จุดหมายปลายต่อไปที่จะเป็นจุดหยุดพักในการเดินทางครั้งนี้คือเมืองที่ชื่อว่าฮันโนฟ์วา
ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางรวมทั้งสิ้นสองวัน
ฮันโนฟ์วาเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญของอาณาจักร
เป็นผู้ผลิตสินค้าแปรรูปต่าง ๆ
มากมายที่ถูกใช้งานทั้งในอาณาจักรและรวมถึงการส่งออกไปยังต่างแดน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าจากเส้นไหมเช่นเสื้อผ้าและของใช้สิ่งทออื่น
ๆ อย่างผ้าม่านและพรม หากถามชาวโคโลเนียแล้วว่าหากต้องการเสื้อผ้า
พรม
หรือแม้แต่เครื่องนอนคุณภาพเยี่ยมและมีลวดลายอันวิจิตรได้ที่ใดแล้วนั้น
ร้อยทั้งร้อยก็ต้องมีชื่อเมืองแห่งนี้อยู่ในคำตอบเสมอว่าเป็นสถานที่ที่ต้องเดินทางมาเยี่ยมเยือนเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าเหล่านั้น
ด้วยความที่เมืองแห่งนี้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางของการค้าขายของอาณาจักร
และเสริมเติมความพิเศษเข้าไปอีกขั้นด้วยสินค้าของเมืองที่มีความเฉพาะตัว
ทำให้เมืองแห่งนี้มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่นพอ ๆ
กับเมืองอย่างเบรเมนที่เฟลิกซ์อยู่อาศัย
รวมถึงมีการพัฒนาเป็นอย่างมากในด้านต่าง ๆ
จนมีความเจริญทัดเทียมเมืองใหญ่กว่ามากมายแม้กระทั่งเทรว่า
หลังจากเริ่มออกเดินทางออกจากเบรเมนได้ครู่หนึ่ง
ฟินตันก็รู้สึกว่าการได้เฟลิกซ์เข้าร่วมการเดินทางด้วยนั้นเป็นข้อดีมากเสียจริง
เนื่องด้วยความรู้สึกแปลก ๆ
ที่เขามีต่อบอลด์วินจากเหตุการณ์ตอนเมื่อวานและเมื่อคืน
ทำให้เจ้าตัวมองหน้าอีกฝ่ายไม่ค่อยติดเท่าไรนัก และรู้สึกแปลก ๆ
ยามต้องพูดคุยกัน
ทำให้เฟลิกซ์กลายเป็นคนที่ฟินตันเอนเอียงเข้าหาเรื่อย ๆ
ทีละเล็กทีละน้อยมากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนนี้
แต่สัมผัสจากแขนและมือของบอลด์วินยังคงติดอยู่ในใจของเจ้าชายหนุ่มอยู่เลย
มันอ่อนโยนมากเสียผิดกับใบหน้าคมของอีกฝ่ายสุด ๆ
“ฟินตัน แล้วตอนอยู่ในวังเจ้าชอบทำอะไรหรือ?”
คำถามแล้วคำถามเล่าถูกถามมาจากผู้ร่วมเดินทางคนใหม่นี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นถึงการใช้ชีวิตของผู้เป็นเจ้าชาย
“ปกติแล้วข้าก็จะชอบอ่านหนังสือน่ะ
ข้ากับท่านพี่บริจิดชอบที่จะสรรหาหนังสือต่างภาษามาอ่านด้วยกันบ่อย
ๆ”
ฟินตันมองทางข้างหน้าที่ยังอีกยาวไกลแล้วตอบคำถามที่เท่าไรก็ไม่รู้แล้วไป
การได้นึกย้อนถึงเรื่องราวเก่า ๆ บางทีก็เป็นสิ่งที่ดี
แม้มันจะแฝงไปด้วยความเศร้าที่ถูกโฉลมเอาไว้มากมาย
เพราะแม้จะเป็นความทรงจำที่มีความสุขเพียงใด
แต่ในห้วงชีวิตที่เหลืออยู่นี้ก็ไม่อาจจะย้อนกลับไปทำอะไรเช่นนั้นกับคนเหล่านั้นที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
พอพูดถึงบริจิดขึ้นมา
ฟินตันก็แอบนึกถึงเรื่องราวในบางครั้งที่ท่านพี่ของเขาจะชอบถามหรือพูดอะไรแปลก
ๆ เกี่ยวกับคนที่เขาหลบหน้าอยู่หน่อย ๆ ในตอนนี้
หลายครั้งก็มักจะพูดอะไรที่ทำให้เขารู้สึกร้อนที่ใบหน้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น
มันเรียกว่าอาการเขินไม่ผิดแน่
แต่ทำไมเขาจะต้องเขินด้วยเล่ากับสหายผมสีดำของเขาคนนั้น
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องรู้หลายภาษาเป็นแน่เลยใช่หรือไม่?”
เฟลิกซ์ถามต่อด้วยความสงสัย
อย่างตัวเขาที่รู้เพียงแค่ภาษาเคลต์ในระดับที่อ่านออกเขียนได้นี่ก็ถือว่านับเป็นความสำเร็จมากแล้ว
“ถูกต้อง ถ้าไม่นับภาษาเคลต์ ข้าก็รู้ภาษาอิงเกลี่ยน ไฮด์นอร์ส (High
Norse) แล้วก็รัสเชี่ยนนิดหน่อย”
นอกจากภาษาอิงเกลี่ยนที่ฟินตันเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากแล้ว
เจ้าตัวก็ยังรู้ภาษาไฮด์นอร์สด้วยในระดับกลาง
เป็นเพราะเอกลักษณ์ของตัวอักษรที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงและทแยงเสียงส่วนใหญ่
อันผิดแปลกกว่าอักษรในภาษาอื่น ๆ
ทำให้เจ้าชายพระองค์นี้รู้สึกถูกดึงดูดจนสนใจที่จะเรียนรู้มัน
ส่วนภาษารัสเชี่ยนนั้นเจ้าตัวได้นั่งเรียนอยู่บ้างกับบริจิดเพื่อใช้ในการพูดคุยกับราชวงศ์ทางฝั่งรัสตันที่มีความสนิทสนมกันกับราชวงศ์ของเขา
“แล้วจริงหรือไม่ที่เขาว่ากันว่าอักษรของภาษาไฮด์นอร์สมีเวทมนตร์สถิตอยู่?
เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่?”
จะว่าไปก็เป็นตำนานเหมือนกันว่าเวทมนตร์บนโลกใบนี้มีต้นกำเนิดมาจากผู้คนทางเหนือที่ใช้อักษรโบราณก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นภาษาไฮด์นอร์ส
แต่ความเป็นจริงแล้วนั้นก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้
“ข้าเคยได้ยินมาเช่นกัน แต่ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน
จากที่ข้าศึกษาภาษานี้มานานก็ไม่เห็นว่าข้าจะใช้เวทมนตร์ได้นะ
ข้ามองว่าเวทมนตร์น่าจะมาจากแหล่งอื่นมากกว่าเพียงแค่ตัวอักษรเหล่านั้น”
ฟินตันแม้จะไม่ได้ตั้งใจเล่าเรียนมากในด้านหลักการของพลังจิตและเวทมนตร์
แต่จากที่จำได้อย่างเลือนลาง
ครูของเขาเคยสอนเอาไว้ว่าผู้มีพลังจิตจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้
และในการกลับกันผู้ที่เป็นจอมเวทก็จะไม่สามารถใช้พลังจิตได้
เพราะเป็นพรจากพระเจ้าที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถมีได้เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น
ซึ่งดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์เสียเท่าไหร่เลย
“งั้นหรือ… แล้วถ้าตอนออกมาข้างนอกพระราชวังล่ะ
เจ้าออกมากับบอลด์วินตลอดเลยหรือ?”
ชื่อของบุคคลที่สามทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงที่เดินอยู่ด้านหลังละสายตาจากทิวทัศน์ข้างทางมามองด้วยความสนใจ
“ถ้าหลังจากที่ข้ารู้จักกับเจ้านั่นล่ะก็ใช่
แทบจะทุกครั้งที่ข้าได้มีโอกาสออกมาภายนอกพระราชวัง
ข้าก็จะออกมาพร้อมกับบอลด์วินตลอดเลย แรก ๆ
ข้าก็ไม่กล้าเท่าไรนักที่จะขอท่านพ่อของข้า แต่พอหลาย ๆ
ครั้งเข้าก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตแล้ว
เพียงแค่บอกเอาไว้ก่อนล่วงหน้าก็พอ”
นับแต่ครั้งแรกที่ฟินตันจูงมือบอลด์วินไปขออนุญาตออกไปข้างนอกพระราชวังด้วยกันแล้วได้รับอนุญาตโดยง่ายนั้น
ทั้งสองก็มักจะนัดเจอกันภายในพระราชวังเสียก่อน
จากนั้นฟินตันจึงค่อยพาสหายของตนไปขออนุญาตออกไปด้านนอกพระราชวังกับพระราชาวูลแฟรมด้วยกัน
ซึ่งก็มักจะผ่านไปได้โดยง่ายเสมอ
และเมื่อฟินตันเริ่มที่จะเติบโตมากขึ้นจนถึงจุดที่ท่านพ่อและท่านแม่ของเขาไว้ใจได้แล้วว่าสามารถดูแลตนเองได้
การขออนุญาตเหล่านี้ก็ถูกผ่อนปรนลงจนเหลือเพียงแค่การบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเท่านั้น
หรือแม้กระทั่งบางครั้งที่ฟินตันแอบออกไปโดยไม่ได้บอกเอาไว้ก่อนเองก็ไม่มีการว่ากล่าวกันอีกต่อไป
หากรู้ว่าการออกไปด้านนอกนั้นเป็นการออกไปเพื่อพบหรือออกไปกับคนที่ชื่อว่าบอลด์วิน
ในขณะที่ฟินตันไม่คิดว่าทางพระราชวังจะจับตาหรือสนใจเขา
พวกเขาเองกลับรู้ทุกความเคลื่อนไหวของเจ้าชายพระองค์นี้อยู่ตลอด
รวมไปถึงความสัมพันธ์ของเขากับบอลด์วินเช่นกันที่ถูกรายงานให้พระราชาวูลแฟรมและพระราชินีเฟรยาทรายโดยสม่ำเสมอ
ซึ่งทั้งสองพระองค์ต่างลงความเห็นที่ตรงกันว่าหากฟินตันอยากจะคู่กับบอลด์วินไปตลอดในสักวันหนึ่งที่จะมาถึง
มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรตรงไหนเลย
“บอลด์วิน เจ้าหิวแล้วหรือยัง?”
เวลาล่วงมาถึงช่วงเย็นของวัน
เผลอครู่เดียวดวงอาทิตย์ที่ทอแสงอยู่สลับกับหมู่เมฆก็เคลื่อนตัวลดต่ำลงไปอยู่ในระดับของยอดไม้ที่สุดขอบสายตา
แสงสีขาวจ้าได้แปรเปลี่ยนเป็นสีส้มสวยย้อมบรรยากาศรอบตัว
ยิ่งยามที่มันสะท้อนกับผืนเมฆจากด้านใต้แล้วเกิดเป็นริ้วสีส้มอมชมพูก็ยิ่งชวนให้มองยิ่งกว่าเก่า
“ยังไม่มากเท่าไร ฟินตัน ตอนนี้พวกเราเดินทางมาได้ถึงตามแผนหรือไม่?”
