เป็นเวลาถึงห้าวันแล้วนับจากที่ฟินตันและบอลด์วินได้จากนครหัวเมืองทางเหนืออย่างนอร์ดมา
บรรยากาศรอบข้างที่เป็นเมืองใหญ่ได้ค่อย ๆ
กลายไปเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและปศุสัตว์
ก่อนจะกลายไปเป็นป่าและทุ่งหญ้าที่เขียวขจีในที่สุด
จากนั้นจึงค่อยแปรเปลี่ยนกลับไปเป็นเขตเกษตรกรรมกับหมู่บ้านอีกครั้ง
แล้วก็ยิ่งเริ่มมีบ้านของผู้คนที่ถี่มากขึ้น สูงมากขึ้น
ในยามที่พวกเขาทั้งสองคนเข้าใกล้เมืองที่จะเป็นจุดพักเติมเสบียงแห่งแรกของพวกเขา
นครเทรว่า เมืองท่าสำคัญของภูมิภาคทางเหนือของโคโลเนีย
“ข้าว่าพวกเราควรจะหยุดพักที่เทรว่าหนึ่งคืน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
บอลด์วินถามคนตัวเล็กที่เดินอยู่ด้านข้าง
น่าแปลกเสียจริงที่ฟินตันในสายตาของเขาก็ตัวแค่นั้น
แต่กลับมีพละกำลังมหาศาลในการเดินทางไกลติดต่อกันห้าวันโดยไม่บ่นเลยแม้แต่คำเดียว
“ข้าเห็นด้วย ขาของข้าเหนื่อยจะตายแล้ว
กับข้าอยากนอนเต็มที่มาหลายวันแล้วด้วย”
ฟินตันว่าพลางบิดขี้เกียจไปพลาง
ตลอดห้าวันที่ผ่านมาพวกเขาทั้งคู่ได้แต่อาศัยพื้นที่ใต้ต้นไม้หรือไม่ก็โรงนาของชาวบ้านระหว่างทางทั้งสิ้น
การจะได้แวะพักในเมืองใหญ่เช่นนี้เท่ากับว่าการจะได้นอนพักที่โรงแรมดังที่ได้เตรียมเงินไว้ในแผนการที่วางไว้
บอลด์วินที่ได้ยินก็ยกฝ่ามือมาลูบหน้าผากของตัวเองพร้อมกับส่ายหัว
เขาขอถอนคำพูดเมื่อครู่แล้วกัน
สองสหายเดินทางเข้าสู่เขตตัวเมืองของนครเทรว่าในยามบ่ายเกือบเย็น
ผู้คนต่างขวักไขว่ไปบนท้องถนนเนื่องจากเป็นช่วงเวลาเลิกงานของวัน
ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้นขึ้นมาและชวนให้นึกถึงตอนที่พวกเขาทั้งสองอยู่ที่นอร์ดแล้วกำลังเตรียมที่จะเดินทางกลับบ้าน
อันที่จริงแล้วระยะการเดินทางจากนอร์ดมาสู่เทรว่านั้นจะใช้เวลาราวสองวันเท่านั้นบนหลังม้า
แต่เนื่องด้วยสภาวะทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ
ราคาของม้าพุ่งสูงขึ้นจนกลายไปเป็นสินค้าสำหรับผู้มีอันจะกิน
ซึ่งสำหรับชนชั้นกลางในสังคมอย่างฟินตันและบอลด์วินแล้ว
แม้ในตอนแรกพวกเขาจะเคยคิดเอาไว้ถึงแผนการเดินทางด้วยม้า
เนื่องจากการเดินเท้านั้นยากลำบากแล้วใช้เวลามากพอสมควร
แต่สุดท้ายถึงแม้จะเป็นวิธีการเดินทางที่ใช้เวลานานกว่ามาก
แต่ก็เหมาะสมกับความคล่องตัวทางการเงินของพวกเขาทั้งคู่
จึงได้ตัดสินใจที่จะใช้วิธีการเดินทางนี้ในการเดินทางไกล
เผลอครู่เดียวทั้งคู่ก็มาถึงส่วนที่เป็นตลาดขนาดใหญ่ใจกลางเมือง
ร้านรวงต่าง ๆ
เปิดต้อนรับและส่งเสียงเชิญชวนให้ลูกค้าเข้ามาแวะดูและซื้อสินค้า
เนื่องด้วยเทรว่าเป็นเมืองท่าของภูมิภาคทางเหนือ
สินค้าหลายอย่างจึงมีความสดใหม่มากกว่านอร์ดที่แม้จะติดทะเลเช่นกัน
รวมถึงมีของหลายอย่างที่หาไม่ได้ในเมืองรอบนอกท่าเรือหลักแห่งนี้อีกด้วย
นอกจากสินค้าที่มีให้เลือกชมและซื้อมากมายแล้ว
ประชากรของเทรว่ายังมากกว่านอร์ดถึงเกือบเท่าตัว
ส่งผลให้บรรยากาศในตลาดยามบ่ายนี้ยิ่งคึกคักมากเป็นพิเศษในสายตาของผู้ผ่านทางทั้งสอง
แม้จะเทียบไม่ได้กับมอนทาราในความทรงจำในอดีต
แต่บรรยากาศเช่นนี้ก็พอที่จะทำให้มีแรงอยากจะกระตือรือร้นมากขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อย
“เจ้าอยากจะเดินหาโรงแรมก่อนหรืออยากจะเดินชมตลาดก่อน?”
องครักษ์ทางพฤตินัยของเจ้าชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อทั้งสองเดินมาถึงสี่แยกใจกลางเมืองแยกหนึ่งที่คับคั่งไปด้วยผู้คนและรถม้า
“เจ้าเหนื่อยหรือยังล่ะ?”
ฟินตันถามกลับ ในใจของเขาถึงแม้อยากจะสัมผัสเตียงนุ่ม ๆ แล้ว
แต่การได้มาเมืองท่าเช่นนี้ที่มีข้าวของน่าสนใจมากมายก็ชวนทำให้อยากสำรวจดูบริเวณรอบ
ๆ เป็นอย่างมาก
“แปลว่าเจ้าอยากเดินดูตลาดถูกต้องไหม?”
