โธ่เอ๊ย ไอ้พวกชาติชั่ว!!!”
โครม! เพล้ง!
เสียงตะโกนด่าพร้อมด้วยเสียงของข้าวของมากมายที่แตกเป็นเศษชิ้นส่วนมากมายกระจายทั่วพื้นหินอ่อนหรูดังสนั่นห้องอาหารค่ำของพระราชวัง
ณ กรุงมอนทารา
เสียงหายใจหอบหนักพร้อมด้วยสายตาของคนที่โกรธแค้นที่เพิ่งจะใช้แขนกวาดทุกอย่างบนโต๊ะอาหารตรงหน้าทิ้งไปทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะขยับตัวแม้แต่นิดเดียว
“จ- จากรายงานล่าสุด พวกมันน่าจะกำลังมุ่งหน้าไปทางบรูนส์วิกขอรับ”
ผู้นำส่งสารจากหอคอยเวทมนตร์พูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นกลัวการกระทำของผู้มีอำนาจสูงสุดตรงหน้าของเขา
และเมื่อรายงานจบ เขาก็รีบโค้งคำนับทันที
หมับ
“ส่งกำลังออกตามล่าพวกมันให้พบ ถึงขั้นที่สามารถจัดการผู้ที่มีพลัง
Stalker ของข้าได้ มันจะต้องชดใช้อย่างสาสม”
มือของคีย์รันทั้งสองข้างรวบคอเสื้อของผู้รายงานสารคนนั้นไว้พร้อมกับยกขึ้นด้วยแรงอันมหาศาลเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจนตัวของเขาคนนั้นลอยขึ้นจากพื้นและเริ่มขาดอากาศหายใจ
“ข- ขอรับ”
“เห้ย! ตั้งกำลังรอบมอนทาราเอาไว้ทุกทิศทางด้วย
ข้าจะไม่ยอมให้มันมาถึงที่นี่ได้เป็นอันขาด ฟินตัน…”
แล้วฝ่ามือนั้นก็ปล่อยร่างของชายผู้ส่งสารลงกับพื้นดังเดิม
เขาไอออกมาหลายทีจากการขาดอากาศหายใจเป็นเวลาชั่วครู่ ส่วนคนอื่น ๆ
ภายในห้องอาหารต่างโค้งหัวรับทราบคำสั่งและแยกย้ายออกไปทำหน้าที่ของตนทันที
โดยไม่รู้ว่าพวกเขาคิดไปเองหรืออย่างไร
แต่คริสตัลสีเหลืองที่ใช้เป็นแหล่งแสงสว่างภายในพระราชวังนั้นมีการหมองลงและกะพริบผิดปกติในตอนที่คีย์รันตะคอกและตอนที่เขายกตัวผู้ส่งสารคนนั้นให้ลอยขึ้นในมือด้วย
“พวกเจ้าอย่าโจมตีข้านะ ข้าไม่ได้มาทำอะไรพวกเจ้า ไว้ใจข้าได้”
นอร่าแม้จะรู้ว่าฟินตันกับบอลด์วินจะไม่ทำอะไรเธอแน่นอน
แต่กระนั้นก็ยังมีเฟลิกซ์อยู่ที่ยังคงถือมีดสั้นเอาไว้ในมือ
และจากการสังเกตการณ์ร่วมกับสืบข้อมูลมาแล้ว ถ้าไม่ระวังให้ดี
มีดสั้นในมือของเฟลิกซ์อาจจะเทเลพอร์ตมาปรากฏอยู่ที่ลำคอของเธอได้ง่าย
ๆ เลย
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
บอลด์วินเดินเข้าไปถามนอร่าพร้อมกับใช้สัญญาณมือบอกให้เฟลิกซ์ลดอาวุธลงได้
แม้บอลด์วินจะไม่ได้สนิทกับนอร่าเท่ากับฟินตัน
แต่เขากับเธอก็คุ้นหน้ากันดีและเคยได้พูดคุยกันบ้าง
“ข้าก็ตามพวกเจ้ามาน่ะสิ
เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นอร์ดมันวุ่นวายขนาดไหนตอนที่ข้าจากมา?”
นอร่าว่าแล้วก็รีบเดินเข้าไปหาบอลด์วินพร้อมถอดผ้าคลุมของตนออกมาถือไว้ในมือแล้วยื่นไปหาผู้เป็นอัศวินแทน
“อะไรหรือ…? อ๋อ อืม ขอบใจเจ้ามากนะ”
บอลด์วินงงงวยเล็กน้อยที่จู่ ๆ คนมาใหม่ก็ยื่นผ้าคลุมมาให้เขา
ก่อนจะเห็นใบหน้าของนอร่าที่พยักพเยิดไปทางด้านหลังของเขา
เขาจึงรู้ได้ทันทีเลยว่านอร่าส่งผ้าคลุมมาให้เขาทำไม
“หลังจากที่เจ้ากับอาร์เจน… ไม่สิ ฟ- ฟินตัน เจ้าชายฟินตัน ข้า-”
ระหว่างที่บอลด์วินย่อตัวลงคลุมผ้าคลุมให้กับฟินตัน
นอร่าก็เริ่มที่จะเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นอร์ดหลังจากที่สมาชิกคณะเดินทางเริ่มแรกทั้งสองคนได้จากมา
แต่ในตอนนั้นเองที่เธอสับสนว่าควรจะเรียกคนที่เธอรู้จักมาทั้งชีวิตว่าชื่อว่าอาร์เจนว่าอย่างไรดี
อีกทั้งพอรู้ความจริงที่ว่าคนคนนี้เป็นถึงเจ้าชายแล้วด้วยนั้น หลาย ๆ
สิ่งที่เธอเคยทำไปกับเขามันก็มีแต่สิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรเท่าใดนักเลยไม่ใช่หรืออย่างไร…
นอร่าหวังว่าตนเองคงจะไม่โดนลงโทษอะไรนะ
“ยืนไหวหรือเปล่า?”
