the tale of the wind knight and the fire prince by: kritzy_8 co-planning by: naiya & monk

Chapter 11 - เปลี่ยนเส้นทาง

"เจ้าพูดว่าอะไรนะเมื่อครู่?”
ฟินตันถามเฟลิกซ์ซ้ำเพื่อหวังว่าตัวเองจะได้ยินคำพูดเมื่อครู่ผิดไป อะไรกันที่ทำให้คนที่พึ่งรู้จักกันอยากจะมาร่วมทางเดินทางกับเขาและอัศวินที่รู้จักกันมานานแล้วกัน
"เฟลิกซ์ เจ้าคิดจะทำอะไร?”
บอลด์วินเองก็สงสัยไม่ต่างกับเจ้าชายที่เขาเคารพ ไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่เฟลิกซ์จะต้องอยากมาเสี่ยงอันตรายร่วมทวงคืนอาณาจักรนี้ช่วยพวกเขา
"ข้าอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นน่ะ อีกทั้งจริง ๆ แล้วข้าแค้นที่โดนพวกทางการยึดบ้านของครอบครัวของข้าที่มอนทาราไปสร้างหอคอยเวทมนตร์ เลยได้ย้ายมาอยู่ที่เบรเมนอย่างที่เห็นนี่ล่ะ”
เฟลิกซ์เล่าย่อ ๆ ถึงเหตุผลที่อยากจะเข้าร่วมกับคนสองคนตรงหน้าที่กำลังมองหน้ากันอยู่
"จะดีแน่หรือ?”
ฟินตันถามด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง พร้อมกับส่งสายตาให้บอลด์วินช่วยห้ามสหายเก่าแก่ของเขา
"เจ้าไม่ต้องลำบากหรอกนะเฟลิกซ์ ให้พวกข้าจัดการกันเองเสียเถอะ”
แค่อ่านสายตากันก็สื่อสารกันได้ดั่งมีพลัง Telepathyสมกับเป็นองครักษ์คู่กายของเขาเสียจริง ฟินตันคิดในใจ
"ได้โปรด ข้าขอร้องนะ ฟินตัน...”
เมื่อเฟลิกซ์เห็นว่าคนเป็นสหายเก่าแก่ของตนพูดเช่นนั้น เขาเลยเลือกที่จะพุ่งความตั้งใจตรงไปที่เจ้าชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แทน เพราะถ้าหากฟินตันอนุญาตแล้วล่ะก็ บอลด์วินไม่น่ามีทางขัดคำสั่งได้หรอก ใช่หรือเปล่านะ...
"เจ้าคิดดีแล้วแน่จริง ๆ ใช่หรือไม่?”
ฟินตันไม่อยากให้ใครต้องเข้ามาเสี่ยงชีวิตกับเรื่องที่เขาดูเหมือนจะเป็นต้นเหตุอีกแล้ว แค่บอลด์วินคนเดียวก็เกินจะรับไหวแล้วในตอนที่เกิดรอยแผลรอยใหม่ขึ้นบนผิว หากมีเฟลิกซ์มาเพิ่มอีกคน เขากลัวเขาจะรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ รวมถึงรู้สึกว่าเขามันควรจะตาย ๆ ไปเสียในคืนนรกนั่น
"แน่ยิ่งกว่าแน่เสียอีก ข้ามีพลัง Teleportระดับ level 3 เลยนะ เป็นประโยชน์กับพวกเจ้าได้อย่างแน่นอน”
ฟินตันเดาระดับพลังของเฟลิกซ์ได้ถูกอย่างไม่ผิดเพี้ยน และใช่ คำพูดของเฟลิกซ์ก็ไม่ผิดเช่นกัน เนื่องด้วยเป็นพลังที่หาได้ยากเช่นนี้ ร่วมกับการได้เห็นศักยภาพของมันในการต่อสู้เมื่อครู่แล้วนั้น มันจะเป็นประโยชน์มากในการเดินทางและศึกที่รออยู่ดั่งที่เจ้าของพลังกล่าวจริง ๆ นั่นแหละ
"บอลด์วิน เจ้าว่าอย่างไร?”
ฟินตันหันไปถามความเห็นของคนที่นั่งเปลี่ยนท่าเป็นกอดอกอยู่ข้าง ๆ และนั่นก็ทำให้บอลด์วินขมวดคิ้ว
"เจ้าจะถามข้าทำไมเล่า? เจ้ามีอำนาจในการตัดสินใจมากที่สุดในนี้นะ”
ในเมื่อฟินตันเป็นเจ้าชาย พวกเขาย่อมยอมเชื่อฟังอยู่แล้วหากบอกหรือสั่งให้พวกเขาทำอะไร แต่ทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาถามความเห็นจากเขากัน บอลด์วินสงสัย
การพูดคุยอย่างเป็นกันเองระหว่างอัศวินหนุ่มและเจ้าชายหนุ่มยังคงไม่คุ้นชินดีนักเท่าไหร่ต่อเฟลิกซ์ เขาไม่คิดเลยจริง ๆ นั่นแหละว่าชีวิตนี้จะได้อยู่ใกล้ผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ขนาดนี้ แถมสหายของตนเองยังไปนั่งเสมอระดับกับเจ้าชายคนนั้นและพูดคุยกันด้วยภาษาสามัญราวกับกำลังพูดคุยกับเขาอีก สิ่งเหล่านี้มันดูแปลกผิดไปจากสิ่งที่ควรจะเป็นไปมากเลย
แต่ภายในใจของเฟลิกซ์ก็เกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่ดูสูงส่งอย่างเจ้าชายก็ไม่ได้เห็นว่าจะดูเข้าหายากตรงไหนเลยนี่นา แต่นั่นก็อาจจะเป็นแค่กับเจ้าชายพระองค์นี้ก็ได้ และเขากับฟินตันอาจจะสนิทกันมากกว่านี้ก็ได้หากเวลาผ่านไปมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ขอทำตัวเจียมเนื้อเจียมตัวให้เข้ากับระดับชนชั้นของตนในสังคมไปก่อนดีกว่า
มีสหายเป็นเจ้าชายนี่มันเป็นการเปิดประตูแล้วก้าวขาเข้าสู่สังคมใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นมากเลยไม่ใช่หรือยังไงกัน?
 
"ก็เฟลิกซ์เป็นสหายเก่าแก่ของเจ้า ข้าไม่มีสิทธิ์อะไรไปตัดสินใจในตัวเขาเสียหน่อย ข้าเลยให้เจ้าที่รู้จักเฟลิกซ์มานานเป็นคนตัดสินก็แล้วกันว่าเป็นการดีหรือไม่ที่จะให้เขามาร่วมการเดินทางกับข้าและเจ้า”
เฟลิกซ์เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยกับคำพูดนั้น เจ้าชายอะไรกัน ทำไมถึงพูดคำที่ดูก้าวหน้าเกินกว่าขนบธรรมเนียมมากขนาดนั้นออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนั้น...
เฟลิกซ์เป็นคนธรรมดา แต่นั่นคือเชื้อพระวงศ์ที่มีอำนาจสูง อีกทั้งยังมีพลังจิตที่ดูแกร่งกล้าอย่าง Pyrokinesisกระนั้นก็ยังให้สิทธิในการตัดสินใจให้กับคนที่เหมาะสมแทนที่จะตัดสินใจด้วยตนเอง หากคำพูดที่ฟินตันพูดนี้ออกมาจากปากของสามัญชนคนธรรมดาแล้วล่ะก็ มีหวังได้หัวหลุดออกจากบ่าได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอนเลย
“เจ้าเชื่อใจข้าหรือ?”
