หลังจากคำพูดของบอลด์วินสิ้นสุดลง ทั้งสองคนก็ไม่มีใครขยับลุกไปไหน
การที่ฟินตันได้นั่งมองหมู่ดาวด้วยกันกับบอลด์วินในยามกลางดึกเช่นนี้ชวนให้เจ้าชายหนุ่มนึกถึงช่วงเวลาในอดีตในคืน
ๆ หนึ่งที่มีลักษณะคับคล้ายคับคลากับคืนคืนนี้
เพียงแต่ในตอนนั้นพวกเขาทั้งสองไม่ได้มีความรู้สึกแปลก ๆ แบบตอนนี้
หมายถึงไม่ได้มากมายเท่าตอนนี้ต่างหากจริง ๆ แล้ว
เจ้าชายฟินตันในวัยสิบสี่ปีในขณะนั้นกำลังหลงไหลในภาษาใหม่ที่เขาพึ่งค้นพบจากการเดินไปเห็นเข้าขณะที่ท่านพ่อของเขากำลังอ่านจดหมายจากพระราชาแห่งอาณาจักรโชล์ดฟยอร์ด
(Skjoldfjord – โชล์ด-ฟะ-ยอร์ด)
บนกระดาษจดหมายอย่างดีนั้นประทับไปด้วยตราประจำราชวงศ์ที่มีอักษรรูปร่างแปลกตาเขียนอยู่
และชวนให้ฟินตันไปสอบถามกับท่านพ่อของเขาถึงที่มาของจดหมายแผ่นดังกล่าว
ภาษาไฮด์นอร์สเป็นภาษาที่ถูกใช้แพร่หลายในทางภูมิภาคทางเหนืออันหนาวเหน็บของทวีปยูโรปา
และเป็นภาษาราชการของสามอาณาจักรใหญ่ในดินแดนหนาวเหน็บนั้น
อันได้แก่โชล์ดฟยอร์ด ฟเยลฟรอสต์ (Fjellfrost – ฟะ-เยล-ฟอรสต์)
และฟรีสตา (Frysta – ฟรีส-ต้า)
และถึงแม้ในแต่ละอาณาจักรจะมีสำเนียงและคำศัพท์ในบางส่วนที่ต่างออกไปบ้าง
ผู้คนส่วนใหญ่ในภูมิภาคนั้นก็ยังสามารถสื่อสารกันได้เข้าใจอยู่ในส่วนใหญ่
ภาษาจากดินแดนทางเหนือนี้มีแม้จะมีการออกเสียงที่ไม่ได้ต่างจากภาษาอื่น
ๆ มากนัก แต่มีลักษณะของการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ต่างจากภาษาอื่น ๆ
ในทวีปยูโรปาเป็นอย่างมาก ตัวอักษรในภาษาอื่น ๆ
จะประกอบไปด้วยเส้นโค้งจำนวนมากเพื่อให้เหมาะแก่การเขียนด้วยปากกาขนนกในสมัยโบราณ
แต่กับอักษรในภาษาไฮด์นอร์สแล้วนั้น
ตัวอักษรทั้งหมดประกอบขึ้นจากเส้นตรงและเส้นแนวทแยงทั้งสิ้น
ทำให้ได้เป็นตัวอักษรที่มีลักษณะแหลมคม ดูมีพลัง
อีกทั้งยังเหมาะกับการจดบันทึกของผู้คนในบริเวณนั้น
ที่ทรัพยากรมีความแตกต่างจากภูมิภาคอื่นของทวีป
การจดบันทึกข้อความจึงอยู่ในลักษณะของการแกะสลักลงบนไม้และหินแทนที่จะเป็นการเขียนหรือขูดลงบนกระดาษ
และแม้การค้าขายจะนำพากระดาษมาถึงภูมิภาคแห่งนี้แล้วก็ตาม
เหล่าผู้คนที่ใช้อักขระนี้ก็ยังคงเลือกที่จะใช้การเขียนในรูปแบบเดิมที่คงอยู่มาหลายร้อยปี
แทนการปรับให้เข้ากักาเขียนบนกระดาษที่สามารถควบคุมเส้นการเขียนได้มากกว่า
ความเป็นเอกลักษณ์นี้นี่เองที่ทำให้เจ้าชายฟินตันทรงสนพระทัยในภาษานี้เป็นอย่างมาในระยะหลัง
ๆ มานี้
ซึ่งถ้าหากมีสิ่งใดที่เร้าให้เจ้าขายพระองค์นี้สนใจเป็นอย่างมากได้
เขาก็มักจะคลุกตัวอยู่ในห้องสมุดกับสิ่งนั้นภายในห้องสมุดของพระราชวังเป็นประจำในยามว่าง
ซึ่งเป็นลักษณะที่ท่านพ่อและท่านแม่ของเขามองว่าเป็นข้อดีที่ดีมากเลยในการเรียนรู้ด้วยตนเองในสิ่งที่ชอบเช่นนี้
แต่ดูเหมือนว่าการคลุกตัวอยู่แต่ภายในห้องสมุดเช่นนี้จะเพลินเกินไปเสียหน่อยกับเจ้าชายฟินตัน
เพราะเขาไม่ได้พบสหายของเขาคนหนึ่งมาจวนจะหนึ่งสัปดาห์แล้ว
“ฟินตัน”
เสียงของพระราชินีเฟรยาที่เคาะที่บริเวณขอบโต๊ะเบา ๆ
เป็นการเรียกบุตรชายคนที่สองของตนให้ละสายตาจากหนังสือเกี่ยวกับภาษาไฮด์นอร์สให้มาสนใจผู้เป็นแม่
“ขอรับท่านแม่?”
ถึงแม้ปากของผู้เป็นเจ้าชายจะพูดตอบผู้เป็นมารดา
แต่ตาของเขาก็ยังคงจับจ้องไปที่ตัวหนังสือบรรทัดต่อไปในหนังสือเล่มหนาตรงหน้าอยู่
“นี่ แม่บอกเจ้าแล้วยังไงว่าเวลาพูดกับใครต้องมองหน้าของผู้พูดด้วย”
พระราชินีของอาณาจักรบ่นลูกชายตนเอง
แม้จะรู้ว่าบ่นไปลูกชายคนนี้ก็ไม่ค่อยจะฟังเท่าใดนัก
“อย่างไรก็เถอะ ลูกอย่าเข้านอนดึกมากเสียล่ะ
กับบอลด์วินฝากข้อความมาถึงลูกด้วยว่าลูกว่างหรือไม่
เหตุใดถึงไม่มาพบเขาเลยจวนจะสัปดาห์นึงแล้ว?
