หลังจากซื้อเสบียงรวมไปถึงข้าวของที่จำเป็นหลายอย่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโพชั่นและอาวุธบางส่วนที่เสียหายไปในตอนที่อยู่ที่ฮันโนฟ์วา
คณะเดินทางที่ในขณะนี้มีสี่คนก็เริ่มออกเดินทางต่อไปยังเมืองต่อไปในเส้นทางตามแผนที่ที่ฟินตันได้ร่างเอาไว้
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าแผนที่นี้จะยังคงอยู่รอดผ่านเรื่องราวต่าง ๆ
มาจนถึงจุดนี้ รวมไปถึงพวกเขาทั้งสี่ด้วย
เมืองต่อไปที่พวกเขาจะหยุดพักคือคาสเซล
เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างบริเวณที่จะเปลี่ยนผ่านจากที่ราบลุ่มทางตอนเหนือไปสู่ที่ราบสูงทางตอนกลางของอาณาจักร
เมืองแห่งนี้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่มีผู้คนมากมายเดินทางมาตลอดทั้งปี
แต่จะมากเป็นพิเศษในช่วงฤดูหนาวของปี
อันเนื่องมาจากภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ติดกับตัวเมืองที่ทำให้มีแหล่งน้ำร้อนบริสุทธิ์มากมายกระจายอยู่โดยรอบไปหมด
อีกทั้งหากรวมกับคำเล่าลือที่ว่าน้ำร้อนอันอุดมไปด้วยแร่ธาตุจากภูเขาไฟนี้หากได้แช่แล้วจะช่วยให้ร่างกายมีความแข็งแรงแล้วอีก
ก็ยิ่งทำให้เหมือนแห่งนี้ครึกครื้นในยามที่เหมาะแก่การแช่น้ำร้อนอย่างเหมันต์ฤดู
เส้นทางจากบรูนส์วิกไปสู่คาสเซลจะใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้นสี่วันถ้วน
หากคณะเดินทางสามารถรักษาความเร็วในการเดินทางได้ก็จะมาถึงบริเวณชานเมืองในช่วงบ่ายของวันที่สี่พอดี
ซึ่งในตอนนี้ที่เป็นเวลาราวบ่ายสามโมงของวันที่สามที่พวกเขาทั้งสี่ออกจากบรูนส์วิกมา
ภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่เคยเห็นว่ามีขนาดเล็กก็ได้ขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนเป็นสิ่งเดียวที่ชวนให้ดึงดูดสายตาให้หันไปมองดูอยู่ตลอด
และนั่นหมายความว่าพวกเขาเข้าใกล้คาสเซลแล้วด้วยนั่นเอง
ณ ตอนนี้ที่ทั้งสี่คนได้เริ่มคุ้นชินกันมากขึ้น
ความเกร็งและเกรงใจก็ค่อย ๆ มลายหายไปทีละน้อย
ทั้งเฟลิกซ์ที่คุ้นชินกับฟินตันมากจนไม่ได้รู้สึกว่าสหายคนใหม่นี้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์
แต่เป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่ผูกพันกันมานาน
และนอร่าที่เข้ากันได้ดีกับเฟลิกซ์มากจากการที่ทั้งสองชอบพูดคุยเรื่องต่าง
ๆ กันมากมายตลอดการเดินทางสี่วันที่ผ่านมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
จุดร่วมเดียวกันที่เฟลิกซ์และนอร่ามีร่วมกันนอกเหนือจากการชอบพูดคุยแล้วก็คือ...
“อ๊ากกก บอลด์วิน เจ้าอย่าทำข้าเลย ข้าขอโทษ!”
เสียงร้องตะโกนพร้อมด้วยความวุ่นวายจากการที่เฟลิกซ์ไปกวนบอลด์วินจนครัวซองต์ที่คนผมสีดำถืออยู่ในมือร่วงหล่นลงพื้นไป
และตามมาด้วยการที่บอลด์วินชักดาบออกมาวิ่งไล่เฟลิกซ์เพื่อจะล้างแค้นที่ทำให้เขาอดกินครัวซองต์ชิ้นนั้น
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าหิว หัดอยู่นิ่ง ๆ เสียซักวันมันจะตายหรือยังไง
หา?!”
ฟินตันและนอร่าต่างมองคนสองคนที่ขนาดตัวต่างจากลักษณะนิสัยภายในลึก ๆ
เป็นอย่างมากวิ่งไล่กันก่อนจะพากันกัดครัวซองต์ในมือเข้าปากไปพร้อม ๆ
กัน
“อร่อยดีเหมือนกันนะ เจ้าว่าหรือเปล่า?”
ฟินตันที่ได้ลิ้มรสขนมที่เขาโปรดปรานมากที่สุดแล้วพบว่าครัวซองต์ที่ซื้อมาจากร้านค้าภายในหมู่บ้านที่ผ่านทางมาเมื่อครู่นี้ก็รสชาติใช้ได้เลย
เลยหันหน้าไปพูดสหายของตนที่กำลังเคี้ยวครัวซองต์ไปเดินไปข้างหน้าไป
“อื้อ แต่ถ้าเป็นข้า ข้าจะอยากให้มันมีกลิ่นเนยมากกว่านี้อีกหน่อย
น่าจะช่วยเพิ่มความน่ากินได้พอควรเลย”
แม้นอร่าเองก็คิดว่ามันอร่อยเช่นกัน
แต่หากจะดีกว่านี้ได้ก็คงต้องมีกลิ่นหอมเนยอีกหน่อยนั่นแหละ
นั่นคือสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ภายในร้านอาหารของชาล็อตตลอดมาที่ทำงานมานาน
“งั้นหรือ?