“อื้อ ขอบใจเจ้ามากนะบอลด์วิน… ไม่ต้องทางการกับข้าหรอกนอร่า
ข้ากับเจ้าเป็นสหายร่วมงานกันมาเกินครึ่งทศวรรษนะ”
เมื่อได้ผ้าคลุมมาช่วยปิดปังร่างกายที่เปลือยเปล่าในท่อนล่างของคนที่สูงศักดิ์
บอลด์วินก็ค่อย ๆ ประคองฟินตันให้ลุกขึ้นยืนช้า ๆ
พร้อมกับให้ยืมแขนของตนข้างหนึ่งในการเกาะไว้ด้วย
เขาพูดขอบใจสหายตัวสูงข้างกายของเขาก่อนจะหันไปพูดกับนอร่าให้ไม่ต้องใช้คำอะไรฟุ่มเฟือยมากกับเขา
และแม้ในยามที่พึ่งผ่านเหตุการณ์อันไม่น่าจดจำมาหมาด ๆ
แต่ฟินตันก็ยังคงส่งยิ้มน้อย ๆ ให้กับนอร่าในระหว่างการสนทนาอยู่ดี
ซึ่งนอร่าแปลกใจและนับถือใจของเจ้าชายพระองค์นี้มาก ๆ เลย
“จะดีหรือ คือ… แล้วข้าต้องคุกเข่าถูกต้องหรือไม่?”
ฟินตันเหมือนเห็นภาพซ้อนของทั้งบอลด์วินและเฟลิกซ์
แต่ในขณะนี้เขาไม่มีแรงจะเดินไปหยุดการกระทำของนอร่าได้เหมือนกับหลาย
ๆ ครั้งของสหายสองคนที่เหลือ
“เฟลิกซ์ เจ้าช่วยห้ามไม่ให้สหายของข้าคุกเข่าจะได้หรือไม่?”
เฟลิกซ์ได้ยินก็เดินเข้าไปหานอร่าพร้อมกับประคองเธอเอาไว้ไม่ให้ย่อตัวลงทำความเคารพผู้เป็นเชื้อพระวงศ์
“เช่นนั้นก็ได้ แต่… คุณเฟลิกซ์ใช่หรือไม่? ข้าลืมแนะนำตัวไปเสียเลย
ข้ามีนามว่านอร่า มอร์เกนเทา เป็นสหายที่ทำงานของ เอ่อ…”
นอร่ากำลังจะพูดชื่อออกมา แต่เธอก็หันไปหาผู้เป็นเจ้าของชื่อเสียก่อน
แล้วส่งสายตาที่มีคำถามแฝงในนั้นด้วยว่าเธอควรจะเรียกฟินตันด้วยชื่อแบบไหนดี
“แค่ฟินตันก็พอแล้ว”
และฟินตันเองก็เข้าใจดีในสายตานี้
เขาจึงตอบออกไปด้วยเพียงแค่ชื่อจริงเปล่า ๆ
ที่ไร้ยศหรือสิ่งใดประดับประดา
“อื้อ
ข้าทำงานเป็นพนักงานภายในร้านอาหารที่นอร์ดกับฟินตันมาราวหกปีเศษได้น่ะ”
นอร่าพยักหน้าตอบรับ
เรื่องเช่นนี้เป็นปกติระหว่างฟินตันกับเธออยู่แล้ว
เพราะภายในการทำงานที่ร้านอาหาร
มีบ่อยครั้งที่พวกเขาไม่อาจพูดสิ่งที่อยู่ในใจได้ทั้งหมดต่อหน้าลูกข้าจำนวนมาก
การส่งคำถามผ่านทางสายตาและท่าทางจึงเป็นสิ่งที่ถูกนำมาใช้แทนเป็นส่วนใหญ่
จนหลาย ๆ ครั้งพวกเขาและคนรอบข้างต่างก็คิดว่าพวกเขามีพลัง Telepathy
หรือไม่
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร การมีพลังจิตมากกว่าหนึ่งพลังหรือ Dual
Skill นั้นเป็นสิ่งมีที่อยู่เพียงในจินตนาการเท่านั้น
และยิ่งการมีพลังจิตมากกว่าสองพลังหรือ Multi-Skill แล้วด้วย
ในความเป็นจริงนั้นมันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนจากการศึกษามาตลอดของหลายอาณาจักร
และทั้งหมดนี้เกิดจากมิตรภาพและความเข้าใจกันอันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงต่างหาก
นอร่า มอร์เกนเทา ผู้เป็นเพื่อนร่วมงานกับฟินตันมากว่าหกปี ณ
ร้านอาหารของชาล็อตใจกลางนอร์ด
เธอเป็นคนที่มีนิสัยร่าเริงสดใสมากในสายตาของทั้งฟินตันและบอลด์วิน
หากจะเทียบแล้วก็คงจะมากกว่าฟินตันตอนยังเล็กเล็กน้อย
แต่ถึงแบบนั้นก็เข้ากันได้ดีกับฟินตันมากจนเรียกได้ว่าเป็นคู่หูประจำร้านเลยก็ว่าได้
ในยามว่างเธอชอบออกไปล่าสัตว์กับครอบครัวโดยอาศัยพลังของเธอในการพรางตัวและทำให้ได้เนื้อดี
ๆ กลับมาเสมอ
และเนื้อส่วนหนึ่งที่ร้านของชาล็อตใช้ก็มาจากการจ้างวานนอร่าด้วย
เธอจึงมีความสามารถในการซุ่มโจมตีและใช้อาวุธได้เป็นอย่างดีอย่างที่ได้เห็นในการโจมตีกลุ่มทหารเมื่อวันก่อน
“ส่วนข้า เฟลิกซ์ ซอนเนินไฮเซอร์
เป็นสหายของบอลด์วินมาครั้งตั้งแต่พวกข้ายังเป็นเล็กและยังอาศัยอยู่ที่มอนทารา
ยินดีที่ได้รู้จักนะ ว่าแต่ว่าเจ้าเป็นคนจัดการศัตรูทั้งหมดเลยหรือ
แล้วทำได้อย่างไรกัน?”