แม่รู้ว่าลูกกำลังเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือ
แต่ก็อย่าเอาแต่ขลุกตัวอยู่แต่ภายในนี้จนไม่ได้ออกไปพบคนอื่นเสียล่ะ”
ชื่อของคนที่ไม่ได้อยู่ภายในห้องสมุดของพระราชวังทำให้ฟินตันละสายตาจากหนังสือไปหาผู้เป็นแม่
“บอลด์วินหรือ… เวรแล้ว ข้าลืมเจ้านั่นไปเสียสนิทเลย”
ฟินตันที่หลงวันหลงคืนกับหนังสือที่กองเป็นภูเขาลืมไปเลยถึงการมีอยู่ของสหายตาสีฟ้าของเขา
นี่มันอาทิตย์นึงแล้วหรือนับจากครั้งสุดท้ายที่เขาทั้งสองได้พบกัน
“ระวังภาษาหน่อยฟินตัน! ลูกเป็นเจ้าชายนะอย่าลืมเสียเล่า”
พระราชินีเฟรยาพูดเสียงดุกับฟินตันทันที
แม้จะเป็นเรื่องที่ปกติที่คนในวัยของฟินตันจะมีการเรียนรู้คำใหม่ ๆ
ซึ่งรวมไปถึงคำสบถด้วย แต่หากไม่ระวังการใช้ให้ดีแล้วล่ะก็
ภาพลักษณ์ของการเป็นสมาชิกราชวงศ์ที่น่าเคารพมันจะเสื่อมลงเอา
ภายหลังจากรับคำจากผู้เป็นแม่แล้วเรียบร้อยว่าจะไม่เข้านอนดึกมากเกินไป
ฟินตันก็ยังคงนั่งอ่านหนังสือต่อภายในห้องสมุดอันกว้างใหญ่ที่มีแสงจากโคมไฟส่องอยู่สลัว
ๆ
เจ้าชายฟินตันเคยคิดอยู่เหมือนกันว่ามันจะมีผีหรือไม่ในพระราชวังอันเก่าแก่แห่งนี้
มันชวนทำให้เขากลัวยามที่สายตาหันไปในบริเวณมุมมืดของห้องสมุดหรือแม้แต่โถงทางเดินที่เงียบเหงาในเวลาแบบนี้
เพราะขนาดเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นเวทมนตร์หรือพลังจิตยังมีอยู่บนโลกนี้ได้
แล้วทำไมเรื่องของโลกหลังความตายจะไม่มีอยู่กันเล่า?
แอ๊ด…
“ค- ใครน่ะ?!”
เสียงของบานประตูไม้ขนาดใหญ่เคลื่อนตัวเปิดออกส่งเสียงชวนให้ขนหัวลุกจนฟินตันต้องหันไปมองตามต้นเสียงทันทีพร้อมตะโกนออกมาด้วยเสียงกล้า
ๆ กลัว ๆ จากที่เขากำลังคิดถึงเรื่องผีอยู่ก่อนหน้า
“ท่านพี่อัลดริช ข้าไม่ตลกด้วยกับท่านนะ”
เมื่อยังคงไร้ซึ่งเสียงพูดตอบ
ฟินตันจึงเออออไปว่าน่าจะเป็นพี่ชายของเขาอย่างอัลดริชที่ชอบแกล้งเขาอยู่เป็นประจำ
แต่ฟินตันบอกไว้ก่อนเลยว่าหากเป็นอัลดริชจริง ๆ ล่ะก็
จะโดนเขาเอาคืนอย่างสาสมแน่นอนในภายหลัง
“ทำอะไรของเจ้าน่ะฟินตัน?”
“อ๊ากกกกกกก!!”
เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของเจ้าชายผมสีน้ำตาลในขณะที่เจ้าตัวจดจ่ออยู่กับประตูของห้องสมุด
และนั่นทำให้ฟินตันตกใจจนร้องออกมาเสียงดัง
“ฟินตัน ข้าเอง ข้าเอง”
เมื่อตั้งสติให้ดีได้ฟินตันก็เห็นว่าเจ้าของเสียงไม่ใช่ผีหรืออัลดริชอย่างที่เขาคิด
แต่เป็นสหายของเขาที่ไม่ได้พบหน้ากันมาระยะหนึ่งแล้วต่างหาก
ใจของเขาเกือบจะหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้วเมื่อครู่
“บอลด์วิน ใครบอกให้เจ้าทำแบบนี้กัน หา?!”
“โอ๊ย ฟ- ฟินตัน- อย่าตีข้า ข้าขอโทษ”
ฟินตันใช้หนังสือเล่มหนึ่งบนโต๊ะที่อ่านจบไปแล้วเมื่อตอนหัววันฟาดใส่สหายของเขาทันที
ซึ่งบอลด์วินเองก็รีบใช้แขนยกขึ้นมากันไว้ไม่ให้หนังสือเล่มนั้นถูกตัวของเขาจนอาจจะเกิดความเสียหายแก่หนังสือได้
“ให้ตายเถอะ หากเจ้าทำเช่นนี้อีกข้าจะโกรธจริง ๆ ด้วย”
ฟินตันยอมที่จะวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะดังเดิม
แล้วจึงพูดประโยคดังกล่าวด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจปนหงุดหงิดขณะที่กอดอกไปด้วย
“ข้า- กระหม่อมเข้าใจแล้ว ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงขอรับ
กระหม่อมจะไม่ให้มีครั้งต่อไป คือ…
พอดีเจ้าชายอัลดริชฝากข้ามาแกล้งเจ้าน่ะ”
บอลด์วินเองก็คิดว่าเขาทำเกินไปหน่อยเช่นกัน
เลยได้ย่อตัวคุกเข่าลงขอโทษฟินตันที่นั่งเก้าอี้อยู่ด้วยภาษาที่ผสมไปทั้งความเป็นทางการและเป็นกันเอง
เพราะเจ้าตัวไม่รู้ว่าควรจะใช้ภาษาระดับใดดี ก็แหม
การได้เข้ามาในเขตพระราชวังในเวลาดึก ๆ
เช่นนี้โดยได้รับอนุญาตจากพระราชินีของอาณาจักรมันเป็นโอกาสอันหาได้ยากยิ่ง
อีกทั้งยังได้รับการบอกกล่าวมาจากเจ้าชายรัชทายาทสู่ราชบัลลังก์ของอาณาจักรอีกว่าสหายที่เขาถามถึงนั้นได้หายไปอยู่ที่ใดมาร่วมสัปดาห์
การจะยอมทำตามคำขอของเจ้าชายอัลดริชเล็ก ๆ น้อย ๆ
เป็นการตอบแทนก็เลยเป็นสิ่งที่บอลด์วินไม่อยากเลี่ยงนัก
แต่สองพี่น้องที่เป็นเจ้าชายคู่นี้เขาหยอกกันเช่นนี้เองหรือ?