บอลด์วินตอบอย่างรู้ดีถึงความต้องการภายในใจของคนข้างกาย
“ข้าขอเวลา… เอ่อ… ครึ่งชั่วโมง”
ฟินตันมองหอนาฬิกาของเมืองแล้วตอบออกมาถึงเวลาที่เขาต้องการในการเดินสำรวจตลาดแห่งนี้
ตอนนี้หน้าปัดขนาดใหญ่บนหอสูงแสดงเวลาห้านาฬิกากับจวนจะสามสิบนาทีในตอนบ่าย
กว่าพระอาทิตย์จะตกดินในช่วงนี้ของปีก็เลยเวลาสองทุ่มไปนู่น
“สัญญา?”
บอลด์วินไม่ค่อยอยากจะเชื่อคำพูดที่ว่าครึ่งชั่วโมงเท่าใดนัก
จากประสบการณ์ในอดีตที่ฟินตันขอเวลาแวะดูหนังสือที่ร้านแห่งหนึ่งที่นอร์ดสิบนาที
แต่สุดท้ายก็กลายเป็นครึ่งชั่วโมงไปเสียงั้น
“แน่นอน ข้าเป็นถึงเจ้าชายนะ ไว้ใจข้าได้แน่นอน”
ฟินตันพูดตอบด้วยความภาคภูมิใจในความน่าเชื่อถือของตน
จนเผลอที่จะพูดสถานะที่แท้จริงของตัวเองออกมาดังไปหน่อย
“พูดเบา ๆ หน่อยเจ้าน่ะ”
บอลด์วินรีบใช้ฝ่ามือของตัวเองไปทาบแนบเข้ากับปากของคนเป็นเจ้าชายทันที
พร้อมกับก้มลงพูดกับคนตรงหน้าให้ระวังตัวเองให้มากขึ้น
“อ… อื้อ”
ใกล้เสียจริง…
ฟินตันตอบออกมาพร้อมพยักหน้า
ฝ่ามือที่ปิดปากของเขาอยู่จึงได้ขยับออกให้ปากของเขาเป็นอิสระดังเดิม
ฟินตันเม้นปากตัวเองหนึ่งที
เพราะจะว่าไปนี่น่าจะเป็นครั้งแรกเลยที่มือของบอลด์วินสัมผัสโดนปากของฟินตัน
“ข้าว่าจะขอเดินไปดูร้านอาวุธกับโพชั่นตรงนั้นเสียหน่อย
เจ้ากลับมาเจอกันกับข้าที่หน้าหอนาฬิกานี้ตอนหกโมงเย็นนะ”
บอลด์วินมองเห็นร้านอาวุธและร้านขายโพชั่นพอดีระหว่างทางตอนที่พวกเขาเดิมผ่านมาก่อนหน้า
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียเวลาแวะดูสำหรับการเดินทางไกลที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้านี้
“ได้เลย”
ฟินตันตอบพร้อมยิ้มให้อีกฝ่าย
แล้วกระชับสายกระเป๋าเป้ที่สะพายหลังอยู่เพื่อแสดงให้เห้นว่าเขาอยากเดินหายเข้าไปในตลาดแล้วแค่ไหน
“หกโมงตรงนะ”
บอลด์วินย้ำด้วยเสียงที่เหมือนคนเป็นพ่อพูดกับลูก
“ขอรับท่านพ่อ”
ฟินตันเลยตอบกลับด้วยการประชดเสียเลย
ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความตลกในตัวเองและสหายตรงหน้า
“เห้อ… ไปเดินดูของในตลาดเสียเถอะเจ้าน่ะ”
บอลด์วินถอนหายใจแล้วส่ายหน้าพลางโบกมือไล่ให้กับเจ้าชายตรงหน้า
เขาเริ่มคิดแล้วจริง ๆ
นะว่าที่ฟินตันกลายเป็นแบบนี้ไปได้เป็นเพราะเขาหรือเปล่า
แม้จะดีกว่าในช่วงแรกที่เจ้าตัวเงียบลงไปอย่างมากหลังเหตุการณ์ในคืนนั้นก็จริง
แต่ถ้าในอนาคตฟินตันยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แล้วล่ะก็
ใจของเขาคงจะ…
ตู้ม!
“กรี๊ดดดดด!”
“อ๊ากกก ขาข้า!”
เสียงระเบิดจู่ ๆ ก็ดังขึ้นกึกก้องไปทั่วท้องถนน
ตามมาด้วยกระแสลมและแรงกระแทกจากแรงละเบิดที่พาฝุ่นหนามาด้วย
เสียงของผู้คนกรีดร้องและครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังมาทางต้นกำเนิดของเสียงดังลั่นที่ทำให้ทั้งเจ้าชายและลูกชายของอัศวินได้ยินเสียงวิ้งแหลมภายในหูตามมาจากเสียงตู้มดัง
หลังจากผ่านไปได้ครู่หนึ่ง
ทั้งสองก็ได้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้งจากที่หมอบลงเพื่อหลบเศษซากของอาคารที่ลอยมากับแรงระเบิด
“โจรปล้นธนาคาร ใครก็ได้!”
ในตอนที่ฟินตันกำลังจะถามคนตัวสูงว่าเกิดอะไรขึ้น
ก็มีเสียงตะโกนของคนมาเยื้อง ๆ จากทางจุดกำเนิดของแรงระเบิด
ฝุ่นที่หายไปจากอากาศทำให้เห็นถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้ผ้าสีดำมาปกปิดใบหน้ากำลังจะเดินออกจากธนาคารที่มีรูโหว่ขนาดใหญ่อยู่ตรงทางเข้า
ในตอนนั้นจู่ ๆ ฟินตันก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้น
“บอลด์วิน ข้าฝากของไว้เสียหน่อยนะ”
ฟินตันวางกระเป๋าเป้และกระเป๋าย่ามของตัวเองลงที่พื้นตรงหน้าบอลด์วิน
ก่อนจะเริ่มเดินไปทางธนาคารที่ไม่รู้ว่าชั้นสองจะถล่มลงมาด้วยหรือเปล่า
“ด- เดี๋ยวก่อน เจ้าจะทำอะไรของเจ้า?”
เผลอครู่เดียว
เจ้าชายตรงหน้าของบอลด์วินก็เดินเข้าไปจวนจะถึงกลุ่มโจรเสียแล้ว
แล้วการตรงเข้าไปเช่นนั้นต้องนำมาซึ่งเรื่องยุ่งยากตามมาเป็นแน่
บอลด์วินจึงรีบยกข้าวของที่ฟินตันวางเอาไว้ไปหลบมุมไว้พร้อมกับวางข้าวของของตัวเองลงด้วยไว้ข้าง
ๆ กัน
“หืม? เจ้านี่มันอะไรกัน?”