บอลด์วินถามด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงกว่าปกติหน่อยนึงพร้อมกับยิ้มหน่อย ๆ เขาจะดีใจมากเลยนะถ้าฟินตันพูดว่าไว้ใจเขาน่ะ
“อื้อ... ข้าเชื่อใจเจ้าเสมอ ไม่เห็นต้องสงสัยเลยไม่ใช่หรือ?”
สิ่งที่หวังได้รับการตอบกลับจากคนตัวเล็กกว่า และนั่นทำให้บอลด์วินอารมณ์ดีเป็นอย่างมากจนเผลอเอนตัวเข้าไปหาคนข้าง ๆ ถ้าเปรียบเขาเป็นสุนัข ตอนนี้ก็คงหูตั้ง ส่ายหาง และกำลังกระโจนเข้าหาเจ้าของอยู่แน่ ๆ
ทุกอย่างนี้ก็อยู่ในสายตาของเฟลิกซ์ตลอด และนั่นทำให้เรื่องราวในอดีตบางอย่างที่เคยเลือนลางไปตามกาลเวลามันเริ่มเด่นชัดขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย เฟลิกซ์ว่าเขารู้แล้วว่าบอลด์วินเคยเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับฟินตันให้กับเขาฟังในสมัยก่อน
แหม... ก้าวหน้าไปมากเสียจริงเลยนะสหายของเขาเนี่ย
 
“ถ้าอย่างนั้น เฟลิกซ์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่?”
บอลด์วินถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดึงใบหน้าที่แอบอมยิ้มเล็ก ๆ ของเฟลิกซ์ให้กลับไปจริงจังดังเดิม
“เห็นข้าเป็นใครกัน ข้าพร้อมที่จะได้ทำเพื่อทวงที่ดินที่เป็นบ้านของข้าคืนจะแย่แล้ว และนำเศรษฐกิจที่ค้าขายของได้เทน้ำเทท่าแบบเมื่อก่อนกลับมาด้วย แถมที่สำคัญ ยังได้เป็นเกียรติในการร่วมสนามรบกับเจ้าชายฟินตันอีกต่างหาก”
เฟลิกซ์ตอบอย่างกระตือรือร้น ฟินตันเลยพยักหน้าสองสามที เขายอมก็ได้ถ้าหากพูดเช่นนี้แล้ว แม้จริง ๆ ภายในใจอยากจะพูดว่าร่วมสงครามกับใครคนไหนก็มีเกียรติเช่นกันนั่นแหละ ไม่เห็นต้องเจาะจงว่าเป็นตัวเขาที่เป็นเชื้อพระวงศ์เลย
“ถ้าอย่างนั้น ยินดีต้อนรับเข้าสู่การเดินทางกับพวกข้านะ เฟลิกซ์”
ฟินตันลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวไปข้างหน้าเฟลิกซ์ แล้วยื่นมือออกมาจับกับมือของคนตรงหน้าเป็นการต้อนรับ
 
หลังจากได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการเดินทางในการกอบกู้อาณาจักรบ้านเกิดแล้ว เฟลิกซ์จึงขอทำอาหารเลี้ยงเจ้าชายและสหายเก่าแก่ของตน รวมถึงให้ผู้มาเยือนทั้งสองได้พักผ่อนที่บ้านของเขาได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือทำอะไรตอบแทน ก็แหม ในนั้นมีเจ้าชายอยู่ด้วยนี่นา
ด้านหลังบริเวณร้านของเฟลิกซ์เป็นบริเวณห้องครัวและห้องรับแขกที่ดูแล้วไม่ได้มีการใช้งานบ่อยมากนัก จากการที่มีเสื้อผ้าและเศษของผ้าวางกองอยู่ทั่วไปหมดจากการใช้เป็นสถานที่ทำงาน ยังดีที่ว่าเสื้อผ้าที่ต้องส่งให้กับลูกค้าทั้งหมดถูกทำเสร็จหมดแล้วเรียบร้อย เพียงย้ายไปฝากไว้กับร้านขายพรมที่อยู่ข้าง ๆ ให้ช่วยส่งให้กับลูกค้าของเขาก็เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากหลังจากนี้ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเมื่อใดเฟลิกซ์จึงจะได้กลับมาที่เบรเมนอีก หรือจะมีโอกาสนั้นหรือเปล่าด้วยซ้ำ
บริเวณชั้นสองและสามเป็นบริเวณทำงานและห้องนอนของตัวอาคาร มีห้องนอนที่ตั้งอยู่ติดกับด้านหน้าของตัวอาคารชั้นงละหนึ่งห้องพร้อมห้องน้ำในตัว กับพื้นที่สำหรับทำเป็นห้องอเนกประสงค์อีกชั้นละหนึ่งห้อง ณ บริเวณด้านหลังของอาคาร ซึ่งเฟลิกซ์ปกติแล้วพักอยู่ที่ห้องนอนบนชั้นสอง เลยให้แขกของเขาทั้งสองพักที่ชั้นสามของอาคารได้ตามสะดวก
 
“น่ากินเสียจริง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทำอาหารน่าทานเพียงนี้”
บอลด์วินชมสหายของตนที่เมื่อก่อนทำอาหารได้ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ไม่นึกว่าวันนึงเมื่อเวลาผ่านไป คำชมนี้จะออกมาจากปากของเขาได้
“เจ้าก็พูดเสียราวกับข้าทำแย่ขนาดนั้นเมื่อคราวนั้น ฟินตันจะไม่กล้ากินอาหารที่ข้าทำเอาน่ะสิหากเป็นแบบนี้”
ฟินตันหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะรินน้ำจากเหยือกใส่แก้วน้ำทั้งสามใบที่วางเอาไว้โดยเจ้าของบ้านเมื่อก่อนหน้านี้ที่เขากับบอลด์วินเอาสัมภาระขึ้นไปเก็บไว้ที่ห้องนอนบนชั้นสาม
"เจ้าไม่เห็นต้องรินให้ข้าเลยฟินตัน ข้าเกรงใจนะนี่”
ได้คนเป็นเชื้อพระวงศ์มารินน้ำใส่แก้วให้เช่นนี้ เฟลิกซ์คงสามารถตายตาหลับอย่างสงบได้แล้วล่ะ มันมากเกินกว่าที่เขาจะได้รับในห่วงชีวิตนี้ไปมากเลย
"เอาเถอะ พวกข้ามารบกวนเจ้านะ ให้ข้าช่วยอะไรนิดหน่อยมันไม่เป็นอะไรหรอก”
อาจจะเพราะทำงานเป็นอาชีพบริกรมากว่า 6 ปี พอเห็นอะไรแบบนี้มือของฟินตันเลยขยับไปเองโดยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยจริง ๆ นี่นา ไม่ได้ลำบากอะไรตัวเขาเลยแม้แต่น้อย
"ว่าแต่เรื่องที่บ้านของเจ้าที่มอนทาราโดนยึดไปสร้างเป็นหอคอยเวทมนตร์นี่ เกิดเมื่อไหร่กัน?”