ดูเหมือนนิสัยเข้ากับคนได้ง่ายของเฟลิกซ์จะเป็นการเข้ากับคนอื่นได้ง่ายเกินเหตุไปพอสมควร
เพียงแค่แนะนำตัวกันเสร็จสิ้นแล้ว
เฟลิกซ์ก็ถามคนที่เพิ่งรู้จักด้วยคำถามใหม่ทันที
“พลังจิตของข้าคือ Refraction Control
ซึ่งสามารถทำอะไรเช่นแบบนี้ได้”
สิ้นคำพูดของนอร่า เธอก็หายไปจากสายตาของคนที่เหลือทั้งสามคน
แล้วต่อมาฟินตันก็รับรู้ว่ามีคนแตะที่ไหล่ของเขา
และนั้นทำให้เขาสะดุ้งไปชนกับบอลด์วิน
ก่อนที่พอหันไปมองอากาศที่เคยว่างเปล่าก็ค่อย ๆ
ปรากฏเป็นนอร่าโผล่ขึ้นมา
“แล้วทำไมเจ้าต้องมาแกล้งข้าด้วย?”
ฟินตันโวยวายในขณะที่บอลด์วินพยายามจับตัวของเขาไว้ไม่ให้ออกไปวิ่งใส่นอร่าที่กำลังหัวเราะคิกคักอารมณ์ดี
แต่ถ้าฟินตันกลับมามีแรงเช่นนี้แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
“โห นี่มันสุดยอดไปเลยมิใช่หรือ?”
“ข้าว่าแล้วไม่ผิด
ว่าทำไมตลอดมาเจ้าถึงเข้ามาแกล้งข้าได้โดยที่ข้าไม่รู้ตัวเลย
เพราะเหตุนี้เองสินะ”
ฟินตันพูดพร้อมกับถอนหายใจให้สหายของตน ตลอดมาที่นอร์ด
เขามักจะโดนนอร่าเข้ามาหาใกล้ตัวและแกล้งให้ตกใจอยู่บ่อย ๆ
ไม่เว้นแม้แต่บางครั้งที่บอลด์วินแวะเวียนมาหาเขาที่ร้านอาหารของชาล็อต
จู่ ๆ
นอร่าก็โผล่มาแอบดูเขากับบอลด์วินพูดคุยกันได้โดยไม่มีใครสังเกต
Refraction Control คือพลังในการควบคุมแสงประเภทหนึ่ง
โดยพลังนี้จะสามารถควบคุมการหักเหของแสงที่ส่องมากระทบกับตัวของผู้ใช้พลังรวมไปถึงแสงที่อยู่รอบตัวในระยะใกล้
ๆ ได้
ซึ่งพอนำมาใช้ในการหักเหให้แสงที่มาตกกระทบร่างกายของเจ้าของพลังไม่สามารถเดินทางไปถึงดวงตาของคนรอบข้างได้
ผู้ที่ใช้พลังก็จะราวกับหายตัวได้โดยสมบูรณ์
และด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้นอร่าสามารถจัดการศัตรูมากมายได้โดยไม่มีใครเห็น
แม้มันจะเหนื่อยกว่าการใช้แกล้งฟินตันมหาศาลก็ตาม
“แหะ ๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจอยากจะแกล้งเจ้าหรอกน่า
แต่พอเห็นเจ้าตกใจแล้วก็สนุกดีไม่น้อย แต่ว่า…ข้าคิดถึงเจ้านะ
ดีใจที่ได้เจอเจ้าอีกครั้ง”
ฟินตันถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อจากหน้าผากของตนออก
ประโยคสุดท้ายที่นอร่าพูดทำให้เขายิ้มออกมาได้กว้างกว่าเดิมมากเลยในช่วงเวลาแบบนี้
“พวกเราไปหาที่พักแรมกันก่อนดีหรือไม่? เดินทางตอนกลางคืนคงไม่ดีนัก
ไหน ๆ ภัยที่ทำให้ต้องรีบหนีในทีแรกก็หมดไปแล้วด้วย”
บอลด์วินเสนอพร้อมกับมองดูบริเวณรอบข้าง ศพมากมายนอนกองอยู่บนพื้น
ภัยคุกคามที่พวกเขาเจอคงจะไม่มีอีกไปซักระยะนึงเลย
ก่อนที่สายตาของเขาจะวกกลับมาที่คนข้าง ๆ
ของเขาที่หาวอีกครั้งแล้วเอนหัวมาพิงกับไหล่ของเขาหน่อย ๆ
เห็นทีคงต้องได้เวลาหาที่นอนเหมาะ ๆ ซักที่แล้วล่ะ
ไม่ไกลจากบริเวณที่เกิดการต่อสู้ขึ้นนั้นมีโรงนาขนานย่อมตั้งอยู่ติดกับทุ่งหญ้ากว้าง
ภายในที่เต็มไปด้วยก้อนกองฟางแห้งถือเป็นอุปกรณ์ที่เอามานอนพิงหรือรองเป็นฟูกนอนได้เป็นอย่างดี
และพวกเขาจึงลงความเห็นที่จะเลือกหยิบยืมสถานที่แห่งนี้ที่น่าจะเป็นของชาวบ้านบริเวณนี้เป็นที่พักแรมในคืนนี้ที่ยังคงเหลืออีกยาวนาน
เมื่อเข้ามาด้านใน คณะเดินทางทั้งสี่กระจายกันมองหาที่เหมาะ ๆ
อยู่ห่างกันเล็กน้อย
มีเพียงฟินตันเท่านั้นที่ยังคงยืนเกาะแขนของบอลด์วินอยู่เหมือนเมื่อสิบกว่านาทีก่อนหน้า
และนั่นก็เลยเรียกความสนใจของคนผมสีดำให้หันไปมองด้วยความสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า เมื่อครู่ข้ายังเห็นเจ้าหาวอยู่เลย
เจ้าไม่อยากนอนแล้วหรือ?”