บอลด์วินเพิ่งจะได้รู้เลยในวันนี้
แต่ถ้าหากว่าฟินตันไม่ชอบเขาก็จะไม่ทำอีกเป็นอันขาด มั้งนะ…
เมื่อครู่ตอนได้เห็นคนเป็นเจ้าชายกลัวได้นี่มันสนุกเป็นบ้าเลย
“ไอ้พี่บ้านั่น… แต่เจ้าเข้าใจแล้วก็ดี
ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ในเวลาเช่นนี้กัน?”
ฟินตันบ่นอุบอิบแล้วเหลือบไปมองหอนาฬิกาที่ตั้งอยู่นอกหน้าต่างบานใหญ่ของห้องสมุด
ขณะนี้เข็มของมันชี้บอกว่าอีกราว 10 นาทีจะถึงเวลาสองทุ่มตรง
ปกติถ้าเกิดเป็นเวลาปานนี้แล้ว
บอลด์วินก็ควรจะกลับไปที่บ้านได้พักใหญ่แล้วไม่ใช่หรือ
“ท่านพ่อของข้าได้รับหน้าที่เฝ้ายามน่ะ
ข้าเลยขอติดตามมาด้วยแล้วได้เจอกับพระราชินีพอดี
ก็เลยได้เข้ามาหาเจ้าในตอนนี้”
บอลด์วินที่เริ่มคุ้นชินกับสมาชิกราชวงศ์ก็เริ่มที่จะลดความเกร็งในการเข้าหาลงได้เรื่อย
ๆ ตามเวลาที่สนิทกับฟินตัน
เผลอครู่เดียวเขาก็สามารถพูดคุยกับผู้เป็นแม่ของฟินตันได้แล้วโดยไม่รู้สึกกลัวมากเท่าใด
ตัวบอลด์วินเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาพูดขอพระราชินีของอาณาจักรในการเข้ามาหาบุตรชายของพระองค์ในยามค่ำแล้วได้รับอนุญาตด้วย
“อะไรกันของเจ้า
นี่อย่าบอกข้านะว่าเจ้าหวังจะเข้าหาทางท่านแม่ของข้าแล้วปลอมตัวมาเป็นลูกคนอีกเพื่อหวังจะหาประโยชน์?”
ฟินตันพูดกวน ๆ พร้อมกับจัดหนังสือวางเป็นตั้ง ๆ
ไว้บนที่ว่างบนโต๊ะตัวใหญ่ตรงหน้า
“ท- ทำไมคิดเช่นนั้นเล่า ข้าจะทำไปทำไมกัน?”
บอลด์วินตอบเสียงสะดุด เพราะจริง ๆ
แล้วประโยชน์ในการเข้าหาสมาชิกของราชวงศ์นั้นก็มีอยู่จริง ๆ
ภายในใจของบุตรชายของอัศวินคนนี้
สิ่งนั้นคือการได้พบกับฟินตันบ่อย ๆ อย่างไรล่ะ
“ข้าพูดเล่นน่า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น
หรือเจ้ามีอะไรแอบแฝง?”
ฟินตันเอนตัวไปมองใบหน้าของบอลด์วินใกล้ ๆ ด้วยความสงสัย
จนคนที่ถูกมองต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อรักษาระยะห่าง
“ม- ไม่มีอย่างแน่นอน”
บอลด์วินรีบส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับยกมือขึ้นมาปัดไปมาในอากาศตรงหน้า
“เป็นเช่นนั้น… แล้วเจ้ามีธุระอะไรกับข้าหรือ?
หากไม่มีมานอนเป็นเพื่อนข้าจะดีหรือไม่?”
ฟินตันเริ่มรู้สึกง่วงเล็ก ๆ แล้วในร่างกายของเขา
การอ่านหนังสือทั้งวันที่แม้จะไม่ได้ใช้แรงอะไร
แต่การได้คิดไปมาอย่างมากในเรื่องความรู้ใหม่ ๆ
ที่ได้รับมันก็ทำให้เขาเหนื่อยไม่ต่างจากการออกไปฝึกการใช้ดาบที่หน่วยองครักษ์เลย
“อ๋อ ข้าเกือบลืมไปเสียสนิทเลย
คืนนี้ข้าได้ยินมาว่ากลุ่มทะเลดาวทางน้ำนมบนท้องฟ้ามันจะส่องสว่างกว่าปกติน่ะ
เลยอยากจะชวนเจ้าไปดูด้วยกัน”
วันนี้เป็นวันที่ทางช้างเผือก
อันเป็นเหล่าดาวในดาราจักรที่โลกโคจรรอบอยู่จะอยู่ในมุมที่เด่นชัดจากโลกมากที่สุดในรอบหลายสิบปี
ทำให้การมองเห็นนั้นทำได้ง่ายกว่าปกติ
และภาพที่ได้จากการเงยหน้ามองท้องฟ้านั้นจะงดงามเสียยิ่งกว่าภาพวาดในพระราชวังไหน
ๆ เลย
“ทะเลดาวหรือ?”
ฟินตันเอียงคอด้วยความสงสัยก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ของห้องสมุด
แล้วเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างสีเข้ม
ภาพตรงหน้ามันทำให้ม่านตาของเขาขยายออกราวกับได้มองบางสิ่งที่ต้องมนต์
เหล่าดาวมากมายเรียงรายกันเป็นเส้นทางสีระยิบระยับบนฟากฟ้า
สมกับชื่อที่ได้รับการตั้งให้จากนักดาราศาสตร์ที่ต่างเรียกมันว่าทางน้ำนม
ด้วยสีขาวของมันที่ทอดเห็นเส้นยาวพาดผ่านท้องฟ้าสีดำ
ราวกับเหยือกนมได้ล้มลงและมีน้ำนมไหลเอ่อออกมาเป็นทางวาดลงบนพื้นว่างเปล่า
เสริมความงามยิ่งขึ้นด้วยการที่แต่ละส่วนของมันมีการกระพริบที่แตกต่างกันออกไป
เป็นความสวยงามที่ระยิบระยับไปหมดจนเกินกว่าจะวาดออกมาได้ด้วยศิลปินมือดีแค่ไหน
ฟินตันเข้าใจแล้วว่าทำไมบอลด์วินถึงอยากจะชวนเขาไปดูสิ่งนี้ด้วยกัน
“จากในตัวเมืองหลวงยังสว่างถึงเพียงนี้
ถ้าหากได้มองดูจากที่ที่ไร้ซึ่งแสงรบกวนแล้วล่ะก็
จะต้องสวยงามยิ่งกว่านี้อีกแน่นอนเลย”
บอลด์วินเดินตามฟินตันมายืนข้าง ๆ ก่อนจะพูดบอกเชิญชวนให้คนข้าง ๆ
ที่สายตายังคงจับจ้องท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ฉาบไปด้วยดวงดาวอยู่ไปข้างนอกกับเขา
“ที่ที่ไร้แสงรบกวนหรือ? เนินเขานั่นน่ะหรือ?”
