หากจะถามว่าเหตุใดบุตรชายของหัวหน้าอัศวินของอาณาจักรถึงได้รู้จักและสนิทใกล้ชิดกับเจ้าชายลำดับที่สองของอาณาจักรได้?
นั่นก็คงเป็นเพราะเหตุการณ์ในวันหนึ่งที่เป็นครั้งแรกของบอลด์วินในการได้เข้ามาเดินในพื้นที่ชั้นในของพระราชวังในแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อน
ตัวเขาจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งพ่อและแม่ของเขาต่างบังคับให้เขาต้องใช้ชุดที่ดูเรียบร้อยถึงเพียงนี้
“บอลด์วิน เจ้าต้องทำตัวให้นิ่งที่สุด
อย่าวิ่งไปไหนมาไหนเด็ดขาดเลยนะ”
ผู้เป็นพ่อที่อยู่ในชุดเครื่องแบบอัศวินองครักษ์สีดำเต็มยศบอกกับผู้เป็นลูกในตอนที่กำลังจะก้าวเข้าไปในเขตชั้นในของพระราชวังใจกลางกรุงมอนทารา
“ขอรับท่านพ่อ”
บอลด์วินในวัยสิบสามปี อายุปีแรกที่มีคำว่าเซนน์ห้อยท้ายตามหลัง
บ่งบอกถึงการก้าวสู่การเป็นวัยรุ่น
วัยที่เริ่มโตขึ้นมากพอที่จะพูดเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับอย่างเต็มที่
และแน่นอนว่าการเป็นถึงบุตรชายของหัวหน้าองครักษ์ของอาณาจักรแล้ว
สำหรับบอลด์วินกับการเพียงแค่อยู่นิ่ง ๆ
และไม่ขยับวอกแวกนั้นถือว่าสบายมากเลย
เขาเลียนแบบผู้เป็นพ่อมาตั้งแต่ยังเล็กน่ะ
ประตูไม้บานใหญ่ที่สูงพอ ๆ
กับคนห้าคนต่อตัวกันถูกเปิดออกเพื่อให้สองพ่อลูกเดินเข้าไปด้านใน
ที่ด้านข้างของประตูมีทหารยืนเฝ้าประจำการอยู่สามคน
สองข้างทางเดินจากประตูหลักที่ปูด้วยแผ่นหินเป็นสวนที่สวยงามนั้นมีสนามหญ้ากว้างกับพุ่มไม้เตี้ยที่ถูกปลูกและตัดแต่งเป็นรูปร่างต่าง
ๆ ราวกับเขาวงกตขนาดเล็ก
รวมถึงบ่อน้ำขนาดย่อมที่สร้างความร่มรื่นให้แก่บริเวณด้านหน้าของพระราชวังชั้นในเป็นอย่างมาก
ในตอนระหว่างที่เดินเข้ามาด้านในเขตชั้นในของพระราชวัง
ซึ่งเป็นเขตที่คนทั่วไปไม่อาจได้ย่างกรายเข้ามาโดยง่าย
บอลด์วินต่างเพลิดเพลินไปกับการมองลวดลายอันวิจิตรของผืนพรมที่เขาเดินผ่าน
รวมกันวงกลบของประตูและหน้าต่างทุกบานที่ต่างถูกบรรจงทำขึ้นมาให้แสดงถึงความหรูหรางดงาม
และแฝงไปด้วยการประกาศอำนาจการปกครองของผู้เป็นเจ้าของ
เผลอมองจนสำราญสายตาได้ไม่นาน
สองพ่อลูกก็เข้ามาถึงบริเวณพื้นที่สวนใจกลางพระราชวังชั้นใน
ตรงนี้มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าผสมกับต้นไม้และพุ่มไม้
โอบล้อมด้วยอาคารที่เป็นตำหนักทรงงานของกษัตริย์และข้าราชบริพานในพระราชวัง
มีคนวัยไล่เลี่ยกับผู้เป็นหัวหน้าอัศวินนั่งรออยู่ก่อนแล้วที่บริเวณศาลาขนาดเล็กใต้ร่มเงาของต้นสนใหญ่
“ถวายบังคมขอรับท่านวูลแฟรม”
กันเธอร์คุกเข่าลงทำความเคารพตรงหน้าของผู้เป็นพระราชาแห่งอาณาจักร
ด้วยสัญชาตญาณของบอลด์วิน เขาก็กระทำตามผู้เป็นพ่อทันทีโดยไม่ต้องบอก
“นั่นน่ะหรือ ลูกชายของเจ้า?”
ผู้เป็นกษัตริย์เอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นคนที่ตลอดมาจะเข้าเฝ้าเขาคนเดียวในยามนี้ของแต่ละวันเพื่อรายงานข่าวสารกลับมีคนติดตามมาด้วยในวันนี้
“ขอรับ นี่คือบอลด์วิน ไอเซินฮาร์ท บุตรชายของกระหม่อม
ขอบพระทัยพระองค์เป็นอย่างสูงขอรับที่ทรงอนุญาตให้กระหม่อมพาบุตรชายมาด้วยได้ในวันนี้”
กันเธอร์ทำการแนะนำลูกชายของตนเองให้กับผู้เป็นกษัตริย์ได้รู้จัก
ฝั่งบอลด์วินเองก็ก้มหัวลงทันทีเป็นการแสดงความเคารพคนตรงหน้า
เมื่ออาทิตย์ก่อนหน้า กันเธอร์ได้ขอร้องในการนำบอลด์วินมา ณ
พระราชวังด้วยเป็นกรณีพิเศษ
เนื่องจากภรรยาของเขาจะต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการตรวจตามหมายนัดกับหมอ
และเนื่องด้วยเป็นช่วงที่ไข้หวัดแพร่ระบาดในหมู่เด็กและผู้ที่อ่อนแอ
ทำให้เธอไม่อยากที่จะพาบอลด์วินไปด้วยเสียเท่าไรนัก
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ไว้ใจพอที่จะให้รออยู่ที่บ้านเพียงลำพัง
จนสุดท้ายเลยได้ติดตามห้อยท้ายผู้เป็นพ่อมาด้วยเมื่อพระราชาของอาณาจักรทรงอนุญาตอย่างง่ายดาย
“เรียบร้อยดีเสียจริงนะลูกชายของเจ้าน่ะ”
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้วางเอกสารในมือลงแล้วกล่าวด้วยความอารมณ์ดี
ถ้าเทียบกับลูกชายคนที่สองของตนแล้วล่ะก็
ลูกชายของหัวหน้าองครักษ์ผู้นี้ช่างรู้จักการประพฤติตัวให้เหมาะสมได้ดีตั้งแต่อายุเพียงนี้เสียจริง
“ท่านฟินตัน!”
