“เฟลิกซ์!”
ณ โรงเรียนในชั้นปีสุดท้ายของการเรียนตามกำหนดของกระทรวงศึกษาธิการ
บอลด์วินที่รอคอยเวลาเลิกเรียนมาตลอดวันในที่สุดก็สามารถมาพบสหายคนสนิทของเขาที่เรียนอยู่คนละห้องเรียนได้
ณ จุดนัดพบที่สวนอันร่มรื่นใกล้ ๆ
กับโรงเรียนใจกลางกรุงมอนทาราของพวกเขา
“เจ้ามาช้านะบอลด์วิน แต่ช่างเถอะ
เรื่องอะไรเล่าที่เจ้าอยากจะมาเล่าให้ข้าฟังเสียเหลือเกิน?”
เมื่อครั้งที่ได้เจอกันครั้งล่าสุด ณ ลำธารเล็ก ๆ ใกล้กับแม่น้ำเรนอส
บอลด์วินที่เพิ่งได้เข้าไปในพระราชวังเป็นครั้งที่สามของอาทิตย์ก็รู้สึกตัวขึ้นมาเสียทีว่าเหตุผลอะไรทำให้เขาต้องวนกลับไปในที่ที่สูงส่งและดูเข้าถึงยากแบบนั้นบ่อยขนาดนี้
และอยากจะนำเรื่องนี้มาปรึกษากับสหายของเขาอีกคนที่เขานับว่าสนิทสนมมากที่สุดในชีวิต
แต่คนคนนี้เป็นสามัญชนธรรมดาเช่นเขา
ไม่ใช่หนึ่งในเชื้อพระวงศ์ที่สูงส่ง
“ตามข้ามาทางนี้ แล้วก็... เจ้ารู้จักเจ้าชายฟินตันหรือไม่?”
บอลด์วินเดินนำทางสหายของตนข้างถนนไปยังบริเวณที่มีรั้วรอบขอบชิดชัดเจน
พร้อมป้ายที่เขียนบอกว่าเป็นหน่วยงานรักษาพระองค์ของอาณาจักร
ซึ่งก็ทำให้เฟลิกซ์รู้สึกเกร็ง ๆ หน่อย ๆ
ยิ่งกับธงและตราประจำกษัตริย์วูลแฟรมนั่นด้วย
“เจ้าชายฟินตันหรือ? ข้าเคยได้ยินเพียงชื่อเท่านั้นแหละ มีอะไรหรือ?”
“ที่ช่วงหลังมาหลายปีนี้ข้าไม่ค่อยมาพบเจ้าบ่อยเหมือนเมื่อก่อนน่ะ
จริง ๆ แล้วเพราะข้าได้รู้จักกับสหายคนใหม่มาคนนึง”
“เจ้าจะบอกว่าสหายคนนั้นของเจ้าคือเจ้าชายฟินตันน่ะหรือ?”
เฟลิกซ์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงแล้วล่ะก็
นี่มันเป็นหนทางชั้นดีในการเข้ารับราชการในพระราชวังเลยมิใช่หรือ
“อื้อ ฟินตัน เอ๊ย เจ้าชายฟินตันกับข้าตอนนี้สนิทกันมากเลย”
เฟลิกซ์เบิกตากว้างกับข้อมูลใหม่นี้
สหายของเขาสนิทกับเจ้าชายของอาณาจักรเลยหรือนี่
แต่จากที่เคยถามไถ่บอลด์วินมาถึงอาชีพที่อยากจะทำในอนาคตแล้ว
ก็ไม่แปลกใจมากเท่าไรนักที่บอลด์วินจะสนิทสนมกับคนในพระราชวัง
แถมพ่อของเขายังเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์ของอาณาจักรอีก
การได้พบเจอกับสมาชิกราชวงศ์เลยไม่ได้แปลกอะไร
“นาม? อ้าว บอลด์วินนี่เอง เจ้าชายฟินตันยังมิได้เสด็จมาเลย
เจ้าเข้าไปนั่งรอข้างในก่อนได้เลยนะ”
เมื่อเดินมาถึงทางเข้า
เสียงถามของทหารที่เฝ้ายามอยู่ทำเอาเฟลิกซ์สะดุ้งจนต้องไปเกาะชายเสื้อของบอลด์วินเอาไว้
ต่างกับท่าทีของคนผมสีดำที่มีความนิ่งเฉย
อีกทั้งยังดูเหมือนเรื่องแบบนี้คือเรื่องปกติ
“ผมขอพาสหายมาด้วยคนนึงได้ไหมครับ?”