ฟินตันคิดหาว่าจะมีที่ใดบ้างเป็นที่ที่บอลด์วินและเขารู้จักที่ในยามวิกาลเช่นนี้จะไร้ซึ่งแสงรบกวนจากเมืองหลวง
นอกจากเนินเขาบริเวณชายป่าที่ริมแม่น้ำเรนอสที่พวกเขาสองคนชอบไปใช้เวลาพักผ่อนด้วยกันบ่อย
ๆ
“ใช่แล้วล่ะ ไปกับข้าหรือไม่?”
เจ้าของกลุ่มผมสีดำถามอย่างคาดหวังคำตอบ
เขาอยากจะพาฟินตันไปให้ได้จริง ๆ นะในคืนเช่นนี้
การได้ดูท้องฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยดารามากมายเกินกว่าปกติเช่นนี้ด้วยกัน
มันโรแมนติกมาก ๆ เลยไม่ใช่หรือยังไง
“ไม่ได้ พ่อให้เจ้าพาเจ้าชายฟินตันออกไปด้านนอกไม่ได้จริง ๆ
บอลด์วิน”
ที่ประตูหลักของพระราชวังหลวงของกรุงมอนทารา
การเจรจาระหว่างคนเฝ้ายามและเด็กหนุ่มสองคนกำลังเกิดขึ้นอยู่
บอดด์วินคิดเอาไว้ในตอนแรกว่ามันจะผ่านไปอย่างง่ายดายเพราะคนที่เฝ้ายามอยู่คือพ่อของเขา
แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วนั้นกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิดเลย
กันเธอร์จะไม่อนุญาตให้เจ้าชายของอาณาจักรออกไปด้านนอกพระราชวังในเวลาวิกาลเช่นนี้เป็นอันขาด
ความปลอดภัยของฟินตันและราชวงศ์จะต้องมาก่อนเสมอ
“ท่านพ่อ ข้าข้อร้อง เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น”
บอลด์วินถามผู้เป็นพ่ออีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ้อนปนเอาแต่ใจที่ชวนให้ฟินตันขบขัน
เนื่องด้วยเป็นการกระทำที่ผู้เป็นเจ้าชายไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดที่รู้จักกันมา
“ไม่ได้ ถ้าหากลูกมาขอออกไปข้างนอกกับเฟลิกซ์พ่อจะไม่ห้ามเลย
แต่ท่านฟินตันเป็นเจ้าชาย ลูกอย่าลืมไปเสียสิว่าจะทำตามใจไม่ได้”
เพราะฟินตันเป็นเจ้าชายที่ต้องดูแลให้ดี
การจะทำตามใจในทุกเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้กับสามัญชนอย่างบอลด์วิน
กับคนในราชวงศ์แล้วนั้น ความปลอดภัยจะต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัวเสมอ
นั่นคือหน้าที่ขององครักษ์
แต่คำพูดของกันเธอร์ก็ทำให้ฟินตันได้ความคิดอะไรบางอย่าง
ก็ในเมื่อเขาคือเจ้าชาย
แล้วกันเธอร์เป็นองครักษ์ที่ต้องฟังคำสั่งของราชวงศ์ ฉะนั้นแล้ว…
“คุณกันเธอร์ครับ”
บอลด์วินที่กำลังดึงชายเสื้อของผู้เป็นพ่ออยู่และกันเธอร์ที่กำลังจะมะเงกลูกชายของตนเองต่างหันมามองผู้เป็นเจ้าชายอย่างพร้อมเพรียงกัน
แล้วจึงเอ่ยตอบ
“ขอรับท่านฟินตัน”
“องครักษ์จะต้องฟังคำสั่งของสมาชิกราชวงศ์ถูกต้องใช่ไหมครับ?”
ฟินตันยิ้มหน่อย ๆ ที่แฝงความเจ้าเล่ห์เมื่อพูดออกไป
“ช- ใช่ขอรับ”
กันเธอร์รู้สึกแปลก ๆ
ราวกับว่าฟินตันกำลังจะทำตัวให้สมกับอำนาจที่มีในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อย่าให้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมันเป็นแบบที่ผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์คิดก็พอ
“เช่นนั้นผมขอสั่งให้คุณกันเธอร์อนุญาตให้ผมกับบอลด์วินออกไปข้างนอกด้วยกันจะได้ไหมครับ?”
พูดจบฟินตันก็ยิ้มกว้างออกมา ก็แหม
เขาเป็นเจ้าชายซึ่งเป็นสมาชิกของราชวงศ์นี่นา
และผู้เป็นองครักษ์ก็ต้องฟังคำสั่งของสมาชิกราชวงศ์ที่ตนอารักขา
ฉะนั้นแล้ว หากเขาสั่งกันเธอร์เช่นนี้
เขาและบอลด์วินก็ควรจะได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกได้โดยไม่มีข้อกังขาใด
ๆ
“อึก… ท่านฟินตันขอรับ อย่าทำเช่นนี้กับกระหม่อมเลยขอรับ”
กันเธอร์กัดฟันหน่อย ๆ
แล้วย่อตัวลงพูดตอบผู้เป็นเจ้าชายในระดับสายตาที่เท่า ๆ กัน
สิ่งที่เขาคิดมันเกิดขึ้นจริง ๆ ด้วย
หวังว่าอย่างน้อยหากพูดคุยด้วยในระดับสายตาที่เท่ากันกับคนสูงส่งนี้จะทำให้เขาล้มเลิกความคิดนี้ได้
“คุณกันเธอร์จะไม่ฟังคำสั่งของผมที่เป็นสมาชิกราชวงศ์หรือ?”
กันเธอร์แสดงสีหน้าอันหนักใจยิ่งออกมายิ่งกว่าเก่าพอได้ยินฟินตันพูดเช่นนั้น
ส่วนบอลด์วินนั้นก็ทึ่งไม่ต่างกับผู้เป็นพ่อของตน
เขาไม่คิดเลยว่าฟินตันจะใช้ไม้นี้ให้เขาได้เห็นในห้วงชีวิตนี้
“…”
“ผมขอเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงนะครับ ด้วยเกียรติของเจ้าชาย ผมสัญญา”
เมื่อผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์ยังคงเงียบ
ฟินตันเลยพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ้อนหน่อย ๆ
แบบเดียวกับเวลาที่เขาอ้อนผู้เป็นพ่อของเขา
“เห้อ… กระหม่อมยอมแล้วขอรับ หนึ่งชั่วโมงนะขอรับ
กระหม่อมจะรออยู่ที่ประตูนี้”
แม้จะอยากปฏิเสธมากเพียงใด
แต่การกระทำดังกล่าวน่าจะดูไม่ดีนักในฐานะองครักษ์ของราชวงศ์
กันเธอร์จึงต้องยอมปล่อยผ่านในเรื่องนี้ไปและทำได้เพียงยืนเฝ้ายามอย่างกระวนกระวายใจตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ฟินตันสัญญากับเขาไว้
แต่หลังจากนี้กันเธอร์จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้พระราชาวูลแฟรมทราบอย่างไรดีกัน?