ฟินตันยืนขวางทางออกจากธนาคารของกลุ่มโจรเอาไว้ด้วยสีหน้านิ่งสงบ
สร้างความสงสัยให้กับกลุ่มโจรเป็นอย่างมาก
“พวกเจ้าต่างหากล่ะ หยุดสร้างความวุ่นวายแล้วยอมจำนนซะ”
คำพูดของฟินตันทำให้กลุ่มโจรแสยะยิ้มราวกับได้เห็นสิ่งที่จะมอบความบันเทิงชิ้นใหม่ให้
และนั่นทำให้บอลด์วินรีบวิ่งเข้าไปหาฟินตันทันที
“เจ้ารู้ตัวไหมว่ากำลังลองดีอยู่กับอะไร?”
หนึ่งในกลุ่มโจรเดินเข้ามาหาฟินตันแล้วมองด้วยสายตาดูถูก
พร้อมกันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจของเมืองก็ได้เดินทางมาถึงสถานที่เกิดเหตุนี้พอดี
“หยุดอยู่ตรงนั้นแล้วยอมจำนนเสียเดี๋ยวนี้
ตำรวจได้ล้อมที่แห่งนี้ไว้หมดแล้ว!”
ตำรวจคนหนึ่งตะโกนใส่กลุ่มโจร พวกมันไร้ซึ่งความเกรงกลัวใด ๆ
ก่อนจะเริ่มหักมือดังกรอบแกร๊บเหมือนกำลังจะเตรียมพร้อมอะไรบางอย่าง
“เจ้าตรงนั้นน่ะ ถอยออกมาเสียเถอะ ก่อนจะได้รับอันตรา-”
ตู้ม!
ก่อนที่ตำรวจคนนั้นจะได้พูดอะไรต่อ
ชิ้นส่วนหนึ่งของผนังอาคารที่ควรจะวางนิ่งอยู่บนพื้นก็ลอยเข้ามาพุ่งชนเข้ากับลำตัวของเจ้าหน้าที่คนนั้นจนลอยกระเด็นไปด้านหลัง
“อั๊ก!”
ของเหลวสีแดงไหลออกมาจากปากของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้น
เจ้าหน้าที่ที่เหลือจึงชักดาบออกมาจากฝักทันที
“Telekinesis ทุกคนตั้งรับ!”
ฟินตันหันไปมองสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มโจรที่ยังคงชูมือค้างไว้ในอากาศทางด้านหน้าของตัวเอง
คงเป็นเจ้านี่สินะที่มีพลัง Telekinesis ฟินตันคิดในหัว
“ฟินตั... เอ๊ย อาร์เจน เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”
บอลด์วินที่เข้ามาถึงตัวของฟินตันก็ถามออกมาพร้อมจับที่ไหล่ด้วยมือทั้งสองข้างทันที
“ข้าไม่เป็นอะไร เจ้า-”
“พล่ามอะไรกันอยู่กันเจ้าน่ะ คิดหรือว่าเจ้าจะหยุดพวกข้าได้?
จะถอยไปเสียตอนนี้หรืออยากให้ข้าทำให้เจ้าถอยออกไป?”
โจรที่มีพลัง Telekinesis
กล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวขัดการพูดคุยของฟินตันกับบอลด์วิน
พร้อมถุยน้ำลายลงบนพื้นหลังพูดจบ
“พวกเจ้าทั้งสองถอยออกไปได้แล้ว!”
เจ้าหน้าที่ตำรวจสั่ง แต่จากการประเมินของฟินตันแล้ว
การที่พวกเขาต่างชักดาบออกมาเช่นนี้แปลได้เป็นอย่างเดียว
พวกเขาทั้งหมดเป็น level 0
“ไอ้พวกตำรวจงี่เง่านี่”
หนึ่งในกลุ่มโจรหัวเราะเบา ๆ กับการกระทำของพวกตำรวจ
เพียงเท่านี้มันจะหยุดพวกเขาได้อย่างไรกัน?
“ข้าจะขอนับนะ สาม...”
คนที่มีพลัง Telekinesis เริ่มนับถอยหลัง
ฟินตันมีความคิดตีกันในหัวว่าถ้าปล่อยตรงนี้ออกไป
ตำรวจและคนรอบข้างไม่อาจจัดการโจรกลุ่มนี้ได้เป็นแน่
แต่ถ้าอยู่ตรงนี้ต่อไป...
แต่แล้ว
“บอลด์วิน เจ้าจำตอนที่เจ้ากับข้าฝึกซ้อมครานั้นได้หรือเปล่า?”
ฟินตันนึกถึงการฝึกซ้อมการใช้พลังจิตครั้งหนึ่งของเขาและสหายข้าง ๆ
ในอดีตที่ได้มีการร่วมกันฝึกซ้อมถึงการร่วมกันต่อสู้กับศัตรูโดยใช้เพียงพลังจิตอย่างเดียว
“สอง...”
“ครั้งไหนกัน เจ้ากับข้าฝึกซ้อมกับทุกสัปดาห์ ไม่สิ
แล้วมันสำคัญด้วยหรือ?”
บอลด์วินตอบด้วยความลนลาน
มันมีการฝึกซ้อมด้วยกันเป็นพันรอบตลอดหกปีที่ผ่านมา
เขาจะไปจำได้อย่างไรกัน?
“หนึ่ง...”
“แสดงให้ข้าเห็นหน่อยว่าเจ้ากับข้าสนิทกันมากเพียงใด”
ฟินตันเพียงยิ้มที่มุมปากแล้วตั้งท่ารอการโจมตี
“หา? หืม?”
“ศูนย์... พวกเจ้าเลือกแล้วนะ”
ไม่ทันที่บอลด์วินจะหายสงสัย การนับถอยหลังก็สิ้นสุดลง
ก้อนอิฐและเศษซากกำแพงบนพื้นเริ่มลอยขึ้นกลางอากาศจามทิศทางการบังคับด้วยมือของโจรผู้มีพลัง
Telekinesis
“จะมาวิ่งหนีตอนนี้มันก็ไม่ทันเสียแล้วล่ะนะ”
หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มโจรแสยะยิ้มพร้อมมองดูฟินตันกับบอลด์วินและกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สลับกับมองสหายของตนที่กำลังบังคับก้อนอิฐหลายก้อนให้ลอยอยู่ในอากาศอยู่
“หึ”
พรึ่บ!
