the tale of the wind knight and the fire prince by: kritzy_8 co-planning by: naiya & monk

Chapter 10 - เฟลิกซ์

“เจ้ามองอะไรข้า?”
ฟินตันมองหน้าอัศวินประจำตัวของตนด้วยความสงสัยปนหงุดหงิด
ดูเหมือนการที่บอลด์วินจ้องใบหน้าของคนที่นั่งพักเหนื่อยอยู่ข้าง ๆ นานไปหน่อยขณะที่ความทรงจำเมื่อสิบปีมาแล้วได้ผุดขึ้นมาในหัวของเขาจะทำให้คนโดนมองรู้สึกแปลก ๆ จนต้องทักเขาเข้าเช่นนี้
“เปล่า ไม่มีอะไร”
ใบหน้าน่ารักตรงหน้า ไม่ว่าได้มองกี่ทีและจะผ่านไปกี่ปีก็ไม่เคยทำให้เขาเบื่อได้เลยจริง ๆ จึงไม่แปลกหรอกที่เขาจะเผลอมองฟินตันนาน ๆ บ่อย ๆ
บอลด์วินว่าแล้วก็ดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ร่างของเจ้าหน้าที่ทางการคนหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ไหน ๆ แล้ว ขอค้นตัวดูเสียหน่อยเถอะว่ามีอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์บ้างหรือเปล่า
 
นี่มันกระดาษอะไรกัน…
 
“ฟินตัน!”
เสียงเรียกกึ่งตะโกนดังขึ้นจนดึงความสนใจของเจ้าชายหนุ่มจากการเก็บกล่องเครื่องมือปฐมพยาบาลให้หันหน้าไปทางต้นเสียงนั้น
“อะไรหรือ?”
และนำพาให้ฟินตันต้องลุกขึ้นเดินไปหาสหายของเขาที่ถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือ มันดูเหมือนกระดาษอะไรบางอย่างที่เขียนและวาดอะไรเอาไว้เต็มไปหมด
“ดูนี่”
ในมือของบอลด์วินคือแผนที่เขียนด้วยลายมือตวัด ๆ แต่ยังพอที่จะอ่านออก บนนั้นแสดงถึงเส้นทางการวางกำลังพลที่มีรูปลักษณ์ผิดไปจากปกติ
“นี่มันคือ…”
“พวกคีย์รันมันจะบุกอาณาจักรแฟแลนเดรียหรือเนี่ย พระเจ้า…”
“หา!”
ว่าอะไรนะ?
ได้ยินแบบนั้นฟินตันก็ยิ่งตกใจ การบุกอาณาจักรที่รุ่งเรืองในด้านเวทมนตร์ที่มีพรมแดนติดทางด้านตะวันตกของโคโลเนียนี่มันเรื่องที่สามารถนำไปสู่สงครามระดับทวีปได้เลยมิใช่หรือ แล้วทำไมคนที่สนับสนุนเวทมนตร์อย่างคีย์รันจะต้องการทำสงครามกับอาณาจักรแห่งเวทมนตร์นั้นที่ดูก็น่าจะเป็นมิตรกับตัวคีย์รันกันด้วยเล่า?
 
แต่เดี๋ยวก่อนนะ…
“บอลด์วิน… เจ้าดูแผนที่กลับหัว”
ฟินตันมองหน้าคนข้าง ๆ ตนเองด้วยสีหน้าเหลือจะเชื่อ แล้วจึงจับแผนที่ในมือบอลด์วินให้หันทิศถูกทาง เส้นของลูกศรที่พุ่งออกจากมอนทาราไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นอาณาจักรแฟแลนเดรียจึงกลายเป็นพุ่งไปทิศตรงข้ามอย่างทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรโคโลเนียแทน
“อ- อ้าว แหะ ๆ”
ผู้เป็นอัศวินหัวเราะแก้เขิน ส่วนการถอนหายใจของฟินตันที่ตามมาก็บ่งบอกถึงความรู้สึกของเจ้าชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี เพราะแบบนี้ยังไงเล่า เขาถึงต้องเป็นคนนำทางตลอดการเดินทางที่ผ่านมาหลายวัน กับบอลด์วินแล้ว แค่หันทิศของแผนที่ให้ถูกยังยากเลย
“ข้าหมดหวังกับเจ้าจริง ๆ เลยบอลด์วิน”
ถึงปากของฟินตันจะพูดบ่นไป แต่สายตาก็ทำการกวาดมองดูเส้นทางการวางกำลังพลของหน่วยต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว
นี่มัน…
“บอลด์วิน ข้าว่าเราเจอปัญหาใหญ่เข้าเสียแล้วล่ะ”
 
กองกำลังของอาณาจักรถูกสั่งการให้เพิ่มการเฝ้าระวังและตรวจตราในเส้นทางจากนอร์ดเข้าสู่กรุงมอนทารามากกว่าเดิม เส้นสายมากมายที่โยงใยในแผนที่นี้รวมกับใบประกาศให้จับกุมตัวที่แนบมาด้วยแสดงชัดเจนว่าเป้าหมายของผู้สั่งการก็คือตัวฟินตันและบอลด์วิน การกระทำเช่นนี้มันเด่นชัดว่าต้องการที่จะขัดขวางพวกเขาในการเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงของอาณาจักร
แต่ถึงกระนั้นการเดินทางในครั้งนี้ก็ไม่ได้จบลงตรงนี้ มันยังมีทางเลือกอื่นหลงเหลืออยู่ แผนสองนั่นเอง
“ถ้าเราอ้อมไปทางนี้ การป้องกันของอาณาจักรจะน้อยกว่ามากเลย”
ฟินตันวาดเส้นการเดินทางด้วยกิ่งไม้ลงบนพื้นดินตรงหน้าที่อ้อมจากเส้นทางที่พวกเขาวางแผนเอาไว้ลงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านเขตที่ราบสูงที่เป็นเขตป่าไม้และเกษตรกรรม อ้อมแนวเทือกเขามอร์บัลลาทางทิศตะวันตกของเมืองหลวงไปทางทิศใต้ จากนั้นก็อาศัยช่องว่างระหว่างมอร์บัลลาและแนวภูเขาเบียนบินที่ถูกแม่น้ำเรนอสไหลกัดเซาะจนเกิดเป็นช่องว่างกว้างขึ้นในการเข้าสู่มอนทารา แทนจากเดิมที่จะเดินทางผ่านที่ราบลุ่มที่ขนาบสองข้างทางของแม่น้ำเรนอสเข้าสู่เมืองหลวงทางทิศเหนือโดยตรง ซึ่งเป็ฯทางหลักที่ผู้มาติดต่อและทำธุระกับเมืองหลวงจะใช้เป็นหลัก
“จะไม่ใช้เวลาเดินทางนานขึ้นกว่าเดิมหรือ?”