“สุดยอดไปเลยฟินตัน ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าทำเช่นนั้นได้”
บอลด์วินชมสหายของเขาขณะที่พวกเขาทั้งสองกึ่งเดินกึ่งวิ่งมุ่งหน้าไปยังเนินเขาที่ประจำที่พวกเขาชอบไปด้วยกัน
บุตรชายของหัวหน้าองครักษ์ไม่เคยนึกถึงในจุดจุดนี้มาก่อนเลยว่าฟินตันนั้นจริง
ๆ แล้วก็สามารถสั่งเจ้าหน้าที่แทบทั้งหมดในพระราชวังได้
เพียงแต่เจ้าตัวเลือกที่จะทำตัวเสมอกับเจ้าหน้าที่ทั้งหลายเหล่านั้นและไม่ออกคำสั่งเฉย
ๆ
“ข้าไม่อยากทำเช่นนี้เท่าไหร่หรอกน่า ข้าไม่ชอบสั่งบังคับคนอื่น
แต่การที่จะได้ออกมาข้างนอกกับเจ้าในเวลาแบบนี้ก็มีแค่หนทางนี้ทางเดียว
ก็เลย…”
ฟินตันหันมาตอบพร้อมกับวิ่งตามบอลด์วินไปให้ทัน
แสงจากเหล่าหมู่ดาวที่ตกกระทบนัยน์ตาของคนข้าง ๆ
ของเขามันช่างสวยงามเสียจริง ดวงตาสีฟ้ากับแสงขาวอมฟ้าจากฟากฟ้า
เข้ากันอย่างบอกไม่ถูกเลย
ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็มาถึงเนินเขาเล็ก ๆ
ที่ประจำที่พวกเขามาด้วยกันบ่อย ๆ
ซึ่งพอมาถึงฟินตันก็นั่งลงที่เก้าอี้ที่ทำมาจากท่อนไม้แก่ของตนทันที
“สวยมากเลย เจ้าดูสิ”
ฟินตันชี้ไปที่ท้องฟ้าที่ทอแสงสีขาวระยิบระยับเป็นทางพลางพูดเรียกให้สหายของเขาเงยหน้าขึ้นไปดูด้วยกัน
“เจ้าชอบหรือเปล่า?”
บอลด์วินนั่งลงที่เก้าอี้ที่ทำมาจากท่อนไม้แก่แบบเดียวกันข้าง ๆ
เอนหลังลง เงยหน้าขึ้นไปมองตามทิศทางที่คนข้าง ๆ
กำลังมองอยู่แล้วพูดถาม ถ้าคำตอบที่ได้เป็นทางบวกล่ะก็ เขาจะดีใจมาก
ๆ เลย
“งดงามขนาดนี้ ข้าจะไม่ชอบได้อย่างไรกัน?”
ริมฝีปากบอลด์วินยกยิ้มขึ้น คิดไม่ผิดเลยที่เจ้าตัวชวนฟินตันออกมา ณ
ที่ตรงนี้ด้วยกัน
สายลมเย็นที่พัดผ่านชายป่าพัดผ่านเด็กวัยรุ่นทั้งสองคนไปสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
รวมเข้ากับท้องฟ้าที่ยิ่งกว่าภาพวาดใด ๆ
บนโลกจะเทียบเคียงได้แล้วนั้น
เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงที่ฟินตันขอไว้กับกันเธอร์ดูเหมือนจะน้อยไปเสียหน่อยแล้วสิเช่นนี้
การได้เอนหลังบนเก้าอี้ขอนไม้มองดูดวงดาวมันก็ดีอยู่ในตอนแรก
แต่สุดท้ายแล้วฟินตันก็เลือกที่จะลุกขึ้นเดินไปยังบริเวณทางลาดลงของเนินเขาแห่งนี้ที่มีเหล่าหญ้าขึ้นปกคลุมอยู่หนานุ่ม
แล้วจึงนอนลงแนบกับมันเพื่อให้สามารถมองท้องฟ้ากว้างเหนือศีรษะได้ทุกทิศทุกทางอย่างสบายตัว
“ฟินตัน! เจ้าทำอะไรกัน ฝุ่นจะเปื้อนผมของเจ้าเอานะ”
บอลด์วินที่ละสายตาจากท้องฟ้าสวยเพื่อจะแอบลอบมองใบหน้าของคนด้านข้างกับพบเพียงความว่างเปล่า
เมื่อหันดูรอบ ๆ
จึงพบว่าคนที่เขาอยากจะมองไม่แพ้เหล่าดาวบนฟากฟ้านั้นได้ย้ายตัวเองไปนอนบนพื้นหญ้าเสียแล้ว
หากเป็นคนธรรมดาเขาจะไม่ติอะไรเลย แต่ฟินตันเป็นเจ้าชายอันสูงส่ง
การทำตัวธรรมดาเช่นนี้มันออกจะเกินไปเสียหน่อยที่บอลด์วินอยากจะให้อีกฝ่ายทำ
“ก็แบบนี้มันมองเห็นท้องฟ้าชัดกว่านี่นา อีกทั้งยังสบายหลังกว่าด้วย”
ในระหว่างที่ฟินตันตอบ
บอลด์วินก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเจ้าชายผู้ทำตัวไม่สมกับยศถาของตน
ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ที่พื้นหญ้านั้นเช่นเดียวกัน
บอลด์วินเพิ่งคิดอะไรดี ๆ ออกน่ะเมื่อครู่
“ถ้าหากเจ้าไม่รังเกียจ สามารถหนุนตักของข้าได้ตามสบายเลยนะ”
พูดจบบอลด์วินก็ยิ้มออกมาเล็ก ๆ ด้วยความเขินหน่อย ๆ
ที่มีอยู่ภายในใจ ถ้าได้คนตัวเล็กกว่าข้าง ๆ มานอนหนุนตักแล้วล่ะก็
มันจะราวกับความฝันได้เป็นจริงเลย และเขาจะต้องดีใจมากแน่นอน
“ด- ได้หรือ?”
ฟินตันยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วถามสหายของตนเพื่อความชัดเจน
เสร็จเขาสิหากมาเสนอเรื่องที่สบายในการนอนให้เขาเช่นนี้
“ถ้าเป็นเจ้า… ได้เสมอเลย”
โดยไม่ต้องรอนาน
หน้าตักของบอลด์วินก็หนักขึ้นจากการที่ผู้เป็นเจ้าชายทิ้งน้ำหนักของศีรษะลงมานอนหนุน
และมันทำให้ใจของบอลด์วินเต้นแรงมาก ๆ เลยด้วย
“ศีรษะของข้าไม่หนักมากใช่หรือเปล่า?”
ดวงตาสีน้ำตาลของฟินตันเลื่อนจากท้องฟ้าสวยมาสบเข้ากับดวงตาของบอลด์วินเพื่อถามระหวทางขยับตัวให้นอนได้สบาย
จริง ๆ ฟินตันก็เกรงใจสหายของตนอยู่เล็กน้อย
แต่สหายของเขาอุตส่าห์เสนอความสบายนี้ให้เขาแล้ว
จะไม่รับเอาไว้แล้วนอนหนุนต้นหญ้ามันก็ยังไงอยู่
“ไม่เลย”
กลุ่มผมสีน้ำตาลพัดไหวไปตามลมเย็นบ้างเล็กน้อยจนมันต้องโดนมือของบอลด์วิน
ดวงตาสีน้ำตาลที่สามารถมองเห็นได้ชัดยามมีแสงจากฟากฟ้าตกกระทบ
แม้จะไม่ทำให้ดูอบอุ่นเท่าแสงจากดวงตะวันในยามกลางวัน
แต่ก็ยังทำให้คนตรงหน้าของบอลด์วินดูงดงามได้อยู่ดี
“เจ้าหายไปทำอะไรในห้องสมุดมาถึงหนึ่งสัปดาห์?”
บอลด์วินอดที่จะถามฟินตันไม่ได้ในขณะที่พยายามห้ามไม้ให้มือของตนเลื่อนไปลูบศีรษะที่มีกลุ่มผมสีน้ำตาลตรงหน้า
“อ๋อ ข้ากำลังเรียนภาษาใหม่อยู่น่ะ เจ้ารู้จักภาษาไฮด์นอร์สหรือไม่?
ภาษาที่เป็นเส้นตรงกับเส้นทแยงดูเหมือนอักขระเวทมนตร์น่ะ”
ฟินตันเล่าอย่างย่อพร้อมกับชูมือขึ้นในอากาศแล้วลากนิ้วเขียนชื่อตนเองระหว่างจุดของดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นอักษรไฮด์นอร์ส
แล้วจึงตามด้วยชื่อของคนที่อาศัยตักเป็นหมอนอยู่ในตอนนี้เพื่อเป็นการทบทวนสิ่งที่เรียนมา
“ข้าเคยได้ยินมา แต่เช่นนี้เจ้าก็จะใช้เวทมนตร์ได้ใช่หรือไม่?”
ดั่งเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่ากันว่าอักษรในภาษาไฮด์นอร์สนั้นมีเวทมนตร์แฝงอยู่
จึงไม่แปลกใจเลยที่บอลด์วินจะคิดเช่นนั้นว่าฟินตันจะสามารถใช้พลังเวทได้
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอลองกับเจ้าเสียหน่อยแล้วกัน
เจ้าจงกลายเป็นครัวซองต์เสียบอลด์วิน!!”
ฟินตันเมื่อได้โอกาสจึงแกล้งบอลด์วินกลับด้วยการทำเป็นร่ายเวทด้วยน้ำเสียงจริงจังให้สหายของเขากลายไปเป็นขนมที่เขาชอบที่สุดอย่างครัวซองต์
“ช- ช้าก่อน อย่านะฟินตัน… เอ๊ะ?”
แต่สิ่งที่บอลด์วินกลัวก็กลับกลายเป็นเพียงความเงียบ
และไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของร่างกายของตน
“ฮ่า ๆๆๆๆ”
ฟินตันหัวเราะจนต้องงอตัวหน่อย ๆ
กับสีหน้าของบอลด์วินที่ตกใจกลัวจนแสดงออกมาเป็นใบหน้าที่ชวนให้เขาขบขัน
ได้แกล้งคนที่แกล้งเขาคืนแบบนี้ก็ถือว่าหายกันแล้วล่ะสำหรับเขาและบอลด์วิน
ส่วนอัลดริชนั้นฟินตันขอเก็บไว้คิดบัญชีในภายหลัง
เขาจะไม่ยอมโดนแกล้งฟรี ๆ แน่
“เจ้าก็อยู่ด้วยไม่ใช่หรือตอนที่คุณลีโอฟริคสอนในรายวิชาพลังจิตและเวทมนตร์น่ะ
พลังเวทมันจะมาจากสิ่งที่เรียกว่ามานา (Mana)
ต่างหากไม่ใช่เพียงแค่ตัวอักษรเหล่านี้หรอก”
ถ้าฟินตันจำได้้ไม่ผิดแล้ว
บอลด์วินน่าจะเคยนั่งเรียนในเรื่องเหล่านี้กับเขาอยู่ในบ่ายซักวันหนึ่งในหลายครั้งนับไม่ถ้วนที่พวกเขานั่งข้างกันในห้องสมุดของพระราชวังแน่
ๆ เพียงแต่คนผมสีดำนี้อาจจะไม่ได้ตั้งใจฟังแค่นั้นเอง
“ข้าตกใจนี่นา ข้านึกว่าข้าจะกลายเป็นครัวซองต์แล้วเสียอีก
ส่วนเรื่องนั้นข้าพอจำได้ลาง ๆ อยู่บ้าง
พอดีในตอนนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจฟังนักน่ะ”
เป็นดั่งที่ฟินตันคิดไว้ไม่มีผิด บอลด์วินแค่ไม่ได้ตั้งใจฟังเฉย ๆ
ในขณะที่มานั่งเรียนเป็นเพื่อนเขา
แต่แค่มีบอลด์วินมานั่งเรียนด้วยข้าง ๆ มันก็ดีแล้วล่ะ
“แต่ข้าไม่คิดเลยว่าภาษานี้จะมีความโดดเด่นเพียงนี้
มันดึงดูดข้าไว้จนข้าแทบไม่เป็นอันจะทำสิ่งใดเลย รู้ตัวอีกทีหนึ่ง
เวลาก็ผ่านไปสัปดาห์นึงแล้วเสียอย่างนั้น
ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้มาพบเจ้าเลย”
ฟินตันขอโทษสหายของตนที่หายไปถึงหนึ่งสัปดาห์ในกองหนังสือมากมาย
เจ้าชายผมสีน้ำตาลพระองค์นี้รำคาญนิสัยนี้ของตนอยู่บ้างเช่นกัน
เพราะมันทำให้เขาหลงลืมเรื่องรอบตัวไปจนหมดยามที่กำลังจดจ่ออยู่กับอะไรที่น่าสนใจอย่างเช่นครั้งนี้
“ไม่เห็นต้องขอโทษข้าเลยฟินตัน ข้าเข้าใจเจ้าดี
เวลามีอะไรที่เร้าความสนใจเจ้า เจ้าก็มักจะเป็นเช่นนี้แหละ
และข้ามองว่ามันเป็นเรื่องที่ดีแล้วเสียอีกที่เจ้าได้ใช้เวลาอยู่กับสิ่งที่เจ้าชอบ”