ว่าแล้วชื่อของคนที่อยู่ในความคิดก็โผล่มาพอดี
วูลแฟรมหันไปมองเสียงเอะอะจากแม่บ้านของพระราชวังที่วิ่งตะโกนตามคนตัวเล็ก
ๆ ที่กำลังวิ่งมาทางนี้อยู่ก่อนจะพบว่าเป็นลูกชายของตนจริง ๆ ด้วย
“คุณกันเธอร์ ผมเบื่อแล้ว ขอผมออกไปเล่น อ๊ะ- ไม่สิ
ทำงานกับคุณได้หรือเปล่าครับ?”
แม่บ้านหยุดวิ่งตามเมื่อเห็นว่าเจ้าชายลำดับที่สองของอาณาจักรวิ่งเข้าไปใกล้ผู้เป็นพ่อ
แต่อีกใจนึงเธอก็อยากจะตามเข้าไปเรียกออกมา
เพราะเห็นว่ามีคนกำลังเข้าเฝ้าพระราชาวูลแฟรมอยู่
ส่วนฟินตันนั้นหยุดวิ่งลงทันทีที่เห็นคนคุ้นเคยอย่างกันเธอร์
แล้วจึงทักทายด้วยความสุภาพจนผู้ที่คุกเข่าอยู่ต้องหนักใจ
“วันนี้กระหม่อมไม่ได้ออกไปตรวจตราแบบวันนั้นขอรับท่านฟินตัน
แต่เวลานี้พระองค์ควรจะเรียนหนังสืออยู่ในพระตำหนักมิใช่หรือขอรับ”
กันเธอร์ยิ้มตอบพร้อมพูดกับเจ้าชายตัวเล็กด้วยความเอ็นดู
“ฟินตัน เจ้าออกมาตรงนี้ทำไมกัน?”
เสียงของผู้เป็นพ่อของฟินตันเรียกความสนใจทั้งจากเจ้าชายและผู้เป็นองครักษ์ให้หันไปมอง
ใบหน้าของวูลแฟรมแสดงความไม่พอใจเล็กน้อยออกมา
แต่ภายในใจก็ชินชาไปแล้วกับพฤติกรรมนี้
“ก็มันน่าเบื่อนี่นาท่านพ่อ
วันนั้นที่ข้าไปขี่ม้ากับคุณกันเธอร์มันสนุกกว่าตั้งเยอะ”
ฟินตันพูดพลางนึกถึงตอนนั้นที่เขาได้ขึ้นไปขี่ม้าตัวใหญ่ไปพลาง
ก่อนจะหันไปเจอคนที่ไม่รู้จักที่อยู่ข้าง ๆ กันเธอร์
“แล้วคนนี้ใครเหรอครับ?”
ฟินตันถามกันเธอร์แล้วผายมือไปทางคนในชุดสีน้ำเงินเข้มที่คุกเข่าอยู่
“นี่-”
“กระหม่อมเป็นบุตรชายของท่านพ่อกันเธอร์ ชื่อว่าบอลด์วิน ไอเซินฮาร์ท
ขอรับ”
บอลด์วินชิงพูดตอบเจ้าชายตรงหน้าก่อนผู้เป็นพ่อ และยังก้มหัวหน่อย ๆ
เป็นการทำความเคารพคนที่ถามว่าเขาคือใคร
“บอลด์วิน... สวัสดี ข้าชื่อฟินตันนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของผู้เป็นเจ้าชาย
ซึ่งมันส่องสว่างราวกับแสงอาทิตย์บนท้องฟ้า
และชวนให้เจ้าของชื่อพลอยยิ้มตามไปด้วย
“กันเธอร์ จะเป็นอะไรหรือเปล่าถ้าข้าจะขอยืมตัวลูกชายเจ้าเสียหน่อย?”
ในตอนนั้นเองวูลแฟรมก็พูดเสียงเบากับหัวหน้าองครักษ์ของอาณาจักร จู่
ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงความเข้ากันได้แปลก ๆ
ในตัวของลูกชายของตนกับเด็กที่พึ่งได้รู้จักในวันนี้ที่เป็นลูกชายของคนที่เขาไว้ใจ
“ถ้าเป็นคำขอจากพระองค์ กระหม่อมไม่มีปัญหาใด ๆ ขอรับ”
เหตุใดเขาจะกล้าไปขัดคำขอจากผู้เป็นกษัตริย์กันเล่า
แม้ว่าตัวเขากับกษัตริย์วูลแฟรมจะรู้จักกันมามากกว่ายี่สิบปีแล้วก็ตามที
เมื่อได้ยินดังนั้น วูลแฟรมก็พยักหน้าแล้วจึงหันไปพูดกับบอลด์วิน
“บอลด์วิน ข้าขอวานเจ้าหน่อยได้หรือเปล่า?”
บอลด์วินพอได้ยินชื่อของตนจากปากของผู้เป็นกษัตริย์แล้วก็ตั้งใจฟังและทำหลังตรงทันที
จนผู้เป็นพ่อและผู้ปกครองอาณาจักรหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ได้เสมอขอรับ”
“ดี… ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยพาลูกชายของข้า ฟินตัน
กลับไปที่ห้องหนังสือที่ชั้นสามของฟากตึกทางนั้นเสียหน่อยได้หรือเปล่า?”
วูลแฟรมพูดแล้วผายมือไปทางปีกอาคารด้านหลังตนเองที่เป็นที่ตั้งของห้องหนังสือของพระราชวังชั้นใน
ที่ ๆ ฟินตันควรจะเรียนหนังสืออยู่ในช่วงเวลานี้ของวัน
“รับทราบขอรับ”
บอลด์วินก้มหัวพร้อมพูดตอบรับ
แล้วจึงหันไปทางเจ้าชายที่มีผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลคล้ายกับไม้ต้นสปรูซอันชวนดึงดูดสายตาให้มอง
ที่ตอนนี้ยังคงยืนมองเขาอยู่ด้วยความสนใจ
ก่อนจะตัดสินลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“โห... เจ้าสูงกว่าข้าเสียอีก”
ฟินตันเงยหน้าหน่อย ๆ มองคนตรงหน้าที่ลุกขึ้นยืน
พร้อมกับเอื้อมมือไปเทียบดูความสูงของตนกับคนตรงหน้าที่พึ่งรู้จักกัน
“ท่านฟินตันขอรับ พวกเรากลับไปที่ห้องหนังสือกันดีไหมขอรับ?”
