ฟินตันรู้สึกว่าการได้นอนหลับอย่างสบายแบบนี้มันเป็นอะไรที่นานมาแล้วจากครั้งสุดท้ายที่เขาได้สัมผัส
แม้ว่าจริง ๆ
แล้วจะพึ่งผ่านมาห้าวันก็ตามทีจากครั้งสุดท้ายที่เขาได้นอนบนเตียงนุ่มและมีผ้าห่มที่นุ่มไม่ต่างกันเช่นนี้
และอะไรจะเหมือนเดิมกับการได้อยู่ที่บ้านที่นอร์ดบนเตียงนุ่มครั้งล่าสุดไปกว่าการมีคนที่นอนอยู่ข้างกายของเขาแบบตอนนี้
ครั้งสุดท้ายที่ได้นอนบนเตียงดี ๆ
เขาก็นอนอยู่บนเตียงกับบอลด์วินแบบในตอนนี้
แต่ในครั้งนี้ที่ได้นอนบนเตียงด้วยกันไม่ใช่เพราะฟินตันนอนไม่หลับเพราะความกังวลหรอก
แต่เพราะห้องที่เป็นเตียงเดี่ยวแบบนี้มันราคาถูกกว่าห้องที่เป็นสองเตียงเท่านั้นเอง
และอาจจะเพราะการได้นอนเป็นเตียงนุ่มที่ผ่อนคลายเช่นนี้
ทำให้ฟินตันตื่นตั้งแต่เช้า และเช้าก่อนบอลด์วินเสียด้วยซ้ำ
ระหว่างนี้เขาเลยพลิกตัวนอนตะแคงไปสำรวจหัวไหล่ที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ของคนข้าง
ๆ ที่ไม่ได้สวมเสื้อ
แม้ฟินตันจะบอกเจ้าตัวไปหลายครั้งแล้วก็ตามว่าให้สวมเสื้อด้วยเพราะอากาศยังเย็นอยู่แม้จะเดือนเมษายนแล้ว
แต่อัศวินหนุ่มก็ตอบย้ำมาว่ามันไม่ค่อยสบายตัวในตอนที่ผ้าพันแผลมันแนบกับผิวแล้วมีเสื้อมาทับอีกชั้นแบบนั้น
เลยเลือกที่จะเปลือยท่อนบนในการนอนในคืนที่ผ่านมา
ฟินตันยอมรับว่าไม่ค่อยได้สังเกตดูร่างกายของคนข้างกายนักเท่าใดเลยตลอดช่วงเวลาที่พวกเขารู้จักกันมา
แม้แต่ตอนที่พวกเขาได้ไปโรงอาบน้ำด้วยกันในช่วงฤดูหนาวของแต่ละปีที่นอร์ด
เขาก็ให้ความสนใจอยู่แต่กับน้ำอุ่นที่แช่แล้วสบายตัว
ในตอนนี้ที่ได้มาสังเกตดี ๆ
ก็เห็นว่าตัวของบอลด์วินหนาพอสมควรเสียจริง
การมีกล้ามเนื้อมากมายแต่ก็ไม่ได้มากจนดูน่ากลัวเช่นนี้ช่วยส่งให้คนที่ยังหลับอยู่ดูดีมากจริง
ๆ ซึ่งพอเทียบกับตัวเองแล้วนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ
เขาก็ไม่ได้ผอมแห้งหรอกนะ ในตอนนี้ถือว่ากลาง ๆ ด้วยซ้ำ
แต่แค่อยากจะแข็งแกร่งอย่างสหายที่นอนหลับอยู่บ้างแค่นั้นเอง
พอได้คิดถึงเรื่องนี้แล้วฟินตันก็พลอยนึกถึงเรื่องราวสมัยก่อนที่เขาอยากจะดูเท่
ดูดี และแข็งแกร่งเหมือนท่านพี่ของเขาอย่างอัลดริชขึ้นมา
เขาสงสัยเสียจริงว่าหากท่านพี่ของเขายังอยู่และได้เห็นเขาในตอนนี้แล้วนั้น
ท่านพี่ของเขาจะชมเขาหรือไม่ว่าเขาดูดีดูเท่บ้างหรือเปล่า?
จะบอกว่าเขามีพลังจิตที่ทรงพลังมากหรือเปล่า?
จะแกล้งเขาเล่นด้วยความเอ็นดูอีกหรือเปล่า?
