the tale of the wind knight and the fire prince by: kritzy_8 co-planning by: naiya & monk

Chapter 6 - ฟินตันงั้นเหรอ?

“ท่านขอรับ ไม่พบการรายงานตัวของอาร์เจน เบลซ และบอลด์วิน ไอเซินฮาร์ท ต่อเนื่องกันเป็นที่ 4 แล้วขอรับ ให้ข้าดำเนินการจับกุมเลยหรือไม่ขอรับ?”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรายงานให้กับผู้บังคับบัญชาของเขาทราบเมื่อพบความผิดปกติของการตรวจวัดพลังจิตใน System Scan ของปีนี้ ซึ่งตามกฎหมายระบุไว้ให้ผู้ที่มีพลังจิตสามารถขาดการตรวจวัดประจำปีต่อเนื่องได้ไม่เกิน 3 ปี
ผู้เป็นผู้บังคับบัญชาขมวดคิ้วพร้อมรับเอกสารในมือของเจ้าหน้าที่ที่ยศต่ำกว่ามากวาดตามองรายละเอียด ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะไม้ตรงหน้าไว้รวมกับเอกสารต่าง ๆ อีกมากมายที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยนัก
“ส่งคนไปตามที่อยู่ในฐานข้อมูลราษฎร”
เสียงที่แสดงถึงความไม่ค่อยพอใจนักพูดสั่ง
“ขอรับ”
 
ทันทีที่เจ้าหน้าที่จากส่วนกลางเดินทางไปถึง ณ บ้านของฟินตันและบอลด์วินและได้เคาะประตูเรียกทั้งสอง ความเงียบเชียบเป็นเพียงคำตอบเดียวที่ตอบพวกเขากลับมา และหลังจากลอบมองจากทางหน้าต่างรอบตัวบ้านแล้วพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะพังประตูเข้าไป
ปั้ง!
เสียงของประตูไม้ที่ถูกงัดให้เปิดออกถูกผลักชนเข้ากับผนังจนส่งเสียงดังออกมาสนั่นไปทั่วบ้านอันเงียบสงบ เมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งสามคนตรวจสอบทุกซอกทุกมุมของตัวบ้านก็ไม่พบผู้ที่ต้องการตัว แต่ในตอนนั้นเองที่กำลังจะถอนกำลังออกจากตัวบ้าน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็พบเศษกระดาษบางอย่างที่ไหม้ไม่หมดอยู่ในเตาผิงในห้องครัวเข้า
มันคือแผนที่การเดินทางของฟินตันและบอลด์วิน
 
“เจ้าคือชาล็อต แอนเทีย ถูกต้องหรือไม่?”
ช่วงเที่ยงที่ร้านอาหารของชาล็อตมีลูกค้ามากเป็นพิเศษในห้วงสัปดาห์ System Scan เช่นนี้ เนื่องจากมีผู้คนมากมายที่ต้องเดินทางเข้ามาในเขตตัวเมืองเพื่อรายงานตัวในการตรวจวัดระดับพลัง ฉะนั้นพนักงานในร้านแต่ละคนถึงได้เดินกันให้ขวักในช่วงเวลาอาหารแต่ละมื้อเช่นนี้
“ไม่ใช่ค่ะคุณลูกค้า ตอนนี้คุณชาล็อตอยู่ภายในห้องครัวค่ะ ให้ดิฉันตามให้หรือเปล่าคะ?”
นอร่าที่รับหน้าที่เป็นพนักงานประจำเคาน์เตอร์ต้อนรับของร้านกล่าวอย่างนอบน้อมต่อเจ้าหน้าที่ตรงหน้า แม้จะแปลกใจที่จู่ ๆ มีเจ้าหน้าที่จากทางการเข้ามาในร้านเช่นนี้ แต่เมื่อพิจารณาแล้วเธอคิดว่าน่าจะเป็นช่วงพักของเขา และเขาคงมากินอาหารเที่ยงที่ร้านแห่งนี้
“รบกวนด้วย”
 
“ข้าบอกแล้วยังไงว่าข้าไม่รู้! อั๊ก!”