บอลด์วินถามคนที่สวมผ้ากันเปื้อนอยู่ขณะเดินถืออาหารอีกจานมาวางลงที่โต๊ะรับประทานอาหาร
"ราว 4 ปีมาแล้วล่ะมั้ง ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย แถมเงินชดเชยที่ได้รับจากทางการยังน้อยนิดเสียไม่พอจะหาที่อยู่ใหม่ถาวรได้ทั้งครอบครัวอีก”
เฟลิกซ์ถอนหายใจก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวที่ตั้งอยู่กับโต๊ะเตรียมอาหารภายในบริเวณครัว แล้วจึงตักอาหารเข้าปากไปคำนึง
"ไม่มานั่งด้วยกันเล่า เฟลิกซ์?”
ฟินตันที่เห็นแบบนั้นเลยชวนให้เจ้าของบ้านมานั่งร่วมโต๊ะกับเขาและบอลด์วินดี ๆ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องไปนั่งกินข้าวห่างจากพวกเขาสองคนด้วย
"จะดีหรือ ให้ข้าไปนั่งเสมอกับพระอ- เอ๊ย เจ้าน่ะ?”
เฟลิกซ์ยังคงไม่อยากจะทำตัวเสมอคนที่อยู่ในชนชั้นทางสังคมที่สูงกว่าเท่าใดนัก เพียงแค่ได้พูดด้วยด้วยคำสามัญแบบในตอนนี้ มันก็มากกับเขามากแล้วที่จะยอมรับและทำมัน
"เจ้าดูสหายของเจ้าเป็นตัวอย่างเสียก่อน”
ฟินตันวางช้อนลงกับจาน แล้วชี้ไปที่คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาในตอนนี้
"มานั่งด้วยกันเถอะเฟลิกซ์ ไม่ได้เจอเจ้าตั้งนาน ข้ามีเรื่องอยากจะคุยด้วยเต็มไปหมดเลย”
บอลด์วินตอบแล้วกวักมือเรียกคนผมสีทองให้ลุกจากเก้าอี้ไปร่วมโต๊ะกับเขาและเจ้าชายหนุ่ม
"ก็ได้ ถ้าพวกเจ้าพูดกันขนาดนี้แล้ว”
 
เมื่อย้ายมานั่งด้วยกันที่โต๊ะอาหารเดียวกัน บอลด์วินก็ได้พูดคุยกับสหายของเขาคนนี้มากมายในแบบที่ฟินตันก็ไม่อาจนึกได้ว่าคนที่เขารู้จักมานานคนนี้ก็มีมุมที่พูดคุยเก่งและมากถึงเพียงนี้ อาจจะเป็นเพราะเขาในช่วงหลังมาที่เงียบลงไปบ้างเพราะเรื่องในอดีตมันกระทบกระเทือนจิตใจ เลยทำให้บอลด์วินได้ลดการพูดกับเขาลงให้ตัวเขาไม่รำคาญด้วย
แต่ก็ไม่เคยรำคาญเลยเสียหน่อย เพียงแค่ใจข้างในมันแหลกสลายไปในคืนนั้นเฉย ๆ แค่นั้นเอง
 
"ข้ามีเรื่องอยากจะถามพวกเจ้าเสียหน่อย”
ฟินตันถามขึ้นเมื่อหาจังหวะแทรกบทสนทนาของคนที่ไม่ได้เจอกันนานสองคนได้ เขาสงสัยคำถามนี้มาตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาภายในร้านของเฟลิกซ์แล้ว
"อะไรหรือ?”
บอลด์วินถามด้วยใบหน้าที่แสดงความสุขออกมาชัดเจนจากการได้พูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ กับสหายเก่าแก่ เวลาที่ไม่ได้เจอกันนานเพียงนี้ไม่ได้ทำให้สหายของเขาในวันวานดูเปลี่ยนไปมากเท่าไหร่เลย
เฟลิกซ์ยังเล่าด้วยถึงการเปลี่ยนแปลงของมอนทาราในแบบที่ละเอียดยิ่งกว่าลูกพี่ลูกน้องของบอลด์วินเพิ่มเติมอีกด้วย เรื่อขอการถูกกดขี่และเอาเปรียบมากมายจากผูู้ที่ได้รับอำนาจมากจากผูู้ที่ขโมยมันมาจากเจ้าของเดิมอีกทีเปลี่ยนใให้มอนทาราที่ควรจะเป็นเมืองที่สวยงาม กลับเริ่มตกต่ำทรุดโทรมลงจนกลายเป็นเหมือนแหล่งมั่วสุมของเหล่าจอมเวทกลาย ๆ
พลังแห่งเส้นสายเองก็มีมากจนราวกับผู้คนไร้ซึ่งยางอาย การเก็บส่วยมากมายเพื่อแลกกับการมีชีวิตปกติสุขมีให้เห็นได้บ่อยครั้งจากชนชั้นปกครอง สิ่งที่ปกติแม้แต่การแสดงละครเวทีบางเรื่องยังถูกห้าม เนื่องจากมีเนื้อหาสุ่มเสี่ยงที่จะถูกตีตราว่าเป็นปรปักษ์ต่อการความมั่นคง มีเพียงเนื้อเรื่องเดิม ๆ หรือเนื้อเรื่องที่มาจากการแต่งโดยผู้มีอำนาจเท่านั้นที่สามารถทำการแสดงได้
ผู้คนมากมายถูกทำให้ต้องย้ายที่อยู่เพราะความต้องการจะขยายเขตแดนของพลังเวทด้วยหอคอยเวทมนตร์ คนที่ขัดขืนหากมีความสามารถก็จะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารที่ลับหลังแล้วมีความเป็นอยู่ไม่ต่างจากทาส และต้องเผชิญกับคำสั่งอันวิปริตที่ท้ายที่สุดแล้วก็จบลงด้วยความพิการหรือความตายทั้งสิ้น
ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ที่สนับสนุนคีย์รันและพวกอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มจอมเวทที่เคยเป็นกลุ่มคนที่ถูกละเลยไปจากอาณาจักร พอผู้นำของอาณาจักรเปลี่ยนขั้วจากฝั่งพลังจิตมาเป็นเวทมนตร์แล้วนั้น ชีวิตของพวกเขาย่อมได้รับประโยชน์อย่างมากมาย
นี่ยังไม่นับรวมถึงคนอีกจำนวนหนึ่งที่ข้ามพรมแดนมาจากอาณาจักรรอบข้างเพื่อไขว่คว้าหาผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจในครั้งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นชาวแฟแลนเดรียที่มีความแค้นจากการแพ้สงครามกับโคโลเนียเมื่อครั้งสมัยกษัตริย์วูลแฟรมยังครองอำนาจ เมื่อมีโอกาสที่จะได้ตักตวงผลประโยชน์จากอาณาจักรที่ไม่ชอบนักเช่นนี้แล้ว พวกเขาจึงได้เข้ามาโดยทันทีผ่านการแย่งงานคนในพื้นที่ รวมไปถึงการนำสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาดลักลอบเข้ามาขาย ในส่วนที่ชาวโคโลเนียกลับต้องเสียภาษีนำเข้าจำนวนมากและมีการตรวจสอบที่เข้มงวดและชักช้าจนมักทำให้สินค้าเสื่อมสภาพ
 
“เจ้ากับเฟลิกซ์รู้จักกันได้อย่างไรหรือ?”