เขาคิดถึงพี่ชายของเขาเสียจริง
ฉะนั้นเขาจะต้องทำให้เป้าหมายในการเดินทางในครั้งนี้สำเร็จให้ได้
หลังจากแวะซื้ออาหารเช้าง่าย ๆ
อย่างขนมปังและครัวซองต์ที่เป็นของชอบของฟินตันแล้วเรียบร้อย
ทั้งสองสหายก็ได้ซื้อเสบียงสำหรับการเดินทางเพิ่มเติมที่ตลาดของเมือง
แล้วก็ยังไม่ลืมที่จะแวะร้านขายอาวุธและโพชั่นด้วย
เนื่องจากประสบการณ์ที่ของวันก่อนหน้าทำให้พวกเขาทั้งสองเห็นความสำคัญของโพชั่นฮีลขึ้นมา
อันจะทำให้ยามที่ได้รับบาดเจ็บจะสามารถทำให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วได้
สิ่งเหล่านี้พวกเขาแท้จริงแล้วควรจะได้ทำมันไปเมื่อช่วงเย็นของวันก่อนหลังจากที่ฟินตันกลับมาเจอกับบอลด์วินที่หน้าหอนาฬิกาในเวลาหกโมงเย็นตามที่ได้นัดเอาไว้
หากว่าไม่เกิดเหตุปล้นธนาคารขึ้น
ในส่วนของของจุดพักจุดต่อไปของพวกเขาคือนครเบรเมน
เมืองคู่แฝดของเทรว่าที่อยู่ในแผ่นดินมากกว่า
และจะใช้เวลาเดินทางราวสามวัน
เส้นทางการเดินทางไปยังเบรเมนนั้นไม่ได้เงียบเหงาเหมือนในตอนที่พวกเขาเดินทางจากนอร์ดมายังเทรว่าเลย
เนื่องจากสองเมืองนี้เป็นเมืองที่ตั้งมาคู่กัน
เทราว่ารับหน้าที่เป็นเมืองท่าสินค้าหลักของภูมิภาคทางเหนือ
ส่วนเบรเมนจะเป็นศูนย์กลางในการเดินทางของภูมิภาค
เนื่องจากที่ตั้งที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางของเขตภาคเหนือและภาคกลางของอาณาจักรพอดิบพอดี
ทำให้เหมาะแก่การเปลี่ยนถ่ายรถม้า
หรือหยุดพักก่อนจะไปต่อยังจุดหมายปลายทาง
และสินค้าจากเทรว่ากว่าครึ่งก็ต้องผ่านนครแห่งนี้ก่อนเสมอด้วย
ส่งผลให้มีความเจริญของนครมากพอกัน
แต่โดยภาพรวมแล้วเนื่องด้วยเป็นจุดที่ผู้คนจะหยุดอยู่เพียงชั่วคราว
ขนาดประชากรของเบรเมนจึงมีเพียงสามในห้าของเทรว่าเท่านั้น
รวมถึงขนาดของเมืองด้วย
สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เส้นทางการเดินทางระหว่างสองนครนี้เต็มไปด้วยหมู่บ้านเล็กน้อยเรียงรายตลอดสองข้างทางสลับกับเขตการเกษตรกรรมกว้างสุดลูกหูลูกตา
ผสมกับป่าสนน้อยใหญ่ที่แซมตามพื้นที่ที่ไม่ใช่ทั้งหมู่บ้านและไร่นาให้ดูไม่น่าเบื่อจนเกินไป
ความอุดมสมบูรณ์ของโคโลเนียได้ถูกสะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดในระหว่างสองข้างทางที่สหายทั้งสองคนได้เดินทางผ่าน
นอกจากวัวที่เป็นปศุสัตว์หลักของอาณาจักรแล้ว
เหล่าสวนต้นแอปเปิลและพีช ไร่แครอท บีทรูท มันเทศ
และทุ่งข้าวสาลีที่ในตอนนี้ยังเป็นสีเขียวต้นเล็กอยู่เองก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อาณาจักรไม่จำเป็นต้องนำเข้าพืชการเกษตรเหล่านี้จากอาณาจักรรัสตันมากเท่าอาณาจักรอื่น
ๆ ที่มีดินที่ไม่ได้อุดมสมบูรณ์มากเท่า
บรรยากาศที่เย็นสบายของกลางเดือนเมษายนยังทำให้การเดินทางของทั้งสองคนไม่เหน็ดเหนื่อยมากด้วย
พวกเขาเดินได้เร็วกว่าที่คาดไว้เป็นอย่างมาก
เผลอเพียงครู่เดียวพวกเขาก็เริ่มที่จะมองเห็นหอคอยสูงของนครเบรเมนอยู่ที่ปลายเส้นขอบฟ้าแล้วในช่วงสายของวันที่สามนับจากที่ได้จากเทรว่ามา
“นั่นใช่หอคอยแห่งเบรเมนหรือเปล่า?”
บอลด์วินถามผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ข้าง ๆ
ตนเองที่กำลังใจลอยไปกับการมองสวนแอปเปิลอยู่
ถัดไปมีทุ่งหญ้ากว้างที่มีต้นไม้บาง ๆ กับลำธารอยู่ด้วย
เป็นที่ที่น่าพักผ่อนเสียจริง
“หือ? เจ้าพูดว่าอะไรนะเมื่อครู่?”
และไม่ได้ฟังเลยว่าคนตัวสูงกว่าพูดว่าอะไร
“ข้าถามว่าอาคารสูง ๆ
ตรงเส้นขอบฟ้านั่นใช่หอคอยแห่งเบรเมนหรือเปล่า?”
หอคอยแห่งเบรเมนเป็นหนึ่งในหอคอยที่สูงมากที่สุดของโคโลเนีย
และติดอันดับหอคอยที่สูงที่สุดในผืนทวีปยูโรปาด้วย
ในอดีตก่อนหน้าการปฏิวัติ
หอคอยแห่งนี้ถูกใช้ในพิธีมากมายของเมืองที่โด่งดัง
ทั้งเทศกาลวันคริสต์มาสที่ยิ่งใหญ่ในช่วงฤดูหนาว และเทศกาล Sailor
Dæg (เซลเลอร์ แดก)
เทศกาลเฉลิมฉลองเกี่ยวเนื่องกับการเดินเรือที่จะจัดควบคู่นครเทรว่าที่เป็นศูนย์กลางของการเดินเรือของอาณาจักร
“อื้อ ใช่ นั่นล่ะคือหอคอยแห่งเบรเมนที่เคยงดงาม”
แต่ในปัจจุบันที่ผ่านการปฏิวัติมาแล้วกว่าหกปี
หอคอยที่เคยเข้าถึงในง่ายจากประชาชนก็ได้ถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นหนึ่งในหอคอยเวทมนตร์หลักของอาณาจักร
แสงสีม่วงที่ส่องประกายออกมาจากบริเวณยอดของหอคอยสามารถมองเห็นได้จากระยะไกลแม้ในตอนกลางวันเช่นตอนนี้
แม้จะดูสวยงามเพียงใด
แต่ทั้งหมดล้วนแฝงไปด้วยการข่มวัฒนธรรมดั่งเดิมที่ได้ถูกสืบทอดมายากยาวนานเอาไว้ทั้งสิ้น
ฟินตันมองหอคอยดังกล่าวที่อยู่ห่างออกไปไกล ๆ
แล้วก็หวนนึกถึงครั้งหนึ่งที่เขาเคยมาที่เบรเมนกับท่านแม่ของเขาเพื่อเข้าร่วมงาน
Sailor Dæg
เขายังจำได้ถึงการที่เจ้าเมืองผู้ครองเบรเมนได้อนุญาตให้คนทั่วไปสามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์บนยอดหอคอยที่สามารถมองเห็นแม่น้ำเวย์เซอร์ที่จะมีเรือมากมายแล่นผ่านระหว่างช่วงเทศกาลได้อย่างชัดเจน
“คิดอะไรอยู่อีกแล้วเจ้าน่ะ? เหตุใดถึงดูใจลอยกว่าปกติ?”