บอลด์วินว่าพลางมองดูนอร่าที่กำลังวางกระเป๋าลงแล้วย่อตัวลงนั่งพิงกับก้อนกองฟางก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง
ส่วนเฟลิกซ์กระโดดลงนอนบนก้อนกองฟางก้อนหนึ่งแล้วส่งเสียงในลำคอพอใจอยู่อย่างมีความสุขไปพลาง
“ง่วงสิ แต่... ข้าขออยู่ข้าง ๆ เจ้าได้หรือเปล่า?”
น้ำเสียงของฟินตันที่ออกเป็นการอ้อนเล็กน้อยทำให้บอลด์วินขมวดคิ้วสงสัยหน่อย
ๆ ก่อนจะพยักหน้าอนุญาต
ก็ฟินตันพึ่งผ่านเรื่องที่ไม่น่าจดจำขนาดนั้นมา
และเขาก็เป็นคนเดียวที่เป็นเหมือนพื้นที่ปลอดภัยให้ฟินตันได้พักพิงนี่นา
“ได้สิ ได้เสมอเลย”
“นี่ นอร่า”
เฟลิกซ์พลิกตัวกลิ้งไปหานอร่าแล้วเอื้อมแขนไปสะกิดสหายคนใหม่ของคณะเดินทางที่กำลังนั่งพิงก้อนกองฟางพักเหนื่อยอยู่
“ว่าอะไรหรือ?”
นอร่าเงยหน้าจากการสนใจหนังสือเล่มบางในมือที่กำลังอ่านมาจนจบหนึ่งย่อหน้าพอดิบพอดีมาหาเฟลิกซ์
ตัวเธอเองดีใจไม่น้อยที่อย่างน้อยภายในคณะเดินทางนี้ก็มีคนที่พูดมากเช่นเดียวกับเธออยู่
หากมีเพียงฟินตันกับบอลด์วินแล้วเธอคงจะเฉาแน่ ๆ
แม้ปกติเธอจะชอบพูดเรื่องต่าง ๆ ให้ฟินตันฟังมาตลอด
แต่ก็เหมือนจะเป็นเธอที่พูดอยู่คนเดียวมากกว่า
เพราะฟินตันถึงแม้จะรับฟังสิ่งที่เธอพูดโดยไม่ได้แสดงความรำคาญอะไร
รวมถึงยังพยักหน้าและส่งเสียงในลำคอตามไปด้วย
แต่การตอบกลับจากสหายของเธอคนนี้ที่เป็นคำพูดเรียกได้ว่าน่าจะเป็นหนึ่งในสี่ของสิ่งที่เธอพูดเลย
“เจ้ารู้จักกับฟินตันและบอลด์วินมานานแล้วถูกต้องหรือไม่?”
เฟลิกซ์ไถตัวลงจากก้อนกองฟางมานั่งตรงข้ามกันกับนอร่าเพื่อให้สามารถพูดคุยกับเธอได้สะดวกยิ่งขึ้น
“เพียงแค่หกปีเศษเท่านั้นเอง ทำไมหรือ?”
หกปีจะว่าเป็นระยะเวลาที่นานก็นาน
แต่หากเทียบกับอายุขัยของมนุษย์แล้ว
มันก็อาจจะเป็นช่วงเวลาเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวในความทรงจำก็ได้
“เจ้าว่าสองคนนั่น พวกเขา...”
เฟลิกซ์เข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว
แต่จิตใต้สำนึกของเขาก็บอกให้ตัวเองหยุดคำพูดสุดท้ายเอาไว้ก่อนว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่
เฟลิกซ์ไม่รู้ว่านอร่าจะรู้หรือเปล่าถึงสถานการณ์ของบอลด์วินกับฟินตันในตอนนี้
“ชอบคอกัน?”
แต่แล้วสิ่งที่นอร่าพูดแทนช่องว่างที่เขาเว้นเอาไว้ก็ทำให้เฟลิกซ์ตาเบิกกว้างขึ้น
คำพูดมากมายผุดขึ้นมาในหัวทันทีเพื่อต่อบทสนทนาให้เดินต่อไป
“เอ๊! ช- ใช่ แต่เจ้าเองก็รู้สึกเช่นกันหรือ?”
แม้จะแปลกใจ
แต่การที่สหายสองคนนั้นของเขาแสดงออกชัดเจนมากพอสมควรขนาดนี้ขณะอยู่ด้วยกันหรือแม้แต่ตอนที่พูดกล่าวถึงกัน
ก็เลยไม่น่าแปลกใจที่นอร่าที่รู้จักพวกเขาทั้งสองมาหกปีจะสังเกตได้
“โอ๊ย ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ ข้าพูดหยอกล้อแซวฟินตันมาหลายปีแล้ว
เขาน่ะเป็นฝ่ายที่ไม่ยอมรับความรู้สึกของตนเองเสียที”
นอร่าว่าแล้วก็ตบหน้าขาของตนเองด้วยมือจนเสียงดัง
พร้อมกับระบายเรื่องที่เธอชอบพูดแซวฟินตันอยู่เรื่อย ๆ
ถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับสหายอัศวินของเขาว่าดูยังไงมันก็ดูมากกว่าเพื่อนกันธรรมดาทั่วไป
มีแต่เพียงเจ้าตัวคนผมสีน้ำตาลนั่นแหละที่ไม่เคยที่จะยอมรับความรู้สึกของตนเองเลยตลอดที่ผ่านมา
เอาแต่ปฏิเสธอยู่ตลอด ๆ
แม้ว่าสายตาที่อีกฝ่ายที่เป็นคนตัวสูงกว่ามองมาที่เขาจะชัดเจนเสียขนาดนั้น
และพฤติกรรมที่ฟินตันทำเองก็มีความพิเศษไปมากก็ตาม
“อ๊ะ เจ้าดูนู่นเสียสิ”
แล้วในตอนนั้นนั่นเองที่นอร่าเธอหันไปเจอภาพน่ารักตรงหน้าพอดิบพอดี
จึงเรียกให้เฟลิกซ์ให้ไปดูด้วยเป็นเพื่อนเธออีกคน
บอลด์วินกำลังมองดูฟินตันที่เอนตัวพิงไหล่ของตนอยู่
ทั้งสองคนนั่งเอนตัวพิงก้อนกองฟางอยู่ข้าง ๆ กัน
มีฟินตันที่ยังคงไม่หลับแต่ก็พูดคุยกับสหายคนข้าง ๆ
ที่พิงเอาไว้อยู่ไปเรื่อย ๆ มีบ้างที่ฟินตันหันไปสบตาอีกฝ่ายบ้าง
แล้วพอถึงตอนนั้นที่ฟินตันหันไปสบตา
คนตัวสูงกว่าก็จะหลบสายตาที่แอบมองอีกฝ่ายอยู่ไปทันที
“จริงดังที่เจ้าว่าจริง ๆ ด้วย”
เฟลิกซ์พยักหน้าก่อนจะยิ้มตามให้กับภาพตรงหน้าเช่นเดียวกับนอร่า
พวกเขาไม่ได้อยากแอบมองคนรักกันสองคนนั้นหรอกนะ
เพียงแค่สองคนนั้นนั่งอยู่ในจุดที่เฟลิกซ์กับนอร่ามองเห็นได้พอดีเช่นนั้นเอง
“ขอบคุณเจ้ามาก ๆ เลยนะที่พยุงข้ามาจนถึงนี่”
ฟินตันกล่าวขอบคุณสหายข้าง ๆ
ของเขาที่เขาอาศัยแขนของอีกฝ่ายเป็นหมอนอยู่รอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวัน
“ด้วยความยินดี เจ้าไม่เจ็บตรงไหนแล้วใช่หรือไม่?”