บอลด์วินยังคงไม่ค่อยชินเท่าไหร่นักกับการได้ใกล้ชิดกับคนภายในราชวงศ์ขนาดนี้
ทำให้เขานั้นยืนเสียตัวตรงเลย
ในสายตาของทั้งวูลแฟรมและกันเธอร์เองก็เหมือนกับว่าพวกเขาได้เห็นตัวเองเมื่อยี่สิบปีก่อนยังไงอย่างนั้น
“ข้าว่ามันน่าเบื่อ นี่ เจ้าช่วยพาข้าออกไปข้างนอกพระราชวังได้ห-”
ไม่ทันที่ฟินตันจะได้พูดคำขอของตนให้คนตัวสูงกว่าฟัง
เขาก็โดนผู้เป็นพ่อขัดเสียก่อน
“ฟินตัน...”
เสียงที่น่ากลัวหน่อย ๆ
นั้นทำให้เจ้าของชื่อถอนหายใจแล้วยอมหยุดพูดสิ่งที่หวัง
“ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปอยู่ในห้องหนังสือด้วยดีหรือเปล่าขอรับ
เผื่อว่ากระหม่อมจะช่วยให้พระองค์เบื่อน้อยลงได้”
บอลด์วินพยายามคิดหาวิธีหลอกล่อให้คนตรงหน้ากลับไปเรียนต่อจนได้มาเป็นคำพูดดังกล่าว
เขาคิดว่าดีเสียอีกที่จะได้ลองสัมผัสการเรียนของคนในราชวงศ์ดู
เขาสงสัยเหลือเกินว่าการเรียนการสอนจะแตกต่างจากที่โรงเรียนของเขามากเพียงใด?
“ก็ได้...”
“เจ้าว่าเหมือนเจ้ากับข้าเมื่อก่อนหรือเปล่า? 555”
เมื่อฟินตันและบอลด์วินเดินออกไปจากบริเวณสวนโดยมีแม่บ้านของพระราชวังเดินตามหลังไปด้วยแล้ว
วูลแฟรมก็เอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะด้วยความรู้สึกเก่า ๆ
ที่ผุดขึ้นมาอีกครั้งในการได้เห็นภาพคุ้นชินนั้น
“กระหม่อมมองว่าพระองค์ทรงนิ่งกว่าท่านฟินตันนะขอรับ
ตอนที่พวกเราพบกันครั้งแรก”
วูลแฟรมกับกันเธอร์รู้จักกันผ่านสงครามระหว่างมอนทาราและแฟแลนเดรียที่เริ่มขึ้นเมื่อกว่าครึ่งศตวรรษที่แล้ว
และสิ้นสุดลงในตอนที่วูลแฟรมมีอายุได้ยี่สิบสี่ปีพอดิบพอดี
ในตอนที่เขามีอายุได้ยี่สิบปีและต้องนำทัพเสริมไปช่วยท่านพ่อของเขาที่อยู่ในแนวหน้าของการสู้รบนั้น
เขาได้รู้จักกับองครักษ์ใหม่ของราชวงศ์ที่ชื่อกันเธอร์ที่ถูกส่งมาร่วมอารักขาเขาในการนำทัพจากท่านพ่อโดยเฉพาะ
และสุดท้ายไม่รู้เป็นไปมาอย่างไร
ทั้งคู่ได้สนิทสนมกันราวกับเป็นเพื่อนสนิท
กันเธอร์คอยเป็นทั้งคนที่คุ้มกันเขาและราชวงศ์หลังสงครามจบ
และได้กลายมาเป็นคนที่เขาไว้ใจมากคนหนึ่งในเขตพระราชวัง
แม้แต่กระทั่งตอนที่กันเธอร์จะแต่งงานก็ยังมาขอคำปรึกษาจากเขา
และในตอนที่ลูกชายคนแรกของวูลแฟรมอย่างอัลดริชเกิด
กันเธอร์ก็เป็นที่ปรึกษาในการเลี้ยงอัลดริชรวมถึงบุตรและธิดาองค์ต่อ
ๆ มาตลอด
การทำหน้าที่ที่ดีเยี่ยมรวมกับการจงรักภักดีและร่วมผ่านสมรภูมิในช่วงสงครามมากับวูลแฟรมนี้นี่เองยังทำให้กันเธอร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าองครักษ์เมื่อสิบปีก่อน
อีกทั้งเขายังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่วูลแฟรมอนุญาตให้สามารถเข้าเฝ้าได้โดยไม่จำเป็นต้องมีพิธีการหรือการนัดหมายให้ยุ่งยาก
อย่างเช่นวันนี้เองเช่นกันที่กันเธอร์ขอเข้าเฝ้ากษัตริย์ของอาณาจักรก็เพื่อรายงานถึงสถานการณ์ที่ป่าแบล็ควูดที่ได้รับคำขอความร่วมมือมาจากอาณาจักรฮัลโดเรียให้ส่งกองกำลังเข้าสนับสนุนภารกิจยับยั้งการเผยแพร่ขนาดของป่าเวทมนตร์อันน่าสะพรึงกลัวนี้
“ข้าเห็นลูกชายของเจ้ายืนเสียตัวตรงเลย เผลอ ๆ
อีกไม่นานเขาคงเผลอยกมือขึ้นมาทำวันทยาหัตถ์ด้วยแน่นอน”
กันเธอร์ถอนหายใจแล้วหัวเราะหน่อย ๆ กับคำพูดนั้น
แต่จะว่าไปก็จริงกับที่วูลแฟรมพูด
ในตอนแรกเขาเกร็งมากเลยในการเข้าหาใกล้กับสมาชิกราชวงศ์เช่นนี้
แต่พอเวลาผ่านไป ความคุ้นชินก็ทำให้ไม่เกร็งแล้ว
ความอารมณ์ดีของวูลแฟรมทำให้การรายงานสถานการณ์ต่าง ๆ
ของบ้านเมืองวันนี้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วกว่าปกติ
ถึงกระนั้นวูลแฟรมก็ได้เชิญให้กันเธอร์อยู่ร่วมช่วงเวลาน้ำชาในยามบ่ายด้วยก่อน
เนื่องจากอยากให้ฟินตันได้มีเพื่อนเล่นอยู่ด้วยนานกว่านี้อีกหน่อย
ยิ่งเห็นได้ชัดว่าบรรยากาศวันนี้ดูเงียบเรียบร้อยเป็นพิเศษ
แสดงว่าบอลด์วินสามารถคุมลูกชายคนนี้ได้แน่นอน
“Personal Reality หรือ?”