ฟินตันหัวเราะหนึ่งทีพร้อมกับเปลวเพลิงที่เริ่มลุกขึ้นไหม้จากฝ่ามือของเขา
ความร้อนและแสงสว่างของมันทำให้คนรอบข้างต่างต้องหยีตาลงหากจ้องมองไปที่มันตรง
ๆ
“เห... น่าสนุกแล้วเสียสิ Pyrokinesis สินะ”
จู่ ๆ
ภาพของโจรคนนั้นก็เริ่มพร่ามัวก่อนที่ตัวของเขาจะขยับไปมาทางซ้ายทีขวาทีด้วยความเร็วสูงจนไม่อาจจะมองได้ชัดเจนว่าเขาคนนั้นยืนอยู่ตรงไหนกันแน่
แล้วจึงหยุดลงที่ทางด้านซ้ายเล็กน้อยของก่อนหน้านี้
Reflect พลังในการควบคุมและหักเหสิ่งที่พุ่งเข้าหาตนเอง
ในที่นี้คือแสงแดด
จนทำให้คนรอบข้างเห็นตำแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้พลังผิดเพี้ยนไปจากเดิม
ในตอนนี้โจรคนนั้นไม่ได้ยืนอยํู่ในจุดที่ทุกคนเห็นด้วยตาหรอก
“ข้าเข้าใจแล้ว”
บอลด์วินจู่ ๆ ก็เหมือนนึกออกแล้วถึงสิ่งที่ฟินตันต้องการจะสื่อ
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังขอรับ”
ซูม!
เศษก้อนอิฐใหญ่ลอยเข้ามาใส่ฟินตันด้วยความเร็วสูง
ฟินตันเบี่ยงตัวหลบได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วยความเร็วที่ไม่อาจทำได้ด้วยมนุษย์ปกติ
สิ่งนี้ทำให้โจรถึงกับยกคิ้วสูงขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
บอลด์วินเป็นคนใช้ลมผลักฟินตันออกไปให้พ้นจากอันตราย
“ในตอนนี้ล่ะ บุกเข้าไป!”
กลุ่มของตำรวจอาศัยจังหวะชุลมุนที่กลุ่มโจรยืนนิ่งอยู่พุ่งเข้าไปหาด้วยความเร็วสูงสุดที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถทำได้
เปลวเพลิงของฟินตันเองที่ลุกขึ้นภายในมือก็รวมกันเป็นก้อนลูกไฟขนาดพอ
ๆ กับผลของแตงโม
ก่อนที่เจ้าตัวจะทำการส่งมันพุ่งตรงเข้าไปหากลุ่มโจรทันทีเป็นการสนับสนุนกลุ่มตำรวจ
“อย่าลอกแลก”
หนึ่งในสมาชิกกลุ่มโจรดึงสติของโจรที่มีพลังในการเคลื่อนย้ายสิ่งของให้กลับมา
ซึ่งเขาก็เริ่มทำการส่งก้อนอิฐมากมายพุ่งเข้าใส่ตำรวจทันทีราวกับห่าฝนของธนูขนาดใหญ่
“อั๊ก”
“อย่าถอยเด็ดขาด”
กลุ่มของตำรวจที่ไม่ยอมแพ้แม้จะมีเจ้าหน้าที่อีกคนที่ไม่สามารถหลบได้ทันและโดนก้อนอิฐพุ่งใส่ที่ศีรษะจนเลือดสีแดงกระเซ็นทั่วไปหมด
สร้างความตื่นตระหนกให้เหล่าประชาชนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ
จนเริ่มที่จะถอยออกหรือวิ่งหนีอีกครั้ง
“ข้าถึงตัวของมันแล้ว”
ดาบของเจ้าที่ตำรวจคนหนึ่งพาดลงใส่ร่างของหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มโจร
แต่แล้วภาพตรงหน้าก็ได้กลายไปเป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่า
พร้อมดาบที่โค้งผิดรูปจากแสงที่ถูกควบคุมทิศทาง
“ข้าอยู่ตรงนี้ต่างหาก”
มีดแหลมถูกปักเข้าที่หัวไหล่ของเจ้าที่คนนั้นจนได้ปล่อยดาบในมือลงแล้วร้องออกมาดังลั่นด้วยความเจ็บปวด
คนที่ควรจะอยู่ตรงหน้าและโดนดาบของตำรวจทำความเสียหายต่อร่างกายไปแล้วกลับโผล่มาอยู่ด้านข้างของคนที่กำลังเลือดไหลจากไหล่ได้อย่างน่าพิศวง
“อึก! พอลลัส จัดการไอ้เจ้าไฟบ้านั่นให้ข้าหน่อย”
โจรอีกคนที่ดูท่าแล้วไม่มีพลังจิตได้ขอให้เพื่อนของตนช่วยเหลือหลังจากโดนลูกไฟของฟินตันเข้าไปจนมือที่ใช้ยกขึ้นมาบังไหม้แดงแสบร้อนไปหมด
สายตาเฉียบคมหันมามองฟินตันก่อนที่ภาพที่ฟินตันมองโจรที่ชื่อพอลลัสจะเริ่มมัวไปหมดจากการเริ่มใช้พลังอีกรอบ
“บอลด์วิน”
ฟินตันเรียกคนข้าง ๆ โดยไม่หันไปมอง
ในตอนนั้นเองที่ภาพที่มัวตรงหน้าก็กลับชัดเจนและเริ่มวิ่งพุ่งเข้ามาหาฟินตัน
“ข้ามองอยู่”
ภาพตรงหน้าใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งฟินตันก็ตะโกน
“ตอนนี้เลย!”
หลังจากฟินตันกระโดดเหยียบลังไม้ใกล้ ๆ ตัวขึ้นสูง
กระแสลมแรงสูงก็พุ่งดันตัวของเขาให้ลอยขึ้นจากพื้นแล้วพาเขาลอยไปอยู่ที่แท่งเสาปูนของรั้วธนาคาร
ภาพของพอลลัสตรงหน้าหยุดชะงักพร้อมมองตามฟินตันตลอด
และตามมาด้วยเหล็กแหลมที่เคยเป็นลูกกรงของหน้าต่างที่พุ่งมาใส่ฟินตัน
ฟ้าว!
ฟินตันรีบเบี่ยงตัวทันทีและรอดการโจมตีนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด
ถ้าเขาตัดสินใจช้ากว่านี้ไปเสี้ยววินาทีแล้วล่ะก็
แขนของเขาได้กลายเป็นรูไปแล้วแน่
“อึก...”