ฟินตันถามคำถามที่สงสัยมาพักใหญ่ ๆ ออกไป ยิ่งเห็นสองคนนี้พูดคุยกันอย่างสนิทสนมด้วยแล้วเขาก็ยิ่งอยากรู้กว่าเก่า
“อ๋อ… ข้าลืมไปเลยว่าเจ้าถามข้าเรื่องนี้ก่อนที่ไอ้จอมเวทนั่นจะขัดจังหวะ”
บอลด์วินพึ่งนึกขึ้นได้ว่าในตอนก่อนที่จะได้ต่อสู้กับจอมเวทที่เป็นเจ้าหน้าที่ของทางการเมื่อก่อนหน้านี้ ฟินตันกำลังถามเขาถึงเรื่องของสหายเก่าแก่ของเขาอยู่
"แต่พอเห็นเช่นนี้แล้วข้าก็ไว้ใจแล้วล่ะ ว่าเจ้าไม่ใช่พวกของทางการ ใช่หรือไม่เฟลิกซ์?”
ในทีแรกฟินตันสงสัยในตัวสหายของบอลด์วินคนนี้เล็กน้อยว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับทางการหรือไม่ แต่พอเห็นมุมมองและคำพูดที่มีต่อทางการแล้ว ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันแน่นอนเลย
"แหงอยู่แล้ว ข้าเกลียดคนพวกนั้นจะตาย ส่วนเรื่องข้ากับบอลด์วิน พวกเราเรียนที่โรงเรียนเดียวกันตอนยังอยู่ที่มอนทาราน่ะ ข้ารู้จักหมอนี่ตั้งแต่ตัวแค่นี้เอง ไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่าจะเติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ แถมยังหล่อเหลากว่าเก่าอีก”
บอลด์วินฟังคนที่นั่งตรงข้ามพูดเล่าเรื่องของตนเองให้กับคนที่สงสัยฟังไปก็ลอบมองปฏิกิริยาของคนฟังไปด้วยอยู่เนือง ๆ
แล้วพอเฟลิกซ์พูดเล่าว่าบอลด์วินเติบโตมาหล่อเหลาเช่นนี้เจ้าตัวก็อดที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะภูมิใจไม่ได้ เขาไม่ได้อยากจะพูดว่าตนเองมีเครื่องหน้าที่ดีมากอะไรเสียหรอกนะ แต่การได้ยินคำชมนี้ก็ช่วยเสริมความมั่นใจได้มากเลยทีเดียว แล้วในตอนนั้นเองที่ฟินตันหันมามองหน้าของเขาเข้าก่อนจะหันไปพูดกับเฟลิกซ์
"ข้าก็ว่าอย่างนั้นเช่นกัน เติบโตมาอย่างดีเลยล่ะ แต่นี่ถ้าไม่ได้บอลด์วิน ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะมีโอกาสได้นั่งอยู่ตรงนี้ในตอนนี้หรือไม่”
รอยยิ้มน้อย ๆ และคำพูดจากคนพูดทำให้ใจของบอลด์วินเต้นแรงไปจังหวะนึง และทำให้ยิ้มตามไปด้วย
"ว่าแต่ตลอด 6 ปีเศษที่ผ่านมาเจ้าก็อยู่กับบอลด์วินมาตลอดเลยหรือ? พวกเจ้าเอาแอปเปิลหรือเปล่า?”
เฟลิกซ์ถามพร้อมกับกัดผลแอปเปิลในมือที่เอาไว้เป็นของหวานหลังจากอาหารเย็น และจึงยื่นตะกร้าผลไม้ไปให้แขกทั้งสอง
"ขอบใจ แต่ข้าอิ่มแล้วล่ะ”
"เช่นนั้นข้าขอลูกนึงก็แล้วกันนะ และใช่ ข้าอยู่กับบอลด์วินมาตลอดเลย”
บอลด์วินอยากตั้งใจนั่งฟังเสียมากกว่า เลยไม่ได้รับแอปเปิลในตะกร้ามากินด้วย ต่างกับฟินตันที่เริ่มที่จะคุยสนุก เลยอยากหาอะไรมาทำไปด้วยระหว่างพูดคุย
"อย่างนั้นหรือ แล้วสหายของข้าทำดีกับเจ้าหรือไม่ล่ะนี่?”
บอลด์วินที่ตั้งใจฟังอยู่แล้วก็ยิ่งตั้งใจฟังมากกว่าเดิม ส่วนฟินตันนั้นก็สงสัยเล็กน้อยว่าทำไมคนตรงหน้าถึงถามคำถามนี้ แต่ก็คิดว่าคงจะเป็นการถามไถ่ทั่วไป
"ก็…”
ฟินตันเหลือบมองใบหน้าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เล็กน้อย ทำให้เห็นสายตาที่จับจ้องเขาอยู่ เลยทักท้วงคนผมสีดำข้าง ๆ
"อะไรกันเจ้าน่ะ มองข้าทำไมหรือ?”
บอลด์วินได้ยินแล้วก็เลยหลบสายตาของคนเป็นเจ้าชาย ถูกจับได้เข้าเสียแล้วสิว่าแอบมองอยู่
"ข้าคาดหวังคำตอบนะ”
บอลด์วินที่หลบสายตากลับไปประสานสายตากับคนผมสีน้ำตาลข้าง ๆ พร้อมยิ้มแล้วหัวเราะหน่อย ๆ เขาคาดหวังจริง ๆ นั่นแหละกับสิ่งที่กำลังจะได้ยิน เขาชอบคำชมจากคนอื่นมากมาตั้งแต่เด็กแล้ว และยิ่งถ้ามาจากฟินตันแล้วล่ะก็ เขาจะยิ่งชอบมาก ๆ เลยแหละ
"กดดันข้าหรือเปล่านี่ หืม?”
ฟินตันผลักเข้าไปที่ไหล่ของคนข้าง ๆ เบา ๆ แล้วส่ายหัวให้การกระทำนี้ ก่อนจะหันไปตอบเฟลิกซ์
"อย่าได้ใจไปนักเล่าบอลด์วินกับสิ่งที่ข้าจะพูด แต่ใช่ เจ้านี่ทำดีกับข้ามาเสมอมา ไม่เคยที่จะทำให้ข้าต้องผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่รู้จักกันมา ข้าเป็นหนี้บุญคุณบอลด์วินเยอะมากจริง ๆ”
ก้อนเนื้อในอกของขอลด์วินเต้นรัวจนทำให้มีความรู้สึกปั่นป่วนอยู่ภายในท้อง การได้ยินอะไรเช่นนี้จากคนที่เขารัก มันให้ความรู้สึกที่ดีมากเสียจริง
 
"นี่ บอลด์วิน”
ในตอนที่บอลด์วินกำลังจะเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำที่ชั้นหนึ่งของตัวบ้าน ผู้เป็นเจ้าของบ้านอย่างเฟลิกซ์ก็เข้ามาทักเขาเอาไว้ก่อน
"อะไรหรือ?”
บอลด์วินหันหลังกลับจากการเปิดประตูห้องน้ำเพื่อพูดกับคนที่ไม่ได้พบกันมานาน แต่ทุกอย่างยังคงดูเหมือนเดิมเหมือนกาลเวลาไม่ได้ทำให้พวกเขาเปลี่ยนไปเท่าใดนัก
"ข้านึกได้ถึงอะไรบางอย่างน่ะ เจ้าชอบฟินตันถูกใช่ไหม?”
หมับ!