บอลดวินไม่ได้โกรธหรือรู้สึกไม่ดีกับการที่ไม่ได้พบสหายของเขาเสียหน่อย
การที่เขารู้จักกับฟินตันมาได้นานพอสมควรมันทำให้เขารู้ว่าฟินตันมีนิสัยนี้อยู่
การได้ดำดิ่งลงไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ
ในหัวข้อที่กำลังทำให้เจ้าชายพระองค์นี้สนใจอยู่เป็นสิ่งที่บอลด์วินคิดว่าไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ใคร ๆ ก็อยากใช้เวลาอยู่กับสิ่งที่สนใจทั้งนั้นไม่ใช่หรือยังไง
“แต่มันทำให้ดูเหมือนว่าข้าชอบมันมากกว่าการได้อยู่กับเจ้านี่นา
ข้ากลัวเจ้าจะน้อยใจข้า”
ตึกตัก
หัวใจของบอลด์วินเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะจากคำพูดที่ไม่ได้คิดอะไรมากของฟินตัน
ตามมาด้วยอาการที่ท้องปั่นป่วนดังเช่นที่คนเขาเปรียบเทียบว่าเหมือนมีผีเสื้อบินยู่ข้างใน
การตกหลุมรักใครบางคนเป็นเช่นนี้เอง
“ข้าดีใจนะที่เจ้าคิดเช่นนั้น”
“ทำไมหรือ? อ๊ะ”
โดยไม่ทันรู้ตัว
มือของบอลด์วินในที่สุดก็ไม่สามารถห้ามตัวเองเอาไว้ได้
และได้ลูบลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลไปมาหลาย ๆ ทีอย่างอ่อนโยนไปเสียแล้ว
“เวรแล้ว ข้าขอโทษจริง ๆ ข้าไม่ควรสัมผัสตรงนี้ของเจ้า”
บอลด์วินพอรู้ตัวก็รีบขอโทษทันที
อันที่จริงเขาอยากจะขยับตัวไปคุกเข่าขอโทษให้เหมาะสมด้วยซ้ำ
แต่ขาของเขาขยับไม่ได้เพราะมีฟินตันนอนหนุนตักอยู่
“ที่จริง... ข้าก็ไม่ชอบให้ใครมาจับศีรษะของข้านักหรอก
เว้นจากท่านพ่อ ท่านแม่ ไอ้ท่านพี่อัลดริช ท่านพี่บริจิด คุณกันเธอร์
แล้วเจ้าอีกคนด้วยก็ได้”
ฟินตันไม่ชอบให้ใครมาลูบหัวของเขานัก
เพราะมันทำให้เหมือนว่าตัวเขายังเป็นเด็กอยู่
ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะชอบสัมผัสเวลาที่ฝ่ามือของคนอื่นลูบผ่านกลุ่มผมของเขามากก็ตามที
“ข- ข้าด้วยหรือ? มันดีจะดีหรือ?”
ในรายชื่อทั้งหมดที่ฟินตันกล่าวออกมา
ที่น่าตกใจกว่าการที่มีชื่อของพ่อของเขาแล้ว
บอลด์วินก็ยิ่งตกใจที่มีชื่อของตนด้วยในข้อยกเว้นของเรื่องนี้
“ถ้าเป็นเจ้า ข้าไม่ถือหรอก”
ฟินตันละสายตาไปจากการสบตากับบอลด์วินไปมองดูดาวท้องฟ้าต่อ
ก่อนจะขยับศีรษะของตนให้เข้าไปถูกับฝ่ามือของบอลด์วินสองสามทีเพื่อให้บอลด์วินลูบต่อ
“ฟินตัน... เห้อ... ไม่มีอะไรหรอก”
บอลด์วินอยากจะพูดเหลือเกินว่าคนตรงหน้าเขาน่ารักขนาดไหนในตอนนี้
แต่เขาเลือกในวินาทีสุดท้ายว่าเก็บคำพูดนี้เอาไว้แต่ภายในใจดีกว่า
“เจ้าอยากจะทำอะไรหรือหลังจากที่โตแล้ว?”
ฟินตันถามขณะที่เขาค่อย ๆ
เดินห่างออกจากเนินเขาริมแม่น้ำเรนอสกลับไปยังพระราชวังด้วยกันกับบอลด์วิน
“ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ถามคำถามนี้กับข้ากัน?”
บอลด์วินที่ปกติพูดคุยกับฟินตันเฉพาะเรื่องที่อยู่ในกาลปัจจุบันเป็นส่วนใหญ่
น้อยครั้งมากที่เจ้าชายผมสีน้ำตาลจะเลือกเรื่องราวในอนาคตมาพูดกับเขา
แล้วยิ่งเป็นเรื่องจริงจังอย่างเรื่องการงานแล้วด้วย
“ข้าก็แค่อยากรู้น่ะ
ข้าได้ยินท่านพ่อของข้าพูดกับไอ้พี่บ้าอัลดริชถึงเรื่องการครองบัลลังก์ในอนาคตเมื่อไม่กี่วันก่อน
พอเป็นเช่นนั้นแล้วข้าเลยคิดเรื่องอนาคตบ้างนิดหน่อย”
ในระหว่างการรับประทานอาหารค่ำของเย็นวันหนึ่งที่ฟินตันเริ่มที่จะดำดิ่งลงไปสู่กองหนังสือภาษาไฮด์นอร์ส
พระราชาวูลแฟรมได้พูดคุยกับบุตรชายพระองค์ใหญ่ของพระองค์ถึงเรื่องการเตรียมตัวเพื่อการครองราชบัลลังก์ของโคโลเนีย
จากการที่ในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้อัลดริชจะมีอายุครบ 18 ปี
ซึ่งนอกจากจะเป็นอายุที่ได้ทราบว่าเจ้าชายพระองค์นี้จะมีพลังจิตหรือไม่แล้ว
ก็ยังเป็นอายุที่จะได้แต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทของราชบัลลังก์อย่างเป็นทางการอีกด้วย
สำหรับฟินตันที่เป็นบุตรชายคนที่สอง
เรื่องการครองราชย์จึงถือเป็นเรื่องที่ไกลตัวเขาบ้างเล็กน้อย
เพราะหากเป็นสมัยก่อนน่ะก็อาจจะใกล้ตัว
แต่ในขณะนี้ที่วิธีการรักษายามเจ็บป่วยมีการพัฒนาขึ้นกว่าเดิมมากด้วยโพชั่นมากมายและคริสตัลสีเขียว
การที่จะเลี้ยงดูเด็กคนนึงให้เติบโตมาได้นั้นจึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ยากเข็ญมากเท่าเดิม
และแม้จะยังคงมีอุปสรรคอยู่บ้าง
แต่ในตอนนี้ที่อัลดริชเติบโตมาอย่างแข็งแรงและสง่างามแล้ว
โอกาสที่ราชบัลลังก์จะตกมาถึงฟินตันจึงเป็นไปได้น้อยพอสมควรเลย
“เห้อ... อืม...