ฟินตันฟังคำดังกล่าวจากผู้รับหน้าที่เป็นครูในการสอนวันนี้แล้วเอียงหัวไม่เข้าใจ
เนื่องจากเป็นภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ในภาษาเคลต์ของพวกเราคือ Die eigene Wirklichkeit (ดิ ไอ-เก-เนอร์
เวิร์ก-ลิช-ไคลท์) ขอรับ เป็นหลักการของพลังจิตที่ว่ากันว่า
หากจิตใจของผู้ใช้พลังสามารถดลบัลดาลให้สิ่งที่คิดเป็นจริงขึ้นมาได้ด้วยความปรารถนาอันแกร่งกล้า
ก็จะสามารถสร้างให้เกิดพลังจิตขึ้นมาใช้งานได้จริงขอรับ”
บอลด์วินที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้าง ๆ
เจ้าชายที่กำลังใช้ดินสอเขียนจดคำดังกล่าวลงใส่สมุดของตนตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความงงงวย
เนื่องจากเขาไม่เคยได้เรียนเกี่ยวกับพลังจิตถึงระดับนี้เลย
เขารู้เพียงแค่ว่ามันอาจจะเป็นพรจากพระเจ้าที่มอบให้กับมนุษย์บางคนให้ได้มีความสามารถมากกว่าคนทั่วไป
และร่วมสร้างสรรค์โลกให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ได้
แม้บางคนจะนำไปใช้ทำเรื่องเลวร้ายอย่างสงครามก็ตามที
“อื้อ... ว่าแต่บอลด์วิน
เจ้าจะไม่เบื่อแน่หรือมานั่งเรียนกับข้าแบบนี้?”
ฟินตันวางดินสอลงแล้วหันมาถามบอลด์วิน ที่พูดจริง ๆ ก็คือ...
กำลังนั่งเกร็งอยู่
และไม่น่าเชื่อว่าในชีวิตนี้เขาจะได้มานั่งข้างเจ้าชาย
และเรียนเรื่องอะไรไม่รู้เกี่ยวกับพลังจิตอยู่แบบนี้
“ไม่ขอรับ”
บอลด์วินตอบพร้อมกับนั่งหลังตรง
“อยู่กับข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องทำตัวสุภาพมากก็ได้นะ ข้าไม่ถือหรอก”
ฟินตันสังเกตได้ว่าคนที่พึ่งรู้จักกันนี้มีความเกร็งเป็นอย่างมากเลยกับการอยู่ใกล้เขา
อันที่จริงลูกชายขององครักษ์คนนี้ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องมาทำอะไรแบบนี้เสียด้วยซ้ำ
แต่คงเป็นเพราะเป็นคำขอจากท่านพ่อของเขาผู้เป็นกษัตริย์แห่งโคโลเนีย
เลยทำให้คน ๆ นี้ไม่อยากที่จะปฏิเสธเท่าใดนัก
“กระหม่อมมิบังอาจหรอกขอรับ”
บอลด์วินส่ายหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นมาโบกไปมาด้วย
ให้เขาทำตัวเป็นกันเองกับสมาชิกราชวงศ์น่ะหรือ? ไม่มีทางเสียหรอก
“เอาอย่างนี้ดีกว่า เจ้าพาข้าออกไปนอกพระราชวังได้หรือเปล่า?”
ฟินตันพูดพร้อมจ้องมองมาที่บอลด์วินราวกับมันจะทำให้คนตรงหน้าใจอ่อนลงได้
“ไม่ได้ขอรับ
พระราชาวูลแฟรมให้กระหม่อมดูแลให้พระองค์อยู่ภายในห้องหนังสือนี้ขอรับ”
บอลด์วินย้ำถึงคำสั่งของผู้มีอำนาจสูงสุดในอาณาจักรที่ได้สั่งเขาไว้เมื่อราวครึ่งชั่วโมงก่อน
เขาจะไม่ยอมให้พระราชาของอาณาจักรต้องผิดหวังในการสั่งการเขาโดยเฉพาะตั้งแต่ในครั้งแรกแน่นอน
“เจ้าจะไม่ฟังคำขอของข้าหรือ?”
ฟินตันพูดแล้วก็ทำแก้มป่องแสดงความไม่พอใจและน้อยใจเล็กน้อยออกมา
อะไรกัน น่ารักมากเสียจริง
“ไม่ได้จริง ๆ ขอรับ
แต่ถ้าเรียนเสร็จแล้วกระหม่อมจะอยู่เล่นด้วยภายในเขตพระราชวังนะขอรับ”
ฟินตันปล่อยอากาศออกจากแก้มทั้งสองข้างแล้วพยักหน้า
ถึงจะไม่ได้ออกจากเขตกำแพงพระราชวังที่น่าเบื่อนี้
แต่อย่างน้อยก็ยังมีสหายคนใหม่อยู่เล่นด้วยกับเขา
ฉะนั้นรีบเรียนให้เสร็จเร็ว ๆ ดีกว่า
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ได้”
ฟินตันหันไปสนใจการเรียนเรื่องหลักการพลังจิตอีกครั้งด้วยความตั้งใจที่มากกว่าปกติจนครูผู้สอนก็รู้สึกได้ถึงความแปลกนี้
เพราะปกติกว่าจะสอนหนังสือฟินตันได้จนจบเนื้อหาประจำวันนั้นก็เกือบจะเย็นเสียแล้ว
แต่วันนี้กลับเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เวลาบ่ายสามโมงเท่านั้น
ฟินตันแม้จะไม่ชอบเรื่องการเรียนมากเท่าไรนัก
แต่เขาก็เป็นคนที่เฉลียวฉลาดมากพอสมควรเลย
เนื่องจากเวลาว่างที่เขามักจะใช้ไปกับการคลุกตัวอยู่ในห้องหนังสือกับพี่สาวของเขาอย่างบริจิด
และศึกษาเรื่องราวอื่น ๆ
ที่เร้าความสนใจของเขาให้ล่องดำดิ่งลงไปกับเนื้อหาของมันมากกว่าการเรียนกับคุณครู
“อ้าว! ฟินตัน เจ้าเรียนเสร็จแล้วหรือ?”