เฟลิกซ์เอียงคอสงสัย เพราะทหารคนนั้นรู้จักชื่อของบอลด์วินด้วย
แถมยังดูมีท่าทีที่เปลี่ยนไปเป็นมิตรอย่างมากอีกต่างหาก
ทั้งน้ำเสียงและการกระทำ ต่างจากเมื่อครู่คนละขั้วเลย
“ที่แจ้งเอาไว้ใช่หรือเปล่า? เชิญเลยนะ”
เมื่อได้รับอนุญาตจากคนเฝ้ายาม
บอลด์วินก็พาเฟลิกซ์เดินเข้ามาภายในบริเวณหน่วยงานฝึกซ้อมและฝึกฝนการอารักขาพระราชวงศ์ของโคโลเนีย
ภายในนอกจากจะมีอาคารที่สร้างจากหินทรายสีเหลืองสวยแล้ว
ก็ยังมีลานกว้างอยู่ด้านหลังซึ่งติดกับกำแพงฝั่งหนึ่งของพระราชวังด้วย
จากการกวาดสายตาดูแล้ว
ลานกว้างแห่งนี้เป็นพื้นที่ฝึกอัศวินรวมถึงหน่วยอารักขาต่าง ๆ
ทั้งสิ้น
“บอลด์วิน อ้าว เฟลิกซ์ด้วยหรือ? ตามสบายเลยนะ
แต่ก็อย่าไปกวนคนอื่นเล่า เข้าใจหรือไม่?”
เดินเข้ามาลึกอีกนิดเฟลิกซ์ก็พบกับคนที่คุ้นเคยอย่างพ่อของบอลด์วิน
จึงค้อมหัวหน่อย ๆ
เป็นการทำความเคารพผู้ที่เป็นถึงหัวหน้าองครักษ์ของอาณาจักร
“ครับ/ครับท่านพ่อ”
ทั้งสองตอบออกมาพร้อมกัน ก่อนจะมีเสียงเรียกมาจากบริเวณรอบข้าง
“บอลด์วิน มาฝึกดาบกับข้าดีหรือไม่วันนี้?”
“หรือธนูกับข้าดีกัน?”
“ให้สหายของเจ้าของมาด้วยก็ได้นะ”
ดูเหมือนว่าบอลด์วินจะเป็นที่รู้จักกับทุก ๆ คนภายในหน่วยงานนี้จริง
ๆ จากการที่มีคนทักมากมายถึงขนาดนี้ และนั่นทำให้เฟลิกซ์รู้สึกค่อย ๆ
หายเกร็งไปทีละน้อยถ้าหากอย่างน้อยคนที่พาเขาเข้ามาก็มีคนรู้จักเยอะแบบนี้
“ผมขอติดเอาไว้ครั้งหน้านะครับ พอดีวันนี้นัดหมายกับฟินตัน เอ๊ย
เจ้าชายฟินตันเอาไว้แล้วน่ะ”
เป็นที่สงสัยของเฟลิกซ์มาแล้วพักหนึ่ง ว่าทำไมในหลาย ๆ
ครั้งสหายของเขาถึงได้หลุดพูดชื่อของผู้เป็นเจ้าชายออกมาโดยไม่มีซึ่งยศใด
ๆ เลย และดูเหมือนผู้คนรอบข้างจะไม่ได้สนใจอะไรเลยอีกต่างหาก?
หรือเป็นเพราะเจ้าชายคนนั้นทำตัวไม่น่าเคารพจนไม่มีใครอยากจะเรียกว่าเจ้าชายแล้วกัน?
แต่ถ้าเช่นนั้นจะกลายไปเป็นสหายกันกับสหายของเขาได้อย่างไรกันเล่า?
“อ๋า เช่นนั้นก็ได้เลย”
เสียงตอบกลับจากเหล่าองครักษ์ของอาณาจักรตอบมา
ก่อนที่พวกเขาจะหันกลับไปฝึกซ้อมกันต่อ
ส่วนเฟลิกซ์พอเห็นช่องว่างนี้ก็ได้ถามทันทีให้ความเงียบไม่ได้เกิดขึ้น
“ข้ามีคำถามหลายอย่างเลย อย่างแรก
ทำไมเจ้าถึงเรียกเจ้าชายฟินตันโดยไม่มีคำว่าเจ้าชายเล่า
เขาเป็นถึงเจ้าชายเลยมิใช่หรือ? และสอง
เจ้าสนิทกับทุกคนในหน่วยงานนี้หมดเลยหรือ? แล้วก็แล้วก็
เหตุใดทำไมพวกเขาถึงไม่ว่าอะไรเลยที่เจ้าเผลอเรียนเจ้าชายฟินตันด้วยพระนามของพระองค์เปล่า
ๆ เช่นนั้น?”