เสียงของรองเท้าหนังแข็งของเจ้าหน้าที่จากทางการที่กระแทกเข้าใส่ท้องของชายวัยกลางคนดังขึ้นหลายครั้ง แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามอธิบายแล้วก็ตามว่าเขาไม่รู้เรื่องที่ถามใด ๆ
ที่โรงงานสีข้าวสาลีของทราวิสถูกเจ้าหน้าที่จำนวนสามคนเช่นกันบุกเข้ามาหาตัวเขา และทันทีที่เขาแสดงตัวก็ถูกควบคมตัวในทันที การขัดขืนของเขานำมาซึ่งเหตุการณ์รุนแรงที่ทำให้มีเลือดกระเซ็นอยู่ที่พื้นเล็กน้อย และอีกจำนวนหนึ่งไหลจากแปลบริเวณริมฝีปากของเขา
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้งนะทราวิส โดรเซลา ว่าบอลด์วิน ไอเซินฮาร์ท หายไปไหน?”
ในคราวนี้ดาบได้ถูกคว้าออกมาจากฝักและพร้อมที่จะพาดลงใส่ทราวิสทุกเมื่อ ตัวของเขาสั่นกลัวเป็นอย่างมาก ในใจก็พลางคิดว่าเหตุผลอะไรกันที่ทำให้อดีตลูกจ้างของเขาคนนี้ถูกเจ้าหน้าที่จากทางการตามตัวเช่นนี้
“ข้า ไม่ รู้”
ทราวิสที่นอนกุมท้องอยู่บนพื้นตอบช้า ๆ และนั่นสร้างความหงุดหงิดเป็นอย่างมากให้กับเจ้าหน้าที่ของทางการ
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องให้เจ้าเสียมือสักข้างแล้วล่ะ เผื่อว่าจะพอนึกอะไรออกบ้าง”
เจ้าหน้าที่ที่ชักดาบออกมาก่อนหน้าแสยะยิ้ม ก่อนจะยกดาบสีดำอันคมกริบขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมที่จะฟาดลงไปที่ข้อมือของชายตรงหน้า
“หยุดก่อน! อีกหน่วยแจ้งข้ามาผ่าน telepathy ว่าได้เบาะแสเพิ่มเติมจากในตัวเมือง”
แต่ก่อนที่ดาบเล่มนั้นจะได้ทำให้ทราวิสเสียมือข้างซ้ายไปจริง ๆ เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งก็ร้องห้ามให้หยุดไว้ก่อน เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่จากอีกหน่วยหนึ่งที่ส่งไปยังที่ที่อาร์เจนเคยทำงานส่งสารมาบอกเขาผ่าน telepathy อันเป็นพลังจิตที่ตัวเขาและอีกฝ่ายมี
“เดี๋ยวพวกข้าจะกลับมาใหม่หากไม่ได้อะไรเพิ่มเติม นึกให้ออกไว้เถอะเจ้าน่ะ”
เจ้าหน้าที่สามคนที่บุกมาที่โรงงานสีข้าวของเขาพูดพร้อมกับเดินกลับออกไป ทราวิสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นดังนั้น ก่อนที่เขาจะพยายามพยุงตัวเองขึ้นมานั่ง ตามมาด้วยคนงานที่หลบมองสถานการณ์อยู่ไกล ๆ ที่ทยอยเข้ามาดูแลนายจ้างของพวกเขา
 
“กรี๊ดดดดด!”
เสียงกรีดร้องดั่งลั่นพร้อมด้วยเสียงของจานชามที่แตกกระจายบนพื้นสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ลูกค้าภายในร้านอาหาร ณ ใจกลางเมืองนอร์ดเป็นอย่างมาก จนแต่ละคนต่างพากันวิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
“คุณชาล็อตคะ!”
“ถอยไป อีนังนี่!”