บอลด์วินที่เห็นฟินตันเหม่อลอยอีกครั้งจึงสะกิดที่ไหล่อีกฝ่ายในข้างที่ไม่มีแผล
ซึ่งแม้บอลด์วินจะรู้ว่าแผลที่แขนซ้ายของฟินตันใกล้จะหายสนิทดีแล้วก็ตามที
แต่เขาก็ยังไม่อยากที่จะไปจับโดยสักเท่าไรนัก
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
ฟินตันดึงสติกลับมาตอบพร้อมกับส่ายหน้าไล่ความคิดภายในหัวมากมายให้หลุดออกไป
“หยุดพักเสียหน่อยแล้วกันข้าว่า”
บอลด์วินแอบเป็นห่วงคนข้างกายเขาอยู่พอสมควร
เลยเลือกในจุดที่เป็นทุ่งโล่งใกล้ลำธารเป็นจุดพักผ่อนในยามเกือบเที่ยง
จากการประมาณการแล้ว พวกเขาน่าจะถึงเบรเมนในช่วงเย็นพอดิบพอดี
ยังพอมีเวลาเหลือเฟือที่จะดื่มด่ำกับบรรยากาศเช่นนี้อีกเล็กน้อยให้ผ่อนคลาย
“เจ้าหิวหรือเปล่า?”
ทันทีที่ทั้งสองคนนั่งพักลงที่ก้อนหินก้อนใหญ่ใต้ต้นไม้ที่ร่มรื่น
บอลด์วินก็ถามเจ้าของผมสีน้ำตาลทันที
“ยังหรอก ข้าขอ... ออกไปเดินเล่นตรงลำธารนั่นเสียหน่อยนะ”
ความคิดและความทรงจำมากมายที่ฟินตันนึกถึงมันทำให้เขาอยากที่จะออกไปใช้เวลาอยู่คนเดียวเสียหน่อย
และลำธารใกล้ ๆ
ที่เต็มไปด้วยโขดหินมากมายนี้นี่เองก็น่าจะเป็นที่อันเหมาะแก่การเหม่อลอย
เจ้าชายหนุ่มถอดรองเท้าของตนออกก่อนจะแช่เท้าเปลือยของตนเองลงไปในกระแสน้ำที่ไหลเอื่อย
ๆ เพื่อคลายความเมื่อย
เย็นดีเสียจริง...
สัมผัสที่ได้รับทำให้เจ้าตัวพอจะยิ้มออกมาได้บ้างเล็กน้อย
เลยใช้ฝ่ามือวางลงไปบนผิวน้ำเพื่อให้กระแสของมันได้ไหลผ่านนิ้วทั้งห้าไปด้วย
ความเย็นของน้ำเริ่มทำให้เขาผ่อนคลายลงได้ทีละหน่อย
แม้พลังจิตของฟินตันจะเป็นความสามารถในการสร้างและควบคุมเปลวเพลิงอันร้อนระอุ
แต่เจ้าของพลังนั้นกลับมีความชื่นชอบอะไรที่มีความเย็นเป็นอย่างมาก
และหนึ่งในสิ่งที่โปรดปรานมากที่สุดคือการเล่นน้ำเย็น ๆ
ให้ร่างกายสดชื่นและเต็มไปด้วยความผ่อนผลายในคราเดียวกัน
ถ้าไม่ติดที่ว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะออกเดินทางต่อแล้วนั้น
ฟินตันก็อยากที่จะลงไปนอนแช่น้ำในส่วนของลำธารที่ลึกขึ้นกว่านี้อยู่เหมือนกัน
“เจ้าคิดมากอีกแล้วใช่หรือเปล่า>?”
บอลด์วินที่ไม่รู้ว่าเดินตามเขามาตอนไหนนั่งลงที่ก้อนหินก้อนข้าง ๆ
พร้อมกับถอดรองเท้าเพื่อยื่นเท้าลงมาแช่น้ำด้วย
“รู้ไหมว่าในบางครั้งข้าก็คิดว่าเจ้ารู้จักข้าดีเกินไปหรือเปล่า?”
เจ้าชายหนุ่มยิ้มออกมาพร้อมวักน้ำขึ้นมาใส่ขาตอนตนเองให้ตัวเองสงบลง
“พวกเราสัญญากันแล้วมิใช่หรือยังไงว่าจะเล่าให้กันฟังทุกเรื่องยามที่ไม่สบายใจ?”