แต่ไม่ว่ายังไงร้านที่มอนทาราที่บอลด์วินเคยพาข้าไปเมื่อสมัยก่อนก็อร่อยที่สุด
ถ้าหากเราไปถึงที่นั่นแล้วและเราผ่านทุกอย่างได้ ข้าจะพาเจ้าไปนะ”
ฟินตันยังคงยกให้ร้านเบเกอรี่ริมแม่น้ำเรนอสที่บอลด์วินเคยพาเขาไปเมื่อก่อนจะเกิดเหตุการณ์กบฏเป็นที่ที่มีครัวซองต์ที่อร่อยที่สุดในชีวิตเขาตลอดมา
และไม่ว่าจะสรรหาครัวซองต์จากที่ใด
ก็ยังไม่เจอที่ที่มีครัวซองต์รสชาติเยี่ยมได้เทียบเท่าที่นั่นเลย
“แหม พูดถึงบอลด์วินขึ้นมาเฉยเลยนะเจ้าน่ะ”
นอร่าหัวเราะน้อย ๆ แล้วกัดครัวซองต์อีกคำกิน
“อะไรของเจ้า ข้าก็แค่เล่าถึงร้านเบเกอรี่เองนะ”
ฟินตันมองนอร่าด้วยสายตานิ่งเรียบไม่ต่างอะไรกับน้ำเสียงของเขาที่เปล่งออกมา
เขาถอนหายใจก่อนจะหันไปมองภูเขาไฟแห่งคาสเซลเพื่อให้การกินของว่างยามบ่ายนี้สุนทรีขึ้น
แม้ว่าความวุ่นวายจากบอลด์วินที่ยังคงวิ่งไล่เฟลิกซ์ไปมาอยู่รอบ ๆ
ตัวเขาและนอร่าจะยังคงอยู่ก็เถอะ
นี่เป็นสี่วันที่การเดินทางเต็มไปด้วยความราบรื่นในแบบที่เจ้าชายหนุ่มไม่ได้พบเจอมานาน
และนั่นมันก็ทำให้ฟินตันรู้สึกแปลกและระแวงเป็นอย่างมากในทุก ๆ
วินาทีที่เดินผ่านไป
เขากลัวว่าความเงียบสงบนี้มันจะไม่ใช่สิ่งที่ดีเท่าไหร่นัก
แต่ก็อาจจะเป็นเพราะคนที่มีพลัง Stalker
ได้ตายลงไปแล้วจากฝีมือของนอร่าก็ได้
เลยทำให้พวกคนของคีย์รันไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่าพวกเขาอยู่ที่ใดบนโลกอันกว้างใหญ่นี้
กระนั้นในยามค่ำคืนเขาก็มักจะชอบสะดุ้งตื่นขึ้นมาอยู่ดียามได้ยินเสียงลม
กิ่งไม้ หรือสัตว์ตัวเล็ก ยังดีที่ว่าพอเป็นแบบนั้นเข้าหลาย ๆ ที
เพียงแค่เข้าไปอยู่ใกล้บอลด์วิน เขาก็จะสามารถนอนหลับได้สนิทดังปกติ
“ฟินตัน! ช่วยข้าด้วย บอลด์วินจะจับข้าไปทำเป็นครัวซองต์แล้ว!”
แล้วความสงบของการได้มองยอดภูเขาไฟที่มีหิมะปกคลุมตลอดปีก็สิ้นสุดลงจากการที่เฟลิกซ์วิ่งเข้ามาหลบด้านหลังตัวของฟินตันและเกาะไหล่ของเขาเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างราวกับว่าฟินตันนั้นเป็นโล่
ด้านหน้าของคนผมสีน้ำตาลตอนนี้มีบอลด์วินที่ถือดาบอยู่พร้อมอาการหอบที่วิ่งไล่เฟลิกซ์ติดต่อกันหลายนาที
“ฟินตัน หลบไป แค้นนี้ข้าต้องชำระ”
บอลด์วินพูดพร้อมแสยะยิ้มน่ากลัวมาทางเจ้าของชื่อที่พูดสั่งและเฟลิกซ์
แม้ฟินตันจะรู้ก็เถอะว่าจริง ๆ
แล้วบอลด์วินไม่ได้จะใช้ดาบสับเฟลิกซ์เป็นชิ้น ๆ
แล้วเอาไปทำเป็นของกินแทนครัวซองต์อย่างแน่นอน
อย่างมากที่เฟลิกซ์จะโดนก็คงเป็นการตีซักที มะเงก
หรือไม่ก็การจับไปจั๊กจี้เท่านั้นแหละ
“อย่านะฟินตัน ข้ายังไม่อยากตายตรงนี้”
แต่ดูเหมือนสองคนนี้จะจริงจังในเรื่องที่ไม่น่าจะจริงจังมากเกินไปหน่อย
และนั่นมันทำให้ฟินตันเหนื่อยใจมาก ๆ เลยกับสหายสองคนนี้ของเขา
“เอาน่าบอลด์วิน เจ้าอย่าทำอะไรเฟลิกซ์เลย
เดี๋ยวข้าแบ่งครัวซองต์ของข้าให้เจ้ากินแทนก็ได้ นี่”
เพื่อเป็นการตัดจบปัญหาไม่ให้เฟลิกซ์ต้องกลายไปเป็นของว่างยามบ่ายแทนครัวซองต์ที่หล่นลงพื้น
ฟินตันเลยหักครึ่งครัวซองต์ของตัวเองในมือแล้วยื่นให้บอลด์วินเอาไปกินแทน
“แบร่ ฟินตัน เจ้าที่ดีที่หนึ่งจริง ๆ เลย ข้าว่านะ
เจ้าปลดบอลด์วินออกจากการเป็นองครักษ์ของเจ้าเถอะ
แล้วให้ข้าเป็นแทนดีกว่า คนน่ากลัวป่าเถื่อนอย่างหมอนั่นน่ะ
ให้ไปดูแลม้าน่าจะเหมาะกว่า”
เฟลิกซ์วางคางลงที่ไหล่ข้างซ้ายของฟินตันแล้วแลบลิ้นกับทำเสียงกวนประสาทบอลด์วินที่ในครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ฟินตันเข้าข้างเขามากกว่าอีกฝ่าย
ก่อนจะเอ่ยแซวเล่นให้ตั้งตนเป็นองครักษ์แทนบอลด์วินด้วย
“เห้อ... รอบนี้เจ้ารอดตัวไปนะเฟลิกซ์”
บอลด์วินยอมรับครัวซองต์ครึ่งชิ้นไปจากมือของฟินตันแล้วยอมเก็บดาบในมือเข้ากับฝักของมันดังเดิม
ระหว่างนั้นที่เฟลิกซ์พูดกวนให้ฟินตันปลดคนผมสีดำที่กำลังกัดครัวซองต์ไปคำใหญ่ออกจากการเป็นองครักษ์อยู่นั้น
บอลด์วินก็หรี่ตาจ้องหน้าของเฟลิกซ์ไปด้วยพร้อมส่งข้อความไปกับสายตานั้นว่า
รอบหน้าเจอดีแน่ อันทำให้เฟลิกซ์เกาะฟินตันไว้แน่นกว่าเดิม
“ฮ่า ๆๆ พวกเจ้านี่นะ...”
