันกับที่แห่งนี้มากถึงเพียงนี้ เขาคงจะคิดถึงชาล็อต
นอร่า และเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ มากแน่นอนเลย
“ไปที่ใดกัน? แล้วเจ้าจะได้กลับมาที่นอร์ดอีกหรือไม่?”
ชาล็อตใช้นิ้วโป้งลูบที่ไหล่ของฟินตันอย่างอ่อนโยน
เธอเองก็รู้สึกตกใจเช่นกันที่จะได้จากลากับลูกจ้างที่มีฝีมือและขยันเช่นนี้เร็วเพียงนี้
เนื่องจากเธอเองก็เอ็นดูฟินตันราวกับเขาเป็นลูกชายคนนึงของเธอ
“มอนทาราน่ะครับ ส่วนนอร์ด ถ้ามีโอกาสผมจะแวะมาพบนะครับ”
คำตอบของฟินตันยิ่งทำให้ชาล็อตใจหาย
แต่อีกใจนึงเธอก็รู้สึกว่าฟินตันกำลังจะไปได้ดีในหน้าที่การงานแน่นอน
“ได้เข้าไปถึงมอนทารา เจ้าจะต้องได้ทำงานในที่ดี ๆ
แน่เลยถูกหรือไม่?”
ก็ถ้าทำตามแผนการสำเร็จ เขาก็จะได้ขึ้นเป็นพระราชาของอาณาจักร
ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่าเป็นงานที่ดีก็คงได้แหละมั้ง
“ประมาณนั้นครับ”
ฟินตันเลยตอบไปเช่นนั้นพร้อมกับพยักหน้า
แล้วในตอนนั้นนั่นเองที่น้ำตาของเขาไหลออกมาหยดนึง
“ตายแล้ว! เจ้าอย่าร้องไห้เช่นนี้จะได้หรือเปล่า
ไม่อย่างนั้นข้าจะร้องตามเจ้านะ”
ชาล็อตรีบเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้ฟินตันพร้อมกับพยายามบอกให้เขาหยุดร้องไห้
และนั่นทำให้พนักงานทุกคนในร้านให้ความสนใจทันทีว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกัน
“อาร์เจน เจ้าทำไมถึงร้องไห้กัน คุณชาล็อตด้วย เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?”
นอร่าเป็นตัวแทนพนักงานในการถือวิสาสะถามฟินตันกับชาล็อต
และเป็นฝ่ายชาล็อตที่ตอบ
“อาร์เจนเขาจะทำงานกับพวกเราถึงวันพฤหัสบดีนี้แล้วนะ
วันเสาร์เขาจะต้องเดินทางไปมอนทารา”
หลังจากอธิบายทุกอย่างจบโดยชาล็อตและตัวฟินตันเอง
บรรยากาศในร้านก็ดูเศร้าหมองลงไปพอสมควร
จากการที่ฟินตันเป็นคนที่เอ็นดูโดยทุกคนในร้าน
รวมกับบุคลิกที่น่าคบหา
การที่อาจจะไม่ได้พบเจอเขาทุกวันในทำงานเช่นนี้แล้วทำให้หลาย ๆ
คนเสียใจและเศร้ามากพอสมควรเลย
โดยเฉพาะกับนอร่าที่สุดท้ายก็ระเบิดน้ำตาร้องไห้ไปกับชาล็อตด้วยอีกคน
ฟินตันยังคงทำหน้าที่เป็นพนักงานที่ร้านอย่างตั้งใจแม้ว่าจะแจ้งการลาออกของเขาแล้ว
ชาล็อตยังใจดีกับเขาเป็นอย่างมากโดยการให้เขาทำงานถึงแค่วันพฤหัสบดี
และจะจัดงานเลี้ยงส่งท้ายให้เขาในวันศุกร์
รวมถึงจะจ่ายค่าจ้างให้เขาสำหรับเดือนนี้เต็มเดือนอีกด้วย
แม้ว่าขณะนี้จะเป็นเวลาเพียงช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน
เนื่องจากเธออยากจะให้ฟินตันมีเงินไว้ใช้ตั้งตัวในเมืองหลวงที่มีค่าครองชีพสูงกว่านอร์ดเป็นอย่างมากในช่วงการไปทำงานระยะแรกของเขา
ถึงแม้เหตุผลจริง ๆ
แล้วที่ฟินตันปิดไว้จะเป็นการเดินทางไปมอนทาราก็เพื่อก่อสงครามก็ตามที
บอลด์วินเองก็หนักใจเช่นเดียวกันกับการต้องแจ้งเจ้านายของเขาในการลาออกจากงานนี้
ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมาที่ฟินตันทำงานอยู่ ณ ร้านอาหารของชาล็อต
บอลด์วินเองก็ไม่ได้นิ่งดูดายอยู่เฉย ๆ
แต่เขาก็ได้เลือกที่จะทำงานหาเงินไปพร้อมกับฟินตันเพื่อให้มีรายได้เพียงพอและไม่เป็นการผิดสังเกตจากทางการและชาวบ้านมากเกินไปดังที่ได้วางแผนไว้
ตัวลูกชายของอัศวินผู้นี้ทำงานเป็นลูกจ้างในไร่ของทราวิส
อันเป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่นอกเขตตัวเมืองนอร์ด
และเป็นเจ้าของโรงงานผลิตแป้งประกอบอาหารที่ส่งไปขายทั่วอาณาจักรจนถึงส่งออกไปขายที่ต่างแดน
โดยหน้าที่หลักของบอลด์วินจะเป็นในเรื่องการใข้แรงงานเป็นหลัก