ตามแผนการเดิมของพวกเขามันก็ใช้เวลากว่า 18 วันแล้วในการเดินทาง หากเดินทางด้วยเส้นทางใหม่นี้ จะต้องใช้เวลาทั้งสิ้นราวเกือบเดือนแหนะ ถึงบอลด์วินจะดูแผนที่ไม่เก่ง แต่ตัวเขาคำนวณตัวเลขได้ไวมากพอสมควรเลย
“เจ้าคำนวณเสร็จแล้วถูกหรือเปล่า ได้เท่าไหร่ล่ะ?”
ฟินตันเองก็รู้ถึงจุดนี้ของสหายของเขา ฉะนั้นเขารู้ได้ทันทีว่าหากคนตรงหน้าพูดเช่นนี้ แปลว่าอีกฝ่ายทำการคำนวณระยะเวลาการเดินทางเสร็จสิ้นไปแล้ว
“อื้อ ทั้งหมด 28 วัน แต่ตอนนี้เราเดินทางมาระยะนึงแล้ว ฉะนั้นจะเหลืออีก 20 วันจะถึงมอนทารา”
เข่าของฟินตันอยากจะทรุดลงกับพื้นให้ได้ด้วยความเหนื่อยที่รอเขาอยู่ แต่ก็ได้เพียงแค่คิดเท่านั้น เพราะไม่ว่ามันจะเหนื่อยหน่ายเพียงแค่ไหน การเดินทางครั้งนี้ก็ต้องไปให้ถึงเป้าหมายให้ได้มากที่สุด
“ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็...”
“อืม ไปต่อกันเถอะ”
 
ฟินตันและบอลด์วินเก็บข้าวของของตนเข้าใส่กระเป๋าเป้ให้เรียบร้อย โดยไม่ลืมที่จะเอาแผนที่ที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่ของทางการไว้กับตัวด้วย เผื่อมันจะเอาไว้ใช้ประโยชน์ได้อีกในอนาคต แต่ในส่วนตอนนี้พวกเขาต้องเข้าไปที่นครเบรเมนเสียก่อนเพื่อหยุดพักเป็นเวลาหนึ่งคืน และเป็นจังหวะที่สุดแสนจะพอดีที่บอลด์วินมาได้รับบาดเจ็บในก่อนการค้างคืนที่นครแห่งนี้พอดี การได้พักในโรงแรมที่ดีกว่าการนอนในป่าหรือโรงนานั้นดีต่อการฟื้นฟูของร่างกายเป็นไหน ๆ
หอคอยแห่งเบรเมนยังคงมีลักษณะโดยรวมไม่ต่างจากครั้งล่าสุดที่ฟินตันมาเยือนมันเมื่อกว่าสิบปีมาแล้ว เพียงแต่เมื่อมองขึ้นไปที่ยอดบนสุดของหอคอยจะพบแสงสีม่วงที่แผ่ออกมาเป็นเปลวที่พลิ้วไหวไปมาราวกับเป็นไฟขนาดใหญ่
เนื่องด้วยการเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ ณ จุกกึ่งกลางระหว่างภูมิภาคทางเหนือและตอนกลางของอาณาจักรพอดิบพอดีนี้นี่เองของเบรเมน การมีหอคอยเวทมนตร์หลักของอาณาจักรมาตั้งที่นี่จึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ผิดแปลกนัก เพราะมันเป็นจุดที่เหมาะจะเป็นจุดการกระจายพลังเวทออกไปทั่วทั้งภูมิภาคแถบนี้ได้อย่างทั่วถึง
แม้บอลด์วินจะได้รับบาดเจ็บที่ขาเป็นทางยาว แต่ด้วยโพชั่นที่ได้มาจากการซื้อที่ตลาด ณ เทรว่า นั่นก็ทำให้ความเจ็บปวดถูกฤทธิ์ของมันกดเอาไว้และไม่เป็นการรบกวนการาเดินทางเข้าสู่จุดพักแห่งที่สองของสองสหายจากนอร์ด
ย่านกลางเมืองในช่วงเวลายามบ่ายที่เบรเมนมีบรรยากาศไม่แตกต่างจากเทรว่ามากนักหากไม่นับถึงความครึกครื้นที่น้อยกว่ากันเกือบครึ่ง จากการที่ประชากรของเมืองแห่งนี้มีน้อยมากกว่าเมืองท่าขนาดใหญ่แห่งนั้น แต่ไม่ว่ายังไงก็ครึกครื้นกว่านอร์ดมากโขอยู่ดี
 
“ข้าว่าพรุ่งนี้ค่อยแวะตลาดก็ได้”
ฟินตันพูดพลางมองดูขาของคนข้าง ๆ ที่พันผ้าพันแผลไว้ไปพลาง รอให้บอลด์วินพักเสียก่อนแล้วค่อยไปเดินซื้อของน่าจะเป็นการดีกว่าให้คนเจ็บต้องได้เดินซื้อของเลยตั้งแต่มาถึงเมืองใหม่เมืองนี้
“แบบที่เจ้าว่าแบบนั้นก็ได้”
บอลด์วินเองก็ไม่อยากจะปฏิเสธหรอกว่าตัเขาก็อยากจะนอนบนเตียงนุ่ม ๆ เต็มทีแล้ว ยิ่งมีแผลที่ขาแบบนี้อีกด้วย
“ข้าเห็นป้ายโรงแรมอยู่ทางด้านนั้น ลองเดินไปดูกันดีหรือเปล่า?”