บอลด์วินที่ได้ยินเฟลิกซ์รัวคำถามใส่เขาถึงกับต้องยกมือขึ้นมาบอกให้อีกฝ่ายหยุดก่อน
มิเช่นนั้นคำถามอาจจะท่วมตัวของเขาจนจมลงไปในมันก็ได้
“ช้า ๆ เฟลิกซ์ ฮ่า ๆ”
“ก็ข้าสงสัยนี่นา”
เฟลิกซ์ขัดใจที่ถูกขัด ก็เขาสงสัยนี่นา
“เอาอย่างนี้ ให้ข้าค่อย ๆ เล่าให้เจ้าฟังดีกว่า...”
“หา!!! เจ้าคิดว่าเจ้าชอบเจ้าชายฟินตันน่ะหรือ อุ๊บ!”
“เบา ๆ เฟลิกซ์!”
เมื่อฟังจบเฟลิกซ์ก็พูดออกมาเสียงดังจนบอลด์วินต้องใช้ฝ่ามือไปปิดปากคนตรงหน้าเอาไว้
มิเช่นนั้นหากเรื่องนี้มันกระจายออกไปถึงหูใครสักคนเข้า
มันอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
“อ- อื้อ อ่อไอ้ (อื้อ ก็ได้)”
เช่นนั้นเฟลิกซ์ก็ได้ถูกปล่อยออกให้เป็นอิสระจากการปิดปากดังเดิม
“เห้อ... ข้าก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนักหรอกจริง ๆ แล้ว
แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่กับฟินตันน่ะ
ข้าจะมีความสุขและไม่อยากให้มันจบเลยทุกครั้ง
ข้าถึงเคยกระทั่งไปนอนหลับกับฟินตันบนเตียงช่วงบ่ายจนพ่อของข้าหาข้าให้วุ่นเลยด้วย
ฮ่า ๆๆ”
เพราะทุกครั้งที่บอลด์วินได้เข้ามาภายในพระราชวังเรื่อย ๆ
นับตั้งแต่เริ่มคุ้นชินกับพื้นที่แห่งใหม่นี้
จากที่ต้องคอยให้พ่อของเขาพามา
ก็กลายไปเป็นสามารถผ่านเข้าออกได้โดยสะดวกสบายราวกับเดินเข้าออกบ้านของตนเอง
ซึ่งบอลด์วินคิดว่าพ่อของเขาคงจะบอกเอาไว้ก่อนล่วงหน้า
แต่ที่จริงแล้วมันมาจากคำสั่งของพระราชาวูลแฟรมและพระราชินีเฟรยาต่างหากที่อยากให้บอลด์วินได้เข้ามาหาฟินตันได้โดยง่าย
แต่ไม่มีใครบอกให้คนภายนอกหน่วยงานอารักขาทราบ
กษัตริย์และราชินีแห่งโคโลเนียต่างรู้ดีถึงความสนิทสนมของบุตรชายของพระองค์และบุตรชายของหัวหน้าองครักษ์นี้
รวมถึงความรู้สึกที่ได้รับตอนทั้งสองอยู่ด้วยกัน
อันเป็นความเข้ากันได้อย่างลงตัวของคนสองคนที่เหมือนทั้งสองพระองค์ยามพบกันแรก
ๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน
ทำให้พระองค์ไม่ได้ห้ามอีกทั้งยังสนับสนุนอยู่ลึก ๆ
ด้วยเช่นกันหากว่าฟินตันต้องการจะเคียงคู่กับบอลด์วิน
และพอนาน ๆ เข้าที่บอลด์วินได้พบกับผู้เป็นเจ้าชาย
ความสนิทสนมมันก็ก่อตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนจู่ ๆ
มันก็เริ่มพัฒนาไปในเส้นทางใหม่ที่บอลด์วินไม่เคยคิดมาก่อน
เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตนจะชอบคนที่เป็นเพศเดียวกัน
แม้มันจะเป็นเรื่องปกติดีในสังคมปัจจุบันของแทบทั้งทวีปยูโรปา
แต่กว่าที่เขาจะยอมรับตนเองได้มันก็ยังใช้เวลาอยู่ดีในการออกจากความสับสนนี้