บอลด์วินตอบเฟลิกซ์ก่อนจะหันไปถามคนตัวเล็กที่สุดในหมู่คนทั้งสาม
“ขอข้าดูแผนที่ก่อนครู่เดียว… อืม… ขาดอีกราว 8 กิโลเมตรน่ะ”
ฟินตันแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาของตนที่พยายามมองจุดอ้างอิงของภูมิประเทศรอบข้างกับแผนที่
นี่พวกเขาเดินทางช้าลงมากขนาดนี้เลยหรือ
แล้วทำไมกันถึงได้เป็นแบบนี้ได้
“ข- ข้าขอโทษด้วยที่มาเป็นภาระพวกเจ้า คงเป็นเพราะข้าที่เดินช้าสินะ”
เฟลิกซ์รีบกล่าวทันที
คงเป็นเพราะตนไม่เคยเดินทางไกลมาก่อนแน่นอนเลยทำให้เป็นตัวถ่วงให้การเดินทางช้าลงเช่นนี้
แต่ไม่ใช่หรอก เฟลิกซ์ไม่ได้เดินช้าเลย
ส่วนมากเขาก็เดินทันฟินตันและได้พูดคุยอยู่ด้านข้างเจ้าชายผมสีน้ำตาลนั้นตลอดทั้งวัน
“ไม่หรอก ข้าว่าพวกเราน่าจะเหนื่อยจากการเดินทางมานานมากกว่า”
บอลด์วินตอบพร้อมยืดแขนขึ้นไปบนอากาศเพื่อบิดขี้เกียจ
ฟินตันพยักหน้ากับข้อมูลที่ได้รับก่อนจะพับเก็บแผนที่คืนให้บอลด์วินเป็นคนเก็บเอาไว้
เช่นนี้วันรุ่งขึ้นก็ต้องเร่งฝีเท้าเสียแล้วสินะ
“ถ้าอย่างนั้นข้าว่าพวกเราเดินทางให้ช้าลงไปอีกซักหนึ่งวันจากกำหนดก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย
ไม่น่าจะมีข้อแตกต่างมากเท่าไหร่”
บอลด์วินเสนอ ซึ่งเจ้าตัวมองว่าไหน ๆ ก็ช้าลงไปถึง 8 กิโลเมตรแล้ว
วันรุ่งขึ้นเองก็ต้องมีการสะสมของระยะทางที่ช้าลงมากกว่าเดิมเป็นแน่
ถ้าอย่างนั้นเพื่อจะได้ไม่เป็นการกดดันคณะการเดินทาง
อัศวินหนุ่มผมสีดำจึงเลือกที่จะเสนอสิ่งนี้ออกไป
“ถ้าเช่นนั้นก็ได้ ดีเหมือนกัน ข้าจะได้พักผ่อนนานขึ้นอีกหน่อย”
ราวกับอีกฝ่ายอ่านใจของเขาออก
ดีเหมือนกันที่จะได้ลดความเร่งรีบแล้วชื่นชมธรรมชาติตลอดเส้นทางที่กำลังเป็นสีเขียวขจีงดงาม
อีกทั้งพอฟินตันนึกถึงช่วงเวลานอนที่มากขึ้นแล้วก็อมยิ้มหน่อย ๆ
ออกมา
“ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเราตั้งค่ายพักแรมกันดีหรือไม่?
เดี๋ยวจะมือค่ำเอาเสียก่อน ตรงนั้นเป็นอย่างไร?”
เฟลิกซ์ถามขณะมองหาทำเลเหมาะ ๆ รอบ ๆ บริเวณที่พวกเขายืนอยู่
ก่อนจะพบเข้ากับต้นไม้ต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่กับก้อนหินก้อนใหญ่สองก้อน
พอจะเป็นแนวกำบังหากลมพัดมาได้เป็นอย่างดีเลย
จึงรีบชี้บอกอีกสองคนให้หันไปมอง
“ฟินตัน ช่วยจุดไฟให้ข้าหน่อย”
บอลด์วินยื่นกิ่งไม้แห้งไปหาฟินตันเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา
แต่ที่ต่างออกไปในวันนี้คือสายตาของคนตัวเล็กที่ไม่ยอมจะสบตาเขาเท่าใดนักยามสนทนา
แล้วถ้าหากสายตาของอัศวินหนุ่มประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นแล้วล่ะก็
จะเป็นอีกฝ่ายที่รีบละสายตาไปมองทางอื่นทันที แปลก…
“ด... ได้สิ”
เพียงพริบตาเดียวกิ่งไม้ในมือของฟินตันก็เกิดไฟลุกโชนขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วฟินตันจึงค่อย ๆ วางมันลงใส่ในกองฟืน
และใช้พลังควบคุมไฟของเขาทำให้กองฟืนติดไฟจนแผ่ความร้อนกำลังดีออกมา
“โห ข้าพึ่งได้เห็นชัด ๆ ก็คราวนี้นี่เอง
ตอนนั้นที่เจ้าวิ่งไล่บอลด์วินข้ามัวแต่อึ้งอยู่ที่รู้ว่าเจ้าเป็นเจ้าชาย”
เฟลิกซ์กล่าวด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับขยับเข้าไปนั่งใกล้กับเจ้าชายที่มีพลังควบคุมไฟมากขึ้นกว่าเดิม
“นี่น่ะหรือ? เผื่อเจ้าอยากดูใกล้ ๆ นะ แต่อย่าไปจับมันเข้าเล่า
ถึงข้าจะไม่รู้สึกว่ามันร้อนแต่มันก็ร้อนสำหรับผู้ที่ไม่มีพลัง
Pyrokinesis นะ”
ฟินตันเห็นแบบนั้นก็เลยสร้างเปลวไฟและลูกบอลไฟให้ลอยอยู่ในฝ่ามือ
อีกทั้งยังย้ำเตือนถึงความอันตรายของมันให้เฟลิกซ์ได้รับรู้
เพราะถึงแม้ว่าเปลวไฟเหล่านี้จะเกิดขึ้นบนมือของมนุษย์และถูกโดนผิวของเขาโดยตรง
แต่เนื่องด้วยฟินตันนั้นมีพลังในการควบคุมไฟ
เจ้าตัวจึงสามารถทนต่อความร้อนของไฟได้ไปด้วย แต่สำหรับคนอื่น ๆ
ที่ไม่ได้มีพลังจิตในชื่อ Pyrokinesis เช่นเดียวกับฟินตันแล้วนั้น
ไฟมันก็ยังคือไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้อยู่ดี
“น่าอัศจรรย์เสียจริง
แต่เช่นนี้แปลว่ามีผู้เคยไปจับเปลวเพลิงในมือของเจ้าหรือ?
คนโง่เช่นนั้นมีอยู่ด้วยหรือนี่?”
เฟลิกซ์เข้าใจอยู่แล้วถึงจุดนี้
เนื่องจากเคยได้เรียนมาขณะตอนอยู่ที่มอนทารา
แต่มันจะมีจริงหรือคนที่ไปสัมผัสกับไฟเข้าเช่นนั้น
ไฟจากที่ใดมันก็คือไฟอยู่ดีมิใช่หรือยังไงกัน
“แค่ก ๆๆ เฟลิกซ์ 55555”
ฟินตันสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ทันทีแล้วหัวเราะออกมาจนตัวโยกไหวไปมา
“อะไรหรือ? เจ้าขำอะไร?”