บอลด์วินว่าพลางวักน้ำขึ้นมาแรงสูงด้วยพลังจิตของตนเองจนมันกระเซ็นออกมาเป็นละอองฝอยเต็มใบหน้าของเจ้าชายหนุ่มไปหมด
และนั่นทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อยเพราะกะแรงพลาดไปหน่อย
“ก็ใช่ แต่เจ้าอยากจะทำสงครามน้ำกับข้าหรือยังไงกัน?”
ฟินตันว่าแล้วก็วักน้ำในลำธารที่ใสสะอาดนั้นขึ้นมาใส่ขาของบอลด์วินบ้าง
ใจจริงก็อยากจะสาดมันใส่หน้าของคนตรงหน้าอยู่หรอก
แต่เขาไม่มีพลังที่ทำได้เช่นบอลด์วินนี่นา
กว่าจะใช้มือรองขึ้นมาจะสาดใส่อีกฝ่ายได้ก็คงโดยสาดคืนจนตัวเปียกก่อนแน่นอน
“ข- ขอประทานอภัยขอรับ”
บอลด์วินยิ้มแหย ๆ พร้อมกับขอโทษคนตรงหน้าอย่างสุภาพ
“เอาอีกแล้ว เจ้าน่ะ... เห้อ แต่ช่างเถอะ”
ฟินตันเบื่อหนายกับการต้องพูดบอกสหายของตนแล้วว่าคำราชาศัพท์นั้นไม่จำเป็นในการพูดกับเขา
เลยเอนตัวเองไปพิงกับก้อนหินก้อนใหญ่ข้าง ๆ
แต่เขาลืมไปว่ามีแผลที่ไหล่อยู่และการลงน้ำหนักกดทับที่มันก็ทำให้รู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมา
เลยเปลี่ยนเป็นการแค่เอาศีรษะพิงแทน
“ข้าแค่คิดถึงเรื่องราวในตอนที่เคยมาเบรเมนกับท่านแม่และท่านพี่บริจิดน่ะ”
ฟินตันพูดออกมาโดยไม่ให้สัญญาณใด ๆ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“ตอนนั้นปีที่เท่าไหร่?”
ฟินตันยกนิ้วขึ้นมานับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า
เก้าปีก่อนคืนนรกนั่นที่พรากทุกคนสำคัญของเขาไป
ยกเว้นคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ในตอนนี้
“ปี 1793 น่ะ ตอนนั้นข้าอายุแค่เจ็ดขวบเองนะ ตัวเท่านี้ได้ละมัง
ในตอนนั้นน่าจะยังไม่ได้รู้จักกับเจ้าเลยเสียด้วยซ้ำ
มิเช่นนั้นข้าคงชวนเจ้ามาด้วยแล้วเป็นแน่”
ฟินตันเล่าไปพลางทำมือให้ดูไปพลางถึงส่วนสูงของตัวเองในตอนนั้นที่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก
ๆ คนหนึ่ง
“จะว่าไปข้าก็แอบคิดถึงเจ้าหญิงบริ- ไม่สิ ท่านพี่บริจิดเหมือนกัน”
บอลด์วินพยายามใช้คำให้ดูสนิทสนมและธรรมดามากขึ้นกลางคันเพราะไม่อยากให้คนข้าง
ๆ เขาถอนหายใจใส่อีก
บริจิดกับบอลด์วินนั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ประหลาด
เขาไม่กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าสนิทกับเธอหรือแม้แต่จะบอกว่าเป็นคนรู้จัก
ในบางช่วงบริจิดก็ดูเหมือนจะพูดคุยกับเขามาก
แต่ในบางครั้งก็ชอบสังเกตเขาอยู่ห่าง ๆ อย่างไรก็ตาม
ในทุกครั้งที่เขาอยู่กับน้องชายของเธอ
บริจิดจะชอบทำเหมือนกับเวลาเพื่อนร่วมงานของฟินตันคนที่ชื่อนอร่าทำกับฟินตันเลย
ฉะนั้นเลยยังพอนึกถึงบ้างยามได้เห็นการกระทำอันคุ้นชินเช่นนั้น
“อะไรกัน เจ้าแอบชอบท่านพี่ของข้าหรือ?”
ฟินตันยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วใช้ข้อศอกสะกิดอัศวินหนุ่มเป็นการแซว
“เปล่า ข้าไม่บังอาจหรอก”
บอลด์วินตอบหน้านิ่ง เขารู้อยู่แก่ใจว่าคนที่เขาชอบ ไม่สิ
ต้องใช้คำว่าทั้งรักและห่วงใยคือใคร
“โธ่... ไม่สนุกเสียเลย”
ฟินตันเปลี่ยนไปหงายหลังนอนกับก้อนหินก้อนใหญ่ที่นั่งอยู่แทน
และในตอนนั้นเองก็ทำให้เขาได้เห็นว่ามีกลุ่มคนอยู่ด้านหลังพวกเขาไปอีกไม่กี่เมตร
ในมือต่างพากันถือดาบกันเอาไว้ทั้งหมด ชุดสีดำเช่นนี้มัน
เจ้าหน้าที่ของทางการ
“บอลด์วิน...”
ฟินตันพูดเสียงเบาให้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยิน
“หืม? อ๊ะ...”
อัศวินหนุ่มหันหน้ามองตามเสียงของฟินตันก่อนจะเห็นภาพเดียวกัน
เจ้าหน้าที่ทางการสามคนพร้อมดาบในมือ นี่มันอะไรกัน>?