เมื่อคนเจ็บขาเห็นด้วย ฟินตันจึงเตรียมที่จะเดินนำไปยังทางที่เขาเห็นป้ายบอกชื่อโรงแรมทันที
“เชิญนำทางเลยขอรับ”
บอลด์วินตอบพร้อมหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางพึ่งพาได้ที่หาได้ยากจากผู้เป็นเจ้าชายที่เขารู้จักมายาวนาน ตลอดหกปีที่ผ่านมาจะเป็นตัวเขามากกว่าที่เป็นที่พึ่งพาให้แก่ฟินตัน แต่ในตอนนี้จู่ ๆ คนที่ต้องพึ่งพาเขากลับสามารถทำตัวให้ดูน่าพึ่งพาได้ขึ้นมาได้เฉย ๆ เสียอย่างนั้น
แต่นั่นก็ดีแล้ว
 
แม้โรงแรมจะอยู่ห่างออกไปเพียงสามบล็อกอาคาร แต่เนื่องด้วยไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนอะไรทำให้พวกเขาทั้งสองค่อย ๆ เดินทอดน่องมองดูร้านรวงต่าง ๆ ในเขตย่านการค้าของเบรเมนไปอย่างช้า ๆ
แต่แล้วในตอนที่มาถึงบริเวณก่อนที่จะเป็นสี่แยกแห่งหนึ่ง สายตาของบอลด์วินก็ได้เหลือบไปมองคน ๆ หนึ่งที่กำลังรดน้ำต้นไม้ด้วยกระบวยรดน้ำในมือ สายน้ำไหลผ่านพุ่มไม้ที่มีดอกไม้แซมย้ำถึงฤดูใบไม้ผลิ เส้นผมสีทองพร้อมดวงตาสีเทาอมเขียวที่รู้สึกคุ้ยเคย ใบหน้าเปื้อนกระที่ดูยังดูยิ้มแย้มแม้ตอนที่ทำหน้านิ่งแบบนี้ เขารู้จักคน ๆ นี้และไม่ได้จำผิดแน่นอน
“เฟลิกซ์?”
อัศวินหนุ่มกล่าวออกไปด้วยเสียงที่มีความไม่มั่นใจอยู่ด้วยบ้าง แต่พอกล่าวออกไปคนผมสีทองตรงหน้าก็เงยหน้าจากการรดน้ำต้นไม้มามองเขาทันที เมื่อสายตาประสานเข้าด้วยกัน กระบวยน้ำในมืออีกฝ่ายก็หล่นลงสู่พื้น
“บอลด์วิน พระเจ้า! ให้ตายเถอะ ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว”
อีกฝ่ายรีบเดินจ้ำเข้ามาหาคนที่เรียกชื่อตน พร้อมกับสวมกอดด้วยความคิดถึงจากการพัดพรากกันนาน ความสนิทสนมนี้นั้นทำให้ฟินตันสงสัยด้วยว่าคน ๆ นี้คือใครกัน?
“ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอกนะ”
บอลด์วินกอดตอบอีกฝ่ายพร้อมกับทุบที่หลังเบา ๆ ด้วยความคุ้นเคย ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปเจอเจ้าชายที่เดินทางมาด้วยกันมองอยู่ด้วยใบหน้าสงสัย
“จริงสิ เอ่อ… นี่สหายเก่าแก่ของข้าเอง ชื่อว่าเฟลิกซ์”
พอเฟลิกซ์ขยับออกจากการกอดให้หายคิดถึง บอลด์วินก็แนะนำคนหจ้าใหม่ให้สหายของเขารู้จัก
“ยินดีที่ได้รู้จักนะเฟลิกซ์ ข้าชื่อ…”
ฟินตันกำลังจะกล่าวชื่อของตนเองออกไป แต่เขาลังเลว่าจะบอกชื่ออาร์เจนหรือฟินตันไปดี แม้จะเป็นเพื่อนเก่าแก่ของสหายคนสนิทของเขา แต่ก็ไม่อาจทราบได้ว่าคน ๆ นี้ที่ดูสดใสนั้นมีความเกี่ยวข้องอะไรกับทางการหรือไม่
“ขอโทษที่ต้องขัดจังหวะ พอดีข้ามารับเสื้อที่สั่งทำด่วนเอาไว้นะ ไม่ทราบว่าเสร็จหรือยัง?”
ในตอนนั้นเองที่มีคน ๆ หนึ่งเข้ามาทักเฟลิกซ์และขัดบทสนทนาเข้าพอดี จากการมองสำรวจด้านหน้าอาคารที่ยืนอยู่แล้วนั้น ฟินตันพบว่ามันเป็นร้านรับตัดเสื้อขนาดเล็กค่อยไปทางกลางที่ดูดี เลยคิดว่าน่าจะเป็นอาชีพของสหายเก่าแก่ของบอลด์วิน และคนที่เข้ามาทักเฟลิกซ์ก็น่าจะเป็นลูกค้าที่มาใช้บริการร้านของเฟลิกซ์แน่นอนเลย
“อ๋า… เสร็จแล้วร้อยแล้ว ตามข้าเข้ามาด้านในก่อนสิ บอลด์วิน เจ้ากับสหายของเจ้าด้วย”
ลูกค้าที่มาทักคนผมสีทองเดินตามเจ้าของร้านเข้าไปด้านใน ก่อนที่จะตามมาด้วยนักเดินทางทั้งสอง ด้านในร้านมีแสงสว่างจากคริสตัลสีเหลืองกระจายทั่วทุกมุมให้เห็นเสื้อสูทและชุดทางการมากมายที่แขวนอยู่ รวมกับแสงที่สาดเข้ามาจากทางกระจกบานใหญ่ที่บริเวณหน้าร้านแล้วยิ่งทำให้บรรยากาศดูโปร่งโล่งและกว้าง
ฟินตันกับบอลด์วินเลือกเก้าอี้ที่เอาไว้ใช้รับแขกและลูกค้าในการนั่งมองดูผู้เป็นเจ้าของร้านบริการลูกค้าของตนด้วยความคล่องแคล่ว
แต่แล้วในตอนนั้นนั่นเองที่ไม่มีใครสังเกตสายตาของลูกค้าคนนั้นเริ่มหันมามองนักเดินทางทั้งสองคนที่พึ่บมาเยือนนครแห่งนี้อย่างผิดปกติ
“บอลด์วิน เจ้ารู้กับกับเฟลิกซ์ได้ยังไงกันหรือ?”
และด้วยเวลาระหว่างนี้ ฟินตันจึงอาศัยลอบถามสหายของเข้าถึงเจ้าของร้านตัดเสื้อนี้ เผื่อว่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าคน ๆ นี้ปลอดภัยหรือไม่
“เจ้ากังวลถูกหรือเปล่า ว่าเฟลิกซ์จะเกี่ยวข้องกับทางการ?”