ผลั่ก
นอร่าที่กำลังจะพยายามวิ่งเข้าไปหาตัวนายจ้างของเธอที่ถูกลากออกไปบนพื้นถนนหน้าร้านถูกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเหวี่ยงหมัดเข้าใส่จนล้มลงที่พื้นหน้าเคาน์เตอร์ของร้าน
ทันทีที่ชาล็อตกล่าวออกมาว่าอาร์เจนเดินทางไปที่มอนทารากับบอลด์วิน พวกเจ้าหน้าที่ของทางการก็เข้าจับตัวของเธอไว้ทันที เมื่อเป็นดังนั้นเธอจึงพยายามสู้กลับโดยการใช้พลังของเธอบังคับน้ำร้อนภายในหม้อในครัวให้ลอยมาสาดใส่ตัวเจ้าหน้าที่จนพวกเขาหลายคนได้แผลน้ำร้อนลวกกันไป และนั่นทำให้เธอโดนจับตัวลากออกไปให้ห่างจากบริเวณร้านของเธอแบบนี้
“บอกมาให้หมด”
นอร่าที่ได้รับการประคองให้ลุกขึ้นมองดูเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกนสั่งให้ชาล็อตพูด
เป็นจริงดังคำพูดและเรื่องที่เล่ากันของผู้คนภายในอาณาจักร เจ้าหน้าที่ของทางการที่ควรจะทำงานเพื่อประชาชนและอาณาจักรกลับเลือกที่จะละเลยหน้าที่หลักนี้ และเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งของอาณาจักรที่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับรัฐเผด็จการที่บ้าอำนาจ
“ข้ารู้เพียงเท่านั้น ข้าพูดจริง ๆ นะ ปล่อยข้า- อั่ก!”
เสียงของชาล็อตขาดตอนเมื่อเธอพยายามจะร้องขอให้ปล่อยเธอไปด้วยการกอดขาของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งไว้ การเตะเข้าที่ท้องของหญิงวัยกลางคนสร้างความเจ็บปวดให้เธอเป็นอย่างมาก ภาพนั้นทำให้นอร่าและอีกหลาย ๆ คนภายในร้านถึงกับยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ รวมถึงมีบางคนที่น้ำตาไหลออกมา
“อย่าพูดนอกเรื่องนอกความ เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับอาร์เจนและบอลด์วินอีกบ้าง หา!?”
ไม้กระบองของเจ้าหน้าที่ถูกผลักเข้าใส่หัวของชาล็อตครั้งแล้วครั้งเล่าจนตัวของเธอเซไปตามแรงผลักนั้น สิ่งที่เธอได้รับมันช่างเกินกว่าสิ่งที่ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของทางการจะพึงกระทำต่อประชาชนที่ต้องปกป้องและดูแลไปมาก เธอรู้สึกเหมือนพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาเช่นเธอ เหตุใดกันที่ทำให้คนเหล่านี้ใช้อำนาจของตนเกินขอบเขตเช่นนี้?
“ข้าบอกเจ้าไปหมดทุกอย่างแล้ว อาร์เจนทำงานที่นี่มา 6 ปีกว่า แล้วเขาต้องเดินทางไปมอนทารา เลยได้ลาออกไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา”
ชาล็อตพยายามเล่าทุกอย่างที่เธอรู้ออกไปให้ได้ใจความและสั้นมากที่สุด เธอกอดตัวเองไว้บนพื้นของถนนหน้าร้านของเธอที่มีกระจกแตกและรอยการต่อสู้เต็มไปหมดจากการขัดขืนของเธอและพนักงานในร้าน
“ท่านหัวหน้าขอรับ เราพบข้อมูลเพิ่มเติมภายในบ้านของอาร์เจนขอรับ”
ก่อนที่คนที่เป็นหัวหน้าจะได้รีดไถข้อมูลจากชาล็อตต่อ ผู้ที่มียศต่ำกว่าคนนึงก็ได้เดินเข้ามารายงานข้อมูลให้เขาทราบ
“เจ้ากล้าดียังไงมาขัดข้า ว่ามา! ถ้าไม่ใช่เรื่องที่มีประโยชน์นะมึง”
ไหล่ของเจ้าหน้าที่ยศน้อยคนนั้นโดนกระบองไม้ฟาดลงจะสร้างความเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องยืนตรงและทำท่าวันทยหัตถ์ต่อไปโดยไม่สั่นไหว
“ข- ขออภัยท่านเป็นอย่างยิ่งขอรับ หน่วยที่ไปที่ตรวจสอบ ณ บ้านของอาร์เจนพบว่าแท้จริงแล้วอาร์เจนเป็นนามปลอมขอรับ แท้จริงแล้ว...”
เสียงของเจ้าหน้าที่ที่กำลังรายงานข้อมูลอยู่หยุดไปกะทันหัน เขาเพ่งสมาธิพร้อมพูดถามกับอีกฝ่ายที่อยู่ที่บ้านของอาร์เจนอีกครั้งผ่าน telepathy
“เจ้าแน่ใจหรือไม่กับสิ่งที่พูดก่อนหน้า?”