เฟลิกซ์จึงสงสัยทันทีว่าทำไมจู่ ๆ
ฟินตันถึงได้หัวเราะออกมาหนักเช่นนี้
แต่จะว่าไปแล้วก็ดูเป็นกิริยาท่าทางที่ดูเป็นคนปกติมากเสียจริง
เขาคิดว่าถ้าอย่างเจ้าชายแล้ว
น่าจะมีท่าทางที่ดูนิ่งสุขุมกว่านี้เสียอีก
“ขำมากหรือเปล่า ฟินตัน…”
“เวรแล้ว! ข้าเปล๊า…”
คำตอบของคำถามที่เฟลิกซ์ถามดูเหมือนจะได้คำตอบแล้วว่าใครคือคนคนนั้นที่เฟลิกซ์พึ่งกล่าวว่าออกไปว่าเป็นคนโง่
เพราะบอลด์วินที่นั่งเตรียมอาหารอยู่นิ่ง ๆ จู่ ๆ
ก็พูดขึ้นด้วยเสียงแข็งปนประชดขึ้นมาจนฟินตันต้องหยุดเสียงหัวเราะกลั้นไว้หลังฝ่ามือทั้งสองข้างที่ปิดปากตัวเองนั้น
“บอลด์วิน เจ้าหรือที่เคยไปสัมผัสไฟนั่นเข้า?”
เฟลิกซ์พอเห็นแบบนั้นกลั้นหัวเราะแล้วหันไปถามสหายเก่าแก่ของตน
ถ้าจริงขึ้นมานะ…
“เออ จะข้าแล้วมันทำไมกัน หา?”
บอลด์วินกอดอกก่อนจะตอบออกมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“55555”
“เฟลิกซ์ อย่าหัวเราะสิ 55555”
ฟินตันพยายามห้ามไม่ให้เฟลิกซ์หัวเราะ
เพราะนั่นมันทำให้เขากลั้นเสียงหัวเราะไม่ได้ไปด้วย
จนต้องได้ตีหน้าขาของอีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อเป็นการห้าม
แต่สุดท้ายก็ไม่อาจที่จะหยุดหัวเราะได้ทั้งคู่
ทั้งฟินตันและเฟลิกซ์ต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกันจนบอลด์วินได้ส่ายหน้าออกไปด้วยความเอือมระอา
ก็ตอนนั้นเขาคิดว่าพลังควบคุมเพลิงของฟินตันนั้นมันจะสร้างไฟร้อนออกมาก็ต่อเมื่อถูกส่งออกมาจากตัวแล้วนี่นา
ไม่คิดว่าเปลวไฟที่อยู่ในฝ่ามือของอีกฝ่ายจะเป็นไฟที่ร้อนจริง ๆ
เพราะเห็นว่าฟินตันสามารถสัมผัสมันได้ราวกับมันเป็นเพียงดินเหนียวชิ้นหนึ่งที่จะทำให้เป็นรูปร่างอะไรก็ได้
แต่บอลด์วินสงสัยว่า
ทำไมตอนนี้เฟลิกซ์ต้องใช้วงแขนโอบรอบไหล่ของฟินตันไว้ขณะหัวเราะด้วยกัน…
เขารู้สึกไม่ชอบใจเลย
“ฟินตัน เจ้านอนได้หรือเปล่า?”
บอลด์วินถามคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ
เขาขณะโน้มตัวลงให้ศีรษะแนบกับกระเป๋าเดินทางสะพายหลังที่ถูกนำมาทำเป็นหมอน
หลังจากเดินทางมาตลอดทั้งวันแล้ว ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ
นั่นแหละว่าช่วงเวลาในการนอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดดั่งที่ฟินตันว่าเอาไว้เลย
“ด- ได้ ไม่มีปัญหาอะไร”
ฟินตันพอเห็นว่าบอลด์วินขยับเข้ามาใกล้
จึงเลือกที่จะพลิกตัวนอนหันหลังให้อีกฝ่าย
“นี่ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า เหตุใดถึงไม่สบตาข้าเลยยามพูดกับข้า?”
ความผิดปกตินี้ถูกรับรู้ได้โดยบอลด์วินในมาตั้งแต่เมื่อช่วงกลางวันแล้ว
แต่ตัวเขายังไม่ค่อยแน่ใจมากเท่าไรนักว่าเกิดจากเหตุผลอะไรที่ทำให้ฟินตันเป็นนี้
และไม่ใช่ว่าในชีวิตของเขาไม่เคยทะเลาะกับผู้เป็นเจ้าชายพระองค์นี้มาก่อนเลย
แต่ท่าทางในครั้งนี้ของฟินตันมันต่างจากตอนที่พวกเขาเคยทะเลาะกันเป็นอย่างมาก
เพราะฟินตันก็ยังคงเลือกที่จะนอนกับเขา
และยังคงทำตามที่เขาขออย่างที่ให้จุดไฟไปรวมไปถึงยังพูดเล่นในเรื่องของเขากับเฟลิกซ์อยู่เลย
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกัน?
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ บอลด์วิน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกนะ
นอนเสียเถอะ”
ฟินตันตอบแต่ก็ยังคงหันหลังให้คนที่เขาพูดด้วยดังเดิม
“ถ้าเช่นนั้นช่วยหันมาหาข้าเสียหน่อยได้หรือไม่?”
บอลด์วินขยับตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิมองคนตัวเล็กค่อย ๆ
พลิกตัวมาหาเขา
แล้วพอฟินตันเห็นว่าบอลด์วินกำลังนั่งมองเขาอยู่ก็เลยลุกขึ้นนั่งตาม
“นี่อย่างไร ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าไม่ได้เป็นอะไร”
ฟินตันพยายามยิ้มออกมาให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาปกติดี
“หากมีอะไรก็บอกข้าได้เสมอ เจ้ารู้ใช่หรือไม่?”
ฟินตันพยักหน้าและพยายามสบตาอีกฝ่าย แต่ก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่ดี
แล้วเขาจะพูดมันออกไปอย่างไรดีเล่า
ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากเช่นนี้
“คือ... ข้าก็แค่...”
“...”