แต่ถึงกระนั้นแท่งเหล็กแหลมก็ได้เฉียดแขนข้างซ้ายของเจ้าชายหนุ่มไปจนเกิดรอยถลอกที่ทำให้มีเลือดซึมออกมา
ฟินตันใช้มือข้างขวากดที่แผลของตัวเองไว้ครู่หนึ่งเพื่อตรวจสอบบาดแผล
หลังจากพบว่าไม่ได้เป็นแผลอะไรใหญ่มากเขาก็ปล่อยมือออกจากแขนของตัวเอง
มีของเหลวสีแดงติดมาด้วยพอประมาณ
“ย๊ากกก!”
ตำรวจคนหนึ่งอาศัยจังหวะนี้พุ่งเข้าไปจัดการโจรที่ไม่มีพลังจิตจนทำให้สามารถใช้ดาบเหวี่ยงใส่เข้าที่ขาของโจรคนนั้นได้สำเร็จ
แต่ก่อนจะได้ดีใจ
ตัวของเขาก็โดนเหล็กแหลมแบบเดียวกับที่เฉียดแขนของฟินตันพุ่งเข้าใส่กลางอกและเสียชีวิตในทันที
“เออร์วิน ขาเจ้า”
“ไม่ต้องสนใจข้า ฆ่าพวกมันให้หมดเสียซะเลียม”
เออร์วินที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มโจรทรุดลงด้วยความเจ็บปวดและเลือดแดงฉาดที่ไหลลงเปื้อนกับพื้นสีขาวของธนาคาร
“บอลด์วิน ระวัง!”
ในตอนนั้นพอลลัสก็เปลี่ยนเป้าหมายพุ่งเข้าไปหาบอลด์วินแทน
บอลด์วินที่ได้ยินคำเตือนก็ได้รวบรวมอากาศรอบข้างเข้าไว้ในกำมือของตัวเองแล้วปล่อยออกมาเป็นคลื่นกระแทกที่แรงพอกันกับระเบิดเมื่อครู่ของกลุ่มโจร
ฉึก
ภาพตรงหน้าที่บอลด์วินเห็นไม่ใช่ตำแหน่งที่แท้จริงของพอลลัส
ถึงกระแสลมที่ปล่อยออกมากะทันหันจะทำให้พอลลัสกระเด็นออกไป
แต่ไหล่ขวาของเขาก็ได้แผลจากมีดสั้นในมือของผู้มีพลังหักเหแสง
ฟินตันเบิกตาโพลงกับการเห็นหยดเลือดสีแดงที่หยดลงบนพื้น
ก่อนจะต้องกระโดดลงจากเสาของรั้วเพื่อหลบหลีกพลังการทำลายล้างของกระแสลมความแรงสูงของบอลด์วิน
ฟินตันรีบวิ่งแล้วใช้หลังของตนเองพิงแนบกับเสาสไตล์โรมันบริเวณหน้าธนาคาร
เพียงชั่วพริบตาเศษฝุ่นผงและก้อนอิฐก็กระเด็นผ่านตัวของเขาไป
เช่นเดียวกับพอลลัสที่กระเด็นมาชนกับผนังใกล้ ๆ
กับที่ที่ฟินตันยืนอยู่
เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าชายหนุ่มเลยเดินออกไปหาพอลลัสทันทีด้วยความรู้สึกแปลก
ๆ ที่อยู่ภายในใจ
เจ้านี่ทำให้บอลด์วินต้องเจ็บ
มือของฟินตันจับเข้าไปที่คอของพอลลัสในจังหวะที่เจ้าตัวยังคงมึนงงจากการที่ศีรษะกระแทกกับกำแพงแข็งแล้วไม่ได้ใช้พลัง
จากนั้นก็ออกแรงบีบทันที
“อั่ก! เจ้า...”
ฟินตันมองคนตรงหน้าพยายามดิ้นก่อนจะเริ่มใช้สมาธิของตัวเองสร้างเปลวไฟขึ้นที่มือนั้น
“อ๊ากกกกก!”
ร่างของพอลลัสดิ้นทุรนทุรายด้วยความแสบร้อนเจียนตายจากเปลวเพลิงของฟินตัน
ที่ถึงแม้จะยังไม่ใช่พลังสูงสุดที่เขาทำได้ แต่เปลวเพลิงร้อน ๆ
ที่สัมผัสโดยตรงกับผิวของคนที่ไม่สามารถทนความร้อนจากไฟได้แล้วนั้น
มันไม่ต่างอะไรกับการถูกเผาทั้งเป็นเลย
“ฟินตัน ระวัง!”
ฟินตันหันไปตามต้นเสียงก่อนจะพบว่าตำรวจด้านในอาคารถูกกลุ่มโจรที่เหลืออยู่จัดการไปหมดสิ้นแล้ว
และถึงแม้บางคนจะเพียงแค่บาดเจ็บไม่ถึงตาย
แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไร้ซึ่งกำลังที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อแล้ว
และเหตุที่มีคนบอกให้เขาระวังก็เพราะเลียมที่มีพลังในการเคลื่อนย้ายสิ่งของนั้นกำลังส่งส่วนหนึ่งของโต๊ะเคาน์เตอร์และขาของเก้าอี้ไม้ของธนาคารที่หักจนเป็นปลายแหลมให้พุ่งมาทางเขา
ฟินตันปล่อยมือจากลำคอของพอลลัสแล้วรีบยกมันขึ้นมาสร้างไฟความร้อนสูงด้านหน้าทันที
ซึ่งมันก็ได้เผาชิ้นส่วนของโต๊ะกับเก้าอี้ไม้นั้นให้ไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านไปในชั่วพริบตา
เกือบไปแล้ว...
พอลลัสนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นแล้ว
ฟินตันจึงเดินมุ่งตรงเข้าไปหาโจรคนสุดท้ายที่สามารถสู้ได้อย่างคนที่มีพลัง
Telekinesis
“เจ้าเองก็มีฝีมือไม่เลวเลยนะ”
เลียมกล่าวกับฟินตันแล้วยกมือให้ก้อนอิฐสองก้อนลอยขึ้นตาม
“แล้วถ้าเป็นของที่เผาไม่ได้อย่างอิฐนี่ล่ะ!”