และไม่กี่วินาทีต่อมาทันทีที่ได้รับคำตอบกลับ เขาจึงได้เผลอกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ก่อนจะพูด
“ว่ายังไง อย่าเสียเวลา”
“อาร์เจนคือเจ้าชายฟินตัน ดยุกแห่งนอร์ด เจ้าชายลำดับที่สองแห่งโคโลเนียขอรับ”
เมื่อพูดจบ เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ลดมือลงแนบลำตัว ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วยืนนิ่งอยู่แบบนั้นเพื่อรอรับคำสั่งเพิ่มเติม
ทุกคนที่ได้ยินข้อมูลดังกล่าวต่างตกอยู่ในภวังค์ที่เหมือนมนต์สะกด นอร่าเธอเบิกตากว้างขึ้นทันทีพอรับทราบสารดังกล่าว เธอค่อย ๆ ถอดผ้ากันเปื้อนออกจากตัวของเธอแล้วพูดกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง
“ข- ข้าขอตัวก่อน บอกคุณชาล็อตว่าข้าจะไม่อยู่หลายวัน”
เพื่อนร่วมงานของเธอทำหน้าสงสัยในสิ่งที่นอร่าทำ ในขณะนี้ที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันกำลังเลวร้ายมากแต่เธอกทำไมทำท่าเหมือนว่ากำลังจะไปที่ใด ไหนจะการรวบมัดผมนั่นอีก
“เจ้าจะไปไหนกัน? นอร่า?”
เธอจึงได้ถามนอร่าไป เพราะกลัวว่าหากสงสัยนานกว่านี้นอร่าจะเดินออกไปทางด้านหลังของร้านที่มีประตูสำหรับขนของอยู่เสียก่อน
“ข้าจะไปหาอาร์เจน”
 
บ้านของฟินตันและบอลด์วินถูกค้นอย่างละเอียดโดยเจ้าหน้าที่ของทางการ ข้าวของทั้งหลายถูกรื้อจนในที่สุดพวกเขาก็ไปพบกับอะไรบางอย่างที่ยืนยันถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าชายของอาณาจักรได้
ชุดงานทางการที่ถูกพับซ่อนเอาไว้อยู่ในตู้ลึกจากคืนวันปฏิวัติของคีย์รัน ราวกับเจ้าของไม่อยากจะเห็นมันอีกเพราะความทรงจำที่พ่วงมาด้วยกับคราบเลือดที่ยังติดอยู่บ้างแม้จะซักทำความสะอาดไปหลายรอบ เป็นเหมือนสิ่งที่ยังคงติดตัวคนผู้เป็นเจ้าของชุดอยู่ให้เขาฝันร้ายในหลายคืน
ชุดที่มีรายละเอียดประณีตงดงามนี้ พร้อมด้วยแทบสีและเข็มกลัดที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าของชุดนั้นมียศฐาสูงถึงเพียงใด เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขากล้าที่จะยืนยันว่าแท้จริงแล้วตัวตนที่แท้จริงของอาร์เจนคือใคร
“ส่งสารถึงเจ้าเมืองนอร์ดเดี๋ยวนี้”
หัวหน้าของหน่วยจับกุมผู้กระทำความผิดกล่าวกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเดินออกไปจากบริเวณหน้าร้านของชาล็อต
“ขอรับ!”