"เบา ๆ หน่อยเจ้าน่ะ”
มือของบอลด์วินรีบพุ่งเข้าไปปิดปากของคนหน้าตกกระทันที เพราะเกรงว่าคนอีกคนในบ้านหลังนี้ที่อยู่ในบทสนทนาจะมาได้ยินเข้า
"เข้าใจแล้ว ๆ”
เฟลิกซ์พยักหน้าหลาย ๆ ทีพร้อมพูดด้วยเสียงอู้อี้ บอลด์วินจึงยอมปล่อยมือออกจากการปิดปากของเฟลิกซ์
"จะว่าไปข้าก็เคยเล่าเรื่องของฟินตันให้เจ้าฟังไปตั้งแต่สมัยเมื่อก่อนนี่นา”
บอลด์วินค่อย ๆ นึกตามก่อนจะจำได้ถึงวันวันนึงในอดีตที่เขาเล่าเรื่องของคน ๆ นี้ที่เขาชอบให้กับสหายคนสนิทได้ฟัง
"ใช่ แล้วข้าพึ่งนึกมันออกเมื่อครู่นี้นี่เองตอนที่เห็นการกระทำของพวกเจ้าสองคน แล้วนี่เจ้ายังไม่ได้สารภาพออกไปอีกหรือ? พวกเจ้าเหมาะสมกันจะตาย”
เฟลิกซ์พูดรัวยาวแล้วตำหนิสหายของตนที่ยังไม่ได้สารภาพความในใจที่มีต่อเจ้าชายของอาณาจักรออกไปอีกจนเวลาล่วงเลยมาถึงขณะนี้ ถ้าหากมีใครมาตัดหน้าบอลด์วินไปก่อนเข้าล่ะก็ เขาจะหัวเราะซ้ำเติมให้เสีย
"ก็... ใครมันจะไปกล้ากันเล่า นั่นเจ้าชายนะ แถมเหตุการณ์เมื่อ 6 ปีก่อนยังกระทบจิตใจพวกข้ามาก และโดยเฉพาะฟินตันน่ะ... ข้าไม่รู้ว่าเขาจะพร้อมหรือเปล่า”
ประโยคสุดท้ายบอลด์วินพูดเสียงอ่อย เขาไม่รู้เหมือนกันว่าฟินตันพร้อมหรือยังกับเรื่องราวที่เขาอยากจะร่วมสร้างกัน แม้ภายนอกฟินตันอาจจะดูปกติและร่าเริงดี แต่จากการที่เขารู้จักเจ้าชายพระองค์นี้มานาน ภายในใจของฟินตันนั้นราวกับเป็นความลับสุดยอดของอาณาจักรอย่างไรอย่างนั้น และบ่อยครั้งที่คนที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งคนนั้นจะเก็บหรือแบกอะไรเอาไว้มากมายจนกว่ามันจะระเบิดออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้ามากนัก
"ถ้าอย่างนั้นก็หัดเข้าหาฟินตันให้มากกว่านี้เสียนับแต่วันนี้เป็นต้นไป ประเดี๋ยวข้าจะช่วยสนับสนุนเจ้าเองอีกแรง”
บอลด์วินขมวดคิ้ว แล้วจะทำอย่างไรดีเล่าแบบนี้ แล้วที่บอกว่าจะช่วยสนับสนุนเขานี่ อย่างไรกัน?
 
"อ๊ะ เจ้ามาทำไมกัน?”
หลังจากพูดคุยกันต่อเพื่อทำความรู้จักกันอีกหน่อยหลังเวลาอาหาร เฟลิกซ์ก็ขอตัวไปจัดเตรียมข้าวของสำหรับการเดินทางไกลเข้าสู่เมืองหลวง และปล่อยให้แขกของเขาทั้งสองคนได้ทำตัวตามสบายและพักเหนื่อย โชคดีที่ที่บ้านของเฟลิกซ์มีห้องอาบน้ำอยู่ที่ทั้งชั้นหนึ่งและสอง ทำให้ฟินตันกับบอลด์วินไม่ต้องต่อคิวรอเข้าไปชำระล้างร่างกายให้หายเหนื่อย และที่บริเวณชั้นสามของอาคารก็ยังมีห้องนอนที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยแต่ยังสะอาดดีอยู่ถึงสองห้อง ที่ปกติแล้วจะเอาไว้รับรองแขกหรือยามที่คนในครอบครัวของเฟลิกซ์มาเยี่ยมเยือน ทำให้แขกของเขาในวันนี้ทั้งสองคนต่างได้ห้องนอนส่วนตัวกันไปคนละหนึ่งห้อง
แต่ไม่รู้ทำไมในขณะที่ฟินตันกำลังจะหยิบเสื้อมาสวม คนที่อยู่อีกห้องก็เดินมาเคาะห้องของเขาเสียอย่างนั้น
"ช่วยดูแผลที่ขาให้ข้าหน่อยจะได้หรือเปล่า?”
พอเปิดประตูออกไปฟินตันก็พบบอลด์วินในเสื้อแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นที่ใส่นอนได้สบายยืนอยู่ที่กรอบประตูห้อง พร้อมร้องขอคนในห้องในช่วยตรวจดูแผลที่ได้รับมาเมื่อช่วงเที่ยงวันให้เขาหน่อย
ทันทีที่ประตูเปิดออก บอลด์วินขมวดคิ้วเล็กน้อยกับภาพตรงหน้าที่เห็น
ทำไมฟินตันไม่สวมเสื้อกัน?
"มานี่เสียสิ”
ฟินตันได้ยินแบบนั้นก็เดินไปตบลงที่เตียงให้คนที่ผมยังเปียก ๆ อยู่มานั่งลง ส่วนตัวเขาก็เดินไปหยิบกล่องอุปกรณ์พยาบาลมาย่อตัวลงนั่งที่พื้นข้างเตียง แต่ก็มีความสงสัยเล็ก ๆ อยู่ว่าอันที่จริงบอลด์วินก็น่าจะตรวจดูแผลเองได้ไม่ใช่หรือยังไงกัน ไม่ใช่แผลในที่ที่เอื้อมมือไปทำได้ยากแบบตรงหัวไหล่หรือหลังเสียหน่อย
"เจ้าสวมเสื้อเสียก่อนดีหรือไม่? ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่สบายเอา”
สายตาของบอลด์วินมองเห็นผิวที่ปกติจะมีเสื้อสวมทับอยู่แล้วรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา แม้จะมีรอยแผลเป็นบ้างเล็กน้อยที่แขน แต่ลำตัวที่เหลือของฟินตันนั้นเรียกได้ว่างดงามสมกับคำว่าเจ้าชายที่เจ้าตัวเป็นเลยจริง ๆ
และนั่นมันไปกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างของบอลด์วินเข้า
"ข้าร้อนน่ะ เอาไว้หลังจากตรวจดูแผลให้เจ้าก่อนก็ได้”
อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเดือนเมษายน ประกอบกับอากาศของปีนี้ที่อุ่นมากกว่าปกติและพลังจิตของฟินตันที่ส่งผลให้อากาศรอบตัวอุ่นกว่าเดิมแล้วนั้น ฟินตันเลยอดไม่ได้ที่จะเปลือยท่อนบนเช่นนี้ไปก่อนให้ร่างกายเย็นลง
"อืม… เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า”
บอลด์วินถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่อยากไปขัดอะไรคนตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังเริ่มมองดูแผลที่เริ่มจะหายดีแล้วของเขา โพชั่นที่ได้มาจากเทรว่านี่มีประโยชน์มากจริง ๆ
"ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”
ฟินตันกดมือลงวนรอบแผลที่ขาที่ลากเป็นทางยาวนั้นเบา ๆ ในขณะที่ถามเจ้าของแผลไปด้วย
"ดีขึ้นมากแล้วล่ะ เพราะได้เจ้าทำแผลให้เลยนะนั่น”
บอลด์วินชมคนตรงหน้าก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้กลุ่มเส้นผมสีน้ำตาลตรงหน้าด้วยความเอ็นดู และนั่นทำให้ฟินตันสะดุ้งเล็กน้อยและขยับออก
"วันนี้เจ้าเป็นอะไรของเจ้ากัน ตั้งแต่เมื่อตอนหัววันแล้ว?”