“บุก! จับเป็นเท่านั้น”
หน่วยลาดตระเวนบังเอิญพบฟินตันเข้าระหว่างการตรวจตรารอบเบรเมน
หมวกที่ฟินตันวางทิ้งเอาไว้กับกระเป๋าเป็นเครื่องยืนยันตัวตนอย่างดีให้กับเจ้าหน้าที่ทั้งสามคนให้เข้ามาตรวจสอบดู
เนื่องจากที่เทรว่ามีการแจ้งลักษณะการแต่งกายของพวกเขาที่รวมถึงหมวกใบนั้นที่บอลด์วินมอบให้ฟินตันด้วย
ซึ่งเมื่อเห็นว่าเป้าหมายดูเหมือนจะถูกต้อง
พวกเขาทั้งสามจึงตัดสินใจที่จะเข้ามาตรวจสอบดู
ก่อนจะเห็นช่องว่างในจังหวะที่ทั้งสองเผลอนั่งหันหลังให้กับบริเวณถนนนี้ในการเข้าควบคุมตัว
“ถ้าไม่ให้ฆ่า ข้าก็ขอให้แขนหลุดออกมาห้อยเสียหน่อยเถอะ”
ดาบอันคมกริบฟาดลงมากระแทกกับก้อนหินในจุดที่ฟินตันเคยนอนอยู่เมื่อเสี้ยววินาทีก่อนจนเกิดรอยบิ่นขึ้น
โชคดีที่เจ้าชายหนุ่มตัดสินใจเด้งตัวลุกขึ้นยืนทัน
ทั้งสองนักเดินทางถอยหลังลงไปในลำธารเพื่อให้มีระยะห่างจากคมดาบ
ประกอบกับคำพูดที่น่ากลัวเมื่อครู่ นี่มันอันตรายเสียจริง
วิ้ง!
จู่ ๆ
ก็เกิดเสียงอันแสบแก้วหูดังขึ้นกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณทุ่งหญ้าโล่ง
แต่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่สองคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าของกลุ่มเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจนต้องยกมือขึ้นมาปิดหูด้วยความทรมาน
นี่อะไรกัน? มันคือพลังจิตหรือเวทมนตร์กัน?
ฟินตันพยายามมองหาจุดกำเนิดของเสียงให้ดี
ก่อนจะเห็นว่าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมีดาบอยู่สองเล่มในมืออันเป็นสิ่งที่ผิดปกติ
เพราะหาได้ยากที่คนเราจะสามารถใช้ดาบได้ด้วยมือทั้งสองข้างอย่างถนัด
ข้อสงสัยนี้ถูกเสริมขึ้นด้วยการที่เขาคนนั้นกำลังทำการเคาะและเสียดสีคมดาบมันเข้าด้วยกันจนเกิดเสียงที่ไม่เสนาะหูนี้ออกมา
เพียงแต่มันไม่ควรจะดังมากขนาดนี้ไม่ใช่หรือยังไงกัน?
“ฟินตัน นั่นคือพลัง Wave Conductor”
บอลด์วินพยายามพูดบอกให้ฟินตันได้ยินก่อนจะส่งกระแสลมแรงกระแทกกลับไปทางเจ้าหน้าที่ทั้งสาม
ซึ่งก็ถูกการรบกวนในการคำนวนและเพ่งสมาธิจากเสียงน่ารำคาญนี้จนทำให้ได้ความแรงที่ไม่มากเท่าที่คิด
แต่อย่างน้อยก็ทำให้เจ้าหน้าที่ทางการลอยกระเด็นไถลไปบนพื้นแข็งด้านหลังและหยุดเสียงแหลมนี้ลงได้
Wave Conductor เป็นความสามารถในการควบคุมคลื่นทุกรูปแบบ
ทั้งคลื่นแสง คลื่นเสียง และคลื่นน้ำ
ในที่นี้เจ้าหน้าที่คนนั้นใช้ความสามารถของตนเองในการขยายความดังของคลื่นเสียงที่เกิดจากการกระทบกันของดาบให้ดังมากขึ้นจนได้ออกมาเป็นเสียงแหลมดังอันแสบแก้วหูและกำหนดให้มีทิศทางไปทางกลุ่มของฟินตัน
ทำให้ผู้ที่ได้ยินไร้ซึ่งสมาธิในการควบคุมใช้งานพลังจิตของตน
เมื่อเสียงเงียบลง
ฟินตันก็รีบสร้างลูกไฟขึ้นภายในมือทั้งสองข้างแล้วเขวี้ยงมันไปทางกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ยังนอนอยู่บนพื้นจากแรงกระแทกด้วยความเร็วสูง
ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีคำว่าพลาดเป้าหมายจากการฝึกซ้อมมาหลายปี
เจ้าหน้าที่ที่โดนลูกไฟกระแทกใส่ต่างร้องออกมาพร้อมดิ้นทุรนทุรายด้วยความร้อนของมันที่แผดเผาจนไหม้
“มันยังไม่จบเพียงเท่านี้หรอกนะ”
แต่แล้วเจ้าหน้าที่ที่มีพลัง >Wave Conductor
กลับกลิ้งหลบออกมาด้านข้างได้
เขาปรบมือหนึ่งครั้งแล้วใช้พลังในการขยายแรงกระแทกของอากาศจากมือทั้งสองข้างให้กลายเป็นคลื่นกระแทกแบบเดียวกับที่บอลด์วินสร้างไปก่อนหน้า
และมันกำลังมุ่งหน้ามาที่พวกเขาด้วยความเร็วสูง
“ฟินตัน เกาะข้าไว้ให้แน่น”
บอลด์วินพุ่งเข้ามายืนซ้อนด้านหน้าของฟินตันแล้วก็กอดเขาเอาไว้
แม้จะตกใจแต่ก็ไม่มีเวลาให้สงสัยอะไรมาก