ตามมาด้วยเสียงตอบรับของผู้มียศต่ำกว่าที่ทันทีที่กล่าวออกไปก็รีบส่งข้อความผ่าน telepathy หาเจ้าหน้าที่คนอื่นทันทีถึงข้อมูลที่น่าตกใจเช่นนี้
ไม่มีใครเชื่อว่าจะยังคงมีสมาชิกราชวงศ์ที่ยังมีชีวิตรอดอยู่นับจากวันปฏิวัติครั้งใหญ่เมื่อกว่า 6 ปีก่อน แต่ความจริงก็คือความจริง หลักฐานอื่น ๆ มากมายต่างบ่งชี้ว่าอาร์เจน เบลซ คือฟินตันแห่งโคโลเนียจริงแท้แน่นอน ทั้งหนังสือที่เป็นภาษาอิงเกลี่ยนและสมุดบันทึกที่เจ้าตัวได้เขียนเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้ในนั้น
 
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
เจ้าเมืองนอร์ดลุกขึ้นยืนหลังโต๊ะทำงานของเขาอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจเมื่อมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามารายงานข้อมูลที่เพิ่งได้รับจากเจ้าหน้าที่ภาคสนามผ่าน telepathy อันเป็นกลยุทธ์ใหม่ของอาณาจักรที่กำลังเริ่มมีการปรับใช้อย่างกว้างขวาง เนื่องจาก telepathy เป็นความสามารถในการสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีพลังชนิดนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กัน และสารจะมีเพียงผู้รับและผู้ส่งสารเท่านั้นที่ได้ยิน ทำให้นอกจากจะเป็นการสื่อสารที่รวดเร็วแล้ว ยังมีความปลอดภัยสูงเป็นอย่างมากอีกด้วย
“ฟินตัน เจ้าชายลำดับที่สองยังมีชีวิตอยู่ขอรับ รายละเอียดเพิ่มเติมทางภาคสนามแจ้งข้าว่าจะส่งตามมาเป็นเอกสารในภายหลังขอรับ”
คนที่ไม่มีเข็มกลัดที่อกที่แสดงยศฐาโค้งคำนับให้กับผู้เป็นเจ้าเมืองนอร์ด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงานภายในปราสาทใจกลางนคร
เจ้าเมืองของนอร์ดได้ยินดังนั้นก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จนในที่สุดเขาก็รู้ตัวว่าเรื่องเช่นนี้ต้องรีบรายงานเมืองหลวงโดยด่วน จึงได้สั่งให้ส่งจดหมายแจ้งไปทางมอนทาราโดยเร็วผ่านทางเครือข่ายลูกแก้วเวทมนตร์ทันที
ในขณะที่ข่าวกำลังถูกส่งไปสู่ศูนย์กลางทางอำนาจของอาณาจักรนี้เอง เรื่องของฟินตันก็ได้เริ่มแพร่กระจายผ่านทางอีกหนึ่งช่องทางไปพร้อม ๆ กัน นั่นก็คือผ่านการบอกเล่าปากต่อปากของผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์บริเวณร้านของชาล็อตเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา หลายคนต่างตกใจกับสิ่งที่รับรู้ บ้างต่างรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนจู่ ๆ เปลวเทียนที่ดับมอดลงมานานได้ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เปลวไฟแห่งความหวังที่แม้จะดูริบหรี่นี้ กำลังเริ่มกระจายไปเรื่อย ๆ ทีละนิดทีละหน่อย
 
ณ มอนทารา ร่างกายที่แต่งตัวด้วยเสื้อแขนยาวสีดำและกางเกงขายาวสีเดียวกันเดินบนทางเดินในพระราชวังอย่างมั่นคง เสียงต๊อก ต๊อก ที่รองเท้ากระทบเข้ากับพื้นที่ปูด้วยหินอ่อนอย่างดีดังไปทั่ว แสงไฟจากโคมไฟคริสตัลสีเหลืองคุณภาพสูงส่องสว่างให้โถงทางเดินดูแตกต่างจากบรรยากาศข้างนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเป็นอย่างมาก
คีย์รันเดินมาถึงยังห้องลูกแก้วเวทมนตร์ขนาดใหญ่ที่แต่เดิมเคยเป็นห้องวาดภาพของสมาชิกราชวงศ์ ก่อนจะผลักประตูเข้าไป
“มีอะไรถึงกับต้องเรียกข้ามาในยามนี้?”