เจ้าชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงที่ไม่พอใจนัก เขาสงสัยว่าอะไรเข้าสิงสหายของตนหรือเปล่า ทำไมวันนี้สหายของเขาถึงเอ็นดูเขาเกินกว่าปกติ มันไม่ใช่ว่าฟินตันไม่ชอบหรอกนะที่มีคนเอ็นดู แต่พอมันเป็นสหายของเขาแล้วเช่นนี้ แถมเป็นการเอ็นดูที่มากกว่าปกติกับการกระทำโดยทั่วไปของบอลด์วินแล้ว มันเลยทำให้เขาอดที่จะถามออกไปไม่ได้
"เจ้าน่ารัก...”
บอลด์วินพูดออกมาเสียงเบาโดยลืมตัว เลยรีบเงียบปากทันที
"เจ้าว่าอะไรนะเมื่อครู่?”
และด้วยเพราะมันเบามาก ฟินตันเลยไม่ได้ยินชัดเท่าไรนัก
"ข้าอยากตอบแทนเจ้าเฉย ๆ ไม่มีอะไรเสียหรอก”
บอลด์วินตอบด้วยคำตอบใหม่ อันที่จริงก็ทำไปเพราะเขาได้รับการดูแลที่ดีโดยฟินตันนี่แหละ แถมคนตรงหน้าน่ารักขนาดนี้ ใครเล่าจะไปอดทนไหว
"งั้นหรือ... แผลของเจ้าทาด้วยโอสถและโพชั่นอีกหน่อยก็น่าจะหายดีเหมือนไม่เคยมีภายในสองวันละมั้ง”
ฟินตันพยักหน้ารับคำแล้วทายากับโพชั่นลงไปที่ขาของบอลด์วินเพื่อเร่งการรักษาแผลของร่างกายให้เร็วขึ้น
"ข้าขอถามอะไรบางอย่างกับเจ้าได้หรือเปล่า?”
จู่ ๆ บอลด์วินก็ได้ความคิดอะไรบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว และมันเป็นความคิดที่จะช่วยเติมเต็มการเดินหน้าเข้าหาฟินตันได้ด้วยอย่างที่เฟลิกซ์บ่นเขาไป จึงไม่รีรอทันทีที่จะเริ่มลองเสี่ยงดูในวิธีการนี้
"อะไรหรือ?”
ฟินตันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับบอลด์วินแล้วตอบ ก่อนจะล้มลงไปพันผ้าพันแผลในมือต่อให้เสร็จ
"ที่เจ้าบอกว่าเจ้าติดหนี้บุญคุณข้ามากมายน่ะ คือ...”
บอลด์วินค่อย ๆ เกริ่นนำเรื่องในใจที่อยากจะขอของเขา สายตาของเจ้าตัวเองก็เริ่มอยู่ไม่นิ่งด้วยความประหม่า เลยได้มองลอกแลกไปทั่วทั้งห้อง
"เรื่องนั้นน่ะเหรอ ทำไมหรือ?”
ฟินตันคิดว่าจะเป็นเรื่องอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง แต่แปลกดีเหมือนกันที่เรื่องนี้ถูกนำขึ้นมาพูดโดยบอลด์วิน เพราะปกติจะเป็นตัวเขาเองที่ขอบคุณและรู้สึกเปี่ยมล้นไปกับการกระทำของอีกฝ่ายที่มีให้เขามาตลอดช่วงเวลาที่ได้รู้จักกัน
"ถ้าข้าขอร้องเจ้าให้เจ้าทำอะไรเป็นการตอบแทนข้า มันจะมากเกินไปหรือเปล่าที่ข้าจะขอ?”
ฟินตันขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากคนตรงหน้าตนเอง มันแปลกมากเสียจริง ๆ ที่จู่ ๆ บอลด์วิน คนที่เคารพเขาด้วยใจและพยายามไม่ทำตัวเสมอเขามากเกินไปจะทำตัวตามที่เขาอยากให้ทำขึ้นมา
"หืม? เดี๋ยวนี้เจ้าจะหัดทำตัวเสมอข้าขึ้นกว่าเดิมแล้วหรือ แต่ก็ว่ามาเสียสิ ถ้าเป็นเจ้า ข้าพร้อมทำให้เป็นการตอบแทนอยู่แล้ว”
แต่จริง ๆ แล้วฟินตันก็ไม่ติดขัดอะไรหรอกนะถ้าหากว่าได้ทำตามคำขอของบอลด์วินบ้าง เพราะตลอดมามีแต่บอลด์วินที่รับฟังคำขอของตนมาโดยตลอด แล้วถ้ายิ่งเป็นบอลด์วินแล้วด้วยนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไม่ลองฟังดูก่อนเลย
"ถ้าอย่างนั้น...”
เมื่อได้ยินคำอนุญาตจากฟินตัน ใจของบอลด์วินยิ่งเต้นรัว เขาจึงค่อย ๆ เอ่ยคำขอของตนออกมาช้า ๆ
   “...”
"คืนนี้ข้าขอนอนด้วยจะได้หรือเปล่า?”
คำขอที่บอลด์วินอยากขอก็คือ การนอนกับคนน่ารักในค่ำคืนนี้นั่นเอง
 
"เจ้านอนที่พื้นมันจะดีหรือ ขึ้นมานอนบนเตียงกับข้าก็ได้นะ”
ฟินตันแปลกใจกับคำขอของบอลด์วินมากพอสมควร มันเหมือนเรื่องราวมันกำลังสลับกันแปลก ๆ เพราะปกติแล้วจะเป็นตัวเขาที่ไปขอร่วมนอนด้วยกับอีกฝ่าย เนื่องจากการได้อยู่ใกล้ ๆ บอลด์วินจะทำให้เจ้าชายหนุ่มรู้สึกปลอดภัยและสบายใจมากอย่างบอกไม่ถูก แต่เหตุใดทำไมจู่ ๆ ในตอนนี้กลับกลายเป็นบอลด์วินไปได้ที่มาขอร่วมนอนด้วยในห้องห้องเดียวกับเขา
"แค่เจ้าอนุญาตก็มากพอแล้วล่ะ ไม่เป็นอะไรหรอก”
บอลด์วินว่าพลางวางหมอนที่หยิบมาจากห้องนอนอีกห้องลงที่ฟูกนอนบนพื้นที่ปูลงข้าง ๆ เตียงที่ฟินตันนอนไปพลาง ส่วนฟินตันที่ตอนนี้สวมเสื้อเรียบร้อยแล้วนั้นกำลังนั่งชันเข่ากอดหมอนแล้วเอาหน้าแนบไว้อยู่บนเตียงด้วยความเพลียและพร้อมที่จะนอน
"เตียงมันกว้างอยู่น่า ขึ้นมาเถอะ”
ฟินตันพูดเชิญชวนอีกครั้งพร้อมกับตบ ๆ ที่ที่ว่างข้างตัวเขาสองสามที บอลด์วินไม่เห็นต้องไปนอนที่พื้นเลย เตียงนี้กว้างกว่าเตียงของเจ้าตัวที่นอร์ดที่เขาไปอาศัยหลับนอนด้วยเป็นครั้งคราวเสียอีก
"ไม่เป็นอะไรจริง ๆ เจ้าพักผ่อนเสียเถอะ วันนี้พวกเราเจออะไรมากันมากแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีแรงเดินทางเอา”
บอลด์วินยกมือปัดไปมาบนอากาศเป็นการปฏิเสธ ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มถึงบริเวณท้องแล้วล้มตัวลงนอนกับฟูก แม้ใจจริงจะอยากทำดั่งคำเชิญชวนของอีกฝ่ายก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเขาได้อยู่ใกล้กับฟินตันในตอนนี้แล้วล่ะก็ คงจะยากมากแน่นอนในการห้ามตัวเองให้ไม่คว้าอีกฝ่ายเข้ามากอด
"ตามใจเจ้าแล้วกันถ้าเช่นนั้น”
ฟินตันไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ตั้งแต่บอลด์วินมาขอนอนกับเขา ทั้ง ๆ ที่ก็ได้มีห้องนอนส่วนตัวจากเฟลิกซ์เช่นกับเขา แล้วพอมานอนด้วยที่ห้องนอนเดียวกัน ก็กลับเลือกที่จะปูฟูกนอนบนพื้นอีกต่างหาก แปลก...