ฟินตันส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะให้กับการกระทำของทั้งบอลด์วินและเฟลิกซ์
เห็นสองคนนี้ตีกันบ่อยแบบนี้ แต่จริง ๆ
พวกเขาทั้งสองก็สนิทกันดีนั่นแหละ
“แต่เรื่องให้ข้าปลดบอลด์วินน่ะทำไม่ได้หรอก
บอลด์วินสัญญากับข้าไว้นี่นาว่าจะเป็นองครักษ์เคียงข้างข้าไปตลอดชีวิตนะ-
อ๊ะ...”
ก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองได้พูดอะไรออกไป
ทุกสายตาก็จับจ้องมาที่ฟินตันหมดแล้ว
และคำพูดที่พูดออกไปนั้นมันก็ทำให้ฟินตันรู้สึกร้อนที่หน้าเป็นอย่างมาก
“แหม... เคียงข้างเจ้าไป”
“ตลอดชีวิตเลยหรือ?”
และอีกสิ่งนึงที่เฟลิกซ์กับนอร่ามีเหมือนกันและทำให้ทั้งสองเข้าคู่กันได้เป็นอย่างดีก็คือการพูดเย้าแหย่ฟินตันกับบอลด์วินนั่นเอง
แต่เป้าหมายจริง ๆ
ของทั้งคู่ไม่ใช่คนผมสีดำที่ดูนิ่งเฉยในภายนอกนั่นหรอก
แต่เป็นเจ้าชายผมสีน้ำตาลที่เก็บอารมณ์ในยามเขินเอาไว้ไม่อยู่คนนี้ต่างหาก
“นอร่า! เฟลิกซ์! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ฟินตันตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมด้วยใบหน้าที่แดงแปร๊ดกว่าเดิม
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชวนให้ทั้งนอร่ากับเฟลิกซ์ล้อยิ่งกว่าเดิมอีก
“พวกข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ใช่หรือเปล่านอร่า?”
“ถูกต้องแล้วเฟลิกซ์ เจ้าหน้าแดงแล้วทำตัวแปลก ๆ เองนะฟินตัน”
นั่นทำให้ฟินตันยิ่งเขินและทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่
ยิ่งมีสายตาตาบอลด์วินมีลอบ ๆ
มองเขาอยู่ด้วยแล้วนั้นเขาก็ทนไม่ไหวแล้วที่จะอยู่ตรงนี้ต่อไป
ไม่อย่างนั้นมีหวังสติของเขาได้หลุดลอยออกจากร่างไปแน่
“ฮึ่ย! ไม่รู้ด้วยแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ”
เจ้าตัวเลยตัดสินใจวิ่งหนีเข้าไปยังเขตตัวเมืองคาสเซลตรงหน้าก่อนทั้งสามคนที่เหลือเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองเสีย
“ฮ่า ๆๆๆ สนุกดีจริง”
นอร่าหัวเราะเสียงดังแล้วตีมือกับเฟลิกซ์กับผลงานในครั้งนี้ของพวกเขาทั้งสองที่ได้วางแผนเอาไว้บ้างในช่วงที่ผ่านมา
“บอลด์วิน พวกข้าเปิดช่องทางให้เจ้ากว้างมากแล้วนะ
เชิญเจ้าเดินหน้าไปได้เลย”
เฟลิกซ์พอตีมือกับนอร่าเสร็จก็เดินมาตบไหล่ปุ ๆ
สหายของเขาที่ยืนกินครัวซองต์พร้อมมองฟินตันวิ่งหายเข้าไปในตัวเมืองคาสเซลอยู่
ทั้งหมดที่ทั้งสองทำไปก็เพื่อให้บอลด์วินได้เข้าหาฟินตันตามที่หวัง
และให้ฟินตันรู้ใจของตนเอง และนั่นดูเหมือนจะสัมฤทธิผลเป็นอย่างดีเลย
“พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่งเลย”
โป๊ก
มะเงกจากบอลด์วินถูกส่งลงสู่หน้าผากของเฟลิกซ์พร้อมด้วยการถอนหายใจ
“โธ่ พวกข้าเสียใจนะนี่”
เฟลิกซ์พูดพร้อมกับลูบหน้าผากของตัวเองสามสี่ที
“แต่แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือยังไง?”
ทั้งเฟลิกซ์และนอร่าต่างพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปนน้อยใจ
แต่ดูจากใบหน้าของบอลด์วินที่เปื้อนยิ้มอยู่หน่อย ๆ แบบนี้แล้ว
พวกเขาทั้งสองทำถูกแล้วล่ะ
“เห้อ... มันก็ใช่ ขอบใจพวกเจ้ามากนะ”
ฟินตันวิ่งไปได้ไม่ไกลก็เลือกที่จะยืนหยุดรอสหายทั้งสามที่เหลือเดินตามมาอยู่ที่หน้าย่านการค้าของเมือง
ซึ่งรอไม่นานอีกสามคนที่เหลือก็ตามมาทัน
แต่ฟินตันไม่อยากที่จะมองหน้าสหายคนนึงในนั้นเป็นพิเศษ
เพราะความรู้สึกที่ใจของเขาแน่ใจแล้วว่ามันเกิดมาจากอะไร
จึงเลือกเฟลิกซ์เป็นเป้าหมายในการหลบหน้าไปอยู่ด้วยในคืนคืนนี้
ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้อาบน้ำหลังจากการเดินทางไกลอีกแล้ว
และยิ่งขึ้นชื่อว่าคาสเซลแล้วด้วย
โรงแรมแทบทุกแห่งย่อมมีห้องอาบน้ำขนาดใหญ่คอยให้บริการแขกที่มาเข้าพักกันทั้งนั้นด้วยน้ำร้อนอย่างดีจากใต้ดิน
และโรงแรมที่พวกของฟินตันมาพักแห่งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
น้ำร้อนที่ชวนให้ผ่อนคลายในอากาศเย็นตอนกลางคืนนี่มันราวกับสวรรค์ของนักเดินทางทั้งสี่จริง
ๆ
“นี่ฟินตัน ข้าขอถามอะไรเจ้าได้หรือเปล่า?”