รวมไปถึงการดูแลพืชผักที่ปลูกหมุนเวียนไปตามฤดูกาล
เช่นในตอนนี้เป็นช่วงที่ไม่สามารถปลูกข้าวสาลีได้
โรงงานแป้งจึงปิดหยุดพักชั่วคราว
และที่ดินที่เป็นฟาร์มก็ถูกปรับไปปลูกพืชประจำฤดูอย่างแครอทและบีทรูทแทน
และแม้ในท้ายที่สุดบอลด์วินจะสามารถรวบรวมความกล้าในการแจ้งการลาออกของเขาต่อทราวิสได้
และได้รับความเห็นใจมากมายจากทั้งทราวิสเองและเพื่อนร่วมงานที่ทำงานกับเขามานานถึงการจะต้องย้ายเมืองในครั้งนี้
อันเป็นเหตุผลเดียวกับที่ฟินตันเลือกใช้ในการโกหกเหตุผลในการลาออกครั้งนี้ของพวกเขา
แต่ถึงกระนั้นเขาเองก็ใจหายเช่นกันที่จะต้องจากนครหัวเมืองทางเหนือแห่งนี้ไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว
ต่างจากฟินตัน บอลด์วินเลือกที่จะลาออกเลยตั้งแต่วันนี้
โดยเขาคิดว่าอยากจะมีเวลาเตรียมตัวในเรื่องข้าวของทั้งของตนเองและของเจ้าชายในการอารักขาของเขา
จึงเลือกที่จะลาออกเสียเลยตั้งแต่วันนี้
ต่างจากของฟินตันที่เจ้าตัวมองว่าสิ่งที่อยากจะนำไปด้วยของตนนั้นมีไม่มาก
จัดการเพียงคืนเดียวก็น่าจะเสร็จสิ้น
เพราะส่วนมากของของฟินตันมีแต่หนังสือเต็มไปหมด
คงจะเลือกหยิบไปแค่สองถึงสามเล่มก็น่าจะเป็นน้ำหนักที่มากพอสมควรในการแบกหามแล้ว
เช่นนั้นทำให้บอลด์วินมีเวลาว่างในช่วงบ่าย
และเลือกที่จะทำในสิ่งที่เขาได้ทำในโอกาสนาน ๆ ครั้ง
อย่างการแวะไปรับฟินตันที่ใจกลางเมือง
และแม้ว่าจะเป็นการเดินทางอ้อมไปจากทางกลับบ้านก็ตามที
แต่อะไรเช่นนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นแล้วในอนาคตที่ไม่แน่นอนหลังจากนี้แล้วก็เป็นได้
“อาร์เจน คนรักของเจ้ามาหาแหนะ”
เสียงของนอร่าทำเอาฟินตันแทบจะทำถาดที่เต็มไปด้วยแก้วน้ำร่วงหล่นจากมือลงไปแตกบนพื้น
ที่ดีเขามีสติพอและจับมันไว้แน่น จึงไม่ได้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
“หา? เจ้าพูดว่าอะไรนะเมื่อครู่”
ฟินตันถือถาดรองนั้นไปเก็บไว้บริเวณล้างทำความสะอาดด้านหลังร้าน
ก่อนจะเดินออกมาหาเพื่อรวมงานสาวด้วยใบหน้าที่ขมวดคิ้วอย่างมาก
เขาได้ยินอะไรไม่ผิดไปใช่ไหมเมื่อครู่
“นู่น”
นอร่าไม่ได้ตอบแต่ชี้นิ้วไปทางด้านหน้าร้านแทน
ซึ่งพอฟินตันมองตามไปก็เจอบอลด์วินยืนอยู่ที่ริมถนนด้านหน้าร้าน
“นอร่า นั่นสหายของข้า”
ฟินตันตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
แล้วจึงโบกมือทักทายเจ้าของผมสีดำที่วันนี้ไม่รู้ยังไงถึงมาโผล่ที่นี่ได้
“ข้าว่ามากกว่าคำว่าสหายไปไกลโขอยู่นา”
นอร่าพูดไปเอามือป้องปากหัวเราะเบา ๆ ไป
และในตอนนั้นบอลด์วินก็เดินเข้ามาในร้านพอดี
“เจ้าเลิกงานตอนหกนาฬิกาถูกต้องหรือเปล่า?”
บอลด์วินยืนหลบทางเดินเข้าออกร้านด้วยการพิงผนังไว้
แล้วจึงหันมาถามคนตัวเล็กที่ใส่ผ้ากันเปื้อนยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับลูกค้ากับเพื่อนของเขา
“ใช่ ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงได้มาที่นี่ในเวลานี้กันเล่า?”
ฟินตันพยักหน้าแล้วถามกลับคนที่ปกติจะเจอกันอีกทีก็ตอนที่เขากลับถึงบ้านในช่วงเย็น
ไม่ใช่ที่ทำงานของเขาแบบในวันนี้
“ข้าอยากมารับเจ้าน่ะ”
สิ้นคำตอบของบอลด์วิน
นอร่าก็เอามือทั้งสองข้างของเธอยกขึ้นมาปิดรอยยิ้มกว้างของเธอไว้ราวกับนี่มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากที่เธอได้พบเจอ
ดีที่ฟินตันไม่ได้หันไปเห็นเข้าเพราะมัวแต่คุยอยู่กับบอลด์วินอยู่
ไม่อย่างนั้นเธอคงจะโดนฟินตันว่าเป็นแน่
“เจ้านั่งรอข้าก่อนอีกประมาณครึ่งชั่วโมงได้หรือไม่?