เจ้าชายบนเตียงยักไหล่ทีนึงแล้วล้มตัวลงนอนบ้าง แล้วจึงเอื้อมมือไปที่เส้นเชือกที่เชื่อมกับโคมไฟบนเพดาน แต่ก่อนอื่นน่าจะถามคนร่วมห้องเสียก่อนว่าถ้าเขากดปิดไฟเสียแต่ตอนนี้เลยจะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายหรือไม่
"บอลด์วิน ข้าขอปิดไฟจะได้หรือเปล่า?”
ศีรษะของบอลด์วินหันมาหาฟินตันก่อนจะตอบ
"ได้เลย ข้าก็จะนอนแล้วเช่นกัน”
ได้คำตอบเช่นนั้น แสงสว่างภายในห้องนอนจึงมืดลง เหลือแค่เพียงแสงจากดวงจันทร์เสี้ยวภายนอกหน้าต่างที่สาดแสงสีขาวเย็นผ่านกลุ่มเมฆหนาเข้ามาในห้องพอให้ไม่มืดสนิท
"ราตรีสวัสดิ์นะ”
ฟินตันพูดก่อนจะล้มตัวลงกับเตียงอีกรอบ
"อื้อ ราตรีสวัสดิ์ขอรับ ท่านดยุกแห่งนอร์ด”
ฟินตันที่กำลังจะหลับตาถึงกับตาสว่างและเลือกโยนหมอนอีกใบหนึ่งลงไปข้างล่างเตียงเพื่อเป็นการลงโทษที่บอลด์วินเรียกเขาด้วยชื่อยศ
"โอ๊ย! อะไรกัน เจ้านี่นะ”
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโวยวายของคนที่โดนหมอนใบดังกล่าวตกลงมาใส่ใบหน้าเต็ม ๆ อย่างแม่นยำ
"ข้าให้เจ้าพูดใหม่อีกครั้ง”
ฟินตันสั่งด้วยเสียงแข็ง เขาคิดว่าบอลด์วินจะทำตัวเสมอกับเขามากกว่าเดิมเสียอีกจากคำขอของเขา แต่อีกฝ่ายก็ยังเรียกเขาด้วยชื่อยศอยู่ดี
"ร- ราตรีสวัสดิ์นะฟินตัน”
"อื้อ… ดีมาก”
ฟินตันพยักหน้าด้วยความพอใจเล็ก ๆ ก่อนจะเริ่มหลับตาลงเพื่อเตรียมเข้านอน ได้นอนบนเตียงนุ่ม ๆ เช่นนี้นี่มันดีที่สุดจริง ๆ
 
แปะ
แปะ
ซ่า...
สายฝนโปรยลงมาอย่างหนักหน่วงในยามค่ำคืนของเมืองเบรเมน สายฝนที่ตกหนักเช่นนี้เป็นข้อยืนยันได้อย่างดีของฤดูกาลที่เปลี่ยนผ่านออกจากฤดูหนาวที่เจ้าชายที่มีดวงตาสีน้ำตาลไม้สปรูซโปรดปราน และก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งปีที่ธรรมชาติได้ผลิบานสะพรั่ง แต่งแต้มสีเขียวที่แซมด้วยสีสันสดใสอื่น ๆ มากมายแทนสีขาวโพลนของหิมะอันเยือกเย็น
เปรี้ยง!
สายฟ้าฟาดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างความสั่นไหวไปทั่วผืนธรณีราวกับพระเจ้าได้พิโรธแล้วเหยียบย่ำเท้าลงบนพื้นโลกเป็นการลงโทษมนุษย์ ตามมาด้วยเสียงดั่งสนันหวั่นไหวไปทั่วทั้งผืนฟ้า และในที่สุดเจ้าชายที่กำลังหลับอยู่อย่างสบายก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะความตกใจในเสียงดังนั้น ที่ครั้งล่าสุดมันผ่าลงที่ไม่ไกลไปจากที่ ๆ เขานอนหลับอยู่
ฟินตันเหลือบมองไปทางซ้ายและขวา บรรยากาศในห้องถูกแต่งแต้มด้วยแสงวูบวาบกระพริบสีขาวเป็นพัก ๆ จากนอกหน้าต่าง สายตาของเขาหันไปมองคนที่นอนอยู่ด้านข้างเตียงของเขาก็เห็นว่าบอลด์วินยังหลับสนิทอยู่อย่างเป็นปกติ พอฝนตกเช่นนี้แล้วอากาศก็เย็นลงจนเริ่มหนาวหน่อย ๆ แล้วสิ
โดยไม่ต้องคิดให้มาก ฟินตันค่อย ๆ ขยับตัวหอบผ้าห่มที่เขาห่มอยู่ใส่มือแล้วแทรกตัวไปบนที่ว่างเล็ก ๆ ข้าง ๆ คนเป็นอัศวินที่ยังคงหลับสนิท ไหนบอกว่าแม้หลับอยู่ก็รู้ยังไงว่ามีคนเข้ามาใกล้ จนฟินตันวางศีรษะลงกับหมอนอีกใบที่เขาโยนลงมาใส่หน้าของบอลด์วินแล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าเลยว่าจะรู้สึกตัวถึงการมาของเขา
"อือ… หืม… ฟินตัน?”
เอ... หรือว่าจะจริง? เพราะในตอนที่คนเป็นเจ้าชายกำลังจัดผ้าห่มให้อุ่นเข้าที่อยู่นั่นเอง ดวงตาคู่สีฟ้าที่ตัดกับความมืดมิดยามราตรีก็ลืมขึ้นปรากฏตรงหน้าเขาพร้อมเรียกชื่อเขาด้วยความงงงวยและง่วงซึม
"อ๊ะ เอ่อ… ข้าหนาวน่ะ ขอข้านอนด้วยคนสิ”
ฟินตันเกาที่ท้ายทอยสองสามทีเมื่อรู้ว่าเขาทำอีกฝ่ายตื่น ก่อนจะรีบจัดผ้าห่มให้เข้าที่มากที่สุดเพื่อจะไม่รบกวนคนที่กำลังใช้หลังมือถูไปมาบริเวณใบหน้าอยู่
"ฝนตกหรือ?”