เฟลิกซ์ที่เอนกายพิงกับก้อนหินก้อนใหญ่ริมขอบของบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งอยู่เอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาและฟินตันลงมาแช่น้ำร้อนนี้ได้พักหนึ่ง
บ่อน้ำร้อนนี้นอกจากจะช่วยให้ผ่อนคลายแล้ว
ยังทำให้เขาได้เห็นด้วยว่าฟินตันนั้นมีผิวภายใต้ร่มผ้าที่สมกับความเป็นเจ้าชายมากจริง
ๆ
เพราะถึงแม้บริเวณที่โผล่พ้นเสื้อผ้าออกมาจะมีรอยแผลบ้างจากประสบการณ์ในชีวิต
แต่ผิวที่เหลือที่เสื้อผ้าปกป้องไว้นั้น งดงามมากเลยล่ะ
ไม่แปลกเลยที่บอลด์วินสหายของเขาจะชอบคนคนนี้
“ด- ได้สิ แต่ช่วยอย่ามองข้าไปทั้งตัวแบบนั้นจะได้หรือเปล่า
มันทำให้ข้าขนลุกแปลก ๆ”
ฟินตันอนุญาตแล้วชันเข่าขึ้นมากอดเอาไว้แนบอกพร้อมมองเฟลิกซ์ด้วยสายตาเกรง
ๆ
แต่เขาไม่อยากจะว่าอะไรมากหรอกเพราะตัวเขาเองก็แอบสังเกตร่างกายของอีกฝ่ายอยู่เนือง
ๆ
“แหะ ๆ ขออภัยขอรับ”
เฟลิกซ์หัวเราะพร้อมกับเกาที่ท้ายทอยหน่อย ๆ
ที่ถูกฟินตันจับสายตาของเขาที่เผลอมองสำรวจผู้เป็นเจ้าชายนานไปหน่อย
“มันอาจจะเป็นการสอดรู้ไปมาก แต่เจ้าคิดยังไงกับบอลด์วินหรือ?”
มือของเฟลิกซ์ลูบเสยผมสีทองเปียกน้ำหน่อย ๆ
ที่ปรกหน้าผากอยู่ออกไปให้พ้นทางเพื่อจะได้สังเกตดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้าจากคำถามนั้นได้ชัด
ๆ
“จ- เจ้าถามทำไมกัน?”
ฟินตันสะดุ้งเล็กน้อย
แล้วจึงหยิบผ้าขนหนูมาวางไว้ที่หัวเข่าของตนที่โผล่พ้นน้ำร้อนเพื่อปิดปังใบหน้าที่กำลังเขินเล็ก
ๆ ของตน
“ก็เห็นเจ้ารู้จักกับเจ้านั่นมาตั้งสิบปีแล้ว ข้าเลยอยากรู้เฉย ๆ
น่ะ”
เฟลิกซ์ถามต่อพร้อมกับยิ้มหน่อย ๆ
ให้กับการกระทำอันน่าเอ็นดูของคนเป็นเจ้าชาย
“ก็... บอลด์วินเป็นองครักษ์ที่ดี... อื้อ เท่านั้นแหละ”
เฟลิกซ์มองจากตรงนี้ก็รู้ว่าคำพูดภายในหัวของฟินตันมันกำลังตีกันมากมายเต็มไปหมด
แต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะตอบออกมาเพียงแค่นั้น
“ไม่ใช่ในเรื่องนี้สิ ข้าหมายถึงในด้านความรั-”
“ขอโทษที่ข้าตามมาช้า
พอดีดาบของข้ากับฟินตันมันไปดึงดูดความสงสัยของพนักงานของโรงแรมเข้าน่ะ
กว่าข้าจะจัดการได้ก็พักนึงเลย”
การถามคำถามของเฟลิกซ์ถูกขัดโดยผู้มาใหม่ที่มีผมสีดำและดวงตาสีฟ้าสวย
คนคนนั้นที่ฟินตันกำลังหลบหน้าอยู่นั่นเอง
ด้วยความที่พักหลังมานี้เจ้าหน้าที่ของทางการมีการเคลื่อนไหวที่มากขึ้น
การที่มีแขกเข้าพักที่มาพร้อมกับดาบจึงทำให้ผู้คนให้ความสนใจกันมากกว่าเก่า
ซึ่งกว่าบอลด์วินจะอธิบายได้ว่าเอาไว้เพื่อใช้ป้องกันตัวเท่านั้นไม่ได้มีเจตนาอื่นใด
ก็กินเวลาไปพักหนึ่งเลย
“ไม่เป็นอะไรเลย เจ้ารีบลงมาแช่กับพวกข้าเร็วเข้า
น้ำร้อนของเมืองแห่งนี้ดีมากสมคำเล่าบอกกล่าวจริง ๆ”
เฟลิกซ์ยกมือมาโบกปัดไปมาแล้วเชิญชวนให้บอลด์วินลงมาแช่น้ำด้วยกันกับเขาและฟินตัน
เช่นนั้นบอลด์วินจึงปลดผ้าขนหนูลงวางเอาไว้ที่ขอบของบ่อน้ำแล้วเลือกพื้นที่ในการแช่น้ำเป็นที่ว่างข้าง
ๆ กับฟินตัน
ฟินตันเหลือบมองคนมาใหม่ด้วยหางตา
แต่พอเห็นว่าผ้าขนหนูหายไปเขาก็เลื่อนสายตากลับไปหาเฟลิกซ์ดังเดิม
“ไม่คิดว่าเจ้าจะแช่น้ำด้วย เจ้าชอบน้ำเย็นมากกว่าไม่ใช่หรือ?”