บอลด์วินพูดเสียงเบา เขาดูออกในทันทีที่ฟินตันชะงักตอนแนะนำตัวเองว่าเกิดจากเหตุผลอะไร
“อื้อ ข้าเลยอยากจะถามเจ้าว่-”
“หยุดอยู่ตรงนั้นแล้วนั่งเฉย ๆ เสีย!”
คำพูดของฟินตันถูกขัดโดยเสียงตะโกนดังลั่น เมื่อหันไปมองตามก็ปรากฏวงเวทสีแดงฉานลอยอยู่กลางอากาศคนที่เป็นลูกค้าของเฟลิกซ์
เขาคนนั้นเป็นจอมเวท!
“ข้ามองไม่ผิดจริงด้วยสินะ ฟินตัน...”
จอมเวทคนนั้นแสยะยิ้มอย่างความน่ากลัว ราวกับว่าเขาคนนั้นเป็นหมาป่าและพบเข้ากับเหยื่อที่สามารถจะจัดการได้ภายในการออกแรงเบา ๆ แค่ครั้งเดียว
“เจ้า... หรือว่า?”
ทันใดนั้นเองตราสัญลักษณ์จากโลหะแวววาวที่อกด้านซ้ายก็ชายแสงสะท้อนเป็นคำตอบให้นักเดินทางทั้งสองได้เห็น
จอมเวทคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของทางการด้วย ไม่แปลกเลยที่จะพูดเช่นนี้และรู้ว่าหนึ่งในนักเดินทางคือฟินตัน
“ถ้าหากเจ้าไม่ขัดขืนแล้วยอมไปกับข้าเสียแต่โดยดี ก็จะไม่มีใครต้องได้รับบาดเจ็บ ลุกขึ้นยืนซะ!”
ฟินตันมองหน้าเจ้าหน้าที่ของทางการนิ่ง พร้อมกับพยายามมองหาเฟลิกซ์ที่หายเข้าไปเอาชุดที่ตัดไว้มาจากทางหลังร้านพักหนึ่งแล้ว ทำไมสหายเก่าแก่ของบอลด์วินถึงหายไปนานเช่นนี้ หรือว่าแท้จริงแล้วเฟลิกซ์เป็นคนที่แจ้งเจ้าหน้าที่ของทางการให้ทราบถึงการมาถึงของตัวเขา แต่แจ้งด้วยวิธีอะไรกัน? หรือว่าเฟลิกซ์มีพลัง Telepathy?
“ข้าสั่งให้เจ้ายืนขึ้น ไม่ได้ยินหรือยังไง?”
ฟุ่บ
เสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่ตรงหน้าตามมาด้วยลำแสงสีแดงที่พุ่งเฉียดไรผมด้านขวาของฟินตันไปชนเข้ากับผนังสีครีมของร้านจนเกิดรอยสีเข้มและส่งกลิ่นไหม้ลอยเข้าจมูก
“หากไม่ทำตามที่ข้าสั่งแล้วล่ะก็ ครั้งต่อไปมันจะไม่ใช่ผนังแน่นอนที่จะเกิดรอยไหม้ขึ้น ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย...”
มีแรงสะกิดที่หลังของฟินตัน เป็นบอลด์วินนั่นเองที่ใช้ข้อศอกมาสะกิด และเมื่อฟินตันหันไปดูก็พบฝ่ามือที่กำไว้อยู่ บอลด์วินรวมอากาศไว้ในกำมือนั้นได้พักใหญ่แล้ว แต่ด้วยความเร็วของลำแสงที่สร้างจากเวทมนตร์นั้นมันพุ่งด้วยความเร็วที่มากมหาศาล อัศวินหนุ่มเกรงว่าลมของเขาจะสร้างความเสียหายได้ไม่ทันการเอา
หากมีความเสี่ยงที่จะต้องเสียฟินตันไปนั้น เขาต้องคิดให้ถี่ถ้วนมากกว่านี้ก่อนจะกระทำอะไรลงไป เว้นแต่มีช่องว่างทางโอกาสเหมาะ ๆ ที่จะทำให้เขาโจมตีออกไปได้
“ท่านลูกค้า ขออภัยที่ให้รอขอรับ เหวอ!”
เหมือนกับฟ้าประทาน จู่ ๆ เฟลิกซ์ก็โผล่ขวับเข้ามาจากบริเวณด้านหลังของร้านอย่างกะทันหันพร้อมกับเสื้อสูทในมือ และนั่นดึงความสนใจไปจากเจ้าหน้าที่จากทางการที่เล็งฟินตันกับบอลด์วินไว้ด้วยวงเวทที่กำลังหมุนวนลอยอยู่หน้าฝ่ามืออยู่
“บอลด์วิน ตอนนี้!”
สิ้นเสียงของฟินตัน องครักษ์คู่กายของเขาก็ปล่อยลมกำลังสูงออกไปใส่เจ้าหน้าที่ของทางการทันที การไม่ทันได้ตั้งตัวนี้ทำให้ตัวของเจ้าหน้าที่คนนั้นกระเด็นไปชนเข้ากับเสาแล้วทรุดลงกับพื้น
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
แต่วงเวทก็ได้ปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือของเขาอีกครั้ง และส่งลำแสงสีแดงพุ่งมาตามทิศทางที่ฝ่ามือหันไป ถึงอย่างนั้น ด้วยอาการมึนงงจากการกระแทกกับเสาเมื่อครู่ทำให้ทุกลำแสงพลาดเป้าหมายไปหมด
ฟินตันอาศัยจังหวะนี้ในการหยิบดาบออกมาจากฝักที่เหน็บไว้ข้างลำตัวออกมา แต่ด้วยความสับเพร่า เขาทำมันหลุดมือไประหว่างการพุ่งเข้าไปเตรียมปลิดชีพของเจ้าหน้าที่จอมเวทคนนั้น
“เวรเอ๊ย”
ฟึ่บ!
พอเสียงสบถของฟินตันสิ้นสุดลง เสียงประหลาดที่เขาไม่เคยได้ยินก็ดังขึ้น พร้อมกับดาบที่ควรจะหล่นอยู่ตรงพื้นใกล้ ๆ กับเท้าของเฟลิกซ์ก็กลับเข้ามาอยู่ภายในมือของเจ้าชายหนุ่มดังเดิม
ประหลาด...