พอดีว่าข้ามีงานเหลืออยู่อีกนิดหน่อย”
ฟินตันพูดพลางชี้ไปที่เก้าอี้ที่จัดเรียงไว้บริเวณหน้าร้านสำหรับให้ลูกค้าใช้นั่งรอคิวหากว่ามีคนเยอะ
“ได้สิ ข้าจะรอนะ”
บอลด์วินตกลงพร้อมกับเดินออกไปนั่งรอที่เก้าอี้ดังกล่าว
ในตอนนั้นเองที่ฟินตันหันไปเจอนอร่ากำลังยิ้มอย่างมีความสุขอยู่
“เป็นอะไรของเจ้า?”
ฟินตันถามเพื่อนร่วมงานของเขาที่กำลังยิ้มอยู่พร้อมมองด้วยท่าทางแปลก
ๆ เพราะจะว่านอร่ากำลังมีความสุขอยู่ก็ยังไง
เพราะในสายตาของฟินตันตอนนี้มันเหมือนว่าเธอกำลังมึนเมาอยู่กับอะไรสักอย่าง
“เปล๊า ไม่มีอะไรหรอก จริง ๆ แล้วเจ้ากลับไปก่อนเลยก็ได้นะ
งานของเจ้าเดี๋ยวข้าจะจัดการให้เอง”
คำตอบของนอร่าทำให้ฟินตันยิ่งสงสัยกว่าเดิม
แต่สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของเขากับบอลด์วินแน่นอน
จึงเลือกที่จะไม่ถามอะไรคนด้านหลังเคาน์เตอร์ต่อ
“ให้เจ้าทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน ข้าจัดการไม่กี่นาทีก็เสร็จเรียบร้อย
เจ้าดูแลหน้าเคาน์เตอร์นั่นแหละดีแล้ว”
จากนั้นฟินตันก็เดินกลับเข้าไปหลังร้านเพื่อทำการล้างทำความสะอาดแก้วน้ำในถาดที่เขายกไปวางก่อนหน้า
รวมกับจานชามอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกแช่น้ำไว้ในบริเวณล้างทำความสะอาดก่อนแล้ว
ในคืนนั้นที่ฟินตันและบอลด์วินกลับมาถึงที่บ้าน
ทั้งสองได้นั่งพูดคุยกันถึงแผนการในการเตรียมตัวเดินทางเข้าสู่กรุงมอนทาราอย่างจริงจัง
และเป็นโชคดีที่ฟินตันเป็นคนที่วาดแผนที่การเดินทางดังกล่าวเอาไว้มากมายทั้งที่บ้านของพวกเขาและที่กระท่อมริมทะเลสาบ
แต่ก็เพื่อเลือกเส้นทางที่เดินทางง่ายและเร็วที่สุด
ในวันพรุ่งนี้ที่บอลด์วินไม่ได้ทำอะไรจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องไปรวบรวมแผนที่ทั้งหมดมา
ทั้งจากที่ต่าง ๆ รอบตัวบ้านที่ฟินตันเอาแผนที่ไปซุกไว้
และที่กระท่อมริมทะเลสาบป่าสนที่อยู่นอกตัวเมือง
โดยหลังจากที่ได้แผนที่แผนการเดินทางทั้งหมดมาแล้วจะต้องรวบรวมทำลายทิ้งจดหมดด้วย
เพื่อป้องกันการสะกดรอยตามมาของผู้ที่อาจจะมาพบเข้าหลังจากที่พวกเขาออกเดินทางไปแล้ว
ส่วนในเรื่องที่ทำได้เลยภายในคืนนั้นอย่างการเตรียมข้าวของที่สำคัญก็ได้เริ่มขึ้น
ชุดอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นทั้งผ้าพันแผล เข็มกับด้ายสำหรับเย็บแผล
โอสถและสมุนไพรต่าง ๆ
รวมไปถึงโพชั่นและคริสตัลสีเขียวก็ได้ถูกบรรจุลงในกล่องแล้วใส่เตรียมเอาไว้ในกระเป๋าสะพายหลังอีกทีนึง
เผื่อเกิดการปะทะกันกับศัตรูในระหว่างการเดินทาง
หรือแม้แต่อุบัติเหตุทั่วไปอย่างการหกล้มและสัตว์มีพิษ
ฟินตันยังคงทำงานต่อเนื่องไปตามสัญญาที่ให้ไว้ล่วงหน้ากับชาล็อต
และยิ่งนับวันที่ใกล้เข้าสู่วันสุดท้ายในการทำงานของเขาก็ยิ่งทำให้ภายในร้านมีบรรยากาศมืดครึ้มลงเรื่อย
ๆ จากการที่การจากลาจะต้องเกิดขึ้นจริงแล้วในท้ายที่สุด
จนถึงวันศุกร์ที่ช่วงเย็นของวันทางร้านได้มีการปิดร้านเร็วกว่ากำหนดเป็นการพิเศษเพื่อจัดงานเลี้ยงส่งฟินตัน
บรรยากาศภายในร้านถูกประดับไปด้วยเทียนมากมายที่ใช้ช่วยสร้างบรรยากาศแทนหลอดไฟคริสตัลสีเหลือง
การนั่งทานอาหารเย็นร่วมกันบนโต๊ะที่ยกมาต่อกันเป็นโต๊ะยาวที่เป็นกันเองของทั้งพนักงานและเจ้าของร้านเป็นสิ่งที่อบอุ่นมากจริง