เสียงหวานของคนมาใหม่ดังขึ้นที่ประตูของห้องหนังสือ
หญิงสาวผมยาวตรงสลวยคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับหนังสือในมืออีกสองสามเล่ม
ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นคนหน้าตาไม่คุ้นเคยเข้า
“อื้อ วันนี้ข้าตั้งใจมากเลยน่ะเลยเรียนเสร็จเร็ว
เพราะว่าจะได้ไปเล่นกับสหายคนใหม่ที่พึ่งได้รู้จัก”
ฟินตันปิดสมุดจดของตนเองลงแล้วหันไปทักทายคนมาใหม่
และยังไม่ลืมที่จะผายมือไปหาคนข้าง ๆ
ด้วยตอนบอกเล่าถึงสหายคนใหม่ที่ว่า
“ถวายบังคมขอรับท่านบริจิด”
ครูผู้สอนหนังสือให้ฟินตันโค้งตัวลงทำความเคารพผู้มาใหม่ที่ชื่อมีความหมายถึงความแข็งแกร่งในภาษาเคลต์
“ตามสบายเลย ลีโอฟริค”
เจ้าหญิงบริจิดโบกมือในอากาศให้ครูผู้สอนกลับไปยืนตรงดังเดิมจากการโค้งตัว
จากนั้นสายตาก็ได้ไปหยุดอยู่กับคนที่นั่งอยู่กับฟินตัน
“เวรละ… ขออภัยขอรับ ถวายบังคมขอรับ ท่านบริจิด”
บอลด์วินพูดสองพยางค์แรกออกมาเสียงเบา
ก่อนจะรีบลุกจากเก้าอี้แล้วโค้งหัวลงทำความเคารพเจ้าหญิงของอาณาจักรทันทีด้วยอาการลนลาน
เขาไม่นึกว่าคนที่เขามาใหม่ในห้องจะเป็นสมาชิกราชวงศ์อีกพระองค์
จนกระทั่งได้ยินครูผู้สอนพูดพระนามออกมา
“ไม่เป็นอะไร ๆ เจ้าชื่ออะไรหรือ?”
บริจิดเดินเข้ามาถามใกล้บอลด์วินด้วยท่าทีเป็นมิตร
เธอไม่ได้ถือโทษอะไรหรอก เนื่องจากเธอเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง
อีกฝ่ายที่หันหลังให้อยู่จะมองไม่เห็นและไม่ได้ทำความเคารพในทันทีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“บอลด์วิน ไอเซินอาร์ท ขอรับ”
เจ้าขอช่ื่อพูดตอบพร้อมโค้งคำนับ
“นามสกุลนี้… เจ้าเป็นบุตรชายของกันเธอร์หรือ?”
บริจิดที่คอยช่วยงานเอกสารของสำนักพระราชวังอยู่บ้างในบางโอกาสรู้สึกคุ้นชินกับนามสกุลนี้เสียเหลือเกิน
ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเป็นนามสกุลของหัวหน้าองครักษ์แห่งราชวงศ์
“เป็นเช่นนั้นขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามสบายเลยนะ ข้าขอตัวไปอ่านหนังสือก่อน”
บริจิดพยักหน้าสองสามทีแล้วจึงกล่าวขอตัวออกไปนั่งอ่านหนังสือที่ถือมาในมือ
ณ โต๊ะตัวใหญ่ตรงมุมหนึ่งที่ติดหน้าต่างบานใหญ่ของห้องหนังสือ
ผมสีน้ำตาลยาวสวยนั่นช่างดูสง่างามเสียจริง
“บอลด์วิน แล้วพวกเราจะทำอะไรกันดีหรือ?”
เสียงของฟินตันดึงสายตาของบอลด์วินให้ละจากเจ้าหญิงของอาณาจักรกลับมาสู่คนเป็นเจ้าชายอีกครั้ง
“ตามพระทัยของพระองค์เลยขอรับ”
บอลด์วินตอบอย่างสุภาพ และจริง ๆ
แล้วเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะทำกิจกรรมอะไรกับเจ้าชายพระองค์นี้เพราะถ้าหากปกติแล้วเขาก็คงไปตกปลาแล้วตั้งแคมป์ในป่า
หรือไม่ก็ฝึกฝนทักษะการใช้อาวุธของตนให้ชำนาญมากยิ่งขึ้น
แต่พอเป็นเรื่องในเขตพระราชวังแล้วนั้น เขาไม่รู้อะไรเลย
“อืม… ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากทำอะไรน่ะ
ปกติแล้วเจ้าทำอะไรหรือยามว่าง?”
คนเป็นเจ้าชายเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าอยากจะทำอะไรดี
จะให้เรียนการใช้ดาบก็เหนื่อย
จะไปอ่านหนังสือร่วมกับท่านพี่บริจิดก็ไม่ต่างอะไรกับการเรียนที่น่าเบื่อ
เนื่องจากยังไม่มีหัวข้อจากหนังสือเล่มไหนที่กระตุ้นให้เขาอยากอ่าน
หรือจะให้ไปขี่ม้าก็จะเจอท่านพี่อัลดริชที่ชอบแกล้งเขาเล่นอีก
เขาเลยถามจากบอลด์วินแทนว่ากิจกรรมอะไรที่อีกฝ่ายมักจะทำ
เผื่อว่ามันจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าตัวเลือกทั้งหมดที่เขามีในขณะนี้
“ถ้าปกติแล้ว กระหม่อมจะไปตกปลาในป่า
หรือไม่ก็เรียนการใช้อาวุธขอรับ”
ฟินตันฟังแล้วรู้สนใจคำว่าป่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเนื่องจากเป็นที่ที่เจ้าตัวไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้าไปนัก
จากความอันตรายต่าง ๆ ที่คนรอบตัวต่างบอกเขามาตั้งแต่ยังเล็ก
แต่ทุกครั้งในยามที่ได้มองป่าสนที่ขึ้นอยู่รอบเมืองจากหน้าต่างของพระราชวังแล้ว
มันก็แอบทำให้เขาอยากจะลองเข้าไปเดินเล่นดูบ้าง
“ในป่างั้นหรือ?”