ทั้งดวงตาสีน้ำตาลแสนอบอุ่นที่ชวนให้มอง
อันตรงกันข้ามกับดวงตาโทนเย็นของบอลด์วิน
และนิสัยร่าเริงที่แม้จะไม่มากเท่าเฟลิกซ์
แต่นั่นก็สว่างไสวเข้ากับรอยยิ้มนั้นเป็นอย่างมากเลย
และการได้อยู่ภายในแสงแห่งความสดใสนั้นนาน ๆ เข้า
บอลด์วินก็เริ่มที่จะเสพติดมัน อยากจะรู้ตรงนั้นไปนาน ๆ
หรือแม้กระทั่งอยากจะครอบครองไว้คนเดียวตลอดไป
“ถ้าหากว่าเจ้าชอบแล้ว เหตุใดถึง... อ๋า... ข้าลืมไปเสียสนิทเลย”
เฟลิกซ์กำลังจะเชียร์ให้บอลด์วินเดินหน้าต่อ
แต่กระนั้นนั่นเองที่เขาคิดได้ว่าเพราะเหตุผลอะไรที่บอลด์วินถึงหนักใจมากและต้องเอาเรื่องนี้มาปรึกษาเขา
“ใช่... ข้ามันเป็นแค่สามัญชน และฟินตันเป็นเจ้าชาย”
ทั้งสองคนหารู้ไม่ว่า
พระราชาวูลแฟรมและพระราชินีเฟรยาไม่ได้ขัดในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
และหากในอนาคตที่ทุกอย่างมันเด่นชัดขึ้นมากกว่านี้
ทั้งสองพระองค์ก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ถ้าบอลด์วินหรือฟินตันอยากเดินหน้าต่อ
และทั้งสองพระองค์ตั้งปณิธานไว้เล็ก ๆ
ว่าถ้าหากได้อยู่เห็นวันนั้นด้วยตาของทั้งสองพระองค์เอง
มันก็น่าจะดีไม่น้อยเลย
“งานยากแล้วยังไงเล่า แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อจากนี้?”
เฟลิกซ์คิดหาทางออกช่วยกับสหายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จนคิดไม่ออกแล้ว
และไม่รู้ด้วยว่าปัญหาใหญ่เช่นนี้จะแก้ได้ยังไง
“ข้าคิดว่า... ข้าน่าจะต้องขอเข้าเฝ้าพระราชาวูลแฟรม”
ในเมื่อผู้เป็นพ่อของฟินตันคือกษัตริย์ของอาณาจักร
หากสามารถพูดคุยได้ลงตัว อะไร ๆ
ก็ย่อมเป็นไปได้ทั้งนั้นภายใต้คำสั่งของผู้มีอำนาจสูงสุด
“หา!!???”
เฟลิกซ์อุทานออกมาเสียงดังอีกครั้ง เรื่องขนาดนั้น
ยากเสียยิ่งกว่าการหวังให้ในโลกนี้ไม่มีสงครามจากความหลงละเริงในอำนาจของมนุษย์อีกเลยอีก
“ก็ข้าไม่มีทางเลือกแต่นี่นา จะให้ข้าทำเช่นไรเล่า?”
และในตอนที่บอลด์วินกับเฟลิกซ์กำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น
ประตูฝั่งด้านพระราชวังก็เปิดออก
พร้อมด้วยการมาของคนคนหนึ่งที่มีกลุ่มผมสีน้ำตาล
เหล่าองครักษ์ที่เห็นต่างคุกเข่าลงทันทีที่คนผู้นั้นเดินผ่านไป
“อ๊ะ นั่นไง มาแล้ว”
เฟลิกซ์หยุดการพูดแล้วหันไปตามที่บอลด์วันพยักพเยิดไป
เมื่อเห็นว่าใครกำลังใกล้เข้ามา
เขาก็เริ่มกลับมากระวนกระวายใจอีกครั้ง
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะให้ข้าได้รู้จักกับเจ้าชายฟินตันด้วย? คือ...
อย่างข้าน่ะหรือ?”