สิ้นเสียงตะโกนของเลียม
ก้อนอิฐทั้งสองก้อนก็พุ่งเข้ามาหาฟินตันอย่างรวดเร็ว
และเขารู้ตัวว่าไม่อาจหลบมันได้ทันเป็นแน่
ซูม!
กระแสลมกำลังสูงเบี่ยงวิถีการพุ่งของก้อนอิฐสองก้อนนั้นให้เอียงจนพุ่งเข้ากับผนังของธนาคารจนทำให้กระจกแจกเพิ่มไปอีกสองสามบาน
บอลด์วินนั่นเอง
ตอนนี้แหละ
พรึ่บ!
ซูม!
ลูกไฟลูกใหญ่จากมือของฟินตันพุ่งเข้าใส่เลียมเป็นการตอบแทนที่ส่งก้อนอิฐมาให้เขาถึงสองก้อน
แม้เลียมจะสามารถใช้พลังยกฉากกั้นมาบังตัวของเขาได้ทัน
แต่ฟินตันก็คิดไว้แล้ว
และได้สร้างเปลวร้อนอย่างต่อเนื่องพุ่งตรงไปยังโจรตรงหน้าทันที
“อึก อะไรกัน”
เลียมมองหาสิ่งของรอบตัวก่อนจะได้ผนังที่พังของธนาคารมาใช้แทนฉากกั้นที่กำลังเริ่มเผาไหม้ไปเรื่อย
ๆ
แต่ถึงเช่นนั้นความร้อนอันมหาศาลจากเปลวเพลิงก็ทำให้เขาแสบผิวเป็นอย่างมาก
บอลด์วินเองเมื่อเห็นช่องว่างที่ศัตรูเผลอก็ชักดาบออกมาจากฝักแล้วเดินตรงเข้าไปหาเลียมโดยทันที
แต่โจรหนุ่มประสาทสัมผัสดีกว่าคาด
เขาส่งก้อนอิฐหลายก้อนลอยมาใส่อัศวินหนุ่มเป็นการป้องกันตัวเอง
แต่เนื่องด้วยต้องยกทั้งชิ้นส่วนกำแพงอิฐหนักไปพร้อมกัน
ความแม่นยำและความเร็วจึงลดลงเป็นอย่างมาก
ซึ่งบอลด์วินสามารถหลบได้สบาย
“ฟินตัน!”
สิ้นเสียงตะโกนของบอลด์วิน
ฟินตันก็หยุดหารสร้างเปลวเพลิงเพื่อเปิดทางให้สหายของตนเดินเข้าไปหาเลียมได้ประชิดตัว
และฟาดดาบในมือลงใส่เพื่อจบความวุ่นวายทั้งหมดในช่วงบ่ายของวัน
ชิ้ง!
แต่ในตอนที่ทุกอย่างควรจะจบลง
เออร์วินที่ควรจะนอนเจ็บขาอยู่ภายในธนาคารก็ใช้ดาบของตนกันดาบของบอลด์วินเอาไว้จนเกิดเสียงของเหล็กที่กระทบกันอันแสบแก้วหูขึ้น
และนั่นทำให้ฟินตันต้องกลับมาสร้างเปลวเพลิงใหม่อีกครั้ง
ส่วนบอลด์วินนั้นก็ต้องถอยหลังกลับไปตั้งหลักเพื่อเตรียมรับคมดาบของหัวหน้ากลุ่มโจร
“เจ้าอย่าคิดว่ามันจะง่ายดายนัก ไอ้หนุ่ม”
คมดาบคมแล้วคมเล่ากระทบกันเป็นเสียงดังอย่างไม่มีใครยอมใคร
บอลด์วินอยากที่จะหาช่องว่างในการใช้พลังจิตให้ได้เสียจริง
แต่คนตรงหน้ามีฝีมือดาบที่ไม่เลวเลยทีเดียว
มันทำให้เขาเลือกที่จะอยากที่จะชนะด้วยทักษะการใช้ดาบของตนเองมากกว่า
รวมกับอาการบาดเจ็บที่แขนขวาของเขาแล้วด้วย
ทำให้การดวลดาบดูสูสีเป็นอย่างมาก หากชนะได้คงจะสำราญใจไม่น้อย
ทั้งเออร์วินและบอลด์วินต่างผลัดกันถอยหลังและเดินหน้าเข้าหาอีกฝ่าย
แม้หัวหน้าโจรในวัยที่อายุมากกว่าบอลด์วินราวสิบปีจะมีแผลลึกที่ขาขวา
แต่กระนั้นเขากลับสามารถหมุนตัวและเบี่ยงตัวหลบได้อย่างไม่มีปัญหาใด
ๆ นี่มันผิดปกติ
“เออร์วิน ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว เร็วเข้า!”
เลียมตะโกนหาหัวหน้าของเขาหลังจากฟินตันเริ่มที่จะเอาจริงมากขึ้นและสร้างเปลวเพลิงที่ร้อนมากกว่าเดิมหลายร้อยองศา
สีของมันเริ่มเปลี่ยนจากสีส้มไปเป็นสีฟ้าทีละน้อย
และแม้เปลวเพลิงจะไม่โดนเข้าที่ตัวของโจรหนุ่มตรง ๆ
แต่ความร้อนของมันก็มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายเริ่มผิวไหม้แล้วนิดหน่อย
รวมกับแรงต้านของเปลวเพลิงที่ตัวมันเองก็ดันอากาศไปตามทิศทางการบังคับของเจ้าชายหนุ่มแล้วด้วยนั้น
ทำให้ทุก้าวที่ฟินตันเดินเข้าไปใกล้กับเลียมเท่าไหร่
มันก็ยิ่งดันให้ผนังอิฐหนาขยับเข้าใกล้ตัวของเลียมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไปด้วย และจากแรงดันอันมหาศาลนี้รวมกับความร้อนอันมหาศาล
เลียมจึงไม่อาจที่จะดันผนังตรงหน้าเขาให้มันพุ่งไปทางคู่ต่อสู้ของเขาได้เลย
“ยื้อเอาไว้ อั่ก!”