บอลด์วินมองสำรวจตามตัวของฟินตันไปขณะพูด
นอกจากผ้าพันแผลที่หัวไหล่แล้วก็อาจจะมีบาดแผลใหม่ตรงอื่นอยู่อีกก็ได้
“ไม่มีแล้ว เจ้าก็พักผ่อนเสียเถอะ
ไม่ต้องห่วงข้ามากจนลำบากตัวเจ้าก็ได้ ข้าใกล้จะหลับแล้วล่ะ”
ฟินตันพูดจบก็ยกมือขึ้นมาปิดปากขณะหาว
แล้วจึงใช้ศีรษะของตนดุนเข้าไปที่ไหล่ของคนข้าง ๆ
มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“เพราะเป็นเจ้าอย่างไรข้าถึงยิ่งต้องห่วง”
บอลด์วินพูดจบก็ยกมืออีกข้างนึงขึ้นมาลูบผมสีน้ำตาลนั่นเบา ๆ
สองสามที
“หืม? พูดอะไรของเจ้ากัน
ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าเจ้าก็มีชีวิตของเจ้าเหมือนกัน”
ฟินตันตีแขนที่หนุนอยู่ไปทีนึงแล้วย้ำให้เจ้าของแขนรู้ถึงความสำคัญของตนเองด้วย
ไม่ใช่เอาแต่คอยเป็นห่วงเขาที่ก็สามารถดูแลตนเองได้
“ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย เห้อ... เจ้านอนพักเสียเถอะ
พรุ่งนี้ยังมีการเดินทางที่รอพวกเราอยู่อีก”
ห่วงในบริบทนี้ของบอลด์วินไม่ใช่การห่วงในฐานะที่บอลด์วินเป็นอัศวินและฟินตันเป็นเจ้าชาย
แต่เป็นความเป็นห่วงในฐานะคนที่รักกันเขาเป็นห่วงกันต่างหาก
แต่หากพูดออกไปในเวลาเช่นนี้คงจะไม่เหมาะสมนัก
เอาไว้รอโอกาสที่ดีกว่าตอนนี้ดีกว่า เขาจึงไล่ให้ฟินตันไปนอน
“เช่นนั้นก็ได้ ราตรีสวัสดิ์นะ”
ฟินตันที่แม้จะสงสัยเล็กน้อยแต่ก็เลือกที่จะปล่อยมันไปด้วยความง่วงของเขาที่กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย
ๆ อีกทั้งความกลัวที่มีจากเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ก็กำลังค่อย ๆ
ลดลงไปเรื่อย ๆ ในตอนที่เขาได้มีคนที่เขาสบายใจในยามอยู่ข้าง ๆ
แบบนี้ ฟินตันเลยสามารถที่จะสงบลงจนพอจะนอนได้
“ราตรีสวัสดิ์เช่นกัน”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!”
ฟินตันตอบเสียงดังพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงด้วยความโกรธ
จนทำให้เฟลิกซ์และบอลด์วินต้องห้ามปรามไม่ให้เขาขยับตัวเร็วมากเกินไป
“ข้าก็แทบจะทนไม่ไหวเช่นกันในตอนนั้น ข้าเจ็บปวดแทนคุณชาล็อตมาก
ข้านึกถึงแล้วก็จะร้องไห้ ขอโทษด้วยนะ”
หลังจากติดค้างเอาไว้เมื่อช่วงค่ำของวันก่อนหน้า
ในตอนที่ยามเช้ามาถึงและทุกคนได้พักผ่อนโดยไร้ซึ่งภัยใดให้กังวล
นอร่าก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นอร์ดหลังจากไม่นานที่ฟินตันและบอลด์วินออกเดินทางออกมา
ทั้งการที่บ้านของพวกเขาโดนตรวจค้นไปหมด
และเรื่องที่ชาล็อตโดนทำร้ายร่างกายเพราะเจ้าหน้าที่จากทางการต้องการจะเค้นข้อมูลจากเธอก็ทำให้ฟินตันโมโหเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เธอโดนกระทำ
ไฟในใจของเขาที่ลุกโชนอยู่แล้วมันลุกโชนยิ่งกว่าเดิมเสียอีกในตอนนี้
“ให้อภัยไม่ได้ ข้าไม่ยอมง่าย ๆ แน่นอน”
ฟินตันกัดฟันพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ภายในฝ่ามือของเขามีลูกไฟปรากฏขึ้นมาได้เกือบจะเป็นปกติแล้ว
แม้มันจะยังบิดเบี้ยวและลูกเล็กจากปกติอยู่บ้าง
แต่นี่ก็เป็นสัญญาณที่ดีถึงการฟื้นตัวของเขาที่กำลังจะนำพลังในการควบคุมไฟของเขากลับคืนมาด้วย
“ใจเย็นก่อนฟินตัน ฤทธิ์จากคริสตัลสีดำยังไม่หายไปหมดจดดีนะ”
เฟลิกซ์ที่เป็นผู้ตรวจสอบแผลบริเวณหัวไหล่ของฟินตันเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมายังคงเห็นว่ามีเนื้อสีดำเหลืออยู่ไม่ต่างจากวันก่อนหน้าเท่าใดนัก
จึงยังไม่อยากให้คนเป็นเจ้าชายออกแรงมากนัก
“ใครมันจะไปทนได้กัน
ข้าว่าพวกเรารีบออกเดินทางต่อเสียเดี๋ยวนี้กันเลยดีกว่า”
ไฟที่ลุกส่องสว่างภายในใจของฟินตันนั้นได้ขับเคลื่อนแรงปรารถณาในตัวของเขาและขับความมุ่งมั่นให้พุ่งสูงขึ้น
มันทำให้เขาอดใจไม่ไหวที่จะกลับเข้าสู่เส้นทางการเดินทางสู่มอนทาราอีกครั้งหลังจากการหยุดพักในช่วงไม่กี่วันหลังมา
โดยนอกจากเพื่อทวงคืนอาณาจักรของเขาแล้ว
ฟินตันก็มีเป้าหมายใหม่มาเพื่อเอาคืนให้แก่ชาล็อตรวมถึงทราวิสที่นอร่าเองก็เล่าถึงด้วยเช่นกันว่าถูกทำร้ายร่างกายหนักไม่ต่างจากชาล็อตเลย
“ฟินตัน ช้าลงหน่อยก็ได้ เจ้าไม่ต้องรีบร้อนมากนักหรอก”
เฟลิกซ์พยายามเดินให้ทันฟินตันพร้อมกับพูดบอกอีกฝ่ายไปด้วย
เส้นทางข้างหน้าของเขาคือเส้นทางที่กำลังจะมุ่งหน้าไปสู่เมืองบรูนส์วิก
เป็นเมืองขนาดเล็กที่อยู่ห่างไปไม่ไกลจากฮันโนฟ์วามากนัก
ใช้เวลาในการเดินทางเพียงหนึ่งวันก็ถึงแล้ว
เนื่องจากในตอนที่หลบหนีออกมาจากโรงพยาบาล
บอลด์วินเก็บข้าวของออกมาเพียงแค่สิ่งสำคัญเท่านั้น
เสบียงของพวกเขาในตอนนี้น่าจะถูกเผาไหม้เป็นฝุ่นผงไปพร้อมกับลำแสงเวทจนหมดสิ้นแล้ว
และนอร่าก็ไม่ได้มีเสบียงมากพอที่จะเพียงพอกับคนทั้งสี่
การจะกลับไปซื้อเสบียงที่ฮันโนฟ์วาก็ดูจะเป็นการเสี่ยงไปพบกับเจ้าหน้าที่จากทางการ
บรูนส์วิกจึงถูกเลือกเป็นที่ในการซื้อเสบียงสะสมและเป็นจุดพักจุดต่อไปในการเดินทางไกลครั้งนี้
“ข้ารอไม่ได้จริง ๆ เฟลิกซ์”
ฟินตันปฏิเสธคำขอของสหายของตน
แล้วยังคงเดินไปข้างหน้าต่อด้วยความมุ่งมั่น
เห็นทีคงมีแค่คนเดียวที่คงจะหยุดฟินตันได้บ้าง
“บอลด์วิน เจ้าไปเปลี่ยนแทนข้าหน่อย”
“ฟินตัน เราต่างเพิ่งผ่านการต่อสู้กันมา
ถ้าหากไม่เห็นแก่ตัวเจ้าเองก็เห็นแก่พวกข้าเถอะ”
แม้ที่จริงแล้วทั้งบอลด์วิน เฟลิกซ์ และนอร่า
จะหายเหนื่อยแล้วตั้งแต่ได้นอนพักในโรงนาที่มีกองฟางมากมายเมื่อคืนที่ผ่านมา
แต่การโกหกคงเป็นทางเลือกเดียวที่จะทำให้ฟินตันชะลอความเร็วของตนลงและให้ร่างกายของตนที่ยังคงไม่สมบูรณ์ดีนักได้ฟื้นฟูต่อ