บอลด์วินบอกเฟลิกซ์ว่านอกจากที่เรียกเขามาพูดคุยปรึกษาด้วยในวันนี้
ก็เพื่ออยากแนะนำสหายทั้งสองคนของเขาให้ได้รู้จักกันด้วย
และเฟลิกซ์ก็ไม่แน่ใจมากนักว่ามันจะดีแล้วจริง ๆ หรือ
คนอย่างเขาที่เป็นคนธรรมดามากเสียยิ่งกว่าบอลด์วินด้วยซ้ำนี่น่ะหรือควรแก่การได้รู้จักกับเจ้าชายของอาณาจักร?
ฟินตันเดินเข้ามาใกล้ทางที่บอลด์วินอยู่มากเรื่อย ๆ
เฟลิกซ์และบอลด์วินเลยลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าลงกับพื้นตามอัศวินคนอื่น
ๆ รอบข้างที่ต่างก็นอบน้อมต่อเจ้าชายพระองค์นี้ทั้งสิ้น
“ขอโทษที่ให้เจ้ารอนะบอลด์วิน พวกเจ้าตามสบายได้เลย”
ฟินตันกล่าวแล้วนั่งลงที่อีกด้านหนึ่งของม้านั่ง
เนื่องจากเห็นคนที่ไม่คุ้นตาคนนึงคุกเข่าอยู่
และเมื่อได้ยินดังนั้นแต่ละคนก็กลับไปทำกิจกรรมที่ทำค้างไว้ต่อ
บอลด์วินกลับไปนั่งบนม้านั่งดังเดิม
แต่เฟลิกซ์นั้นไม่กล้าพอที่จะนั่งม้านั่งตัวเดียวกับเชื้อพระวงศ์เช่นสหายของเขา
“ไม่เป็นอะไรเลย เจ้าน่าจะมีเหตุจำเป็น”
บอลด์วินตอบกลับด้วยคำสามัญที่ทำให้เฟลิกซ์เบิกตากว้าง
เพราะแม้จะได้ยินจากปากสหายของตนมาแล้วว่าฟินตันเป็นผู้อนุญาตให้สามารถใช้คำสามัญได้ในการพูดคุย
แต่พอมาได้ยินจริง ๆ แล้วมันก็เหนือจริงมากอยู่ดี
เขาและบอลด์วินในชุดเสื้อผ้าธรรมดา
กับเจ้าชายของอาณาจักรที่สวมชุดสีขาวล้วนดูโดดเด่น
ยิ่งเครื่องประดับชุดมากมายเหล่านั้นกับดาบที่เหน็บมาด้วยอีก
สง่างามสุด ๆ ไปเลย
แต่ฝ่ายที่ต่ำต้อยในยศกว่ากลับพูดคุยกับคนที่สูงส่งเช่นนั้นด้วยคำสามัญธรรมดาเสียอย่างนั้น
แล้วยังนั่งบนม้านั่งเฉย ๆ ไม่คุกเข่าลงอีกต่างหาก
“บอลด์วิน
พ่อบอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าให้ทำพูดกับท่านฟินตันให้เหมาะสมด้วย
ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสนิทกัน แต่เรื่องความเหมาะสมก็ต้องมาก่อนนะ”
กันเธอร์เดินเข้ามาตำหนิลูกชายของตน
ในตอนนั้นเองที่เฟลิกซ์ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดีจึงส่งสัญญาณถามผู้ที่ตนเรียกว่าคุณลุง
และได้คำตอบกลับมาเป็นสัญญาณมือที่บอกให้เขานั่งลงที่เดิมได้
“ไม่เป็นอะไรหรอกคุณกันเธอร์ แบบนี้ดีแล้ว”
น้ำเสียงของฟินตันดูแปลกไปจากเดิมที่บอลด์วินได้ยินมาตลอด มันเนือย ๆ
นิ่ง ๆ
แถมคำลงท้ายอันแสนสุภาพที่เจ้าตัวมักใช้พูดกับทุกคนโดยไม่สนชนชั้นยังหายไปพอสมควรด้วย
“เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่เป็นการติดใจอะไรขอรับ กระหม่อมขอตัวก่อน”
ในเมื่อไม่สามารถที่จะสู้เจ้าชายพระองค์นี้ได้
กันเธอร์จึงขอตัวกลับไปคุมการฝึกซ้อมการใช้ดาบของวันนี้ต่อที่มุมหนึ่งของลานฝึก
เพราะเหตุการณ์ในคืนวันที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวยังคงอยู่ในความทรงจำที่ชัดเจน
ฟินตันไม่ได้ไม่รู้ในอำนาจของตนอย่างที่หลาย ๆ คนคาดเอาไว้ในตอนแรก
เจ้าตัวเพียงแค่สุภาพและให้เกียรติต่อคนรอบข้างมากจนไม่ได้ใช้มันเท่านั้นเอง
“อื้อ เชิญครับ”
“ฟินตัน เจ้า...”