โดยไม่ทันตั้งตัว
กองกำลังเสริมของตำรวจซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทางการของนครเทรว่าได้เดินทางมาถึงบริเวณธนาคารและใช้ธนูแหลมยิงเข้าใส่หลังของเออร์วินจนทำให้เขาทิ้งตัวลงกับพื้น
“อะไรกัน หมาหมู่นี่หว่า”
เลียมที่เหลืออยู่ตัวคนเดียวแล้วในตอนนี้รีบยกผนังและเศษซากของอาคารรอบตัวมาป้องกันรอบตัวของตัวเองทันที
ซึ่งมันทำให้เขาแทบจะมองไม่เห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวของตนเองเลยแม้แต่น้อย
“บอลด์วิน ส่งข้าลอยขึ้น”
ฟินตันอาศัยจังหวะนี้เดินอ้อมไปหาสหายของตนแล้วพูดสั่งประโยคสั้น ๆ
ก่อนที่จะกระโดดขึ้นให้สูงที่สุด
ฝ่ามือของบอลด์วินรีบรองบริเวณใต้เท้าของฟินตันไว้พร้อมปล่อยพลังลมความแรงสูงดันเจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลให้พุ่งขึ้นไปบนอากาศ
ฟินตันปล่อยมือข้างหนึ่งจากการสร้างกระแสเพลิงร้อนแล้วสร้างลูกไฟขนาดใหญ่แบบที่เขาเคยทำตอนที่ฝึกซ้อมที่ริมทะเลสาบในป่า
แล้วจึงส่งมันพุ่งมันเข้าไปที่ช่องว่างทางด้านบนที่เลียมเผลอเปิดเอาไว้ด้วยความแรงสูง
“อ๊ากกกก!”
เศษวัตถุที่หมุนวนล้อมรอบตัวของโจรหนุ่มร่วงหล่นลงพื้นหลังจากเสียงร้องของเจ้าตัว
ไฟร้อนได้แผดเผาร่างกายของเขาจนเกิดการแสบร้อนไปหมด
และทำให้เขาต้องใช้สมาธิในการล้มตัวลงกลิ้งกับพื้นเพื่อดับไฟแทนการควบคุมวัตถุรอบตัว
ซึ่งนั่นทำให้มันร่วงหล่นลงสู่พื้นดังเดิม
ฟินตันที่ลอยขึ้นไปบนอากาศสูงก็ได้หล่นลงมาเองเช่นกัน
แต่เขานั้นมีสหายของเขารอรับอยู่ก่อนแล้ว
จึงทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
ถึงแม้ท่าทางในตอนนี้ที่บอลด์วินรอบบริเวณแผ่นหลังและข้อพับของฟินตันไว้จะดูแปลก
ๆ ก็ตามที แต่ขอเพียงแค่ไม่ได้รับบาดเจ็บก็พอแล้ว
“ไม่เจ็บตรงไหนใช่หรือเปล่า?”
บอลด์วินก้มหน้าลงพูดกับคนในอ้อมกอดตรงหน้าที่เขาอุ้มอยู่
“ม- ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าต่างหากล่ะ ปล่อยข้าลงได้แล้ว”
มือที่รองตัวของฟินตันไว้ค่อย ๆ
วางตัวของเขาลงกับพื้นถนนที่เต็มไปด้วยเศษซากของความเสียหายของอาคารตรงหน้าอีกครั้ง
เหตุการณ์ที่เหลือจบลงด้วยการเข้ามาจัดการของเจ้าหน้าที่จากทางการที่มีเหล่าผู้มีพลังจิตและจอมเวท
ซึ่งเจ้าหน้าที่ของทางการเองก็ได้กล่าวขอบคุณแก่ทั้งฟินตันและบอลด์วินด้วยที่ได้เสียสละเข้ามาช่วยในครั้งนี้
ก่อนจะปล่อยตัวให้พวกเขาทั้งสองจากไป
เป็นโชคอันดีที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก
ส่วนมากจะเป็นผู้ที่ได้รับแรงกระแทกจากระเบิดของกลุ่มโจร
และลูกหลงจากวัตถุมากมายที่เลียมใช้พลังส่งมันพุ่งแหวกอากาศไปใส่คู่ต่อสู้ของเขา
ฟินตันและบอลด์วินได้ที่พักในคืนนี้เป็นโรงแรมแห่งหนึ่งในย่านฝั่งตรงข้ามของตัวเมืองจากบริเวณที่เกิดเหตุเมื่อยามเย็นของวัน
พวกเขากลัวว่าจะเป็นจุดสนใจเข้าเลยเลือกที่จะเดินห่างออกมาเสียหน่อย
ส่วนทั้งตลาดและร้านอาวุธที่ว่าจะไปสำรวจดูในตอนแรกนั้นก็ได้ถูกยกเลิกไปก่อน
เนื่องจากทั้งคู่หมดแรงเป็นอย่างมากกับการใช้พลังมากขนาดนั้น
“ไหนเจ้าบอกข้าว่าเจ้าไม่ได้เจ็บตรงไหนเล่า”
บอลด์วินพูดพร้อมขมวดคิ้วพร้อมมองไปที่แขนด้านซ้ายของฟินตันที่ยังมีเลือดซิบอยู่
ทั้งสองคนกำลังจะเข้าไปในบริเวณห้องอาบน้ำของทางโรงแรม
และในตอนที่ฟินตันถอดเสื้อของตนเองออกเขาก็โดนสหายของเขาให้ความสนใจทันที
“ก็ข้าไม่ได้เจ็บมากเท่าไหร่ ไหล่ของเจ้าต่างหากเล่าที่น่าจะเจ็บ”
ฟินตันว่าพลางเอื้อมมือไปหาแผลที่ไหล่ข้างขวาของคนตรงหน้าที่ยังไม่ได้ถอดเสื้อ
รอยขาดของเสื้อที่มีเลือดซึมอยู่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ห่วงตัวเจ้าก่อนเสียเถอะ”
บอลด์วินเบี่ยงตัวหลบพร้อมใช้มือปัดมือของฟินตันออกเบา ๆ
“จะให้ข้าทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน เจ้าเป็นสหายของข้านะ”
สุดท้ายหลังจากที่พวกเขาชำระล้างร่างกายให้เสร็จสิ้นจนสะอาดแล้ว
แทนที่จะได้นอนหลับให้สบายเลยในทันที
เลยต้องมานั่งทำแผลให้กันอยู่ที่ขอบเตียงแทน
“เจ้าต้องระวังตัวให้ดี
ข้าบอกเจ้าแล้วหลายครั้งว่าอย่าให้สมาธิหลุดไปจากสถานการณ์ตรงหน้า”
บอลด์วินพันผ้าพันแผลรอบแขนให้คนตรงหน้าที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อไปพลางพูดไปพลาง
แต่ในขณะเดียวกันสายตานั้นก็สำรวจดูร่างกายท่อนบนของเจ้าชายตรงหน้าไปด้วยว่ามีจุดไหนที่เป็นแผลสีแดงตัดกับผิวขาวบ้าง
“เจ้าบอกตัวเองก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้แผลนี้มาหรอก”
ฟินตันเองก็กำลังพันผ้าพันแผลให้บอลด์วินที่ยังไม่ได้สวนเสื้อเช่นกัน
แต่ของฟินตันทำขั้นตอนไปจนถึงการใส่เศษคริสตัลสีเขียวแล้ว
เนื่องจากจำได้ว่าไม่มีตรงจุดไหนอีกที่บอลด์วินได้รับบาดเจ็บ
เลยให้ความสำคัญไปที่แผลแผลเดียวตรงนี้ได้เลย
แต่ถึงกระนั้นถามไว้อีกก็ดี
“เจ้าไม่มีตรงไหนเป็นแผลอีกแล้วถูกหรือเปล่า?