บอลด์วินเงียบตั้งใจฟังสิ่งที่ฟินตันจะพูดอย่างใจจดใจจ่อ
“เมื่อคืนนี้ ตอนที่เจ้าอุ้มข้า... ข้ามองว่ามันน่าอายน่ะ”
พูดจบฟินตันก็ยกมือของตนทั้งสองข้างขึ้นปิดใบหน้าเอาไว้
สัมผัสที่มือของเขามันรู้สึกได้เลยว่าใบหน้าของเขามันร้อนผ่าวราวกับมีไฟกำลังจะลุกไหม้ออกมาอย่างไรอย่างนั้น
และคำพูดนั้นเองก็ทำให้บอลด์วินถึงกับไปต่อไม่เป็น
“เอ่อ... ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขออภัยเจ้าด้วยจริง ๆ
คราวหลังข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
ไหล่และคอของบอลด์วินตกลงเล็กน้อย
เป็นการแสดงออกถึงความเสียดายและผิดหวังกับการกระทำของตนที่ได้ทำลงไป
ถ้าหูของเขาขยับได้ล่ะก็ ตอนนี้มันก็คงจะขยับลู่ลงไปด้วยแน่นอนเลย
“ข้าไม่ได้ไม่ชอบหรอกนะ แต่เพียงแค่... มันทำให้ข้ารู้สึก เอ่อ...
ถ้าข้าใช้คำว่าเขินมันจะดูแปลกหรือเปล่า?”
ฟินตันเกาท้ายทอยของตนเองไปมาพร้อมสายตาที่พยายามจะมองใบหน้าของบอลด์วินไปอย่างประหม่าแล้วยิ้มแหย
ๆ บ้าจริง พอพูดคุยเสร็จตรงนี้แล้วรีบนอนดีกว่า เขาคิดในใจ
ส่วนบอลด์วินนั้น เขาคิดว่าเขาไม่เสียดายการกระทำนั้นของตนเองแล้วล่ะ
วันต่อมาของการเดินทางสู่ฮันโนฟ์วาก็ยังคงมีความอึดอัดเล็กน้อยระหว่างผู้เป็นเจ้าชายกับอัศวินหลงเหลืออยู่บ้าง
แต่ดูเหมือนว่าพอฟินตันได้พูดอะไร ๆ
ในใจออกไปบ้างแล้วเขาก็ดีขึ้นกว่าเมื่อวานอยู่พอสมควร
วันนี้ในยามเช้าเขาสามารถมองใบหน้าของบอลด์วินที่กำลังตักน้ำจากลำธารได้แล้วด้วย
เพียงแต่บอลด์วินอยู่ห่างออกไปจากเขา 50 เมตร
“ฟินตัน อรุณสวัสดิ์”
เฟลิกซ์ขยี้ตาพร้อมกับเอนตัวทิ้งน้ำหนักลงใส่ไหล่ของเจ้าชายหนุ่มราวกับว่าไม่เคยเกรงในยศถาของคน
ๆ นี้มาก่อน
“อรุณสวัสดิ์เฟลิกซ์ เจ้าหลับสบายดีหรือไม่?”
ฟินตันละสายตาจากบอลด์วินที่กำลังเดินกลับเข้ามาใกล้ไปหาคนที่ยืนซ้อนเข้าอยู่ด้านหลังแทน
จะว่าไปสองสหายของเขานี่ก็ตัวสูงกันทั้งคู่เลย
เพียงแค่อีกนิดเดียวเฟลิกซ์ก็จะสูงเท่ากับบอลด์วินแล้ว
“พวกเจ้าทำอะไรกัน?”
บอลด์วินพอเดินมาเห็นภาพสหายของเขากำลังยืนพิงคนที่เขาชอบก็ถามออกไปทันทีด้วยความที่มันสะกิดใจของเขาเข้า
“อรุณสวัสดิ์นะบอลด์วิน
ข้าขอยืมฟินตันมาเป็นที่พิงเสียหน่อยคงไม่ว่ากันหรอกใช่หรือไม่?”
“หา?”
ฟินตันรีบเงยหน้าไปหาเฟลิกซ์ทันที
ทำไมถึงพูดราวกับเขาเป็นสมบัติหรือของอะไรซักอย่างของบอลด์วินไปได้นี่
“อ๊ะ... เอ่อ... อย่าสนใจคำพูดของข้ามากเลย ข้ายังไม่ตื่นดีนักน่ะ”
บอลด์วินหรี่ตามองภาพตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมา เมื่อครู่จู่ ๆ
ก็ดันมีความคิดประหลาด ๆ
ผุดขึ้นมาในหัวของเขาว่าเฟลิกซ์จะมาแย่งฟินตันไปจากเขาเสียอย่างนั้น
ไม่มีทางหรอก
ไม่มีทางทั้งเฟลิกซ์จะทำเช่นนั้น
และไม่มีทางที่ถ้าเกิดขึ้นจริงเขาจะยอมแน่
“เมื่อก่อนน่ะนะ ข้าฝันอยากจะเป็นทหารม้าล่ะ แต่ด้วยอะไรหลาย ๆ
อย่างเลยกลายมาเป็นช่างทำเสื้อแบบตอนนี้ เห้อ...
ชีวิตมันไม่ง่ายเลยเจ้าว่าเช่นนั้นหรือเปล่า?”
เฟลิกซ์พูดเล่าถึงความฝันในวัยเด็กของเขากับคนอีกสองคนข้าง ๆ เขา
เฟลิกซ์มองหาทหารม้าเป็นอะไรที่ดูสง่างามมาก
ทั้งเครื่องแบบและดาบคู่ใจ
รวมไปถึงม้าตัวใหญ่ที่ช่วยส่งเสริมให้ดูดียิ่งกว่าเก่า
แต่ชีวิตจริงหาได้เป็นดังที่หวัง จากการยึดอาจของคีย์รัน
การที่บ้านของเขาถูกเอาไปสร้างเป็นหอคอยเวทมนตร์
สุดท้ายอาชีพที่แม่ของเขาทำมาทั้งชีวิตก็ได้มาเป็นอาชีพของเขาในยามที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่
“ข้าเห็นด้วยอย่างถึงที่สุดเลยล่ะ แล้วเจ้าล่ะบอลด์วิน?”