“อ๊ะ ข- ข้าขอโทษ ข้าลืมคิดถึงพวกเจ้าไปเสียสนิทเลย”
ฟินตันหยุดเดินกะทันหันพร้อมทำหน้ารู้สึกผิด
ยิ่งพอเขาหันไปเจอนอร่าและเฟลิกซ์ที่ถูกบอลด์วินนัดกันไว้ก่อนหน้าแล้วว่าให้ทำสีหน้าให้ดูเหนื่อย
ๆ ไว้เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดกว่าเดิม
และด้วยเหตุนี้ พวกเขาทั้งสี่จึงได้ลดความเร็วในการเดินทางลงบ้าง
จนมาถึงบรูนส์วิกในยามพลบค่ำพอดิบพอดี
จากเดิมที่หากใช้ความเร็วเท่าเดิมจะมาถึงในช่วงบ่ายแก่ ๆ
หลังจากนำข้าวของที่มีติดตัวมาไม่มากไปเก็บไว้ที่โรงแรมแล้ว
ฟินตันก็เลือกที่จะนำสหายทั้งสามที่ร่วมการเดินทางมากับเขามาที่แห่งหนึ่งเป็นการตอบแทนที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอด
และเพื่อให้ทั้งสามคนหายเหนื่อยด้วย ที่นั่นก็คือโรงเหล้านั่นเอง
“อาร์เจน เจ้าใจดีที่หนึ่งเลย ข้าจะไม่ลืมบุญคุณนี้”
นอร่ากระดกเครื่องดื่มสีอำพันลงคอไปแล้วก็เอื้อมแขนมาคล้องคอฟินตันแบบเดียวกับที่เธอชอบทำขณะอยู่ที่นอร์ด
เครื่องดื่มมึนเมาคงจะทำให้เธอลืมไปแล้วว่าอาร์เจนที่เธอเรียกน่ะคือเจ้าชาย
อันเป็นสถานะที่เธอยังไม่คุ้นเคยดีนัก
“เป็นการพักผ่อนที่ดีเสียจริงอาร์เจน
ข้าจะดื่มให้คุ้มกับเงินที่เจ้าจ่ายทุกเหรียญเลย”
และแน่นอนว่าเพื่อทุกคนในคณะเดินทางแล้ว
การหยุดพักและมีความสุขเสียบ้างให้กับตนเองในเวลาเช่นนี้
ฟินตันอาสาที่จะจ่ายให้ทั้งหมดด้วยเงินส่วนตัวที่เก็บเอาไว้ใช้ในยามที่จำเป็น
แต่สิ่งที่ทำอยู่นี้เรียกจะว่าจำเป็นได้เต็มปากไหมก็ไม่แน่ใจ
“อาร์เจน เจ้าดื่มไม่ได้”
การมองสหายของตนดื่มเครื่องดื่มและพูดคุยกันอย่างมีความสุขมันทำให้ฟินตันอยากที่จะเข้าไปร่วมวงด้วยจากที่นั่งมองเฉย
ๆ เจ้าตัวเลยเลือกที่จะดื่มบ้างเล็กน้อยพอให้ตนเองได้ผ่อนคลาย
แต่ในตอนที่จิบไปหน่อยเดียว บอลด์วินก็เข้ามาขัดจังหวะเอาไว้เสียก่อน
“ข้าขอจิบนิดเดียวเอง ยอมให้ข้าหน่อยเถอะ”
แก้วไม้ของฟินตันที่ยังคงเหลือน้ำข้างในอยู่เกินครึ่งถูกแย่งออกไปจากมือ
เขาพยายามขอคืนแต่บอลด์วินก็ไม่ยอมส่งคืนมาให้อยู่ดี
“ยังไงก็ไม่ได้ ร่างกายของเจ้ายังไม่ฟื้นฟูเต็มที่นะ”
ปากพูดบอกคนอื่นเช่นนั้น แต่กับตัวเองแล้ว
บอลด์วินที่บอกว่าเหนื่อยจากการเดินทางไปตอนช่วงกลางวันขณะที่เดินทางมายังบรูนวิกส์ก็ยังคงกรอกเครื่องดื่มในแก้วไม้ลงลำคอไปเรื่อย
ๆ พร้อมส่งเสียงพอใจออกมาเมื่อภายในแก้วว่างเปล่า
แก้วของฟินตันจึงกลายไปเป็นแก้วต่อไปของบอลด์วิน
“เห้อ… พวกเจ้าก็อย่าดื่มหนักมากเสียเล่า เข้าใจหรือไม่?”
ฟินตันถอนหายใจแล้วหันไปพูดกับนอร่ากับเฟลิกซ์
ก่อนจะพบว่าเฟลิกซ์หายไปอยู่ที่บริเวณหน้าวงดนตรีสดภายในร้านเสียแล้ว
“ข้าไม่รับปากนะ”
มีเพียงนอร่าที่ตอบเจ้าชายหนุ่มกลับมา
ในตอนนั้นเองเธอก็นึกขึ้นมาได้จากคำพูดของฟินตันว่าตนไม่ควรที่จะดื่มมากเท่าไรนัก
นอกจากที่รุ่งเช้าจะมีการเดินทางรอเธออยู่แล้ว
หากบอลด์วินกับเฟลิกซ์ดื่มมากจนกลับไปที่โรงแรมไม่ไหวขึ้นมา
ฟินตันคงจะลำบากแย่เลย
“บอลด์วิน เจ้าก็ด้วย”
ฟินตันบอกคนข้าง ๆ
ก่อนจะเอนตัวพิงกับพนักพิงของเก้าอี้ตัวยาวของโต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่
มีเพียงน้ำเปล่าตรงหน้าเท่านั้นที่คนผมสีดำด้านข้างอนุญาตให้เขากินได้
ไม่สนุกเอาเสียเลย
“เข้าใจแล้วน่า ขอข้าไปหาเฟลิกซ์ครู่นึงนะ เดี๋ยวข้ากลับมา”
ครู่เดียวที่บอลด์วินหมายความนั้นกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
รู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงเวลาที่วงดนตรีหยุดเล่นแล้ว
และสภาพของทั้งบอลด์วินกับเฟลิกซ์ก็ต้องทำให้คนที่คอยอยู่ที่โต๊ะทั้งสองคนถอนหายใจออกมายาว
“อาร์เจน เจ้าไหวแน่หรือ?”