เพราะเสี้ยววินาทีก่อนที่คลื่นกระแทกจะมาถึงตัวของเจ้าชายหนุ่ม
บอลด์วินก็ได้ใช้พลังของตนเองพร้อมแรงผลักตัวของเขาและฟินตันให้พุ่งลอยขึ้นจากพื้นเบื้องล่าง
ฟินตันเลยจำเป็นต้องเกาะคนตรงหน้าเอาไว้ทันทีเพื่อไม่ให้ตกลงไปสู่พื้นดินตามแรงโน้มถ่วง
แต่มันช้าเกินไป
พวกเขาโดนส่วนขอบของแรงกระแทกที่แม้จะไม่แรงเท่าส่วนหลัก
แต่ก็ทำให้เสียการควบคุมองศาและมุมในการพุ่งขึ้นไปบนอากาศจนตกลงมาบนพื้นที่ห่างจากจุดที่คนเป็นอัศวินตั้งใจเอาไว้
และนั่นทำให้ขาของบอลด์วินครูดไปกับรากของต้นไม้ข้างลำธารจนเกิดแผลยาวขึ้น
ส่วนฟินตันนั้นถูกบอลด์วินกอดไว้แน่นจึงไม่ได้มีแผลอะไรมาก
แค่รอยถลอกหน่อย ๆ เพียงแค่นั้น
ไม่ทันที่จะได้สอบถามถึงการบาดเจ็บของกันและกัน
มีดสั้นก็พุ่งแหวกอากาศมาเกือบเฉี่ยวเฉือนเอาเนื้อใบหูของฟินตันไป
โชคอันดีที่มันปักเข้ากับต้นไม้ด้านหลังโดยไม่สร้างแผลให้กับเจ้าชายหนุ่มเลย
เมื่อมองไปตามที่มาของมีดเล่มนั้น
เจ้าหน้าที่คนนั้นก็กำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
พร้อมดาบคู่ในมือ
ฟินตันลุกขึ้นยืนพร้อมกับเริ่มสร้างเปลวเพลิงขึ้นในมือทั้งสองข้าง
เจ้าชายหนุ่มมองคนตรงหน้าที่กำลังจะกระทบดาบเข้าหากันอย่างเฉียบคมก่อนจะชกมือออกไปด้านหน้าเพื่อส่งเปลวเพลิงร้อนไปเผาไหม้ศัตรูซะ
ชิ้ง!
แต่แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เปลวไฟของฟินตันถูกผลักออกด้วยแรงของกระแสอากาศ
เจ้าหน้าที่คนนั้นเลือกที่จะขยายแรงกระแทกที่น้อยนิดระหว่างดาบสองเล่มนั้นแทนการขยายความดังของคลื่นเสียงเพื่อสร้างแสงแสบแก้วหู
“อึก บ้าเอ๊ย”
ฟินตันสบถก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสที่หัวไหล่ด้านขวา
เมื่อเขาหันไปก็พบบอลด์วินที่พยุงตัวเองลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาอาศัยตัวของเขาเป็นหลักในการช่วยพยุงไม่ให้ล้มลงไป
“ให้ข้าช่วยเจ้าดีกว่า”
บอลด์วินใช้มือข้างขวายกขึ้นแล้วปล่อยกระแสอากาศก้อนใหญ่ออกไปสู้จนทำให้เจ้าหน้าที่คนนั้นเสียดาบไปกับกระแสลม
ฟินตันจึงได้อาศัยจังหวะนี้ในการสร้างลูกไฟพุ่งเข้าไปโจมตีในทันที
ซูม!
“อ๊ากกก”
ชิ้ง
ฉึก
ฟินตันวิ่งตรงเข้าไปโดยไม่เกรงกลัวก่อนที่จะชักดาบคู่ใจออกมาจากฝักแล้วบาดเข้าที่คอของอีกฝ่าย
ของเหลวสีแดงไหลเจิ่งนองไปทั่วบริเวณ
เป็นครั้งแรกเลยที่ดาบเล่มนี้ปลิดชีพคน
“อึก...”
ฟินตันค่อย ๆ ย่อตัวพาให้บอลด์วินนั่งลงอย่างช้า ๆ
เพื่อสำรวจดูแผลของอีกฝ่ายที่บริเวณขา
“เลือดมัน... ข้า... ใช่ ต้องล้างแผลก่อน”
ฟินตันลนลานไปหมดเหมือนเห็นของเหลวสีแดงที่มากพอสมควรไหลออกจากจากขาของคนตรงหน้า
จนทำให้กางเกงบริเวณนั้นกลายเป็นสีเข้มน่ากลัว
ก่อนจะตั้งสติได้ว่าเขาต้องทำความสะอาดแผลเสียก่อน
น้ำในลำธารนี้ใสมาก คงจะพอใช้ได้
“ฟินตัน ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นอะไร”
บอลด์วินพูดพลางยกมือขึ้นไปวางบนกลุ่มผมสีน้ำตาลแล้วออกแรงลูบเบา ๆ
ฟินตันหลับตาลงข้างนึงจากสัมผัสดังกล่าว
แล้วจึงรีบลุกขึ้นไปหยิบกระบอกใส่น้ำจากกระเป๋าสัมภาระของพวกเขาที่วางไว้ใต้ต้นไม้มาตักน้ำในลำธารโดยไม่สนใจร่างที่กำลังเผาไหม้อยู่ใกล้
ๆ เลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้น้ำมาจนเต็มกระบอกน้ำแล้วเจ้าชายหนุ่มก็เดินกลับมานั่งลงข้าง
ๆ
สหายของเขาที่นั่งมองดูอยู่อย่างเหมือนว่าแผลยาวจากหัวเข่าจนถึงข้อเท้านี้เป็นแค่การถูกแมลงกัดเพียงเท่านั้น
เขามองดูฟินตันที่จู่ ๆ
ก็หยุดการกำลังจะเทน้ำมาล้างแผลของเขาแล้วทำการเพ่งมองไปที่กระติกน้ำ
ไม่นานจากนั้นไอน้ำร้อนก็ลอยขึ้นมาจากกระบอกน้ำด้วยความร้อนจากพลัง
Pyrokinesis ที่ต้มน้ำจนเดือด
“เจ้าทนก่อนได้หรือเปล่า?