หลังจากส่งเสียงออกมาด้วยความผ่อนคลายสบายตัวจากน้ำร้อน
บอลด์วินก็หันไปถามคนผมสีน้ำตาลที่นั่งชันเข่าอยู่ข้าง ๆ
“ก็ใช่ แต่เหนื่อย ๆ แบบนี้ข้าก็อยากจะผ่อนคลายด้วยกับพวกเจ้า
กับจริง ๆ น้ำร้อนที่นี่ก็ดีมากจริง ๆ”
ฟินตันตอบพร้อมกับพยายามห้ามสายตาของตนไม่ให้มองไปสำรวจร่างกายของคนข้าง
ๆ เพราะการมองร่างกายเปลือยเปล่าของบอลด์วินไปมาก ๆ
มันก็เริ่มที่จะทำให้เขานึกถึงภาพในวันนั้นที่บอลด์วินกำลังช่วยตัวเองในห้องน้ำที่บ้านของพวกเขาที่นอร์ด
และนั่นมันทำให้แก้มของเขาเริ่มร้อนขึ้นมาแข่งกับน้ำในบ่อแล้ว
“เช่นนั้นก็แช่เป็นเพื่อนพวกข้านาน ๆ เลยนะ”
เฟลิกซ์กล่าว
ก่อนที่เจ้าตัวจะได้ความคิดอะไรใหม่แทนการถามฟินตันถึงความรู้สึกที่มีต่อบอลด์วิน
เพราะหากถามไปก็คงไม่ได้ความอะไรมากเท่าใดนัก
เปลี่ยนเป้าหมายย่อมดีกว่า
“นี่ บอลด์วิน ข้าขอถามอะไรได้หรือเปล่า?”
เฟลิกซ์ยิ้มน้อย ๆ ที่แฝงความเจ้าเล่ห์พร้อมถาม
“หืม อะไรหรือ?”
บอลด์วินตอบขณะใช้ขันไม้ตักน้ำร้อนในบ่อมาราดตามลำตัวของตนที่โผล่พ้นออกมาเหนือน้ำ
น้ำร้อนในยามที่โดนผิวในยามเหนื่อยล้ายังไงก็ดีที่สุด
และแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ลืมที่จะเอียงตัวไปส่งสัญญาณถามคนข้าง ๆ
ด้วยว่าต้องการให้เขาตักน้ำร้อนเทใส่ตัวให้ไหม
“ข- ข้าทำเองได้”
ถ้าปล่อยให้บอลด์วินทำให้ล่ะก็
ฟินตันน่าจะสติหลุดละลายลงไปในบ่อน้ำนี้กับกระแสน้ำแน่ ๆ
เขาจึงรับขันมาจากมือของบอลด์วินเพื่อใช้ตักเอง
“เจ้าคิดอย่างไรกับฟินตันกันแน่?”
คำถามของเฟลิกซ์ทำให้ขันในมือของฟินตันลื่นหลุดลงไปกระทบกับผิวน้ำจนเกิดแรงกระเพื่อมเบา
ๆ กระจายออกไป
ดวงตาสีน้ำตาลที่ยิ่งดูอบอุ่นยามต้องกับแสงจากคริสตัลสีเหลืองที่ให้แสงสว่างสีอุ่นยามค่ำคืนค่อย
ๆ หันไปสบตากับบอลด์วินช้า ๆ
ในขณะที่บอลด์วินเริ่มที่จะอ้าปากพูดไม่เป็นคำ
“เอ่อ… ค- คือ ข้ารัก- เอ๊ย จงรักภักดีต่อฟินตันมาก ๆ
ยอมปกป้องและให้ความสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของข้าอีก ใช่ เช่นนั้นแหละ”
บอลด์วินพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่ไม่เผลอพูดความในใจของตนออกไป
แต่กระนั้นกว่าจะพูดออกมาเป็นประโยคที่เข้าใจได้ก็พักนึงเลย
และเขาเองก็มั่นใจว่าใบหน้าตอนนี้จะต้องถูกเฟลิกซ์ล้อเลียนเป็นแน่
ส่วนฟินตันนั่น เขาค่อย ๆ
ปล่อยตัวให้ไหลจมลงไปในน้ำในบ่อมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วด้วยความเขิน
“พวกเจ้าทั้งสองคน ฟังข้านะ”
เฟลิกซ์ขยับตัวเข้ามาตรงหน้าฟินตันกับบอลด์วินก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างจับที่ไหล่ของทั้งสองคน
ซึ่งนอกจากจะเป็นการห้ามไม่ให้ฟินตันไถตัวไหลจนจมลงไปในน้ำแล้ว
ก็เพื่อให้ทั้งสองคนที่รู้ใจตัวเองดีฟังคำพูดต่อไปนี้ของเขาให้ดี
“ข้ารู้ใจพวกเจ้าทั้งสองดี เผลอ ๆ ดียิ่งกว่าที่พวกเจ้ารู้ใจตนเอง
ฉะนั้น… พวกเจ้าชอบคอกันก็คบกันเสียเถิด”
“!!”
“!!”
ทั้งบอลด์วินและฟินตันหันหน้ามาสบตากันด้วยความตกใจ
ก่อนที่จะเป็นฝ่ายบอลด์วินที่ครั้งนี้หลบสายตาฟินตันไปก่อน
“เฟลิกซ์ จ- เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า!?”
บอลด์วินโวยวาย แต่ในขณะเดียวกันที่หันหน้าไปต่อว่าสหายของตน
เขาก็หันกลับมามองฟินตันเป็นพัก ๆ
ด้วยเช่นกันเพื่อดูปฏิกิริยาของคนที่เขามีความรู้สึกดี ๆ ด้วย
“หรือเจ้าจะบอกว่าที่ข้าพูดมันไม่จริง?”