ในเวลานี้เป็นตอนที่เขาควรกำลังจะได้ลิ้มลองรสชาติของอาหารค่ำของวัน แต่จู่ ๆ ก็มีคนมาบอกให้เขาต้องเปลี่ยนเส้นทางจากห้องอาหารไปเป็นห้องลูกแก้วเวทมนตร์นี้แทน
“มีสารส่งมาถึงท่านจากเจ้าเมืองนอร์ดขอรับ”
คีย์รันเลิกคิ้วเล็กน้อยจากสิ่งได้ที่ได้ยิน เหตุใดเจ้าเมืองนอร์ดที่ไม่ค่อยได้ติดต่อส่วนกลางบ่อยนักถึงได้จู่ ๆ ติดต่อมาได้กัน
“ว่ามา”
ทันทีที่คีย์รันกล่าวจบ ลูกแก้วเวทมนตร์ที่ตั้งอยู่บนแท่นวาง ณ ตรงกึ่งกลางของห้องก็เริ่มเปล่งแสงสีม่วงออกมาและปรากฏเป็นภาพขึ้นพร้อมเสียงพูดของเจ้าเมืองนอร์ด
“กราบเรียนท่านคีย์รันผู้ยิ่งใหญ่ กระหม่อมมีเรื่องจะทูลท่านเป็นการเร่งด่วน...”
คีย์รันเดินเข้ามาใกล้ลูกแก้วเวทมนตร์ตรงหลางห้องที่มีขนาดเท่า ๆ กับผลฟักทองลูกใหญ่มากขึ้นด้วยความสนใจ
“อาจจะเป็นการยากที่จะเชื่อ แต่หน่วยภาคสนามของกระหม่อมตรวจสอบพบว่ามีประชาชนคนหนึ่งปลอมแปลงตัวตนของเขาขอรับ”
คีย์รันเริ่มขมวดหัวคิ้วของเขาเข้าหากัน ถ้าหากจะเรียกเขามาฟังเรื่องไร้สาระพรรค์นี้ล่ะก็ เรื่องต้องจบลงด้วยคอของผู้รบกวนที่หลุดจากบ่าเป็นเท่านั้น แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรมากกว่านั้น ภาพในลูกแก้วก็เริ่มขยับพูดต่อ
“คนผู้นี้คืออาร์เจน เบลซ”
เจ้าเมืองทางเหนือชูรูปภาพวาดคร่าว ๆ ของคนที่ชื่ออาร์เจน เบลซขึ้นในมือ ก่อนจะสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วกล่าวใจความหลักของสารด่วนนี้ต่อ
“แท้จริงแล้วเขาคือเจ้าชายฟินตัน ดยุกแห่งนอร์ด เจ้าชายลำดับที่สองขอรับ และตอนนี้เขากำลังเดินทางไปที่มอนทารา”
สายตาที่มองไปทั่วของคีย์รันจ้องไปที่ลูกแก้วเวทมนตร์ทันทีพร้อมมองมันด้วยสายตาที่เฉียบคมราวกับอยากจะตัดเฉือนให้ก้อนกระจกเวทมนตร์ตรงหน้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“ในคราแรกกระหม่อมก็ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเช่นกันขอรับ”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่เป็นจอมเวทพูดขึ้นพร้อมกับวางมือลงปิดการทำงานของลูกแก้วเวทมนตร์
ทันทีที่แสงสีม่วงอ่อน ๆ จากลูกแก้วเวทมนตร์ดับลง ดวงตาของคีย์รันก็เปล่งแสงสีเหลืองนวลในความมืดทันที สร้างความตกใจให้กับผู้เป็นจอมเวทจนเขาสะดุ้งเล็กน้อย
“ฟินตันงั้นเหรอ?”
คีย์รันพูดพลางเดินไปรอบ ๆ ห้องพลาง เสียงของรองเท้าเป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังไปทั่วทั้งห้อง
“สั่งทุกหน่วยทั่วอาณาจักรระหว่างนอร์ดและมอนทาราให้เฝ้าระวังไว้ และหากเจอฟินตันล่ะก็... จับมันมาให้ข้าซะ... แบบเป็น ๆ”
คีย์รันสั่งเสร็จก็เดินออกมาจากห้องลูกแก้วเวทมนตร์ในทันที ในความมืดของห้องที่ถูกแสงจากโคมไฟตรงทางเดินสาดเข้ามาจึงทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้วมีอีกคนด้วยที่อยู่ในห้องกับคีย์รันเมื่อครู่ และนั่นก็แทบทำให้หัวใจของผู้เป็นจอมเวทหยุดเต้น เพราะเขาไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของคนในเงามืดคนนี้เลยตลอดเวลาก่อนหน้า
มือขวาของคีย์รันอย่างดันสตัน นัคเฟลอสเตอร์เรอร์
 
“คุณชาล็อต ไม่เป็นอะไรนะครับ?”