ข้ากลัวว่าน้ำจะไม่สะอาดขนาดนั้นเลยอยากที่จะต้มมันด้วยพลังของข้า
แล้วต้องรอมันหายร้อนเสียก่อน”
เจ้าชายผู้มีพลังควบคุมไฟยังคงไม่หายลนลาน
ส่วนคนที่ได้แผลนั้นดูสงบนิ่งเสียจริง
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่เป็นอะไรร้ายแรง มานี่มา”
บอลด์วินเขยิบตัวไปนั่งข้างกับผู้ควบคุมเปลวเพลิงแล้วบีบที่ไหล่ของเขาเบา
ๆ เป็นการปลอบประโลมความกังวล
พอฟินตันเป็นห่วงเขาเช่นนี้แล้วรู้สึกทำให้หายเจ็บที่แผลได้อย่างประหลาดเลย
“เพราะข้าแท้ ๆ เลยเจ้าถึงต้องเจ็บตัวเช่นนี้”
ฟินตันมองที่ขาข้างซ้ายของบอลด์วินที่ยังคงมีเลือดซึมออกมาเรื่อย ๆ
อยู่
“อย่าโทษตัวเองไปเลย ข้าทำไปก็เพื่อปกป้องเจ้านะ”
ฝ่ามือที่บีบ ๆ
อยู่ที่ไหล่ของฟินตันเปลี่ยนขยับขึ้นไปลูบหัวอีกฝ่ายแทน
น่าแปลกเสียจริงที่เจ้าตัวไม่ขยับออกหรือบอกให้เขาหยุดแบบทุกทีที่ผ่านมา
“ก็นั่นยังไงเล่า มันเป็นเพราะข้านี่ไงที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้”
ฟินตันมองบอลด์วินขณะพูดด้วยตาข้างซ้ายเพียงข้างเดียว
เพราะตาด้านขวาของเขาหลับลงอัตโนมัติในตอนที่ฝ่ามือของบอลด์วินลูบอยู่ที่ขมับด้านขวาแบบนี้
ช่างน่ารักเสียจริง
มันเป็นเวลานานมากแล้วที่สายตาของบอลด์วินมองภาพคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่มากกว่าคนเป็นสหายกันทั่วไปอยากจะมีให้กัน
เขามองว่าฟินตันนั้นน่าเอ็นดูไปหมดในทุกการกระทำแม้ในขณะที่บ่นเขาในเรื่องต่าง
ๆ มากมายที่เขาทำ
โดยเฉพาะการเย้าแหย่เล่นและการใช้คำราชาศัพท์ที่อีกฝ่ายไม่ชอบในการสนทนาด้วย
ก็แหม
การหลงรักผู้เป็นถึงเจ้าชายของอาณาจักรนี่มันก็เกินระดับชนชั้นทางสังคมมากโขอยู่
การมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันและได้รู้จักกันจนสนิทสนมนี้เป็นโอกาสที่น่าจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วในอีกหลายสิบชาติที่จะมาถึง
ในทีแรกเขาไม่บังอาจสนทนากับอีกฝ่ายด้วยคำสามัญได้หรอก
แม้จะได้รับอนุญาตแล้วก็ตามทีว่าให้ใช้ได้
แต่เพราะด้วยการเข้าถึงง่ายของเจ้าตัว บอลด์วินจึงค่อย ๆ
เริ่มคุ้นเคยกับเจ้าชายคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ในแต่ละวันที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหกปีครึ่งหลังมานี้ที่แทบจะครึ่งวันในทุก
ๆ วันที่เขาได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่เขาแอบมีความรู้สึกดี ๆ ด้วย
แต่ก็เพราะจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อหกปีครึ่งที่แล้วนี้เองที่ก็ทำให้เขาต้องหยุดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ภายในและแสดงมันออกมาให้น้อยลง
เขาอยากจะดูแลเจ้าชายผู้โชคร้ายคนนี้ให้พร้อมรับมือกับทุกอย่างเสียก่อนตามคำสั่งเสียของท่านพ่อของเขา
แต่กระนั้นความรักที่บอลด์วินมีมันก็ได้แฝงออกมาผ่านการกระทำต่ออีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวอยู่ดี
ก็... เขาอยากให้ฟินตันเป็นคนผู้โชคดีที่ได้มีเขาอยู่ข้าง ๆ นี่นา
“น้ำหายร้อนแล้ว เจ้าอดทนหน่อยนะ”
ฟินตันสะกิดบอลด์วินที่เหม่อลอยคิดเรื่องอะไรนิดหน่อยไปไกลให้กลับมาสู่การเป็นปัจจุบันที่กำลังจะได้รับการทำแผล
“ได้เลย”
น้ำอุ่นถูกเทลงบนขาของอัศวินหนุ่มช้า ๆ
เพื่อชำระล้างเศษความสกปรกออกไป
ก่อนจะตามมาด้วยผ้าสะอาดที่ได้เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าในกล่องอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่ถูกเช็ดให้ขาของเขาแห้ง
แล้วทาโอสถที่ช่วยในการรักษาแผลลงไปอย่างเบามือ
“เจ็บหรือเปล่า?”