“ขอรับ”
ฟินตันครุ่นคิดอยู่อีกหน่อย
ก่อนจะตัดสินใจที่จะคว้าข้อมือของบอลด์วินให้เดินตามเขาไป
“ขอบคุณมากนะคุณลีโอฟริค เจอกันใหม่ในอีกสองวันครับ”
แต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกลาผู้เป็นครูผู้สอนหนังสือให้กับเขาด้วยความสุภาพ
จนคนฟังรู้สึกหนักใจอยู่เล็กน้อย
“ขอรับท่านฟินตัน”
ลีโอฟริคโค้งคำนับผู้เป็นเจ้าชาย
ก่อนจะหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมานั่งอ่านต่อ
เนื่องจากยังไม่ถึงเวลากลับตามปกติของเขา
เลยขออาศัยใช้ห้องหนังสืออันใหญ่โตแห่งนี้ต่ออีกหน่อย
“พระองค์จะพากระหม่อมไปไหนหรือขอรับ?”
เมื่อเจ้าของผมสีน้ำตาลจูงข้อมือคนผมสีดำออกมาจากห้องหนังสือแล้ว
คนผมสีเข้มกว่าก็ถามทันทีด้วยความสงสัย การเดินจึงหยุดลง
“ข้าจะไปขออนุญาตออกไปข้างนอกกับเจ้า
เจ้าช่วยพาข้าไปยังป่าที่ว่าได้หรือไม่?”
บอลด์วินกำลังจะแย้ง แต่เหมือนอีกฝ่ายจะมองออกว่าคงโดนขัดเป็นแน่
เลยเลือกที่จะจูงมืออีกฝ่ายไปข้างหน้าตามทางเดินของระเบียงต่อ
“เจ้าไม่ต้องตอบ เอาไว้รอท่านพ่อของข้าตอบคราวเดียวเลยดีกว่า”
พร้อมกับคำสั่งให้เขาไม่ต้องตอบอะไรอีก
ฟินตันจูงมือบอลด์วินเดินลงบันไดจากชั้นสามของอาคารมายังบริเวณสวนตรงกลาง
จุดที่เขาทั้งสองคนได้รู้จักกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
ที่ศาลาขนาดเล็กนั้นยังคงมีพระราชาวูลแฟรมนั่งอ่านเอกสารรายงานพร้อมจิบน้ำชายาบ่ายอยู่
ใกล้ ๆ
นั้นเองก็มีกันเธอร์ที่กำลังจิบชาไปพลสงและกินขนมปังไปพลางด้วย
เมื่อฟินตันเดินเข้ามาในระยะสายตาของคนทั้งสอง
พวกเขาต่างหันมาให้ความสนใจทันที
เนื่องด้วยมีอีกคนที่โดนจับข้อมือให้เดินตามคนเป็นเจ้าชายมาด้วย
“ท่านพ่อขอรับ ลูกมีเรื่องมาทูลขอขอรับ”
ฟินตันหยุดเดินลงตรงหน้าทางขึ้นศาลา
บอลด์วินเองก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกันแต่ยังคงยืนอยู่แบบนั้นนิ่ง ๆ
และเมื่อหันไปเจอผู้เป็นพ่อของตนทำมือเป็นการบอกให้คุกเข่าลงเขาก็รีบคุกเข่าลงทันที
“ว่าอะไรล่ะ? แล้วทำไมถึงได้จูงมือบอลด์วินมาด้วยเช่นนี้?”
พ่อของฟินตันวางเอกสารลงบนโต๊ะแล้วหันมามองคนทั้งสอง
“ลูกอยากขอออกไปข้างนอกพระราชวังกับบอลด์วินขอรับ”
วูลแฟรมได้ยินแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกชายของเขาต้องการที่จะออกไปด้านนอกพระราชวัง
แต่ครั้งนี้เป็นการออกไปกับคนที่พึ่งได้รู้จักกันไม่นาน
คงต้องมีเรื่องอะไรที่น่าสนใจเป็นแน่เลยที่ทำให้ฟินตันอยากออกไปด้านนอกเขตกำแพงนี้
“พวกเจ้าจะไปที่ใดกันหรือ?”
“ป่าสนทางอีกฝั่งของแม่น้ำเรนอสขอรับ”
บอลด์วินเป็นผู้ตอบในครั้งนี้
แต่คำว่าป่านั้นก็ทำให้ผู้เป็นพระราชาอดกังวลเล็กน้อยถึงอันตรายที่อาจรอพวกเขาอยู่
“เจ้าไม่ได้ถูกบุตรชายของข้าบังคับใช้เป็นข้ออ้างใช่หรือไม่
บอลด์วิน?”
ในจังหวะที่บอลด์วินลอบมองผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของอาณาจักร
วูลแฟรมก็สบตากับเขาแล้วถามพอดี ทำเอาตัวเขาขนลุกเลย
“ไม่ใช่ขอรับ
เจ้าชายฟินตันเป็นผู้อยากที่จะออกไปลองดูสิ่งที่กระหม่อมทำในยามว่างขอรับ
กระหม่อมคิดว่าถ้าได้รับพระบรมราชานุญาต
กระหม่อมจะพาเจ้าชายฟินตันไปตกปลาแล้วย่างมันที่ใกล้ ๆ
บริเวณนั้นขอรับ”
ไม่รู้ทำไม แต่บอลด์วินกลับอธิบายรายละเอียดออกไปอย่างครบถ้วน
ราวกับว่าเขาเองก็อยากจะพาเจ้าชายที่ยังจับข้อมือของเขาไว้อยู่นี้ไปให้ได้
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังคัดค้านอยู่เลย
“อืม... กันเธอร์ เจ้าว่าอย่างไร?”
กษัตริย์วูลแฟรมหลับตาแล้วหยักหน้าสองสามที
ก่อนจะหันไปพูดกับคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ ๆ
“ว่าอะไรเรื่องอะไรหรือขอรับ?”
“เจ้าอนุญาตให้บุตรชายของข้าออกไปด้านนอกกับบุตรชายของเจ้าหรือไม่?”