ฟินตันพยายามอยากจะกลับมาคุยกับบอลด์วินให้ได้ดังเดิมถามคนผมสีดำข้าง
ๆ เขาที่กำลังดื่มน้ำจากกระบอกน้ำอยู่
“หืม? สิ่งที่ข้าอยากเป็นน่ะหรือ?”
บอลด์วินแปลกใจเล็กน้อยที่ฟินตันนำเขาเข้าไปอยู่ในบทสนทนาด้วย
เขาคิดว่าคงจะต้องใช้เวลามากกว่านี้เสียอีกกว่าที่ฟินตันจะกลับมาคุยกับเขาได้ดังเดิม
“ใช่แล้ว ๆ ถ้าจำไม่ผิด เจ้าอยากจะเป็นอย่างพ่อของเจ้าถูกหรือเปล่า?
เฟลิกซ์รีบเดาทันที ซึ่งแน่นอนว่าถูกต้องแล้ว
“ถูกแล้วล่ะ ข้าน่ะมีท่านพ่อเป็นแบบอย่างมาโดยตลอด
และหากได้เป็นองครักษ์ของราชวงศ์แล้วด้วยนั้น
ข้าก็จะได้เจอฟินตันบ่อยกว่าเก่าอีก”
บอลด์วินยิ้มเมื่อพูดประโยคสุดท้ายจบ และนั่นทำให้ฟินตันรู้สึกแปลก ๆ
ภายในอก เหมือนกับว่ารอยยิ้มดังกล่าวมันพุ่งเข้ามากระแทกใส่เต็ม ๆ
ที่อกด้านซ้ายเลย
“เมื่อก่อนเจ้าเจอข้าเสียแทบทุกวันแล้วยังไม่เบื่ออีกหรือ?”
ฟินตันถามกลับ ในตอนก่อนเหตุการณ์กบฏ
พวกเขาได้เจอกันอาทิตย์ละสองถึงสามครั้งเป็นกิจวัตร
เพียงแค่นั้นเขาก็คิดว่ามันถี่มากแล้วนะ
“ไม่เคยที่จะเบื่อเลย”
อะไรกัน… ร้อนเสียจริงปีนี้
อากาศที่ร้อนทำเอาใบหน้าของฟินตันร้อนไปด้วยแน่นอนเลย
ไม่ใช่เพราะคำพูดของบอลด์วินหรอก
ธรรมชาติของสองข้างทางระหว่างการเดินทางไปยังฮันโนฟ์วามีความเขียวขจีสวยไม่ต่างจากระหว่างทางที่ผ่านมาของสองเมืองก่อนหน้า
มีเพียงแค่ไร่นาของชาวบ้านที่มีพบเห็นได้เป็นช่วง ๆ
เท่านั้นที่ได้กลายเป็นไร่ต้นฝ้ายแทนพืชผักและผลไม้อย่างเช่นทางที่ผ่านมา
โรงนาต่าง ๆ
ก็เริ่มกลายเป็นโรงทอไหมและเส้นด้ายที่อาศัยพลังจากกังหันลมในการช่วยทุ่นแรงของมนุษย์ในการทำงานให้ง่ายขึ้น
สีของมันที่เป็นไม้สีน้ำตาลนั้นมีสีไม่ต่างอะไรไปจากเส้นผมของฟินตันเลย
“ฟินตันนนนน ข้ามีอะไรอยากจะให้เจ้าล่ะ
พอดีข้าพึ่งนึกขึ้นได้เมื่อครู่เลย
เฟลิกซ์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาฟินตันในระหว่างช่วงหยุดพักยามเที่ยงวันที่ริมลำธารแห่งหนึ่ง
ไม่ไกลไปจากใต้ร่มไม้ที่ฟินตันนั่งอยู่บนโขดหินก็มีบอลด์วินกำลังกรอกน้ำใส่ในกระบอกน้ำอยู่
“อะไรหรือ?”
ฟินตันหันไปมองตามต้นเสียง
ไม่ต่างอะไรจากบอลด์วินที่กำลังแอบมองดูฟินตันอยู่ห่าง ๆ
เพราะแท้จริงแล้วเขากรอกน้ำเสร็จไปนานแล้ว แต่ยังอยากอยู่ตรงนี้อยู่
และเกรงว่าถ้าเข้าไปหาอีกฝ่ายเลยจะทำให้ฟินตันอึดอัดได้
“นี่ ข้าทำสิ่งนี้ไว้ที่บ้านของข้าเมื่อวันที่พวกเจ้ามา
เลยอยากจะช่วยให้ลองชิมเสียหน่อยน่ะ”
เฟลิกซ์พูดไปพลางคลี่ห่อผ้าลายตารางสีแดงอ่อนออกไปพลาง
เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในที่ฟินตันจะต้องตาเป็นประกาย ครัวซองต์
“ครัวซองต์นี่! ข้าชอบขนมนี่มากเลย เจ้ารู้หรือเปล่า?”
ดวงตาสีน้ำตาลเหมือนจะเป็นประกายต้องแสงแดดมากกว่าเดิมยามที่ได้เห็นขนมที่เจ้าของดวงตาคู่นั้นชอบ
ฟินตันไม่รีรอที่จะหยิบมาถือไว้ในมือทันที แม้จะผ่านมาแล้วหนึ่งคืน
แต่ครัวซองต์นี้ก็ยังไม่นิ่มมากจนกินไม่อร่อย
“งั้นหรือ? เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าได้กินอีกเยอะ ๆ
เลยในภายหลังหากข้ามีโอกาส”
เฟลิกซ์ยิ้มดีใจ
ก่อนที่ฝ่ามือของฟินตันจะมีเปลวเพลิงลุกขึ้นมาเป็นระยะสั้น ๆ
เพื่อทำการอุ่นให้ขนมชิ้นนี้มันส่งกลิ่นหอมชวนให้น่ากินยิ่งกว่าเดิมออกมา
“เฟลิกซ์! นี่มันอร่อยมากเลยไม่ใช่หรือ?”