ๆ ที่ฟินตันได้รับ
“ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า
ข้าขออวยพรให้เจ้าโชคดีที่มอนทารานะอาร์เจน”
ชาล็อตในโอกาสที่มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดบนโต๊ะอาหารนี้จึงได้รับเกียรติในการกล่าวความในใจก่อนเป็นคนแรก
“ถ้ามีโอกาสที่เข้าได้กลับมานอร์ด ร้านและข้ายินดีต้อนรับเจ้าเสมอ”
เธอพูดจบพร้อมนั่งลงที่ที่นั่งของตัวเอง
มีน้ำตาซึมออกมาเล็กน้อยจากเจ้าของร้านที่ฟินตันเคารพ
และนั่นก็ชวนให้เขาอยากจะร้องไห้ตามไปด้วย
“ข้าที่สนิทกับเจ้ามากที่สุดคนหนึ่งในร้านเองก็ขอให้เจ้าโชคดีและมีความสุขให้มาก
ๆ นะ”
นอร่าลุกขึ้นกล่าวเป็นคนที่สอง
เธอนั้นมีเสียงที่สั่นเป็นอย่างมากขณะกล่าวคำพูดนั้นทีละคำช้า ๆ
เธอเองที่สนิทกับฟินตันหรืออาร์เจนที่เธอรู้จักมายาวนานถึง 6 ปี
การที่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะไม่ได้พบเขาแล้วเช่นนี้
มันช่างน่าเศร้ามากเลยจริง ๆ
“ถ้ามีข่าวดีกับบอลด์วินก็อย่าลืมส่งจดหมายมาเชิญข้าด้วยล่ะ”
ในประโยคปิดท้ายของนอร่า
เธอพยายามยิ้มออกมาพร้อมกับหัวเราะด้วยความสดใส
และแม้ฟินตันอยากจะกรอกตาใส่เธอยังไงกับคำพูดเมื่อครู่
แต่เขาก็เลือกที่จะปล่อยไป
เพราะนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะได้ยินอะไรเช่นนี้
หลังจากลูกจ้างของร้านทุกคนที่เหลือค่อย ๆ
ทยอยลุกขึ้นพูดความรู้สึกส่งท้ายให้กับอาร์เจน เบลซ จนเสร็จสิ้น
พวกเขาก็ได้ร่วมทานอาหารร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย
และเนื่องจากทุกคนไม่อยากรั้งฟินตันเอาไว้นานเพื่อให้เขาได้มีเวลาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางในตอนเช้าตรู่
งานเลี้ยงจึงสิ้นสุดแค่เพียงเวลาสองทุ่มเท่านั้น
ก่อนกลับออกมาจากร้าน
ฟินตันได้สวมกอดชาล็อตกับนอร่าและมองดูบรรยากาศของร้านอาหารที่เขาทำงานมา
6 ปี
พร้อมกับพยายามซึมซับมันลงไปไว้ในความทรงจำให้ได้มากที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย
ซึ่งถ้าหากว่าทุกอย่างสำเร็จแล้วล่ะก็
ฟินตันตั้งใจจะกลับมาเยี่ยมเยือน ณ ที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
“ขอบคุณที่ให้โอกาสผมมาตลอด 6 ปีนะครับ”
เขากล่าวกับนายจ้างของเขาก่อนจะบีบมือของเธอเบา ๆ
“ข้าจะคิดถึงเจ้านะ”
“ไว้พบกันใหม่ อาร์เจน!”
“บอลด์วิน ข้ากลับมาแล้ว ขอโทษด้วยที่ช้ากว่าที่บอกเจ้าไว้”
ทันทีที่เจ้าชายหนุ่มกลับมาถึงบ้าน เขาก็รีบขอโทษสหายของเขาทันที
เนื่องจากตอนแรกเขาแจ้งบอลด์วินไว้ว่างานเลี้ยงน่าจะเสร็จเรียบร้อยในเวลาหนึ่งทุ่ม
แต่ในขณะนี้ที่เขากลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งไปแล้ว
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ข้าเข้าใจ เจ้าไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนเสียเถอะ
เดี๋ยวข้าจะตรวจสอบดูรายการสัมภาระให้เอง”
บอลด์วินไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรสหายของเขาหรอก
เขาเข้าใจเป็นอย่างดีเลยถึงความผูกพันที่ฟินตันมีต่อนครแห่งนี้และผู้คนที่อาศัยอยู่
การจะต้องบอกลาที่ที่ใช้ชีวิตมาอย่างยาวนานมันเป็นเรื่องยากจริง ๆ
เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็อดที่จะรู้สึกเศร้าใจที่เหมือนมีอะไรขาดหายไปไม่ได้
“ให้ข้าช่วยเจ้าดีกว่า ข้ารออาบน้ำตอนดึกกว่านี้ก็ได้ ดีซะอีก
อากาศจะได้เย็นขึ้น”
หลังจากมองดูข้าวของมากมายที่วางกองกันอยู่บนโต๊ะรับประทานอาหารแล้ว
ฟินตันก็ไม่อยากสบายอยู่คนเดียวแล้วปล่อยบอลด์วินรับผิดชอบทุกอย่างของเขา
เขาเลยเลือกที่จะมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับไล่ตรวจดูรายการสิ่งของร่วมกับอีกคนเช่นนี้
“อันที่จริงมันเป็นหน้าที่ของข้า
แต่เจ้าอุตส่าห์ช่วยตั้งมากมายขนาดนี้ ขอบคุณเจ้ามากจริง ๆ นะ”
เวลาล่วงเลยไปกว่าชั่วโมงที่ทั้งสองได้ช่วยกันตรวจสอบว่าสัมภาระพร้อมแล้วหรือไม่กับการเดินทางในวันพรุ่งนี้
และบอลด์วินก็อดที่จะขอบคุณเจ้าชายตรงหน้าไม่ได้จริง ๆ
ที่ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้เร็วกว่าที่คาด
เพราะถ้าฟินตันเลือกที่จะไปพักผ่อนตามที่เขาบอกเจ้าตัวไปในตอนแรกแล้วล่ะก็
เขาน่าจะได้นอนตอนเวลาเกือบจะเที่ยงคืนเป็นแน่
“หน้าที่ของเจ้าอะไรกัน สัมภาระเหล่านี้ก็มีของข้าอยู่ด้วย
ให้ข้าช่วยแบบนี้นี่แหละถูกต้องแล้ว”
ฟินตันไม่อยากให้บอลด์วินรับใช้เขามากจนเกินไปแบบนี้สักเท่าไหร่นัก
แม้เจ้าตัวจะเต็มใจที่จะทำให้เพราะเขาเป็นเจ้าชายก็ตามที
แต่ถ้าเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาและเขาช่วยทำได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร
ฟินตันก็อยากจะเป็นคนที่ทำสิ่งนั้นเองมากกว่า
“เจ้าไปอาบน้ำเสียเถอะ ก่อนจะดึกไปมากกว่านี้”
ในเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว
บอลด์วินจึงได้ไล่ให้ฟินตันไปอาบน้ำก่อนเข้านอน
เนื่องจากหลังจากวันนี้ไปพวกเขาคงจะหาโอกาสชำระล้างร่างกายได้ยากพอสมควร
ถ้าไม่อาศัยลำธารหรือโรงอาบน้ำในแต่ละเมืองที่เดินทางผ่าน
ในคืนนั้นก็เป็นดังเช่นหลาย ๆ
คืนที่ฟินตันนอนไม่หลับจากความกังวลมากมายที่ถาโถมเข้ามาในตอนที่สมองของเขาว่างเปล่าอย่างเวลาก่อนนอนนี้
เขาพยายามกลิ้งไปมาบนเตียงนุ่มก็แล้ว
หรือแม้แต่จะหยิบหนังสือมาอ่านแก้เครียดก็แล้ว
ก็ไม่อาจจะทำให้เจ้าของผมสีน้ำตาลคนนี้หลับลงได้เลย
แต่จู่ ๆ ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาหาคนที่กำลังนอนไม่หลับ
ฟินตันจึงกอดเอาหมอนของตัวเองขึ้นจากเตียงแนบไว้กับตัว แล้วค่อย ๆ
เดินเปิดประตูออกไปยังห้องที่อยู่ติดกับห้องนอนของเขา
ก๊อก ๆ
“บอลด์วิน เจ้า... หลับหรือยัง?”
มือของฟินตันเคาะที่ประตูห้องไม้สองสามทีเพื่อเรียกคนที่อยู่ภายในห้องด้วยความเกรงใจ
เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าขณะนี้บอลด์วินหลับไปหรือยัง
แต่คงมีแค่วิธีนี้วิธีเดียวที่จะทำให้เขาหลับได้ในยามที่เขากังวลเช่นนี้
แกร๊ก
“เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ?”
บอลด์วินที่ผมยุ่งพอประมาณเปิดประตูห้องนอนหลังจากนั้นไม่นาน
แสดงว่าเจ้าของห้องน่าจะได้หลับไปบ้างแล้วพอสมควร
“แล้วก็เจ้ากอดหมอนมาทำไมกัน?”
บอลด์วินหาวไปหนึ่งทีก่อนจะพูดต่อ
สายตาจับจ้องไปที่หมอนใบนุ่มที่ฟินตันกอดไว้แนบอก
“ข้านอนไม่หลับอีกแล้วน่ะ ขอข้านอนด้วยได้หรือเปล่า?”