หลังจากที่กลุ่มเจ้าหน้าที่ของทางการเดินจากไป หนึ่งในพนักงานของร้านที่เป็นผู้ชายก็ได้ไปพยุงผู้เป็นนายกลับมานั่งพักในร้านพร้อมกับสำรวจการบาดเจ็บของเธอ
“ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก พวกเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่?”
แม้ในยามนี้ชาล็อตก็ยังคงห่วงใยลูกจ้างของเธอทุก ๆ คนอยู่ เธอไม่อยากให้ใครได้รับลูกหลงจากเรื่องในวันนี้ไปมากกว่านี้อีกแล้ว และในตอนนั้นเองเธอก็นึกขึ้นได้ว่านอร่าถูกชกเข้าที่ใบหน้าจนล้มลง เลยพยายามมองหาทันทีรอบ ๆ แต่ก็กลับไม่พบเธอ
“นอร่าอยู่ไหน?”
ในเมื่อมองหาไม่เจอ และการขยับคอของเธอก็ดูจะสร้างความเจ็บปวดให้เธอพอสมควร การถามจึงถูกหยิบขึ้นมาใช้แทน
“นอร่า... นางฝากข้าบอกคุณชาล็อตค่ะว่าจะไปหาอาร์เจน ไม่สิ... เจ้าชายฟินตัน”
ความจริงในจุดนี้ยังคงล่องลอยอยู่ในความทรงจำและโสตประสาทของทุกคนภายในร้าน พวกเขาต่างไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนร่วมงานตลอด 6 ปีที่ผ่านมาเป็นถึงเจ้าชายผู้สูงศักดิ์เพียงนั้น
หากรู้เช่นนั้นพวกเขาคงจะนอบน้อมกว่านี้มากเป็นพันเท่า
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาร์เจนแท้จริงแล้วเป็นเจ้าชายของอาณาจักร”
เสียงหนึ่งของพนักงานคนนึงเรียกความสนใจของทุกคนไปหาเขา ก่อนที่เสียงพูดคุยมากมายจะเริ่มดังขึ้นตามมา
“อาทิตย์หน้าทั้งอาทิตย์พวกเจ้าไม่ต้องเปิดร้านนะ ข้าอยากจะขอหยุดพักเสียหน่อย ทำเพียงแค่ซ่อมแซมร้านก็พอแล้ว”
ชาล็อตกล่าวออกมาด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อเรียกความสนใจของพนักงานทั้งหมดในร้าน ก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อจะเดินขึ้นไปยังชั้นสองของร้านที่เป็นบ้านของเธอ
“คุณชาล็อต ให้ฉันช่วยประคองนะคะ”
“ขอบใจเจ้านะ”
 
รอไม่ต้องนาน เพียงแค่วันเดียวเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับฟินตันก็ถูกส่งจากเจ้าหน้าที่กรมพลังจิตมายังเจ้าเมืองนอร์ด พร้อม ๆ กับคำสั่งจากมอนทาราที่ให้ทุกหน่วยงานเฝ้าระวังและจับตัวฟินตันมาให้ได้ ซึ่งมีย้ำมาด้วยว่าให้จับเป็นเท่านั้น เมื่อตรวจสอบทุกอย่างอย่างถี่ถ้วนเรียบร้อยแล้วคนเป็นเจ้าเมืองก็ได้ส่งเอกสารเหล่านี้ผ่านทางลูกแก้วเวทมนตร์ไปสู่ส่วนกลางทันที
 
ลูกแก้วเวทมนตร์เหล่านี้อาศัยพลังจากหอคอยเวทมนตร์ที่มีการจัดสร้างขึ้นทั่วทั้งอาณาจักรภายพลังการยึดอำนาจของคีย์รัน และเนื่องด้วยในแต่ละเมืองมีการใช้เวทมนตร์เป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งมีความจำเป็นต้องสร้างหอคอยเหล่านี้มากตามไปด้วย นำมาซึ่งการต้องเวนคืนที่ดินจากประชาชนมากมายโดยที่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งใด ๆ ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยลงทุกวัน และถึงแม้พวกเขาอยากจะโต้แย้งมากเพียงใด ปลายทางก็คือความทรมานหรือการตายสถานเดียว จึงไม่มีใครกล้าที่จะหืออือต่อกรมเวทมนตร์ที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาใหม่นี้เลย