บอลด์วินทักขึ้นพอผู้เป็นพ่อของเขาเดินจากไป
น้ำเสียงกับใบหน้าเช่นนี้ ฟินตันต้องเจอเรื่องอะไรมาอย่างแน่นอน
“ดูออกอีกแล้วล่ะสิเจ้าน่ะ เห้อ...
ว่าแต่สหายของเจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?”
ฟินตันถอนหายใจให้กับความรู้ดีของสหายของตน
พวกเขาคงจะสนิทกันมากไปจริง ๆ จนอีกฝ่ายดูเขาออกง่ายแบบนี้
แต่ก่อนอื่นเขาคงต้องทักทายสหายของบอลด์วินที่อีกฝ่ายพามาด้วยเสียก่อน
จริง ๆ
แล้ววันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาได้ทำความรู้จักกันตามที่บอลด์วินอยากให้เป็น
“ข- ข้ามีนามว่าเฟลิกซ์ขอรับ”
เฟลิกซ์ตอบอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
รวมถึงไม่กล้าที่จะสบตาคู่สนทนาด้วยเท่าไรนัก
เนื่องจากความแตกต่างทางชนชั้นของพวกเขา
“เฟลิกซ์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ข้าฟินตัน แฮเซินสตาร์ก
จะว่าอะไรไหมถ้าข้าขอยืมตัวสหายของเจ้าเสียหน่อย
พอดีข้ามีเรื่องในใจอยากจะพูดคุยกับเขาน่ะ”
เนื่องจากภายในอกของฟินตันมันอึดอัดจนแน่นไม่หมด
เจ้าตัวจึงขอพุ่งเข้าเรื่องเลยอย่างรวบรัด
เพราะหากรอให้เวลาเดินผ่านไปกว่านี้แล้ว เขาอาจจะร้องไห้ออกมาได้
“ด้วยความยินดีขอรับ เช่นนั้นเดี๋ยวกระหม่อม-”
เฟลิกซ์กำลังจะลุกขึ้นเดินไปนั่งที่อื่นเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับสหายของเขาและเจ้าชาย
แต่ฟินตันขัดเอาไว้ก่อน
“เจ้านั่งตรงนี้ต่อไปได้เลย เดี๋ยวข้ากับบอลด์วินแยกออกไปเอง
ขอโทษด้วยนะที่ผิดจากที่บอลด์วินแจ้งเอาไว้”
ฟินตันไม่อยากให้เฟลิกซ์ต้องลำบาก
จึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายย้ายที่ไปหาที่เงียบ ๆ ด้วยตนเอง
“ไม่เป็นอะไรเลยขอรับ”
หลังจากบอลด์วินนำเฟลิกซ์ที่บอกว่าอยากจะกลับบ้านไปส่งที่ตรงประตูทางเข้า
พร้อมกับร่ำลาและขอโทษอีกฝ่ายเสร็จสิ้นแล้วที่แผนการวันนี้ที่วางเอาไว้มันผิดแผนไปหมดเพราะฟินตันน่าจะเจอเรื่องไม่ดีมา
เขาก็กลับมาหาผู้เป็นเจ้าชายที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูทางเข้าพระราชวังฝั่งที่อยู่ติดกับบริเวณฝึกซ้อมของหน่วยอารักขา
ซึ่งโดยปกติแล้วคนที่ใช้ประตูนี้ได้ก็มีเพียงเชื้อพระวงศ์กับอัศวิน
แล้วก็บอลด์วินที่เป็นหมวดหมู่พิเศษเท่านั้น
บอลด์วินเดินนำฟินตันอย่างรู้เส้นทางมายังบ่อน้ำขนาดใหญ่ภายในพระราชวังที่มีเกาะขนาดเล็กเป็นศาลาตรงกลาง
อันเป็นหนึ่งในที่ที่พวกเขาชอบมาใช้เวลาด้วยกันหากต้องการความเป็นส่วนตัว
เมื่อนั่งลงแล้วทั้งคู่เป็นที่เรียบร้อย
บอลด์วินก็เริ่มถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าสบายดีใช่หรือเปล่า?”