ฟินตันเงยหน้าขึ้นมาถามก่อนที่จะทำการพันผ้าพันแผลให้กับเขา
“ไม่เลย มือเจ้าเบากว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก”
ฟินตันค่อยบรรจงพันผ้าพันแผลไปเรื่อย ๆ
และไม่ลืมที่จะหยิบถุงใส่คริสตัลสีเขียวออกมาโรยใช้งานด้วย
ถ้าไม่รีบหายดีแล้วล่ะก็
คงจะเป็นอุปสรรคที่ทำให้การเดินทางยากลำบากขึ้นแน่เลยทีเดียวกับแผลเช่นนี้
“คราวหลังก็อย่าสละตัวเองมากขนาดนั้นก็แล้วกัน
เจ้าก็มีชีวิตของเจ้านะรู้หรือเปล่า?”
ฟินตันว่าพลางปาดเหงื่อจากหน้าผากของตนไปพลาง
ตัวเขาเองน่ะไม่อยากให้ใครต้องมาเสี่ยงตัวเองเพื่อเขาอีกแล้ว
นับแต่คืนบ้านั่นที่ทำให้เขาสูญเสียคนมากมายไปเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ
อย่างมากก็แค่ช่วยสนับสนุนเขาในการต่อสู้ก็มากเพียงพอแล้ว
“แต่ข้าเต็มใจ”
คำตอบของบอลด์วินทำให้มือของฟินตันที่กำลังพันผ้าพันแผลอีกชั้นอยู่หยุดชะงักลง
เขามองไปที่ใบหน้าคมตรงหน้าทันที
“เจ้าทำดีกับข้ามามากตลอดที่ผ่านมา ข้าไม่รู้จะตอบแทนเจ้าอย่างไรดี
เพราะอย่างนั้น...
ได้โปรดอย่ายอมที่จะต้องเจ็บเพราะข้าเป็นต้นเหตุอีกจะได้หรือเปล่า?”
ฟินตันพูดจบก็เม้มปากหน่อย ๆ แล้วจึงก้มลงไปพันผ้าพันแผลต่อจนเสร็จ
เพราะเป็นห่วงความเป็นอยู่ของบอลด์วินหรอกนะถึงได้พูดเช่นนั้นออกไป
เพราะทุกทีที่พูดอะไรทำนองนี้ออกไปก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยทำตามที่บอกเสียเท่าไรนัก
เต็มใจทำแต่ทำให้เขาใจหายเสียทุกทีที่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้น่ะ
เขาไม่ต้องการหรอก
“เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไหนเจ้าลองยืนขึ้นหน่อ- เหวอ”
จู่ ๆ ฟินตันก็โดนบอลด์วินดึงเข้าไปกอดโดยไม่ทันตั้งตัว
วิธีการขอบคุณนี้มันช่างแปลกเสียจริง
บรรยากาศออกจะร้อนจะตายยังจะมาทำเช่นนี้อีก
“ขอบคุณเจ้ามากเลยนะ ที่จริงแม้จะต้องยอมตายเพื่อเจ้าข้าก็ทำได้
แต่ข้าจะพยายามนะที่จะไม่เจ็บตัวเพิ่มในตอนที่ปกป้องเจ้า”
คำพูดที่กระซิบให้ฟินตันได้ยินมันทำให้ก้อนเนื้อภายในอกของเขาบีบตัวแรงแปลก
ๆ จนรู้สึกปวดตุบ ๆ ผสมอาการหวิวอยู่ข้างใน ความรู้สึกแปลก ๆ
เช่นนี้มันคืออะไรกัน? มันไม่คุ้นเคยเสียเลย
“ไม่เอา เจ้าห้ามตายเด็ดขาด”
ฟินตันตอบเสียงอู้อี้เพราะโดนกอดไว้แน่น
“ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า ลุกขึ้นแล้วไปที่เบรเมนกันต่อเสียเถอะ”
บอลด์วินคลายอ้อมกอดแล้วยิ้มให้กับคนตัวเล็กกว่าข้าง ๆ
ใบหน้าบึ้งในตอนนี้ดูน่ารักจนเขาอดที่จะยกมือขึ้นมาลูบหัวอีกฝ่ายไม่ได้
“เจ้าเป็นอะไรของเจ้ากันวันนี้ ทำไมถึงทำอะไรแปลก ๆ กับข้า
ทั้งกอดทั้งอะไร?”
อยากจะตอบว่ารักออกไป
แต่บอลด์วินเลือกที่จะยิ้มกว้างแล้วพูดคำอื่นออกไปแทน
“ไม่ใช่แค่ข้าที่ทำอะไรมากมายให้เจ้า
เจ้าก็ทำอะไรมากมายให้ข้าเช่นกัน”
“...”
“ขอบคุณเจ้ามากเลยนะ ฟินตัน”
รอยยิ้มกว้างของบอลด์วินที่ไม่ค่อยได้เห็นกว้างขนาดนี้มานานแล้วทำให้ฟินตันยิ้มอ่อน
ๆ ออกมาพร้อมการถอนหายใจ
สหายคนนี้ไม่เคยทำให้เขาต้องผิดหวังเลยจริง ๆ แม้แต่ครั้งเดียว
และแม้ในเขตนอกเมืองที่งดงามเช่นนี้
ก็ไม่อาจทำให้อัศวินหนุ่มตกหลุมรักได้เท่ากับคนตัวเล็กตรงหน้าเลย
ตัวเล็กที่เท่ากับ 176 เซนติเมตรน่ะนะ
แต่ไม่สำคัญหรอก ขอเป็นคนที่ชื่อฟินตัน
บอลด์วินก็พร้อมที่จะสละแม้ชีวิตของเขาอย่างที่พูดเพื่อให้คนชื่อดังกล่าวได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
แบบเดียวกับที่พ่อของเขายอมทำเมื่อหกปีครึ่งที่ผ่านมา