คำพูดของวูลแฟรมทำให้กันเธอร์ถลึงตามองไปทางผู้สูงศักดิ์ทันที
เหตุใดเขาที่เป็นคนธรรมดาถึงได้เข้าไปเป็นหนึ่งในผู้ออกความเห็นได้
ในเมื่อผู้ถามเขามีอำนาจสูงสุดในอาณาจักร
หากอนุญาตหรือสั่งให้บอลด์วินต้องไปกับเจ้าชายฟินตัน
เขาก็ไม่อาจขัดได้อยู่แล้ว
“...”
“ว่าอย่างไรล่ะ?”
เมื่อกันเธอร์นิ่งเงียบไปตอบไปพักหนึ่ง วูลแฟรมเลยถามเขาซ้ำอีกครั้ง
“เอ่อ... ไม่มีปัญหาขอรับ”
วูลแฟรมพอได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับคำแล้วหันไปพูดกับลูกชายของตน
“ตามที่กันเธอร์พูดเลย ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วอย่ากลับมืดค่ำนักเล่า”
ฟินตันยิ้มออกมากว้างจากคำตอบของผู้เป็นพ่อ
นับสิบครั้งที่เขาขออนุญาตออกไปด้านนอกพระราชวังแต่กลับถูกปฏิเสธ
เพียงแค่มีบอลด์วินกลับสำเร็จเลยตั้งแต่ครั้งแรก
บอลด์วินจะต้องเป็นตัวนำโชคเป็นแน่แท้
“ขอบพระคุณขอรับ”
“ขอบคุณครับท่านพ่อ”
เด็กทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกัน
คนหนึ่งดีใจที่จะได้ออกไปด้านนอกเสียทีในรอบหลายวัน
ส่วนอีกคนดีใจและโล่งใจที่การเจรจาขอร้องครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ตัวเขาได้พูดคุยและมีคำขอส่งไปยังผู้เป็นกษัตริย์ของอาณาจักร
แถมยังได้รับอนุญาตเลยตั้งแต่ในครั้งแรก
“บอลด์วิน ช่วยดูแลฟินตันให้ข้าด้วยนะ”
ก่อนที่ทั้งสองจะหันหลังกลับออกจากพระราชวังไป
วูลแฟรมก็ได้ฝากฝังให้บอลด์วินช่วยดูแลเจ้าชายลำดับที่สองของอาณาจักรให้ดีด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องบอกเขาก็จะทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว
“กระหม่อมจะไม่ทำให้พระองค์ต้องผิดหวังขอรับ”
แต่แบบนี้แล้วเขาจะทำยิ่งกว่าคำว่าเต็มที่แน่นอน
“เจ้าไม่ได้เข้ามาในวังบ่อยหรือ?”
เจ้าชายตัวเล็กถามไประหว่างทางที่เดินตามถนนเรียบแม่น้ำเรนอสไปข้าง ๆ
บอลด์วิน สายตาก็มองไปรอบ ๆ
อย่างตื่นตาตื่นใจที่ได้ออกมาด้านนอกพระราชวัง
“ขอรับ
ที่จริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยที่กระหม่อมได้เข้าไปในพระราชวัง”
บอลด์วินเดินไปตอบไปด้วยความเรียบร้อย
เขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวันนี้เขาได้รู้จักกับเจ้าชายลำดับที่สองของอาณาจักร
แล้วตอนนี้ก็ได้มาเดินอยู่ด้วยกันอีก
“งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นถ้าเจ้าไม่มีอะไรทำก็แวะมาหาข้าได้เสมอเลยนะ
มาสนิทกันเข้าไว้น่าจะดีกว่า
เป็นสหายกันเหมือนท่านพ่อของข้ากับพ่อของเจ้า”
บอลด์วินเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
แบบนี้แสดงว่าจะมีครั้งหน้าที่พวกเขาจะได้ใช้เวลาด้วยกันแบบนี้อีกถูกหรือเปล่า?
“เกรงว่าจะเป็นการรบกวนพระองค์เปล่า ๆ ขอรับ”
เขาไม่กล้าที่จะทำให้ผู้เป็นเจ้าชายต้องเสียเวลาได้หรอก
และไม่อาจเทียบเคียงไปสนิทสนมได้แน่
“รบกวนอะไรกัน ข้าว่างจะตาย
เผื่อว่าถ้าเราได้เจอกันอีกเจ้าจะได้พาข้าออกมาข้างนอกแบบนี้อีก
ข้าขอท่านพ่อตั้งหลายรอบ ท่านพ่อก็ไม่อนุญาตเสียที
พอพาเจ้าไปขออนุญาตด้วยกลับได้รับอนุญาตเลยตั้งแต่ครั้งแรก”
ฟินตันหันจากแม่น้ำเรนอสมามองยังบอลด์วินแล้วยิ้มให้ด้วยความสดใส
ทำเอาบอลด์วินยิ้มออกมาด้วยหน่อย ๆ เลย
“ถ้าเป็นเช่นนั้น
พระองค์ก็สามารถเรียกกระหม่อมได้ตามพระทัยเลยนะขอรับ”
มีเพื่อนคนใหม่เป็นเจ้าชายหรือ... เท่เป็นบ้าเลยมิใช่หรือยังไง
ทั้งสองคนเดินพูดคุยริมแม่น้ำเรนอสไปเรื่อย ๆ
จนถึงสะพานหินเก่าแก่ที่สามารถข้ามไปอีกฝั่งได้
ซึ่งเป็นบริเวณชานเมืองใกล้กับป่าที่บอลด์วินได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ว่าเขามักจะใช้เวลาว่างในการตกปลาแล้วเอามาย่างกินในที่โล่งใกล้
ๆ
“ตาของเจ้าสีฟ้าหรือ?”
ในตอนที่พวกเขานั่งเล่นอยู่ที่ขอนไม้ริมแม่น้ำ จู่ ๆ
คนเป็นเจ้าชายก็ถามขึ้น
“ขอรับ”
สายตาที่บรรจบกันทำให้บอลด์วินเองก็ได้เห็นถึงดวงตาสีน้ำตาลอันอบอุ่นไม่ต่างอะไรจากสีของเส้นผมด้านบนเลยแม้แต่น้อย
“แปลกตาดีเสียจริงพอได้เห็นใกล้ ๆ เช่นนี้
ข้าเคยเห็นแต่ของคุณกันเธอร์”
สายตาที่จ้องมองเข้ามาในดวงตาของบอลด์วินมันทำให้เขาเมองไปทางอื่นทันที
เนื่องจากการกระทำเช่นนี้อาจจะไม่เหมาะนักกับการที่จะกระทำกับผู้สูงศักดิ์กว่าเช่นนี้
“อย่างนั้นหรือขอรับ”
“เจ้า... พูดคำสามัญกับข้าก็ได้นะ ข้าไม่ถือ”
แต่แล้วดวงตาสีฟ้าก็ต้องหันควับกลับมาทันทีไม่นานจากนั้น
“หา...”