ฟินตันเหลือบตามองใบหน้าของคนที่ยืนพิงกรอบประตูพร้อมถาม
หมอนใบใหญ่ของเขามันปิดใบหน้าของเขาไปบริเวณปากหน่อยนึง
ซึ่งพอมองจากมุมมองของบอลด์วินแล้วเลยดูเหมือนฟินตันกำลังซุกหมอนอยู่หน่อย
ๆ
“ไม่มีปัญหา เข้ามาเสียสิ”
ฝ่ามือของเจ้าของห้องผลักประตูห้องให้เปิดอ้าออกกว้างขึ้นเพื่อต้อนรับคนมาร่วมอยู่อาศัยด้วยในคืนสุดท้าย
ณ นครแห่งนี้ ฟินตันเดินเข้าไปพร้อมมองไปรอบ ๆ
ห้องที่เขาเคยเข้ามานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากการเข้ามาทำความสะอาด
หรือการที่เขาเข้ามาขอนอนด้วยเป็นพัก ๆ
ในยามที่นอนไม่หลับจากความกังวล
ครั้งนี้ทุกอย่างในห้องก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมกับครั้งล่าสุดที่เขาเข้ามาเก็บเอาไม้แขวนเสื้อไปตากผ้า
เตียงมีผ้าห่มที่ยับยู่ยี่เล็กน้อยจากการลุกออกจากเตียงของเจ้าของเตียง
โคมไฟข้างเตียงที่เริ่มให้แสงอ่อนลงจากความสามารถของคริสตัลสีเหลืองที่เริ่มเสื่อมสภาพถูกเปิดไว้พอให้มองเห็นทาง
เจ้าชายหนุ่มวางหมอนของตัวเองลงที่เตียงฝั่งติดผนัง
ก่อนจะสอดตัวเองลงไปในผ้าห่มของคนเป็นองครักษ์ในทางพฤตินัยอย่างคุ้นชิน
แล้วจึงทิ้งหัวลงกับหมอนนุ่มที่อุตส่าห์หอบมาด้วยเพราะไม่อยากแย่งหมอนของเจ้าของห้องที่มีใบเดียว
“ขอบใจเจ้ามากนะ ข้ามาอาศัยห้องเจ้าซะบ่อยเลย”
ฟินตันหัวเราะนิดหน่อยให้กับความกังวลของตัวเองที่มีมากซะเหลือเกิน
แล้วเผอิญบอลด์วินก็เป็นแค่ทางออกเพียงทางเดียวที่ทำให้ความกังวลเหล่านั้นของเขามันหายไปได้ยามที่ได้อยู่ใกล้
ๆ สหายคนนี้
“ไม่ต้องขอบใจข้าเสียหรอก
อะไรที่ข้าทำให้เจ้าได้ข้าก็พร้อมจะทำให้เจ้าเสมอ”
บอลด์วินปิดประตูห้องก่อนจะเดินมานั่งลงที่ขอบเตียง
ตัวเขาน่ะพร้อมมอบทั้งชีวิตให้กับคนตรงหน้าตลอดเวลาอยู่แล้วโดยไร้ข้อแม้
“เห้อ... ไม่ต้องทำกับข้าดีมากถึงขนาดนั้นก็ได้
แค่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนกับข้า ข้าเกรงใจเจ้ามากแล้ว”
ฟินตันถอนหายใจก่อนจะพลิกตัวไปนอนตะแคงหันหน้าไปทางหน้าต่างที่มีแสงจันทร์ลอดเข้ามา
ไม่ว่ายังไงเขาก็คงห้ามไม่ให้สหายคนนี้ทำตัวกับเขาเหมือนเขาเป็นคนปกติได้เลยจริง
ๆ
“เจ้าไม่ต้องคิดมาก นอนเสียเถอะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า”
บอลด์วินกดปิดโคมไฟที่โต๊ะข้างเตียง
ก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้างแล้วดึงผ้าห่มมาปิดตัวพอให้ไม่หนาวมากจนเกินไป
และเมื่อเขาหันไปมองคนข้าง ๆ
แล้วมือของเขาก็ขยับไปดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงบริเวณไหล่แทน
“อ๊ะ”
ฟินตันที่ตกใจเล็กน้อยจากสัมผัสนั้นรีบพลิกตัวหันกลับมามองทันที
แต่พอเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ใกล้ซะเหลือเกินจึงหยุดไว้แค่การหันมานอนหงายเท่านั้น
ข้าไม่ได้ชอบบอลด์วินเสียหน่อย นอร่า เจ้าอย่ามาปั่นหัวข้าเลย
เวลาในตอนเช้ามาถึงอย่างรวดเร็วในคราที่ฟินตันรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ
ผ้าม่านที่ไม่ได้ปิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนทำให้แสงแดดสาดส่องเข้ามาแยงตาเขาและรบกวนการนอนจนทำให้ต้องพลิกตัวไปมา
แต่การพลิกตัวนั้นมันทำได้ยากแปลก ๆ กว่าปกติ
มันเหมือนมีอะไรรัดเขาไว้อยู่เลย หรือว่าจะมีงูเข้ามาในบ้านกัน!?
ฟินตันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะพบว่าไม่ใช่งูแต่อย่างใด
แต่เป็นขาของบอลด์วินที่พาดผ่านทับตัวของเขาไว้อยู่ต่างหาก เห้อ...
แล้วไป อย่างน้อยก็ไม่ใช่สิ่งอันตราย
แต่ฟินตันไม่นึกเลยว่าบอลด์วินจะนอนดิ้นด้วย เพราะทุก ๆ
ครั้งที่เขามาอาศัยขอนอนด้วยก็เห็นว่าเจ้าของห้องนอนหลับค่อนข้างนิ่งตลอด
แต่ก่อนอื่นขอยกขาหนัก ๆ นี้ออกก่อนดีกว่า
“ทำไมขาเจ้าหนักจังเนี่ย”
ฟินตันบ่นอุบอิบพร้อมค่อย ๆ
ยกและผลักขาของคนที่ยังหลับอยู่ไปวางไว้ในที่ที่จะไม่รบกวนการนอนของเขา
แต่ตื่นมาขนาดนี้แล้วเขาคงหลับต่อไม่ลงแล้วล่ะ ไหน ๆ
แล้วก็ตื่นเลยแล้วกัน
“เจ้าจะไปไหน?”