เสียงที่สะลืมสะลือยังคงถามคำถามเขาต่อ ในตอนนี้บอลด์วินน่าจะตื่นเต็มที่พอ ๆ กับฟินตันแล้ว พอประสาทสัมผัสทำงานอย่างเต็มที่ บอลด์วินก็รู้สึกได้ถึงเสียงซ่าดังและเสียงดังสั่นไหวจากด้านนอกตัวบ้าน
"อื้อ แล้วเผอิญว่าข้าใส่ชุดที่มันบางไปเสียหน่อย”
ฟินตันที่รู้สึกร้อนหน่อย ๆ ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำได้เลือกที่จะใส่ชุดนอนเป็นเสื้อแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นบาง ๆ เท่านั้นเพื่อให้ร่างกายเย็นสบาย ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมช่วงหัวค่ำถึงร้อนเช่นนั้น เพราะฝนมันจะตกนี่เอง
"มานี่มา”
"เหวอ! บ- บอลด์วิน!”
โดยไม่รีรอหรือขออนุญาต บอลด์วินช้อนตัวฟินตันอุ้มขึ้นไปวางบนเตียงอย่างรวดเร็วจนคนโดนอุ้มร้องโวยวายออกมา แต่ก็โวยวายได้ไม่นานเพราะบอลด์วินโยนผ้าห่มทั้งสองผืนและหมอนของตนเองขึ้นมาบนเตียงตาม
"เจ้าทำอะไรของเจ้ากัน!?”
สัมผัสจากมือข้างหนึ่งของบอลด์วินที่โอบรองบริเวณต้นขาก่อนจะไล่ไปที่ข้อพับและอีกข้างที่แผ่นหลังทำให้ฟินตันรู้สึกร้อนที่ใบหูเป็นอย่างมาก ตลอดทั้งชีวิตที่เขารู้จักกับคน ๆ นี้มา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่อีกฝ่ายทำอะไรแบบนี้ด้วย แล้วจริง ๆ ก็ไม่เห็นจะต้องทำอะไรน่าอายแบบนี้เลย ตัวเขาเองก็ลุกขึ้นกลับมาบนเตียงได้ด้วยตนเองไม่ใช่หรือ แล้วถ้าเกิดมีคนรู้ว่าเจ้าชายแห่งอาณาจักรถูกอุ้มโดยผู้เป็นอัศวินเนี่ย มันจะไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูอ่อนแอลงกว่าเก่าหรือ
เมื่อดึงผ้าห่มออกจากการปิดบังใบหน้า ฟินตันก็เห็นบอลด์วินแทรกตัวขึ้นมาบนเตียงบนที่ว่างข้าง ๆ เขา ก่อนจะค่อย ๆ สบสายตาประสานเข้าหากัน
"นอนได้แล้วเจ้าน่ะ”
บอลด์วินพูดพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มถึงอก ฟินตันพอได้สบตากับอีกฝ่ายแล้วเช่นนี้ก็รู้สึกแปลก ๆ จนต้องละสายตาไปมองทางอื่นแทน
"ไม่เห็นจะต้องอุ้มข้าเลย…”
ฟินตันว่าเสียงเบา แล้วจึงค่อย ๆ เอนกายลงที่เตียงนุ่ม ก่อนจะขยับออกให้พอมีระยะห่างระหว่างเขากับคนอีกคนบนเตียงพอประมาณ
"แบบนี้มันเร็วกว่านี่นา”
บอลด์วินตอบ พร้อมเอื้อมมือมาดึงผ้าห่มให้ห่มคนตัวเล็กสูงขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะบอกฝันดีอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สองของคืน
"ฝันดีนะ”
 
"เอาล่ะ ข้าเก็บของพร้อมเรียบร้อยแล้ว เริ่มเดินทางไปมอนทารากันเลย!”
เสียงอันสดใสของเฟลิกซ์ที่เหมือนจะสดใสแข่งกับอากาศหลังฝนตกตอนเช้าที่มีท้องฟ้าใสสีครามสวยไร้เมฆยังไงอย่างนั้นเอ่ยขึ้นเป็นการส่งสัญญาณว่าเขาพร้อมแล้วที่จะร่วมเดินทางไปกับฟินตันและบอลด์วิน
"บอลด์วิน ขอแผนที่ที่ข้าวาดหน่อยสิ”
ฟินตันหาวหนึ่งทีแล้วเอื้อมมือไปขอแผนที่ที่เขาวาดเอาไว้ขณะวางแผนว่าจะต้องเปลี่ยนเส้นทางไปทางไหนดีถึงจะใช้เวลาเดินทางสั้นที่สุด
"นี่”
บอลด์วินยื่นกระดาษสีอมเหลืองแผ่นนึงที่พับไว้เอามาให้ตามคำขอของผู้เป็นเจ้าชาย ก่อนที่จะแอบลอบมองใบหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย
เมื่อคืนนี้ฟินตันนอนไม่ค่อยจะหลับเท่าใดนักเนื่องจากมีเสียงฟ้าร้องรบกวนการนอนของเขา แล้วยังมีความรู้สึกแปลก ๆ ภายในใจที่มันทำให้ใจของเขาเต้นแรงไปมาอีก จนกว่าจะหลับได้ก็พักใหญ่ ๆ เลย พอตื่นมาในยามเช้านี้เลยยังงัวเงียพอสมควร
"นี่คือเส้นทางที่ข้าวางแผนเอาไว้”
ฟินตันแสดงแผนที่ที่เขาวาดเอาไว้ให้กับผู้ร่วมทางคนใหม่ได้ดู เผื่อว่าเฟลิกซ์จะมีความสามารถในการอ่านและจำแผนที่ได้ดีกว่าคนที่เขาเดินทางมาด้วยตลอด
"แล้วเส้นสีดำที่ถูกขีดฆ่านี่คืออะไรหรือ มันใกล้กว่าเส้นทางนี้ไม่ใช่หรือ?”
เฟลิกซ์ถามพร้อมชี้ไปที่เส้นทางการเดินทางเส้นทางเดิมตามแผนการเดินทางของฟินตัน
"พอดีมีเรื่องเล็กน้อยระหว่างทางมาที่เบรเมนน่ะ แล้วพวกข้าเลยจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางไปจากเส้นทางเดิม มิเช่นนั้นอาจจะพบกับกองกำลังขนาดใหญ่ที่กำลังรออยู่แทนความสงบสุขได้”
บอลด์วินตอบแทนคนที่เป็นคนวางแผนการเดินทาง เฟลิกซ์จึงได้พยักหน้าหงึกหงักหลาย ๆ ทีเป็นการเข้าใจถึงสถานการณ์
"เจ้ามั่นใจแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่เฟลิกซ์? ตอนนี้เจ้ายังถอนตัวทันอยู่นะ”
ฟินตันพับแผนที่กลับแล้วส่งให้บอลด์วินเก็บเอาไว้ จากนั้นจึงหันไปถามเจ้าของใบหน้าตกกระว่าเขาแน่ใจแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่กับการเข้าร่วมกับพวกเขา เนื่องจากอันตรายต่าง ๆ มันกำลังรออยู่ในอนาคตอย่างแน่นอน การถอนตัวในตอนนี้มันยังทันอยู่ที่จะทำ
"ข้ามั่นใจเสียยิ่งกว่าอะไรอีก”
ฟินตันได้ยินก็ยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะพยักหน้า
"ถ้าเช่นนั้น พวกเราไปกันเถอะ”