ฟินตันตาเป็นประกายมากกว่าเดิมเมื่อได้กัดลงไปและได้ลิ้มรสชาติของครัวซองต์ในมือแล้ว
เขาไม่เชื่อเลยว่าแม้ว่าผ่านมาหนึ่งคืนแล้วเต็ม ๆ
แต่รสชาติของมันยังคงดีอยู่เพียงนี้
ถ้าได้กินตอนที่เพิ่งออกจากเตามาใหม่ ๆ ล่ะมันจะอร่อยเสียขนาดไหนกัน
“โล่งไปที ดีใจที่เจ้าชอบนะ”
เฟลิกซ์ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิมพอได้รับคำชมจากคนเป็นเจ้าชาย
แล้วด้วยความเอ็นดูการกระทำของคนตรงหน้า
เขาเลยเผลอยื่นมือออกไปลูบหัวฟินตันเข้า
“หือ อะไรหรือ?”
ฟินตันสับสนเล็กน้อยกับสัมผัสที่ศีรษะของตน
แต่วินาทีต่อมาก็มีใบไม้หล่นลงผ่านสายตาไป
จึงคิดเออออไปเองว่าเฟลิกซ์ปัดใบไม้ออกจากผมของเขาให้
“ข- ข้าขออภัยเป็นอย่างสูง ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
เฟลิกซ์รีบคุกเข่าลงเพื่อขอโทษฟินตัน
ส่วนฟินตันนั้นรีบเอื้อมมือออกไปดึงเสื้อของเฟลิกซ์ไว้ไม่ให้ย่อตัวลงไปต่ำกว่านี้ทันที
ไม่เห็นจะต้องทำขนาดนี้เลย เขาไม่ได้เป็นอะไรนี่นา
“เฟลิกซ์ หยุดเดี๋ยวนี้ ไม่เป็นอะไรเลย”
และทุกอย่างนี้อยู่ภายใต้สายตาของบอลด์วินทั้งหมด
“จริงหรือ? มีคนเช่นนั้นอยู่บนโลกจริง ๆ หรือนี่?”
เฟลิกซ์ยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วแทบจะตลอดเวลาในการเดินทางไปยังเมืองฮันโนฟ์วา
แม้แต่ในขณะที่พวกเขาทั้งสามกำลังตั้งค่ายพักแรมอยู่ที่ชายขอบของป่าแห่งนึงในช่วงหัวค่ำ
เจ้าของกลุ่มผมสีทองก็ยังคงพูดคุยกับฟินตันไม่หยุดหย่อน
จนสามารถพูดได้เต็มปากแล้วว่าเฟลิกซ์นั้นไม่เกร็งต่อการพูดคุยหรืออยู่ใกล้กับผู้เป็นเจ้าชายอีกแล้ว
“ข้าก็แปลกใจเช่นกันตอนได้พบเหตุการณ์นั้นเข้า มันเข้ากันจริง ๆ
หรือ?”
ฟินตันกำลังเล่าถึงเหตุการณในขณะที่เขาทำงานอยู่ที่ร้านของชาล็อตแล้วมีลูกค้าประหลาด
ๆ ที่สั่งใส่ทางร้านใส่สัปปะรดลงไปในพิซซ่าด้วย
อันเป็นสิ่งต้องห้ามเลยสำหรับอาหารประเภทนี้
ซึ่งหากคนจากอาณาจักรโครน่ามาเห็นเข้าละก็
มีหวังได้เกิดสงครามระหว่างอาณาจักรขึ้นเป็นแน่
“ว่าแต่ถ้าหากเจ้าได้เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรแล้วน่ะ
นอกจากจะให้ข้าทำครัวซองต์ให้เจ้ากินอีก
ให้ข้าเป็นผู้ออกแบบและตัดเสื้อให้ด้วยจะได้หรือไม่?
ข้าอยากจะลองทำอะไรเช่นนั้นดูน่ะ”
เฟลิกซ์คิดการไกลไปถึงตอนจบของเรื่องราวทั้งหมดแล้วเหมือนว่ามันต้องเกิดขึ้นได้สำเร็จอย่างแน่นอน
ทำเอาฟินตันถึงกับหัวเราะออกมาแล้วส่ายหน้า
“มันก็ได้อยู่หรอกนะ แต่เอาไว้ให้ถึงตอนนั้นก่อนก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมากเลย เจ้าใจดีเสียจริง”
เฟลิกซ์ที่พอได้ยินคำอนุญาตแล้วก็เอนตัวไปพิงแล้วกอดฟินตันด้วยความดีใจทันที
รอยยิ้มที่ทั้งสองคนมีด้วยกันนี้ทำให้สมาชิกอีกคนของคณะเดินทางนี้เริ่มที่จะเกิดความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งขึ้นภายในใจของเขา
ใกล้ไปหรือเปล่า?
แล้วทำไมถึงยิ้มออกไปได้ง่ายเช่นนั้นกัน?
แล้วเพราะอะไรพอเป็นเขาแล้วกลับรู้สึกไม่สะดวกใจเท่าไรนักที่จะใกล้ชิด?