ในตอนที่ฟินตันตัดสินใจว่าจะลุกออกจากเตียงไปนั้นนั่นเอง
คนที่คิดว่าหลับอยู่ก็พูดขึ้น และทำให้เจ้าของผมสีน้ำตาลสะดุ้งทันที
“เย้ย! เจ้าตื่นตอนไหนกัน? ซี๊ด... หัวข้า”
หัวและแผ่นหลังของฟินตันกระแทกกับผนังของห้องดังปั้กจากการสะดุ้ง
“เจ็บไหมล่ะนั่น? ข้าขอโทษ ๆ”
บอลด์วินที่เห็นแบบนั้นเลยรีบลุกขึ้นมาดูคนที่กำลังลูบหัวอยู่ทันที
แต่ดูท่าแล้วคงไม่เป็นอะไรมากนักหรอก
“ข้าตื่นตั้งแต่ตอนที่เจ้ายกขาของข้าแล้ว
อย่าลืมเสียสิว่าข้าเป็นอัศวินนะ”
ฟินตันลูบหัวตัวเองอยู่อีกสามสี่ทีแล้วจึงหยิบหมอนขึ้นมาฟาดใส่ไหล่ของคนตรงหน้า
“แล้วเจ้าก็ชอบแกล้งข้าแบบนี้เนี่ย เดี๋ยวฟาดอีกซักทีดีไหมนะ”
บอลด์วอนยอมให้ฟินตันหาดเขาด้วยหมอนอีกสองสามครั้งก่อนจะหัวเราะออกมา
เขารู้ว่าถ้าแกล้งคนเป็นเจ้าชายแบบนี้จะไม่โดนอะไรมากมายนักหรอก
อย่างปกติก็ประมาณนี้แหละ ถึงบางทีจะมีลูกไฟลอยมาใส่หน้าบ้างก็ตามที
“555 แต่สนุกดี ข้าชอบ”
“สนุกเจ้าคนเดียวน่ะสิ!”
แกล้งเขาแล้วยังมายิ้มหัวเราะใส่อีก คอยดูเถอะ ฟินตันคิดในใจ
หลังจากทานอาหารเช้าง่าย ๆ
กันอย่างขนมปังกับผลไม้ที่เหลือจากเมื่อวานแล้วเรียบร้อย
สองชายหนุ่มก็สะพายกระเป๋าของตัวเองและปรับมันให้กระชับ
มือข้างนึงก็มีถุงผ้าขนาดกลางถือไว้ด้วยคนละถุง
ทุกอย่างพร้อมแล้วกับการเดินทางของพวกเขาในครั้งนี้
ฟินตันเองก็ไม่ลืมที่จะหยิบดาบประจำตัวของเขามากลัดเข้ากับเข็มขัดดาบที่เอวด้วย
ทางที่ดีเขาไม่อยากจะใช้พลังจิตของตัวเองเท่าใดนักในศึกครั้งนี้
แต่อยากจะใช้ดาบเล่มนี้ในการจบทุกอย่างเสียมากกว่า
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ลืมอะไรแล้วน่ะ?”
บอลด์วินถามพร้อมใช้เท้าเขี่ยก้อนหินบนพื้นเล่นขณะรอเจ้าชายหนุ่มที่พึ่งวิ่งเข้าไปหยิบดาบของตัวเองในบ้านเมื่อครู่
“ข้าคิดว่าครบแล้วนะ”
ฟินตันตอบพร้อมตบ ๆ
ดูตามตัวเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเขาไม่ลืมอะไรแล้วแน่นอน
และเมื่อมั่นใจแล้วเขาก็ปิดประตูบ้านให้สนิทและล็อกมัน
ก่อนจะก้าวเดินถอยหลังพร้อมกับมองดูบ้านที่เขาอาศัยมาตลอด 6
ปีครึ่งด้วยความคิดถึง
“ระวังหน่อย”
ฟินตันเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งชนเข้ากับบอลด์วิน
ดีที่สหายของเขาจับตัวของเขาไว้ไม่ให้เดินถอยหลังต่อไปอีก
เพราะตรงนั้นมีพุ่มไม้อยู่
และถ้าฟินตันล้มลงไปในพุ่มไม้นั่นตั้งแต่ยังไม่ได้ออกจากบริเวณบ้านเลยมันคงจะดูเป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก
“ข้าเอากุญแจบ้านไปด้วยได้หรือเปล่า?”
ฟินตันถามคนที่จับไหล่ของเขาอยู่พร้อมกับมองกุญแจบ้านในมือ
ใจนึงเขาก็อยากจะวางมันทิ้งไว้ที่นี่ด้วย
แต่อีกใจเขาก็อยากจะเอาติดตัวไปเป็นเหมือนเครื่องรางหรือเป็นตัวแทนถึงบ้านหลังนี้เผื่อให้พอจะหายคิดถึงตอนมองดู
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้กันเล่า?”
ฟินตันได้ยินดังนั้นจึงใส่กุญแจบ้านในมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตนที่มีกระดุมปิดอีกชั้น
กันมันหล่นหายระหว่างทาง จริง ๆ
เขาก็อยากจะเอามันใส่ไว้ในกระเป๋าเหมือนกัน
แต่ในตอนนี้ถ้าให้วางกระเป๋าแล้วกลับมาสะพายใหม่มันคงเสียเวลาแย่เลย
หกปีที่นอร์ดกำลังจะสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้แล้ว
ต่อจากนี้มันคือแผนการทั้งหมดที่ฟินตันและบอลด์วินวางเอาไว้ร่วมกันมาตลอดช่วงที่ผ่านมา
จากเส้นทางที่ฟินตันวาดเอาไว้มากมายในแผนที่หลายแผ่นที่นับจำนวนไม่ถ้วน
การเดินทางครั้งนี้พวกเขาจะผ่านหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั้งสิ้น 7 เมือง
และใช้เวลาเดินทางรวมโดยประมาณทั้งสิ้นราวสองสัปดาห์หากไม่หยุดพักเลยแม้แต่วันเดียว
ซึ่งหัวเมืองดังกล่าวจะเป็นสถานที่ในการเติมเสบียงของพวกเขาระหว่างทางด้วยในระยะเวลาทุก
ๆ ไม่เกินสามวัน
ส่วนในวันที่พวกเขาไม่ได้ผ่านหัวเมืองใหญ่ก็ได้ตกลงกันว่าคงจะอาศัยเส้นทางระหว่างทางให้นำพาไปเจอที่เหมาะ
ๆ ในการตั้งค่ายพักแรมในแต่ละคืนไป
“ถ้าอย่างงั้น เราไปกันเลยไหม?”