ความสับสนทำให้การฟาดของดาบของฟินตันเฉียดจากคอที่เล็งไว้กลายไปเป็นไหล่ของจอมเวทที่นอนอยู่ เลือดสีแดงกระเซ็นไปบนพื้นไม้พร้อมกับเสียงร้องจากความเจ็บปวดในบริเวณที่ดาบสร้างรอยแผลดังขึ้นเหมือนในครั้งก่อนที่ดาบเล่มนี้สร้างบาดแผลให้กับศัตรูที่เข้ามาทำร้ายผู้เป็นเจ้าของ
“ตายซะเถอะ”
“ฟินตัน ระวัง!”
วินาทีก่อนที่วงเวทตรงหน้าของฟินตันจะสร้างลำแสงสีแดงพุ่งใส่เขา กระแสลมแรงของบอลด์วินก็ดันตัวของฟินตันให้หลบพ้นความอัตรายไปทันที และแม้จะต้องล้มกระแทกลงบนพื้น แต่นั่นก็ดีกว่าไหม้เป็นผุยผงเป็นไหน ๆ
ฟึ่บ!
เสียงประหลาดดังขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงร้องดังลั่นของจอมเวทบนพื้น เมื่อสายตาของนักเดินทางทั้งสองหันไปมองก็พบว่ามีไม้แขวนเสื้อที่จมอยู่ภายในเนื้อแขนของจอมเวทที่กำลังส่งเสียงร้อง นี่มันอะไรกัน?
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าที่ไปที่มาเป็นเยี่ยงไร? แต่ถ้าหากจะมุ่งร้ายต่อสหายของข้าแล้ว ก็อย่าหวังว่าจะได้ทำได้ตามใจชอบ”
เสียงของเฟลิกซ์ดึงความสนใจของทุกคนให้หันไปมอง ภายในมือของคนใบหน้าตกกระมีไม้แขวนเสื้อที่ทำจากเหล็กถืออยู่อีกหลายอัน เขาตบมันเข้ากับมือไปมาขณะพูดด้วยเสียงข่มขู่
“ก- แกมัน ปีศาจ...”
เสียงสั่นระริกของเจ้าหน้าที่ทางการพูดขึ้น พร้อมกับการตะเกียกตะกายถอยหนีบนพื้นจนทำให้รอยเลือดเปื้อนพื้นไปหมด สายตาของชายผู้นั้นสั่นกลัวอย่างมาก ตรงกันข้ามกับไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ที่จ้องเขม่งมายังฟินตันราวกับได้ชนะในศึกครั้งยิ่งใหญ่ไปแล้ว
“ปีศาจอะไรกันเล่า นี่เรียกว่า Teleport ต่างหาก”
ฟึ่บ!
“อั๊ก”
หน้าอกของคนที่อยู่บนพื้นกระตุกก่อนจะเกิดการกระอักเลือดออกมา เมื่อมองดูดี ๆ จะพบว่าหน้าอกของชายที่กำลังโชคร้ายนี่มีไม้แขวนเสื้อปักอยู่ภายในอกอย่างแนบสนิท ราวกับว่าเขาเกิดมาก็เป็นเช่นนี้แล้ว
ฉึก
แล้วฟินตันก็ทำให้เขาสิ้นสุดความทรมาณลงด้วยดาบคู่ใจในมือ ถือเป็นชีวิตที่สองที่ดาบเล่มนี้ได้พรากไป
 
“เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่หรือเปล่า?”
เมื่อนำร่างของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวไปอำพรางทิ้งที่แม่น้ำใกล้ ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว บอลด์วินก็รีบถามเจ้าชายหนุ่มที่นั่งพักอยู่ทันที
“ไม่แม้แต่แผลเดียวเลย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก”
ฟินตันยิ้มตอบก่อนจะตอบ แล้วจึงหันไปมองเฟลิกซ์ที่กำลังทำความสะอาดพื้นภายในร้านที่มีรอยเลือดอยู่เปื้อนอยู่ ด้วยความวุ่นวายนี้ ทำให้ร้านตัดเสื้อแห่งนี้ต้องถูกปิดก่อนที่ควรจะเป็น
“ให้ข้าช่วยเจ้าดีกว่า”
ฟินตันเดินไปหยิบผ้าขี้ริ้วผืนนึงมา ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าเฟลิกซ์แล้วออกแรงถูพื้นที่มีของเหลวสีแดงเหลืออยู่เล็กน้อย
“ขอบใจเจ้ามากเลยนะ ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมพวกเจ้าถึงถูกเจ้าหน้าที่จากทางการตามล่าเช่นนี้? แล้วดาบเล่มนั้นที่เจ้าใช้น่ะ วิจิตรงดงามมากเสียจริง ไปได้มาจากที่ใดกันหรือ?”
คำถามมากมายถูกรัวถามเจ้าชายหนุ่ม คน ๆ นี้จะว่าไปก็เหมือนตัวของฟินตันสมัยเมื่อก่อนมากพอสมควรเลย ร่าเริงและพูดเก่งแบบนี้เนี่ย แต่ดูดี ๆ แล้ว เฟลิกซ์นี่น่าจะสดใสยิ่งกว่าฟินตันเมื่อก่อนอีกละมัง
“เจ้าได้ยินชื่อของข้าแล้วนี่”
ฟินตันหัวเราะแห้ง ๆ เมื่อตัวตนที่แท้จริงถูกเปิดเผย แต่เฟลิกซ์ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีพิศภัยอะไรถ้าหากว่าช่วยเขากับบอลด์วินจัดการเจ้าหน้าที่ที่เป็ฯจอมเวทคนเมื่อครู่เช่นนี้
“ฟินตันน่ะหรือ ชื่อนี้แล้วมันเกี่ยวยังไงกับที่โดนตามล่าโดยเจ้าพวกบ้าอำนาจพวกนั้นกันเล่า?”
ฟินตันหันไปสบตากับบอลด์วินที่ยืนพิงผนังอยู่ ก่อนจะพยายามสื่อราวกับพวกเขามีพลัง Telepathy ให้มาช่วยตรงนี้เสียหน่อย แต่เขามั่นใจพอสมควรแล้วจากคำพูดเมื่อครู่ของอีกฝ่าย ว่าเฟลิกซ์น่าจะไม่ค่อยพอใจนักกับทางการเป็นแน่
“เจ้าไม่ได้ตามข่าวสารบ้านเมืองเลยหรือยังไง?”