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ฟินตันเลยมองรอบตัวของบอลด์วินไปด้วยเลย
รอบตัวนอกจากกล้ามเนื้อที่มีจนทำให้ตัวดูหนาจากการออกกำลังกายและการใช้แรงแล้วก็ไม่มีแผลตรงไหนแล้วล่ะ
“ไม่มีแล้ว”
บอลด์วินตอบเป็นการยืนยันพร้อมกับจับตัวคนตรงหน้าไว้ให้นั่งอยู่เฉย ๆ
เพื่อที่จะทำแผลได้สะดวก
จริง ๆ แล้วฟินตันไม่ได้ดูบอบบางนักหรอก
เขาออกจะมีกล้ามเนื้อบ้างเสียด้วยซ้ำ
ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกซ้อมการใช้อาวุธในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน
แม้จะไม่ได้ดูเด่นชัดมากเท่าของบอลด์วินและดูไม่ได้ตัวบางจนเหมือนลมจะปลิวให้ลอยไปได้
แต่ก็ทำให้อัศวินคนนี้อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
“แล้วเรื่องเสบียงล่ะ?”
ฟินตันถาม เนื่องจากการแวะตลาดในวันนี้ถูกยกเลิกไป
ทำให้พวกเขายังไม่ทันได้ซื้อเสบียงสำหรับการเดินทางต่อเลยแม้แต่อย่างเดียว
“เอาไว้พรุ่งนี้ตอนเช้าก็ได้ ตอนนี้เจ้าเตรียมตัวพักผ่อนเสียเถอะ”
ฟินตันพยักหน้ากับคำตอบของคนตรงหน้า
เช่นนี้แปลว่าคงต้องได้ตื่นเช้าเป็นแน่เลย
ถ้าเป็นเช่นนั้นคงต้องรีบนอนได้แล้ว แต่แผลยังถูกทำให้ไม่เสร็จนี่สิ
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบทำแผลให้เสร็จได้แล้วเจ้าน่ะ หยุดมองข้าเสียที”
แล้วทำไมบอลด์วินต้องมองแต่ตัวของเขาอยู่แบบนั้นด้วย
ก็น่าจะมองดูจนทั่วหลายรอบแล้วไม่ใช่หรือยังไงว่าเขาไม่มีแผลใด ๆ
อีกแล้วนอกจากตรงที่กำลังพันผ้าพันแผลอยู่?
“ท่านขอรับ เป็นเจ้าชายฟินตันไม่ผิดเป็นแน่ขอรับ”
เจ้าหน้าที่ของทางการกล่าวกับผู้บังคับบัญชาในยามค่ำหลังจากจัดการสถานที่เกิดเหตุเสร็จสิ้นแล้วกลับมาเขียนรายงานที่ฐานบัญชาการหลัก
ซึ่งพอเจ้าหน้าที่คนนี้เห็นใบประกาศจับตัวที่ถูกส่งมาจากมอนทาราเขาก็จำได้ทันทีว่าคือคนที่มาช่วยจัดการเหตุปล้นธนาคารในวันนี้
เลนรีบรายงานแก่ผู้บังคับบัญชาทันที
“เจ้าแน่ใจหรือเปล่า?”
ณ ห้องที่เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ของทางการ
ทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องใช่เป็นแน่
และพร้อมเป็นพยานสนับสนุนเหตุผลนี้ให้ด้วย
“ทางการต้องการระดับพลังจิตของเจ้าชายฟินตันด้วยถูกหรือไม่ขอรับ?”
หนึ่งในเจ้าหน้าที่ยกมือถามในห้อง
“ใช่”
คนเป็นผู้บังคับบัญชาตอบพร้อมกับให้ความสนใจในกระดาษมือของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว
“จากการประมาณของข้าแล้ว ระดับพลัง Pyrokinesis
ของเจ้าชายฟินตันอยู่ที่ level 4 ขอรับ”
“Level 4 อย่างนั้นหรือ?”
คีย์รันแสยะยิ้มภายในห้องลูกแก้วเวทมนตร์อีกครั้งหลังจากได้รับสารจากนครเทรว่าเรื่องของฟินตันที่เขากำลังสนใจ
“รายงานยังแจ้งด้วยขอรับว่าสหายของเจ้าชายฟินตัน หรือบอลด์วิน
ไอเซินฮาร์ท มีพลัง Blast Hand ระดับ level 3 ขอรับ”
จอมเวทประจำห้องลูกแก้วเวทมนตร์กล่าวรายงาน
ในคราวนี้เขาไม่ตกใจถึงการมีอยู่ของดันสตันในมุมมืดของห้องแล้ว
“ไอเซินฮาร์ท... ข้าคุ้นนามสกุลนี้เสียจริง”
คีย์รันเดินไปรอบ ๆ ห้องพร้อมย้อนนึกถึงความคุ้นเคยนี้
“นามสกุลของหัวหน้าองครักษ์ กันเธอร์ ไอเซินฮาร์ท ขอรับ”
เป็นดันสตันที่ตอบออกมาในความเงียบนั้น
“เช่นนี้นี่เอง...
บุตรชายของกษัตริย์กับบุตรชายของหัวหน้าองครักษ์สินะ”
คีย์รันส่งเอกสารคืนให้กับจอมเวทประจำห้องลูกแก้วเวทมนตร์ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับดันสตัน
ขณะนี้เป็นเวลาเช้าของวัน
เขาอยากจะรีบทานอาหารเช้าแล้วไปที่หอคอยเวทมนตร์หลักของอาณาจักรจะแย่แล้ว