“ก- ก็…”
บอลด์วินที่โวยวายอยู่เมื่อครู่เงียบลงในทันใด
ใบหน้าที่แม้จะนิ่งสงบในภายนอก
แต่ก็ไม่อาจที่จะห้ามไม่ให้บริเวณหูและแก้มมีสีแดงอมชมพูเกิดขึ้นได้
และนั่นก็หมายความว่าเขาไม่ปฏิเสธ
“ฟินตัน เจ้าเองก็เช่นกัน
ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็รู้สึกดีที่มีบอลด์วินในชีวิต
และสหายของข้าเป็นคนดี ข้าไว้ใจให้เขาดูแลเจ้าได้”
ฟินตันหน้าแดงมากจนไม่อาจปิดเอาไว้ได้เช่นกัน
และฟางเส้นสุดท้ายก็มาถึงเมื่อเขากับบอลด์วินสบตากันอีกครั้ง
ตาสีฟ้าสวย รอยยิ้มน้อย ๆ นั่น
“ข- ข้าขอตัวก่อน”
ฟินตันทนไม่ไหวและวิ่งหนีออกจากบริเวณห้องแช่น้ำไปแล้ว
“เฟลิกซ์ เจ้านี่มัน…”
บอลด์วินลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
แต่ฝ่ามือที่กำลังจะฟาดลงที่หน้าผากของเฟลิกซ์ถูกหยุดเอาไว้กลางอากาศ
เฟลิกซ์หลับตาปี๋รอรับผลลัพธ์จากการเข้าไปยุ่งเรื่องของสหายของเขาอยู่พักนึง
แต่เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“ข้าขอโทษนะที่เขาไปยุ่ง แต่ข้า... อันที่จริงก็นอร่าด้วยอีกคน
หวังดีกับเจ้าและฟินตันจริง ๆ”
เฟลิกซ์กล่าวขอโทษด้วยตัวของเขาเอง
เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าสหายของเขาจะโกรธหรือไม่
แต่กับฟินตันแล้วก็คงไม่น่าจะโกรธเขาหรอก ล่ะมั้งนะ
“เห้อ… ข้าขอไปตามฟินตันก่อนนะ เจ้าถ้าอยากจะแช่น้ำก็แช่ต่อไปเลย”
ฝ่ามือของบอลด์วินลดลงแนบกับข้าวลำตัว
ก่อนที่มืออีกข้างจะก้มลงไปหยิบผ้าขนหนูที่วางไว้มาเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากที่เกิดจากความกังวลภายในใจหรือเพราะน้ำร้อนที่แช่ก็ไม่ทราบเช่นกัน
“แหม… หวี๊ว~ แต่ก่อนอื่นเจ้าจัดการตัวเองก่อนไปหาฟินตันเสียด้วยล่ะ”
บอลด์วินไม่เข้าใจคำพูดของเฟลิกซ์
แต่เมื่อมองตามสายตาของคนผมสีทองตรงหน้าไปที่ร่างกายส่วนล่างของตนแล้วก็พบว่า
เขาคงจะรักฟินตันมากเกินไปหน่อย
ฟินตันเมื่อหนีออกมาจากห้องอาบน้ำและแต่งกายด้วยชุดที่เหมาะแก่การนอนมากขึ้นแล้ว
แทนที่เขาจะตรงดิ่งไปยังเตียงนุ่มที่โหยหา
เขากลับเลือกที่จะแวะที่บริเวณร้านอาหารของโรงแรมที่ในตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นบาร์ขนาดย่อมในตอนกลางคืนเพื่อให้ความบันเทิงกับแขกที่มาเข้าพัก
มิหนำซ้ำยังมีดนตรีสดมาเล่นกล่อมเกลาบรรยากาศให้ชวนน่านั่งมากกว่าเดิมด้วย
เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์ทำให้มึนเมาไม่ใช่เป้าหมายของผู้เป็นเจ้าชาย
แต่เป็นโกโก้ร้อนในแก้วกระเบื้องสีครีมตรงหน้านี้ต่างหาก
ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่การได้ดื่มอะไรอุ่น ๆ
หลังจากการแช่น้ำร้อน ๆ มาแล้วมันช่างรู้สึกดีอย่างอธิบายไม่ถูกเลย
และในขณะที่ค่อย ๆ จิบโกโก้ร้อนในมืออยู่นั้น
เก้าอี้ด้านข้างของเขาก็มีคนมานั่งลง
กลิ่นอันคุ้นเคยยามอาบน้ำเสร็จของคนที่นั่งลงก็ทำให้ฟินตันรู้ได้ทันทีว่าเขาคือใคร
“ข้าขอโทษแทนเฟลิกซ์ด้วยนะ”
บอลด์วินกล่าวพร้อมกับเท้าคางลงกับโต๊ะเพื่อลอบมองใบหน้าของฟินตัน
“ม- ไม่เป็นอะไร”
เพราะความร้อนของโกโก้หรือเปล่านะที่ทำให้แก้มของเจ้าชายหนุ่มร้อนอยู่นิด
ๆ ในตอนนี้ หรือเป็นเพราะคนที่มานั่งด้วยข้าง ๆ กัน
“แต่… อืม… เจ้าไปเดินเล่นกับข้าข้างนอกเสียหน่อยจะได้หรือเปล่า?”
บอลด์วินกำลังจะพูดต่อในเรื่องที่พวกเขาสนทนากันในห้องอาบน้ำอันมีเฟลิกซ์เป็นคนเริ่ม
แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามีคนอยูู่พอสมควรในร้านอาหารแห่งนี้
ถนนที่เงียบสงบในเวลาสองทุ่มของเมืองน่าจะเหมาะสมกว่าในการพูดคุยกัน
เพราะนอกจากความเป็นส่วนตัวและโรแมนติกหน่อย ๆ แล้ว
ยังสามารถเรียกชื่อของฟินตันได้ด้วยโดยไม่ต้องคอยระแวงว่าคนอื่นจะมาได้ยิน
“ตอนนี้น่ะหรือ?”
แม้จะอยากหันไปสบตาอีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่า แต่ฟินตันก็ทำไม่ได้เลย
กระนั้นก็ยังอยากที่จะใช้เวลากับบอลด์วินอยู่เช่นกัน
“อื้อ ได้หรือเปล่า?”
โกโก้ร้อนที่ในตอนนี้ไม่ได้ร้อนเท่าใดแล้วถูกกรอกลงลำคอไปอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มสองคนเดินตามกันออกจากโรงแรมไปยังถนนหลักของเมืองคาสเซลในยามสองทุ่มสิบนาที
ถนนในยามค่ำคืนของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ในฤดูกาลที่แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
ยังดีที่มีแสงไฟประดับประดาตามเสาไฟบ้างพอให้มันดูไม่โล่งจนเกินไป
อากาศที่ไม่หนาวไม่ร้อนในคืนนี้ก็ยิ่งเสริมความน่าเดินควบคู่ไปกับท้องฟ้าโปร่งไร้หมู่เมฆที่มองเห็นดาวมากมาย
บรรยากาศทุกอย่างมันช่างเหมาะแก่การเดินเล่นตอนกลางคืนจริง ๆ
ทั้งฟินตันและบอลด์วินต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดอะไร
มีเพียงการเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ
กันและรักษาระยะให้ยังเดินอยู่ข้างกันไปตลอดทาง
จนรู้ตัวอีกทีพวกเขาทั้งสองก็มาถึงลานกว้างขนาดใหญ่หน้าศาลากลางของเมืองที่มีน้ำพุสวยตั้งอยู่ตรงกลาง
พวกเขาจึงเดินเข้าไปนั่งพักที่ริมขอบบ่อน้ำพุนั้นและแหงนหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้าสลับกับแสงไฟที่ประดับตามเสาไฟ
ดูเหมือนความเงียบจะมาถึงจุดสิ้นสุดในตอนนี้บอลด์วินคิดได้ว่าเขาน่าจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
“ฟินตัน”
คนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หันหน้ามาสบตาเขาอย่างอาย ๆ
“หืม?”