บอลด์วินขยับตัวมาย่อตัวนั่งยอง ๆ ข้าง ๆ ผู้เป็นสหายเก่าแก่เพื่อร่วมบทสนทนา แล้วเริ่มเกริ่นเรื่องราวที่จะนำไปสู่การบอกว่าคนผมสีน้ำตาลตรงหน้าคือใคร
“ก็ต้องตามสิ คนอย่างข้านี่นะจะยอมตกข่าว ว่าแต่เจ้าเถอะ หายไปไหนจากมอนทารามากว่า 6 ปี แล้วจู่ ๆ ก็โผล่มาที่เบรเมนเฉย ๆ เสียอย่างนั้น?”
กลายเป็นบอลด์วินที่โดนถามคำถามมากมายกลับแทน บรรยากาศแบบนี้ดูดีกว่าการนั่งมองกองไฟนิ่ง ๆ ในทุ่งว่างกลางแจ้งในแต่ละคืนกับอัศวินประจำตัวเป็นไหน ๆ เลยจริงด้วย ฟินตันคิดในใจ
เจ้าของกลุ่มผมสีดำสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเริ่มเล่า
“พ่อของข้าถูกสังหารในพระราชวังในตอนวันที่เกิดกบฏของคีย์รัน พ่อของข้าสละชีพให้ข้าหนีออกมาได้กับฟินตัน และใช่... คนตรงหน้าเจ้าคือ... เอ่อ... เจ้าชายฟินตัน ดยุกแห่งนอร์ด”
สิ้นเสียงของบอลด์วิน เฟลิกซ์ก็เบิกตาโพลงขึ้นแล้วมองหน้าของอัศวินหนุ่มสลับกับเจ้าชายหนุ่มหลาย ๆ ทีด้วยความตกใจ
“พ่อของเจ้า... ข้าเสียใจด้วยจริง ๆ เอ๊ะ! แต่เดี๋ยวนะ คนตรงหน้าข้าเป็น... หาาาาา!!”
ฟินตันกับบอลด์วินรีบเข้าไปประครองเฟลิกซ์ไว้ไม่ให้หงายหลังล้มลงจากความช็อก แต่เหมือนการที่ฟินตันไปจับตัวของเฟลิกซ์แบบนี้ก็ยิ่งจะทำให้เขาอาการหนักขึ้นมากกว่าเดิมอีก
“จ- เจ้า ไม่สิ ท่าน ไม่ พระองค์คือ...”
เสียงอันตะกุกตะกักของเฟลิกซ์ทำให้ฟินตันหัวเราะออกมาเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจเลยว่าผู้คนจะตกใจกันทำไมกับสถานะของเขา เขาไม่เห็นยึดถืออะไรกับตำแหน่งที่ได้รับมาแต่กำเนิดนี้เลย อันที่จริงก็ไม่ได้อยากจะเป็นเจ้าชายด้วยซ้ำ
“กระหม่อมขออภัยเป็นอย่างสูงที่ล่วงเกินพระองค์ อีกทั้งยังต้องให้พระองค์มาถูพื้นเช่นนี้อีก แล้วยังบ้านกับร้านโกโรโกโสของกระหม่อม กระหม่อมสมควรตาย ได้โปรดลงดาบที่คอของกระหม่อมได้เลยขอรั-”
“หยุดก่อนเฟลิกซ์ ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย ใจเย็นเสียก่อน”
การรัวคำพูดของเฟลิกซ์ถูกผู้เป็นเจ้าชายขัดกลางคัน เพราะหากปล่อยต่อไปน่าจะต้องวุ่นวายมากกว่านี้เป็นแน่
“แต่...”
“ไม่มีแต่ เจ้าทำตัวตามสบายกับข้าได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้คำราชาศัพท์ด้วยก็ได้ ดูอย่างสหายของเจ้าเป็นตัวอย่างนั่น”
ฟินตันว่าแล้วก็พยักเพยิดไปทางบอลด์วิน
“ตามที่ท่านฟินตันกล่าวเลยขอรับ”
มุมปากของฟินตันกระตุก ก่อนจะเห็นรอยยิ้มกวนประสาทมาจากคนที่พยุงเจ้าของร้านตัดเสื้อนี้อยู่ มันทำให้ฟินตันอยากที่จะ...
“บอลด์วิน สหายของเจ้าจะยิ่งแตกตื่นไปใหญ่ ทำบ้าอะไรหืม...?”
ลูกไฟปรากฏขึ้นในมือของฟินตันสองสามลูก บอลด์วินรู้ได้ทันทีเลยว่าชะตาของเขาใกล้จะขาดแล้วเป็นแน่
“ขอประทานอภัยขอรับ กระหม่อม- เอ๊ย! ข้าขอโทษ ฟินตัน ข้าขอโทษ อย่านะ อ๊ากกกกก”
เมื่อคำที่ออกมาจากปากของบอลด์วินเป็นคำราชาศัพท์ ฟินตันเลยรีบวิ่งไล่บอลด์วินด้วยลูกไฟในมือทันที พร้อมกับส่งลูกไฟพุ่งไปในอากาศด้วยลูกเล็ก ๆ แต่ด้วยบริเวณร้านมันก็มีเพียงเท่านี้ ไม่นานบอลด์วินก็จนมุมอยู่ที่ด้านหน้าของบริเวณลองชุด ส่วนเฟลิกซ์นั้นถูกปล่อยให้ยืนดูความวุ่นวายด้วยอารมณ์ที่ผสมตีกันระหว่างความอึ้งที่ยังคงมีอยู่ และความอายแทนที่ผู้เป็นถึงเจ้าชายของอาณาจักรกลับทำตัวเช่นนี้
“ข้าบอกเจ้ากี่รอบแล้ว หา?”
ฟินตันยิ้มไปพูดไป จะว่าไปมันก็นานมาแล้วที่เขาทำอะไรแบบนี้กับบอลด์วิน ได้ไล่จับอีกฝ่ายจนอีกฝ่ายต้องยอมแพ้จนมุมเช่นนี้มันก็สนุกดีเหมือนกัน เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสมัยยังเด็กเลย
“เจ้าจะไม่ทำจริง ๆ ใช่ไหม? ทำไมถึงได้ยิ้มเช่นนั้น?”
“คิดแบบไหนล่ะ?”