บอลด์วินขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกนี้ที่มีภายในใจ
เขาไม่ชอบเลยที่ได้เห็นคนที่เขารักกับสหายเก่าแก่ของตนยังไปสนิทสนมกันมากจนแตะเนื้อต้องตัวกันเช่นนี้
บอลด์วินคิดว่าเขาหึง
“ไว้ค่อยพูดคุยกันต่อในตอนเช้านะฟินตัน ราตรีสวัสดิ์”
เฟลิกซ์โบกมือลาผู้เป็นเจ้าชายแล้วหายเข้าไปภายในผ้าที่ถูกนำมาขึงเป็นเต้นท์ขนาดย่อมให้พอนอนได้
ฟินตันจึงได้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยด้วยความเหนื่อยที่ได้พูดคุยกับสหายคนใหม่นี้ตลอดทั้งวัน
แต่จะว่าไปอีกใจนึงเขาก็คิดว่ามันก็สนุกและเพลิดเพลินดี
“เจ้านอนก่อนได้เลยนะ ข้าขอไปนั่งเล่นสูดอากาศเสียหน่อย”
เมื่อฟินตันหันหลังให้เต้นท์ของเฟลิกซ์ก็พบเข้ากับคนที่เขาแทบจะไม่ได้พูดคุยด้วยมาตลอดทั้งวัน
ใบหน้าของบอลด์วินนิ่งเรียบผิดปกติเล็กน้อย
โดยเมื่อพูดบอกกล่าวเสร็จอีกฝ่ายก็เดินเบี่ยงเขาออกไปทางเนินเขาเล็ก
ๆ ใกล้ ๆ
การกระทำเช่นนั้นทำให้ฟินตันลังเลที่จะเดินตามอีกฝ่ายไป
เขารู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังรู้สึกไม่ดีเท่าไรนักอยู่แน่นอน
แต่อีกใจหนึ่งของเขาก็เขินเกินกว่าจะเข้าไปคุยกับอีกฝ่ายตรง ๆ
เช่นนั้น
แต่ในท้ายที่สุดฟินตันก็ยอมที่จะเดินกึ่งวิ่งตามบอลด์วินไปบนเนินเขานั้น
บอลด์วินไม่อยากจะทำเช่นนี้เสียหรอกจริง ๆ แล้ว
แต่เพื่อให้ตัวเองสงบลงแล้ว
เขาขอแยกออกมาอยู่คนเดียวเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเองดีกว่าที่จะพูดหรือทำอะไรที่ดูไม่ดีออกไป
และเนินเขานี้ก็ถูกเลือกเป็นที่ในการสงบตัวเองลงของบอลด์วิน
ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปตามยอดไม้และแม่น้ำที่อยู่ถัดออกไป
ท้องฟ้าวันนี้โปร่งโล่งผิดกับคืนที่เบรเมนที่มีฝนตกหนักและลมพัดแรง
มันคงจริงดังที่ผู้คนต่างกล่าวเอาไว้ว่าท้องฟ้าหลังยามฝนตกหนักมันมักจะงดงามเสมอ
อัศวินหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดกับตนเอง
“ทำไมเจ้าต้องสนิทกับเฟลิกซ์เช่นนั้นกันด้วยนะฟินตัน”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
ไม่รู้เพราะอะไร แต่บอลด์วินไม่รู้สึกตัวเลยถึงการมาของฟินตัน
มันคงเป็นเพราะความรู้สึกมากมายที่กำลังตีกันอยู่ภายในหัวของเขากระมัง
“ข- ข้า ฟ- ฟินตัน ไม่- ข้าไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย!”
บอลด์วินสะดุ้งพร้อมตอบด้วยเสียงตะกุกตะกัก มิหนำซ้ำ
อาการลนไปมานี้ก็ถูกซ้ำเติมจากการที่ฟินตันนั่งลงที่ที่ว่างข้าง ๆ
เขาอีก
“ข้าเห็นสีหน้าเจ้าดูไม่ปกติ ก็เลย…”
ฟินตันใช้เท้าเขี่ยต้นหญ้าใกล้ ๆ
ไปมาด้วยความประหม่าขณะพูดกับคนผมสีดำที่มีสีไม่ต่างจากท้องฟ้าในตอนนี้
ขาดเพียงแค่ดวงดาวที่ระยิบระยับเท่านั้นเอง
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย เจ้ากลับไปนอนเสียเถอะ”
บอลด์วินรีบยกมือขึ้นมาชูไปมาเพื่อปฏิเสธ
“สองวันนี้มา ข้าขอโทษที่ไม่ค่อยได้คุยกับเจ้านะบอลด์วิน”
ฟินตันมองด้านข้างของใบหน้าคมแล้วกล่าวออกมาเสียงเบา
เขารู้ตัวอยู่แล้วว่าตั้งแต่ได้รู้จักกับเฟลิกซ์
ประกอบกับที่เขารู้สึกแปลก ๆ กับบอลด์วิน
เขากับเฟลิกซ์ก็พูดคุยกันอยู่แทบจะตลอดเวลาที่ผ่านมา
และนั่นทำให้บอลด์วินถูกปล่อยออกไปไว้นอกบทสนทนาบ้างในหลาย ๆ ครั้ง
“เห้อ… จริง ๆ แล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าเลย”
บอลด์วินถอนหายใจแล้วละสายตาจากดวงจันทร์ที่ทอแสงสีขาวอมฟ้าเหมือนดวงตาของเขาลงมาทั่วทั้งผืนแผ่นดินยามค่ำคืนมายังฟินตันแทน
พอสายตาของทั้งคู่ประสานเข้าหากัน
แต่ละคนก็ต่างพากันละสายตาไปทางอื่นทันที
“แต่เจ้า-”
“แค่เจ้าเดินตามข้ามาเช่นนี้ข้าก็เป็นปกติแล้วล่ะ”
ก่อนที่ฟินตันจะได้พูดอะไรตอบกลับหมดประโยค
เขาก็โดนบอลด์วินพูดแทรกออกมาก่อน
และคำพูดนั้นมันทำให้เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ ทำไมกัน
แค่เขาเดินตามมาเพียบเท่านี้ก็ยกโทษให้เขาเลยหรือ
มันง่ายเกินไปหรือเปล่า?
“แต่ถ้าจะให้ดีกว่าเก่า
เจ้าช่วยอย่าสนิทกับสหายของข้ามากนักจะได้หรือไม่?”
“ทำไมกันเล่า?”
ฟินตันถาม สนิทกันกับเฟลิกซ์ไว้ก็ดีแล้วมิใช่หรือยังไง
พวกเขายังมีการเดินทางอีกยาวไกลที่ต้องร่วมทางไปด้วยกันอีกนานนี่นา
“เจ้าใกล้กับเฟลิกซ์มากเกินไป ข้า… ข้าหวงเจ้า…”
เสียงที่แผ่วเบาของบอลด์วินในเวลากลางคืนก็ยังทำให้ใบหน้าของเขาร้อนได้
ปีนี้ฤดูกาลมันต้องผิดเพี้ยนจริง ๆ เป็นแน่เลย มาหวงอะไรเขาทำไมกัน
แต่สำหรับบอลด์วินนั้น การค่อย ๆ
ขยับเข้าหาอีกฝ่ายทีละหน่อยเช่นนี้นั้นเป็นสิ่งที่เจ้าตัวคิดมาแล้วตลอดสองวันที่ผ่านมาจากคำพูดของเฟลิกซ์
ถ้าเขาไม่เดินหน้าในตอนนี้แล้วล่ะก็
เกรงว่าในอนาคตที่ไม่แน่นอนที่กำลังจะมาถึงนั้น
มันจะไม่มีโอกาสให้เขาได้ทำดังที่ใจอยากจะทำได้