มือของฟินตันลูบถูกันไปมาด้วยความประหม่าขณะพูด
เท้าเองก็เขี่ยพื้นหินของลานกว้างแห่งนี้ไปมาด้วย
แสดงให้เป็นถึงความกังวลภายในใจ
“ข้าชอบเจ้านะ”
“อื้ม… เอ๊ะ! หา?!!”
ฟินตันพยักหน้าในทีแรกที่ได้ยิน
ก่อนจะสะดุ้งแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วถอยไปข้างหลังสองก้าวเมื่อประมวลผลได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้าง
ๆ พูดว่าอะไร
กับบอลด์วินเองบทจะพูดสิ่งที่อยู่ภายในใจออกมาให้คนที่มีความรู้สึกดี
ๆ ด้วยได้ง่าย ๆ มันก็ง่าย
แต่ที่ผ่านมามันก็ยากเหลือเกินที่อัศวินหนุ่มจะพูดกล่าวอะไรในทำนองนี้ได้
มันคงเป็นเพราะคำพูดของเฟลิกซ์และนอร่าจริง ๆ
นั่นแหละที่กระตุ้นให้เขากล้าที่จะทำสิ่งนี้
“ข้ารู้ว่ามันอาจจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เพราะข้าเป็นเพียงสามัญชน
และเจ้าเป็นถึงเจ้าชาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…
ข้าก็ยังอยากที่จะรักเจ้าอยู่ดี”
มุมปากของบอลด์วินยกยิ้มขึ้นเมื่อพูดจบ
ความรู้สึกโล่งไปหมดที่ยิ่งกว่าการได้แช่น้ำร้อนเมื่อครู่พรั่งพรูถาโถมเข้าใส่ตัวของเขา
และในตอนนี้ที่เขาพูดความในใจออกไปแล้ว
ก็เหลือเพียงแค่คนตรงหน้าเท่านั้นที่จะเป็นคนกำหนดบทต่อไปในเรื่องราวของพวกเขา
“จ- เจ้าอย่าพูดแบบนั้นสิ… ต- แต่… เจ้าพูดจริงหรือ?”
ฟินตันพยายามรวบรวมสติที่กำลังกระจายหายไปพร้อม ๆ
กับใบหน้าที่ร้อนผ่าวนี้ แล้วมองไปหาบอลด์วินด้วยทั้งความเขินอาย
และความคาดหวังภายในใจ
ฟินตันรู้ใจของตัวเองตั้งแต่ที่นอร่าบอกให้เขาลองถามใจของตนเองดูเมื่อตอนอยู่ที่บรูนส์วิกแล้ว
หลังจากคิดให้ถี่ถ้วนบนเตียงนุ่มในคืนนั้น
แม้จะได้จิกผ้าห่มไปหลายทีด้วยอารมณ์มากมายภายในใจที่ทำให้ใบหน้าเห่อร้อน
แต่ทุกครั้งที่ได้มองใบหน้าของคนที่ตอนนั้นกำลังนอนหลับสนิทอยู่ข้าง
ๆ เขาก็มั่นใจได้ว่าที่เขารู้สึกแปลก ๆ ตลอดที่ผ่านมานั้น
ก็เพราะเขาเองก็มีใจให้กับบอลด์วินเช่นกัน
ความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายให้มาตลอดสิบปีที่พวกเขาสนิทกันมามันทำให้ใจดวงน้อย
ๆ
ของเขากลิ้งหล่นไปเอนพิงอยู่กับใจอีกดวงที่มีเจ้าของชื่อว่าบอลด์วิน
ไอเซินฮาร์ท และเต้นแรงเป็นจังหวะบ้าคลั่งในทุกทีที่ได้ใกล้ชิดกัน
“ทำไมจะไม่จริงเล่า เจ้าก็น่าจะดูออกมิใช่หรือ…
จากทั้งที่เฟลิกซ์และนอร่าพูด”
คำยืนยันจากปากของคนที่พึ่งบอกรักเขาไปมันยิ่งทำให้ฟินตันยืนได้มั่นคงน้อยลง
ความรู้สึกใหม่มากมายมันกำลังก่อตัวขึ้นในใจเขา ท้องของเขารู้สึกแปลก
ๆ มันปั่นป่วนราวกับยามที่กินอะไรที่แสลงต่อมัน
แต่จะว่าแบบนั้นก็ไม่เชิง
เพราะมันเหมือนมีผีเสื้อนับร้อยบินอยู่ภายในมากกว่า
“แล้วเจ้าล่ะ? คิดอย่างไรกับข้าหรือ?”
เมื่อเห็นฟินตันนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
บอลด์วินก็เลยเลือกที่จะถามอีกฝ่ายในขณะที่สายตาประสานเข้าหากัน
“ข้า… ข- ข้าก็… รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่ข้าง ๆ เช่นกัน”
พูดจบสายตาของฟินตันก็หันไปมองทางอื่น และแม้คำตอบจะไม่มีคำว่ารัก
ชอบ
หรืออะไรที่สื่อความหมายตรงตัวแบบที่บอลด์วินเลือกมาสารภาพแก่ฟินตัน
แต่กลับเป็นประโยคที่พอรวมกับท่าทางเขินอายปนอยากจะกล่าวอะไรบางอย่างของฟินตันแล้ว
มันน่ารักมาก ๆ จนบอลด์วินอดใจไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“แล้วก็เรื่องที่เจ้าพูดว่าข้าเป็นเจ้าชายและเจ้าเป็นสามัญชนน่ะ
ไม่เห็นจะต้อ- !!!”