ลูกไฟในมือฟินตันเริ่มขยายขนาดขึ้นและลอยวนไปวนมาเหนือฝ่ามือของผู้ใช้พลังไฟในขณะที่เจ้าตัวยิ้มยิ่งกว่าเดิมอีก
“...”
บอลด์วินกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ แล้วเมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรดี ถึงแม้จริง ๆ ถ้าใช้พลังลมของตัวเองก็อาจจะพอพุ่งตัวหนีได้ แต่สุดท้ายก็น่าจะยิ่งเป็นการจุดไฟให้ฟินตันมากกว่าเดิมอีก จึงเลือกส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปหาเฟลิกซ์แทน
“ข้าเข้าใจแล้ว ๆ อย่าเผาร้านของข้าเลยนะ”
เฟลิกซ์กล่าวขึ้นพร้อมเดินเข้ามาหาฟินตันกับบอลด์วินเพื่อห้ามศึกครั้งนี้ เขาจะจำไว้เลยว่าไม่ควรไปก่อกวนผู้เป็นเจ้าชายคนนี้
“ใช่แล้วล่ะฟินตัน อย่าให้ร้านของสหายของข้าต้องมีรอยไหม้ไปมากกว่านี้เลยนะ”
 
ฟินตันยอมเลิกวิ่งไล่อัศวินคู่กายของตนแล้วกลับไปนั่งลงบนโซฟาที่ลุกจากมาได้ไม่นาน ในส่วนของบอลด์วินนั้นก็มานั่งข้าง ๆ เขาแล้วเช่นกัน มีเพียงเฟลิกซ์ที่ยกเก้าอี้ตัวสูงมานั่งตรงหน้าพวกเขา ไม่ยอมมานั่งด้วยกันที่โซฟาตัวยาวดี ๆ
“ข้าขอแนะนำตัวอีกครั้ง ข้าชื่อฟินตัน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ฟินตันพูดพร้อมกับหันไปมองบอลด์วินที่ก็มองเขาอยู่เหมือนกัน
“ข- ข้า… ข้าพูดคำสามัญได้จริง ๆ หรือ?”
เฟลิกซ์พูดเสียงเบาที่แฝงไปด้วยความกังวลในนั้น
“ได้สิ ทำเหมือนเสียว่าข้าเป็นคนธรรมดาได้เลย”
ฟินตันพูดย้ำอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่ลืมที่จะยกมือของตนไปบีบไหล่ของคนข้าง ๆ ด้วยแรงที่ไม่เบาเท่าไรนัก กันว่าบอลด์วินจะพูดหรือทำตัวอะไรแปลก ๆ และนั้นทำให้คนข้าง ๆ สะดุ้งเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว... ตัวข้ามีนามว่าเฟลิกซ์ ซอนเนินไฮเซอร์ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าชายแห่งนอร์ดเช่นกันนะ”
เฟลิกซ์แนะนำตัวเองสั้น ๆ พร้อมด้วยการค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นการแสดงความเคารพแก่ฟินตัน อันที่จริงเจ้าตัวอยากจะลงไปคุกเข่าบนพื้นให้เหมาะสมด้วยซ้ำ แต่เห็นว่าบอลด์วินกำลังกัดฟันด้วยความเจ็บบริเวณไหล่อยู่ก็หยุดความคิดนั้นไว้
“ที่เจ้าถามข้าก่อนหน้านี้ ดาบเล่มนี้เป็นดาบประจำตัวของข้าเอง ได้รับมาตั้งแต่ก่อนการก่อกบฏแล้ว”
ฟินตันใช้มือข้างที่วางอยู่ที่ไหล่ของบอลด์วินเอื้อมไปหยิบดาบในฝักมาตั้งโชว์ที่พื้นตรงหน้า ส่วนบอลด์วินน้ำถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจที่ไหล่ของตนเป็นอิสระ แล้วจากนั้นก็ลูบบริเวณนั้นหลาย ๆ ทีเพื่อไล่ความเจ็บออกไป
“ข้าขอแสดงความเสียใจด้วยนะ เรื่องของวันนั้นที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น”
เฟลิกซ์กล่าวเสียงเบา เขาพยายามหลีกเลี่ยงการพูดออกมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเลือกแทนคำพวกนั้นด้วยคำว่านั้นแทน
“เพราะเหตุนี้นี่เองล่ะ ที่ทำให้พวกข้าถูกทางการตามล่า ส่วนที่พวกข้ามาอยู่ที่เบรเมนในตอนนี้ก็เพราะ…”
ฟินตันเล่ามาถึงสาเหตุที่เขากับบอลด์วินถูกทางการตามล่า แล้วจึงเว้นช่องว่างให้คนข้าง ๆ ได้เล่าต่อจากเขา อันเป็นคำถามเดียวกันกับที่เฟลิกซ์เคยถามบอลด์วิน
“ข้ากับฟินตันจะเดินทางเข้าไปมอนทาราไปทวงคืนสิ่งที่เคยเป็นของราชวงศ์กลับคืนมา”
เสียงที่หนักแน่นของบอลด์วินช่วยปลุกกำลังใจในตัวเจ้าชายหนุ่มได้พอสมควรเลย หลังจากพักในคืนนี้น่าจะมีแรงเดินทางต่อพอดี
“พวกเจ้าแค่สองคนเองหรือ?”
เฟลิกซ์สงสัยว่าเพียงแค่คนตรงหน้าสองคนจะไปต่อกรอะไรกับกองทัพทั้งทองทัพของอาณาจักรได้ ไหนจะจอมเวทและเอสเปอร์มากมายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ควบคุมจอมเวททั้งหมดนั้นเอาไว้อย่างคีย์รันอีก ไม่ใช่ว่าพลัง Pyrokinesis และ Blast Hand เป็นพลังที่ไม่ได้มีความสามารถในการทำลายล้างสูง แต่หากเอสเปอร์ต้องต่อกรกับจำนวนคู่ต่อสู้ที่มากมายขนาดนั้น ไม่ว่าจะ level 5 หรือ level 6 ที่มีอยู่ในตำนานก็เถอะ ยังไงแค่สองคนก็ไม่อาจรับมือได้ไหวแน่นอน
“ถ้าไม่ลองดูก็ไม่รู้นี่นา แม้ข้ากับบอลด์วินอาจจะไม่ชนะในศึกที่รอข้าอยู่ แต่มันอาจจะปลุกไฟที่เคยมอดไปแล้วในตัวของผู้คนให้กลับมาลุกโชนสว่างจนพวกเขากล้าที่จะปฏิวัติก็ได้”
ฟินตันพูดไปก็ใช้มือจับดาบในมือเขี่ยไปเขี่ยมาบนพื้นเป็นเส้นสายที่มีลักษณะไม่ต่างอะไรจากความกังวลภายในใจของเขาเท่าใดนัก
“ขอโทษด้วยที่พวกข้าทำให้เจ้าต้องวุ่นวายในวันนี้ ไม่ได้พบกันเสียนานแล้วยังทำให้ร้านของเจ้าเสียหายอีก”
บอลด์วินกล่าวแล้วหันจากการมองฟินตันไปหาสหายเก่าแก่ของตน แต่จะว่าไปแล้ว ฟินตันก็ยังไม่ทราบเลยว่าเฟลิกซ์กับบอลด์วินรู้จักกันได้อย่างไร และตอนไหน?