แต่หากพูดในด้านของการสื่อสารแล้ว นี่นับเป็นวิธีการสื่อสารที่รวดเร็วมากที่สุดวิธีหนึ่งในปัจจุบัน เพราะสามารถส่งต่อข้อมูลได้ในระยะที่ไกลพอประมาณ และตราบใดที่มีหอคอยเวทมนตร์และคนคอยป้อนพลังให้กับหอคอย การส่งข่าวสารจากเมืองทางเหนืออย่างนอร์ดไปสู่กรุงมอนทาราก็ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น หากเทียบกับการส่งสารด้วยไปรษณีย์ผ่านม้าเร็วแล้วยังต้องใช้เวลาถึงเกือบหนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ
แต่จากข่าวลือล่าสุดที่กำลังเริ่มเป็นที่พูดถึงจากอาณาจักรบรูกไชน์และอิลลูมาบอกมาว่าพวกเขาค้นพบเทคโนโลยีใหม่แล้ว และมันอาจจะเปลี่ยนโลกใบนี้ไปเลยก็ได้ ในชื่อที่แปลกตายามได้เห็นและแปลกหูในยามที่ได้ยินอย่างคำว่าเครื่องจักรไอน้ำ ซึ่งก็สร้างความงุงงงให้กับผู้ได้ยินข่าวลือนี้ว่าเครื่องจักรและไอน้ำ สองสิ่งนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากกัน? แค่ไอน้ำร้อน ๆ เพียงนี้เองหรือที่จะเปลี่ยนโลก? นั่นจึงทำให้ทางส่วนกลางของอาณาจักรอย่างมอนทาราไม่ได้สนใจข่าวลือนี้สักเพียงใด และมุ่งมั่นที่จะพึ่งพาเวทมนตร์ต่อไปอย่างเดิม
 
รอไม่นานผู้ที่เฝ้าคอยเอกสารรายงานนี้อย่างคีย์รันก็ได้รับมันในช่วงเย็นของวัน เขารับเอกสารจากเจ้าหน้าที่มาเปิดอ่านรายละเอียดที่โต๊ะทำงานในอาคารปีกทางตะวันตกของพระราชวัง
สายตาที่เต็มไปด้วยความลึกลับกวาดมองตัวอักษรทุกตัวอย่างละเอียดแล้วจึงค่อย ๆ ที่จะเริ่มเผยรอบยิ้มออกมา
เป็นรอยยิ้มที่จะสร้างความไม่สบายใจให้แก่ผู้รับอย่างแน่นอน
“ดันสตัน”
เสียงของคีย์รันดังสะท้อนไปทั่วห้องทำงาน ก่อนที่ภายในเงามืดด้านข้างจะมีคนที่เป็นเจ้าของชื่อเดินออกมาตอบเขา
“ขอรับท่านคีย์รัน”
ดวงตาสีดำคลับจ้องมองผู้เป็นเจ้านายก่อนจะตอบด้วยความนอบน้อมและตามมาด้วยการโค้งคำนับ
“เตรียมตัวของเจ้าให้พร้อมเอาไว้เสียล่ะ”
คีย์รันพูดพร้อมกับเดินไปทางระเบียงของห้องทำงานของเขาที่มองเห็นทิวทัศน์ของมอนทารา แสงแดดยามเย็นของวันสาดใส่ตัวของเขาจนทำให้ความลึกลับลดลงไปเล็กน้อย แต่กระนั่นก็มีไอสีดำแผ่ออกมาอยู่ดี
“ข้าพร้อมเสมอที่ท่านสั่งขอรับ”
ริมฝีปากของคีย์รันยกยิ้มขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบ เขาหัวเราะเป็นเสียงหึด้วยความรู้สึกที่อยู่ข้างในตัวเอง นานมาแล้วที่เขาได้รู้สึกเช่นนี้
“ดี...”
คีย์รันหันหลังให้กับทิวทัศน์ของเมืองหลวงแล้วมองไปที่คนตรงหน้าในชุดสีดำที่แม้จะเป็นสีเดียวกันกับดวงตาของคนที่สวม แต่ความมืดของดวงตานั้นกลับมีมากกว่าหลายเท่าตัว
“เพราะจวนจะได้เวลาของแผนการขั้นสุดท้ายของข้าแล้ว”