ส่วนที่กำลังพูดอยู่ของฟินตันถูกประกบด้วยอวัยวะเดียวกันจากคนตรงหน้า
ทำให้คำพูดของเขาหายไปสิ้น
เหลือเพียงสัมผัสแปลกประหลาดที่ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน มันช่างวาบวาม
อ่อนโยน และตื่นเต้นไปในคราวเดียวกัน
และสัมผัสที่ทำให้ตกใจนี้ก็สิ้นสุดลงเพียงแค่ไม่กี่ชั่วอึดใจ
เสียงหายใจหนัก เสาไฟที่เปล่งแสงนวลอุ่นในยามค่ำคืน
น้ำพุหินอ่อนสีขาวใจกลางจัตุรัส และเหล่าหมู่ดาวที่เป็นพยาน
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ใช่ฝันหรือสิ่งที่จินตนาการไปอย่างแน่นอน
ฟินตันยกมือทั้งสองข้างมาแตะริมฝีปากของตนที่ยังคงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากคนตรงหน้าอยู่ช้า
ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเขากับบอลด์วินเพิ่งจะจูบกันไป
และเป็นจูบแรกของเขาเสียด้วย
“ข้าขอประทานอภัยเป็นอย่างสูง”
เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป
บอลด์วินก็รีบขอโทษคนที่สูงศักดิ์กว่าทันที
“ม- ไม่ต้อง อย่าคุกเข่าลงนะ”
ฟินตันพยายามห้ามบอลด์วินไม่ให้คุกเข่าลงกับพื้น
แม้จะเขินจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
แต่บอลด์วินไม่เห็นจะต้องขอโทษหรือทำอะไรเลย
มันไม่ได้ไม่ดีอะไรเสียหน่อย
“เจ้าคงจะรู้สึกไม่ดีที่ข้าทำไปโดยไม่ถามก่อนสินะ ข้าขอโทษ”
ไม่เลย
“ไม่เสียหน่อย”
ฟินตันไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรเลย
“!!”
กับคนคนนี้แล้ว ไม่ว่าอะไรก็ตาม
“ข้าดีใจนะที่มีเจ้าเป็นจูบแรก”
เขาเป็นข้อยกเว้นทั้งหมด
ฟินตันยิ้มออกมาพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งที่ดึงตัวบอลด์วินเอาไว้ไม่ให้ย่อตัวลงไปคุกเข่าขอโทษเขาตามวิธีที่ผู้มียศถาต่ำกว่าจะทำกับผู้สูงส่งกว่าในการเปลี่ยนโอบรอบตัวอีกฝ่ายเอาไว้รวมกับมืออีกข้าง
เขากอดคนตัวสูงเอาไว้หลวม ๆ แล้วค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปสบตาสวยสีฟ้า
“ข้า… ดีใจมาก ๆ เลย ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างข้ามาตลอดนะ”
ใบหน้าร้อนผ่าวของฟินตันซุกลงที่อกของคนตัวสูงกว่าเมื่อพูดจบ
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเอาความกล้าจากไหนมาพูดสิ่งที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่
“และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปขอรับ”
บอลด์วินกอดตอบคนผมสีน้ำตาล
จมูกของเขากดลงฝังกับกลุ่มผมสีอุ่นนั้นแล้วลูบแผ่นหลังของคนตรงหน้าเบา
ๆ
“ข้าบอกแล้วว่าไม่พูดต้องสุภาพ”
แม้จะเขิน แต่บอลด์วินก็ยังเป็นบอลด์วิน
และฟินตันก็จะคอยตามห้ามไม่ให้คนที่อยู่ข้างกายเขามาตลอดพูดกับเขาด้วยราชาศัพท์ตลอดไปเช่นกัน
“ทำไมเล่าขอรับ ท่านเป็นเจ้าชายมิใช่หรือ?”
เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ดังมาจากด้านบน
ฟินตันเงยหน้าขึ้นก่อนจะเอื้อมมือขึ้นไปหาใบหน้าที่กำลังมีความสุขนั้น
“หยุดเลยบอลด์วิน”
แล้วดึงแก้มอีกฝ่ายซะให้หยุดการกระทำนั้นขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเบื่อเหนื่อยหน่าย
“โอ๊ย! ฮ่า ๆ พูดด้วยเสียงแบบเมื่อครู่อีกครั้งได้ไหมขอรับ?”
แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นมันยิ่งทำให้บอลด์วินมองว่าฟินตันน่ารักเข้าไปใหญ่
“บอลด์วิน!”
เห็นทีข้างเดียวคงจะไม่พอใจ
ฟินตันเลยยกมืออีกข้างขึ้นมาดึงแก้มอีกข้างของบอลด์วินจนยืดด้วย
“เพราะแบบนี้อย่างไรเล่า ข้าถึงรักเจ้า ฟินตัน”
ถึงจะไม่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่
แต่อย่างน้อยในตอนนี้ที่คำพูดที่ถูกเก็บเอาไว้ข้างในมาอย่างยาวนานของทั้งสองมันได้ถูกกล่าวออกมาให้อีกฝ่ายฟังแล้วนั้น
มันก็เพียงพอแล้วที่จะดีใจไปกับการเริ่มต้นของหน้าหนังสือหน้าถัดไปในชีวิตของพวกเขา
จากคนแปลกหน้า สู่สหาย สู่คนสนิท และคนรัก
และยังมีอีกหลายหน้าต่อไปที่รอการเปิดอ่านต่อไปอยู่
วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดของบอลด์วินตั้งแต่ได้รู้จักกับฟินตันเลย
และถึงบอลด์วินจะไม่รู้เพราะฟินตันไม่ได้บอก
แต่นับแต่เหตุการณ์เมื่อหกปีก่อนที่คอยหลอกหลอนและบั่นทอนใจของเขาให้ติดอยู่ในความเศร้าหมองและไร้ซึ่งความรู้สึกที่ดีมาตลอด
วันนี้มันเหมือนมีแสงสว่างส่องลงมาจากเมฆครึ้มที่ปกคลุมมานานเลย
และแม้เจ้าชายหนุ่มจะรู้สึกถึงแสงอันอบอุ่นนี้มานานแล้วก็ตาม
แต่ในวันนี้มันคือวันที่แสงเส้นเล็กนั้นมันได้ขยายกระจายออกเป็นลำแสงขนาดใหญ่ที่สาดส่องไปทั่วร่างของฟินตัน
และทำให้เขายิ้มออกมาได้กว้างสุด ๆ ภายใต้ความอบอุ่นนั้น
“เห้อ… ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน บอลด์วิน”
รอยยิ้มกว้างในยามที่ฟินตันได้มองใบหน้าของบอลด์วินในตอนนี้นั้น
จะตราตรึงในความทรงจำของบอลด์วินไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
ว่าคือรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดที่เขาได้เห็นมา