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย
ฟินตันเงยหน้าขึ้นไปถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับยิ้มด้วยความตื่นเต้นกับการเดินทางไกลที่กำลังจะมาถึงแล้วในที่สุด
แม้จริง ๆ ก็ยังคงหลงเหลือความกังวลอยู่ภายในใจของเขามากพอสมควร
แต่เนื่องจากไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้วนอกจากเส้นทางนี้ที่พวกเขากำลังจะเริ่มต้นการผจญภัย
บอลด์วินจับตัวฟินตันหมุนให้หันหน้ามาหาเขา
ก่อนจะสวมหมวกใบหนึ่งที่แอบไปซื้อมาที่ย่านการค้าในตัวเมืองเมื่อสองสามวันก่อนเข้ากับกลุ่มผมสีน้ำตาลที่นุ่มตรงหน้า
“เผื่อว่าอากาศต่อจากนี้ไปจะร้อนขึ้นกว่าเดิม”
บอลด์วินว่าไปก็พลางลูบหัวโดยมีหมวกกั้นไว้นั้นไปด้วยความเอ็นดู
สายตาพยายามหลบเลี่ยงสายตาของคนตรงหน้า
“แล้วเจ้าล่ะ ไม่ใส่บ้างหรือ?”
ฟินตันเกาแก้มตัวเองแก้เขินเล็กน้อยขณะถาม
ถ้าเผื่ออากาศมันจะร้อนขึ้น คนตัวสูงข้าง ๆ
เขาก็ควรที่จะมีหมวกซักใบไว้ด้วยเช่นกัน
“ไม่จำเป็นหรอก ข้าแข็งแรงจะตายไป”
บอลด์ยินยืนเท้าสะเอวยิ้มแล้วตอบ
ราวกับจะสื่อว่าตัวเขาไม่อาจทำให้เป็นริ้วรอยได้จากความร้อนหรอก
“ให้มันจริงซะเถอะ เดี๋ยวเจอไฟของข้าเจ้าจะต้องถอนคำพูดแน่ 555”
คนเป็นเจ้าชายถอดหมวกออกมาถือไว้แล้วหัวเราะ
เนื่องจากในตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่ ซึ่งแดดยังไม่ได้แรง
และถึงจะแดดที่แรงที่สุดในรอบร้อยปีก็คงไม่อาจเทียบเคียงพลังจิตของเขาได้แน่นอน
เจ้าตัวมั่นใจ
รอยยิ้มขณะหัวเราะของฟินตันนั้นในสายตาของบอลด์วินก็ยังคงน่าเอ็นดูในทุกครั้งที่ได้มองเสียจริง
“เจ้าก็อย่าเผลอยิงลูกไฟใส่ข้าก็แล้วกัน”
บอลด์วินส่ายหน้าแล้วหัวเราะพอนึกถึงในแต่ละครั้งที่เขาโดนลูกไฟร้อนของคนตรงหน้าเกือบจะทำให้ไหม้ไปจนเหลือเป็นฝุ่นผง
“แล้วพวกเราจะเริ่มเดินทางกันได้หรือยัง? ข้าพร้อมมากแล้ว”
ความกระตือรือร้นของฟินตันแสดงออกมาได้อย่างเด่นชัดทั้งผ่านท่าทางและสีหน้า
เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว
นี่คงเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะเริ่มต้นจุดสิ้นสุดของทุกอย่างที่เริ่มในคืนวันนั้น
“พร้อมให้ได้เช่นนี้ตลอดทางนะขอรับ ท่านดยุกแห่งนอร์ด”
บอลด์วินแอบเรียกคนตรงหน้าด้วยชื่อยศ
และนั่นก็นำมาซึ่งปฏิกิริยาที่คาดเดาได้ในทุกครั้ง
ใบหน้าเบื่อหน่ายที่เขาคิดถึง
ที่ถ้าไม่ได้แกล้งเจ้าชายตรงหน้าแล้วได้เห็นใบหน้านี้ก็เหมือนวันนั้นมันขาดอะไรไปซักอย่างก็ไม่รู้
“ข้ารู้แล้วน่า ท่านบอลด์วิน บุตรชายแห่งคุณกันเธอร์ ไอเซินฮาร์ท”
ฟินตันพูดด้วยเสียงที่เบื่อหนายไม่ต่างกับใบหน้าของเขาเอง
แถมยังเรียกบอลด์วินซะสุภาพเลยทีเดียวในครั้งนี้
แต่ก็ยังใส่คำว่าคุณลงไปหน้าชื่อของกันเธอร์ด้วย
เนื่องจากเคารพส่วนตัวของเจ้าชายหนุ่ม
“อื้อ... ไปทวงคืนสิ่งที่เป็นของเจ้าคืนกัน”