“ไม่เลย เจ้าไม่ต้องขอโทษหรอกบอลด์วิน ดีเสียอีกที่ข้าได้ใช้พลังของข้า แต่พลังของเจ้ากับฟินตันก็สุดยอดไม่ต่างกันเหมือนกันนะ”
พลังจิตของสหายเก่าแก่ของบอลด์วินคือพลังที่หาได้ยากอย่าง Teleport อันเป็นพลังในการเคลื่อนย้ายสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตที่ตัวผู้ใช้พลังกำลังสัมผัสอยู่จากจุดนึงไปอีกจุดนึงได้ทันตาเห็น จากการประมาณด้วยความแม่นยำในการใช้พลังแล้ว เฟลิกซ์น่าจะมีระดับพลังอยู่ที่ level 3 ถึง 4
ปกติแล้วเฟลิกซ์มักจะได้ใช้พลังของเขาในการทำงานเฉย ๆ และเป็นการใช้พลังที่ไม่ใช่จุดสูงสุดที่สามารถใช้ได้ การได้แต่เพียง Teleport วัตถุเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันนั้น หากเทียบกับการได้ Teleport ดาบอันวิจิตรเล่มนั้นรวมไปถึงการใช้ไม้แขวนเสื้อมาเป็นอาวุธแล้วนั้น แบบนี้มันสนุกกว่ากันมากเลย
แล้วถ้าหากว่าเขาได้ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ล่ะ?
แม้อาชีพที่เฟลิกซ์ทำอยู่จะสร้างรายได้ที่ทำให้เขาไม่ขัดสนอะไร และเขาชอบในสิ่งที่ตัวเองทำมาหลายปี แต่หากบอกตามตรงแล้ว เศรษฐกิจที่ซบเซาก็ทำให้รายได้ในธุรกิจของครอบครัวของเขาอันนี้ลดลงไปมากพอสมควรจากช่วงเวลาก่อนการปฏิวัติของคีย์รัน ไอ้คนบ้าอำนาจนั่นมันเข้ามาเปลี่ยนทุกอย่างที่เขาเคยรู้จักให้ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เขาเสียบ้านที่มอนทาราไปก็เพราะหอคอยเวทมนตร์มากมายที่ถูกสร้างขึ้นทั่วเมืองเต็มไปหมด เขากับผู้เป็นพ่อและแม่ต้องได้แยกย้ายกันออกไปทำงานในต่างเมืองเนื่องจากเงินชดเชยที่ได้จากอาณาจักรนั้นเรียกได้ว่าไม่ให้เลยก็ไม่ต่างกัน
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่ชอบทางการของอาณาจักรเลย เขาได้ยินมาเหมือนกันเรื่องที่ราชวงศ์ถูกสังหารหมดสิ้น แต่เนื่องด้วยความที่มันเป็นเรื่องไกลตัว จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แม้ว่าบอลด์วินที่เป็นสหายเก่าแก่ของเขาจะคุ้นเคยกับราชวงศ์มากก็ตามทีจากการที่พ่อของบอลด์วินเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์ของอาณาจักร
แต่จะว่าไปพอมานึกถึงเจ้าชายนามว่าฟินตันดี ๆ แล้ว เฟลิกซ์คลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าบอลด์วินได้เล่าเรื่องของฟินตันให้เขาฟังอยู่บ้างด้วยนี่นา ในอดีตที่เขาและบอลด์วินยังเรียนอยู่ด้วยกันที่โรงเรียนในมอนทารา แต่มันก็นานมาแล้วและเขาก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้เท่าไรนัก
 
“เริ่มจะมืดแล้ว พวกเราขอตัวกันไปหาโรงแรมดีหรือเปล่า?”
คนเป็นเจ้าชายถามคนข้าง ๆ ที่พึ่งโดนบีบไหล่ไปด้วยน้ำเสียงที่ปนความเหนื่อยเจือเอาไว้ วันนี้ฟินตันต้องได้ต่อสู้ตั้งแต่ช่วงเที่ยงของวันที่เขาหยุดพักริมลำธารเล็ก ๆ แล้วยังต้องมาต่อสู้อีกครั้งในช่วงเย็นของวันอีก รวมเข้ากับความเหนื่อยที่สะสมมาอย่างยาวนานของการเดินทางระหว่างเมืองที่ไม่มีโอกาสได้นอนพักบนเตียงนุ่ม ๆ แล้วนั้น วันนี้เขาเหนื่อยมากเลยจริง ๆ
“นั่นน่ะสินะ ดีใจที่ได้เจอเจ้ามากเลยนะเฟลิกซ์ ถ้าหากมีโอกาส-”
“ด- เดี๋ยวก่อน”
การบอกลาของบอลด์วินถูกขัดโดยคนที่ไม่ได้พบเจอมานาน เฟลิกซ์กับมือที่วางอยู่ที่หน้าขาแน่นแล้วไม่ยอมสบตาสหายของตนและเจ้าชายหนุ่มดี ๆ ราวกับมีเรื่องสำคัญมากที่อยากจะพูดอยู่
“อะไรหรือ?”
“คือ...”
เฟลิกซ์สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันมามองฟินตันอย่างแน่วแน่แล้วกล่าวความในใจออกมาเสียงดัง
“ฟินตัน... ให้ข้าร่วมเดินทางไปทวงคืนโคโลเนียกับเจ้าและบอลด์วินด้วยได้หรือเปล่า?”
 
หา...
ฟินตันขมวดคิ้ว