บอลด์วินสงสัยว่าตัวเขาได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า
ให้เขาพูดคำสามัญกับเจ้าชายน่ะหรือ
มันเหมาะที่จะทำอย่างยิ่งเลยมิใช่หรือยังไง?
“พระองค์ตรัสว่าอะไรนะขอรับ?”
เพื่อความมั่นใจ เจ้าตัวเลขถามอีกครั้ง
“ข้าบอกเจ้าว่าพูดคำสามัญกับข้าก็ได้
ข้าไม่ชอบราชาศัพท์สักเท่าไหร่น่ะ”
บอลด์วินนั่งอึ้งอยู่กับสิ่งที่ได้ยิน
เขาจะไปกล้าทำแบบนั้นได้อย่างไรกันเล่า
แต่ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ในวันนี้คงจะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่อะไรแปลกใหม่ในอนาคตอย่างแน่นอนเลย
หลังจากเดินเล่นภายในป่าและแนะนำว่าสถานที่ประจำที่บอลด์วินใช้เวลาอยู่ส่วนใหญ่แล้ว
เขาและฟินตันก็ย้ายตัวเองมานั่งอยู่ที่เนินเขาลูกหนึ่งใกล้กับแม่น้ำเรนอส
ถัดออกไปไม่ไกลมีชาวบ้านกำลังขยับขยายที่ทางในการทำการเกษตรอยู่
ทำให้ป่าโดนตัดถางออกไปทีละน้อย
บอลด์วินแอบเสียดายอยู่เช่นกันว่าวันหนึ่งเนินเขาแห่งนี้จะถูกถางจนโล่งเตียนไปด้วยหรือไม่
“กระหม่อมชอบมานั่งตรงนี้มาเลยขอรับ เป็นที่ที่กระหม่อมมองว่าสบายดี”
บอลด์วินนั่งลงที่ก้อนกินก้อนหนึ่งพร้อมอธิบายให้เจ้าชายฟัง
“วิวสวยเสียด้วยสิ ข้าพอจะเข้าใจเจ้าแล้วล่ะ”
ด้านหน้าที่มองเห็นโค้งของแม่น้ำเรนอส
ถัดออกไปไกลหน่อยเป็นทุ่งนาและทุ่งหญ้า
ถัดไปอีกเป็นตัวเมืองมอนทาราอันยิ่งใหญ่
พร้อมด้วยแนวเทือกขาที่อยู่ไกลลิบสุดเส้นขอบฟ้าออกไป
ที่แห่งนี้มันสวยงามยิ่งกว่าภาพวาดอีกไม่ใช่หรือยังไงกัน?
“ทั้งหมดก็จะประมาณนี้ขอรับ กับป่าแห่งนี้ที่กระหม่อมชอบมาในยามว่าง”
บอลด์วินพูดจบก็ลอบมองใบหน้าของผู้เป็นเจ้าชายเพื่อรอดูความพึงพอใจ
อันที่จริงเขาก็แอบกังวลอยู่บ้างว่าสถานที่เช่นนี้จะน่าเบื่อเกินไปหรือเปล่ากับผู้เป็นเจ้าชายที่ได้สัมผัสความบันเทิงมากมายภายในพระราชวังมาแล้ว
“ข้าชอบนะ”
“!!”
บอลด์วินเด้งตัวเล็กน้อยพอได้ยิน
“ขอบใจมากนะที่พาข้ามาดูอะไรที่แปลกใหม่กับข้าเช่นนี้
ไว้พวกเรามาด้วยกันอีกบ่อย ๆ เลยจะได้หรือเปล่า?”
อวัยวะภายในอกของบอลด์วินเต้นแรงและหนักแน่นขึ้นในทันตา
มิตรภาพครั้งใหม่กำลังก่อตัวขึ้นแล้วจริง ๆ ด้วย
แถมยังเป็นสิ่งที่ชีวิตนี้หรือชีวิตหน้าก็คงจะไม่อาจได้เกิดขึ้นอีกเป็นแน่แท้
“ได้เลยขอรับ”
บอลด์วินพยักหน้าตอบ
“พูดสามัญกับข้าเสียหน่อยสิ”
ฟินตันพูดด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจพลางถอนหายใจไปพลาง
เจ้าชายคนนี้ไม่เคยชอบคำราชาศัพท์เลยจริง ๆ
“จะดีหรือขอรับ?”
บอลด์วินก็ยังไม่กล้าอยู่ดีที่จะพูดด้วยระดับภาษาเดียวกันกับคนตรงหน้า
“ข้าอนุญาต เจ้าจะกลัวอะไรเล่า?”
ถ้าเช่นนั้นแล้ว...
“ได้เลย ข้าจะพาเจ้ามาที่นี่บ่อยตามที่เจ้าต้องการเลย ฟินตัน”
มือของบอลด์วินเปียกชื้นไปด้วยความกังวล แต่เขาก็พูดมันออกไปแล้ว
“สัญญากับข้าแล้วนะ”
ฟินตันยิ้ม
“ขอรับ”
“แหนะ”
แล้วใบหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นหน้าบึ้งตึง น่าเอ็นดูมาก ๆ เลยเสียจริง
บอลด์วินสงสัยกับการกระทำนั้นของฟินตันจนพึ่งนึกได้ว่าเขาลืมอะไรบางอย่างไป
“อื้อ สัญญา”
เขาลืมว่าต้องพูดด้วยคำสามัญนี่เอง
“แล้ว เจ้ามีร้านขนมที่อยากจะแนะนำข้าหรือเปล่า
ข้าอยากรู้เรื่องของเจ้ามากอีกหน่อย ไหน ๆ
เจ้ากับข้าก็เป็นสหายกันแล้ว”
“ก็...”
ระหว่างทางพาเจ้าชายที่แสนร่าเริงพระองค์นี้กลับจากป่าสนนี้ไปยังพระราชวังคงจะใช้เวลานานเป็นแน่เลย
วันนี้ที่เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงคงจะพึ่งแค่เริ่มต้นสินะ