“ห- ไหว ข้าไหว”
นอร่ามองสหายของเธอด้วยความเป็นห่วง
เพราะในตอนนี้ฟินตันต้องพยุงพาบอลด์วินที่ไร้ซึ่งสติกลับไปที่โรงแรม
ส่วนตัวเธอเองนั้นรับผิดชอบพยุงเฟลิกซ์ที่ก็มีสภาพไม่ต่างกันกับบอลด์วินนัก
แต่อย่างน้อยเฟลิกซ์ก็ตัวเบากว่าบอลด์วินมาก
แถมยังอยู่นิ่งไม่ขยับไปมาเหมือนอีกคน แต่กับบอลด์วินแล้วนั้น
ด้วยความสูงที่สูงกว่าฟินตันพอประมาณ
รวมไปกับขนาดตัวที่ก็หนากว่าเช่นกัน
แม้จะไม่เหมือนกับที่เหล่านักเขียนเลือกที่จะอธิบายยามที่กล่าวถึงคู่รักเพศเดียวกันในนวนิยายหลายเรื่องที่เธอเคยอ่าน
อันมักมีการกล่าวเกินจริงไปมากว่าจะมีฝ่ายตัวสูงใหญ่มากและอีกฝ่ายตัวผอมแห้งราวกับแค่ลมพายุพัดก็อาจปลิวไปตามกระแสอากาศได้
เพราะความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย
และสองคนที่อยู่ห่างนอร่าไปไม่มากนี้ก็มีลักษณะทางกายภาพเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน
แต่ยังไงเธอก็อดที่จะเป็นห่วงสหายของเธอที่เพิ่งฟื้นจากฤทธิ์คริสตัลสีดำได้วันเดียวอยู่ดี
บอลด์วินถูกจับให้คล้องแขนไปรอบลำคอของฟินตันและมีมือของฟินตันเอื้อมไปช่วยพยุงลำตัวเอาไว้ให้พอที่จะเดินไปข้างหน้าตามคนนำทางได้
แต่แทนที่จะอยู่นิ่ง ๆ
ให้พากลับไปที่โรงแรมแบบสหายสมัยเด็กที่มีใบหน้าตกกระของตน
บอลด์วินกลับอยู่ไม่สุขและใช้ใบหน้าขยับเข้ามาหาฟินตันตลอด
จนทำให้ฝ่ายที่ถูกเข้าใกล้รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่แก้มนั้นอย่างบอกไม่ถูก
“ฟินตัน…”
“เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ได้หรือไม่บอลด์วิน หืม?”
เมื่อลมหายใจจากบอลด์วินทำให้ฟินตันรู้สึกจั๊กจี้
ฟินตันจึงผลักใบหน้าของอีกฝ่ายให้เอนไปอีกทางแทน
รวมถึงเขย่าลำตัวของคนตัวสูงกว่าหน่อย ๆ เพื่อเรียกสติไปด้วย
“เจ้าเขินหรือ?”
“หา?! ข- เขินบ้าอะไรกัน แล้วข้าจะต้องเขินอะไรด้วย!”
นอร่าสังเกตเห็นใบหน้าของฟินตันที่มีสีหน้าอมชมพูในยามที่พวกเขาเดินผ่านแสงจากเสาไฟแต่ละเสาไปยังโรงแรม
และเหตุผลเดียวที่จะทำให้ฟินตันเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่เครื่องดื่มมึนเมาที่อีกสามคนดื่มแน่นอน
เพราะฟินตันแทบไม่ได้ดื่มมันเลย ฉะนั้น เหตุผลนั้นก็คงต้องเป็นคนข้าง
ๆ เขาต่างหาก
และด้วยเหตุการณ์ก่อนหน้าที่บอลด์วินขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ฟินตันแล้วอีกฝ่ายผลักเขาออกด้วยท่าทางแปลก
ๆ อันอยู่ในสายตาของนอร่าตลอด
เธอจึงมั่นใจว่าฟินตันกำลังรู้สึกอะไรอยู่และเกิดจากอะไร
“ฟินตัน… ข้าอยากให้เจ้าถามใจของเจ้าให้ดี”
“เจ้าจะ-”
“อย่าเพิ่งขัดข้า ฟังก่อน…”
ฟินตันกำลังจะขัดสหายของตนด้วยคำพูดเดิม ๆ
ที่มักกล่าวตอบยามโดนสหายของเขาพูดหยอกล้อเกี่ยวกับเขาและบอลด์วิน
แต่นอร่าก็พูดแทรกขึ้นมาให้เขาฟังเธอ
เขาเลยต้องหยุดพูดสิ่งที่จะพูดไป
“เวลาที่เจ้าและบอลด์วินเหลืออยู่มันอาจจะสิ้นสุดลงได้ทุกเมื่อเลยในเส้นทางนี้ที่พวกเราเลือกต่างเลือกด้วยกัน”
ฟินตันมองตามสายตาของนอร่าไปยังคนข้างกายตนเอง
ใบหน้าที่มีเครื่องหน้าน่ามอง
ยิ่งตาสีฟ้านั่นกับผมสีดำเงาสวยปรกหน้าผากที่ช่วยเพิ่มความดึงดูด
ความจงรักภักดีที่ดีให้ไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะย้ำหลายรอบว่าให้ปฏิบัติกับเขาเหมือนสามัญชน
แล้วยังความอ่อนโยนที่มีให้ตลอดมา
ถึงแม้จะมีบางครั้งที่ชอบทำอะไรให้เขาอยากที่จะสร้างลูกไฟพุ่งไปใส่เสียให้หยุดทำเรื่องแบบนั้น
แต่ถ้าคนคนนี้หายไปแล้วล่ะก็…
ฟินตันคงจะเสียใจไม่น้อยและโกรธตนเองที่ยอมให้มันเกิดขึ้นไปตลอดชีวิตที่เหลือเลย
บอลด์วินไม่ใช่เพียงสหายที่เข้าใจฟินตัน
แต่คือพื้นที่ที่อยู่เจ้าตัวอยู่ใกล้แล้วสบายใจและปลอดภัย
เป็นราวกับคนในครอบครัวที่คงอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปได้ชั่วชีวิต
เหมือนในสมัยเด็กที่หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเพียงได้อยู่ใกล้ท่านพ่อ
ท่านแม่ อัลดริช บริจิด หรือแม้แต่น้อง ๆ อย่างไคและไอริช
ตัวเขาก็จะสบายใจขึ้นมาได้อย่างอัศจรรย์
แล้วยิ่งในตอนนี้ที่คนเหล่านั้นไม่ได้อยู่กับเขาบนพื้นแผ่นดินนี้อีกต่อไปแล้ว
บอลด์วินจึงเป็นคนที่สำคัญมากกับฟินตัน
“เพราะฉะนั้นแล้ว… หากใจเจ้ารู้สึกอย่างไรกับคนข้าง ๆ เจ้าน่ะ
ก็ทำตามที่มันต้องการเสียเถอะ”
แล้วใจของฟินตันรู้สึกอย่างไรน่ะหรือ?
หลังจากถามตัวเองตลอดทั้งคืนบนเตียงนุ่มที่บรูนวิกส์แล้ว
ฟินตันได้คำตอบแล้วล่ะ