ข้าก็คงจะเป็นองครักษ์ของราชวงศ์เหมือนกับพ่อของข้าล่ะมัง”
บอลด์วินถอนหายใจกับคำที่ฟินตันใช้เรียกผู้เป็นพี่ชายของตน
หากใครคนอื่นมาได้ยินเข้าแล้วเข้าใจผิดเอา
คนเขาจะคิดว่าฟินตันเป็นพวกคิดก่อการล้มล้างราชวงศ์เอาได้
ใครจะไปกล้าเรียกองค์รัชทายาทว่าบ้ากันนอกจากน้องชายของพระองค์คนข้าง
ๆ บอลด์วินตอนนี้
ขณะเดียวกัน
ในหัวของบอลด์วินไม่มีอาชีพอื่นใดอยู่อีกเลยนอกจากการตามรอยพ่อของตน
และหากทำได้เช่นนั้นจริงแล้ว
เขาก็จะได้เจอกับฟินตันทุกวันได้โดยง่ายด้วย
ไม่จำเป็นต้องรอเข้ามาในพระราชวังพร้อมกับพ่อของเขาอีกต่อไป
“งั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็อยู่กับข้าเช่นนี้ไปนาน ๆ เลยนะ”
ฟินตันยิ้มกว้างที่ได้รู้ว่าจะได้มีสหายคนนี้อยู่ข้างกายไปอีกนาน
อุ่นใจดีแปลก ๆ เหมือนกัน
“แน่นอนอยู่แล้ว
ข้าขอสัญญากับเจ้าเลยว่าข้าจะเป็นองครักษ์เคียงข้างเจ้าไปตลอดชีวิตของข้าเลย”
บอลด์วินพูดด้วยเสียงที่จริงจังพร้อมกับจ้องตรงเข้าไปในตาของฟินตัน
สิ่งที่เขาพูดนี้ จะยึดถือ ยึดมั่น และทำให้ได้อย่างแน่นอนในอนาคต
“ไม่ต้องพูดเอาใจข้าก็ได้ เจ้าก็มีชีวิตของเจ้านะอย่าลืม”
พวกเขาทั้งสองมาถึงด้านหน้าของพระราชวังพอดีก่อนเวลาที่บอกเอาไว้กับหัวหน้าองครักษ์สิบนาที
บอลด์วินอยากจะตอบเสียเหลือเกินว่าชีวิตของเขาทั้งชีวิตก็คือฟินตันนั่นแหละ
แต่ง่วงเสียแล้วสิ ดึกขนาดนี้แล้วหรือ?
กว่าจะได้กลับบ้านก็ต้องรอพ่อของเขาเฝ้ายามเสร็จในตอนรุ่งสางเลย
“บอลด์วิน เจ้าอยู่ที่ไหน!?”
เสียงเรียกหาดังไปทั่วพระราชวังในยามเช้าของวันใหม่ที่มีแดดอุ่นส่องให้ความอบอุ่น
กันเธอร์ที่เฝ้ายามเสร็จสิ้นแล้วตลอดทั้งคืนพยายามออกตามหาผู้เป็นลูกชายไปทั่วในบริเวณที่บอลด์วินรออยู่ตามปกติ
แต่กลับไม่พบเลย จึงได้ออกตามหาไปทั่วทั้งพระราชวังในตอนนี้
และแม้แต่พระราชินีเฟรยาที่ตื่นเช้ากว่าพระสวามีของพระองค์ก็ได้มาร่วมช่วยตามหาด้วย
“พบหรือไม่?”
เฟรยาถามกันเธอร์ขณะเดินกลับมาเจอองครักษ์วัยกลางคนที่โถงบันไดกลางของตำหนักชั้นใน
“ไม่ขอรับ ไปอยู่ที่ไหนนะลูกคนนี้”
“เจอแล้วเพคะท่านแม่”
ในระหว่างที่กันเธอร์กำลังกลุ้มใจอยู่นั้น เสียง ๆ
หนึ่งก็ดึงความสนใจเขาไป
แต่ก่อนจะได้ตอบอะไรเขาก็ต้องทำการคุกเข่าลงเสียก่อน
“ที่ใดหรือ? บริจิด”
“ถวายบังคมขอรับท่านบริจิด”
“บอลด์วินอยู่ที่...”
เมื่อกันเธอร์กับเฟรยาเดินตามการนำทางของบริจิดไปก็พบว่าที่ ๆ
พวกเขามาหยุดอยู่ด้านหน้าก็คือห้องนอนของฟินตัน
เมื่อเปิดประตูเข้าไปเบา ๆ
ก็พบว่าบุตรชายของหัวหน้าองครักษ์ของอาณาจักรนั้น
แท้จริงไม่ได้หายไปที่ใดที่ไม่ใช่ที่คุ้นเคยเลย แต่เป็นที่ ๆ
เขาเคยมาเยี่ยมเยือนแล้วหลายครั้งแล้วต่างหาก
และภาพที่ทั้งสามคนได้เห็นก็ทำให้พวกเขายอมที่จะปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านไป
เพราะบอลด์วินกำลังนอนหลับอย่างสบายอยู่บนเตียงของผู้เป็นเจ้าชายของอาณาจักร
อีกทั้งยังกอดเจ้าชายผู้เป็นเจ้าของเตียงเอาไว้แนบกายอีกด้วย
เช่นนี้จึงไม่มีใครกล้าที่จะปลุกทั้งสองคนให้ตื่นขึ้นในเวลาเช้าของวันนี้
เห็นเช่นนั้น
กันเธอร์จึงเลือกที่จะลงไปรอบริเวณสวนของพระราชวังชั้นในกับพระราชินีเฟรยา
ส่วนบริจิดนั้น เธอได้เรื่องไปล้อฟินตันเพิ่มแล้วอีกเรื่องแล้วล่ะ