“เห้อ... บอลด์วิน อย่าว่าข้าเลยนะ”
ฟินตันลุกขึ้นจากฝั่งตรงข้ามของบอลด์วินมานั่งลงข้าง ๆ
แล้วจึงเอนตัวมาพิงกับไหล่ของคนตาสีฟ้าด้วยความเปราะบางที่มีและต้องการที่พึ่งพิง
“อ- อะไรกัน เจ้าไปเจออะไรมาอย่างนั้นหรือ?”
บอลด์วินตกใจเล็กน้อย
เพราะถึงแม้การแตะกันของร่างกายระหว่างเขากับสหายที่สูงส่งคนนี้จะเป็นเรื่องปกติ
แต่ในตอนนี้ที่เป็นตอนหลังจากที่เขาเล่าความจริงภายในใจทั้งหมดให้เฟลิกซ์ฟังไป
มันก็ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวภายในใจมากเลย
“ข้าทะเลาะกับท่านพ่อกับท่านพี่อัลดริชนิดหน่อยน่ะ
ข้าเข้าใจนะที่พ่อของข้ากับพี่ของข้าอยากจะให้ข้าศึกษาเรื่องการบริหารเอาไว้บ้างในตอนนี้ที่ข้าเริ่มโต
แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าสนใจนี่นา เจ้าก็รู้ดี”
ฟินตันพูดออกมายาวเหยียดพร้อมกับพ่นลมหายใจปิดท้าย
“แต่เรื่องแบบนี้ศึกษาไว้ก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ?”
บอลด์วินเห็นต่างไปจากนั้น
แต่ก็ไม่อยากที่จะพูดอะไรที่อาจนำไปสู่การทะเลาะกันของเขากับฟินตัน
เพราะในตอนนี้เขาคือที่พึ่งของฟินตัน
“ก็ท่านพ่อของข้ายังอายุไม่มาก อีกทั้งท่านพี่อัลดริชก็แข็งแรงดี
ไม่ว่ายังไงบัลลังก์ก็ไม่มีทางตกมาถึงข้าได้อย่างแน่นอน
เช่นนั้นข้าจะไปศึกษาเรื่องพวกนี้ไว้เพื่ออะไรกัน?”
เนื่องด้วยการเป็นเจ้าชายลำดับที่สองและบุตรคนที่สาม
ร่วมกับมีบิดาที่อายุเพิ่งจะเริ่มเข้าวัยกลางคนและมีพี่ชายที่เติบโตมาอย่างดีและมีความสามารถ
ฟินตันมองภาพที่ราชบัลลังก์ของอาณาจักรจะตกมาถึงเขาไม่ออกจริง ๆ
“พวกท่านต่างหวังดีในตัวเจ้าทั้งนั้นแหละน่า พูดคุยกันดี ๆ
ล่ะถ้าหากได้พบพวกท่าน แต่ตอนนี้เจ้าระบายกับข้าได้เต็มที่เลยนะ
ข้าพร้อมรับฟังเสมอ”
“เห้อ... ข้าแค่ รู้สึกว่าบางทีคำพูดของท่านมันก็แรงไปหน่อยกับข้า
พอเห็นข้าไม่สนใจเรื่องการบริหารก็ขึ้นเสียงและตะคอกใส่ข้า
แถมอัลดริชที่แทนที่จะช่วยห้ามก็กลับมาร่วมต่อว่าข้าอีก
ข้าน้อยใจและเสียใจมากเลยนะเจ้ารู้หรือเปล่า?”
น้ำตาไหลออกมาเปื้อนเขียนเสื้อของบอลด์วินจนเปียกเป็นดวง
แต่ฟินตันก็รีบเช็ดมันออกไปเพราะกลัวว่าสหายของเขาจะมองว่าเขานั้นอ่อนแอ
แม้ในยามนี้ที่เขาอ่อนแอจริง ๆ ก็ตาม
“เจ้าร้องไห้หรือ?”
แต่จะไปพ้นการสังเกตของบอลด์วินได้อย่างไร
บุตรชายของอัศวินผู้นี้สังเกตสิ่งรอบตัวดีอยู่เสมอ
แล้วยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟินตันแล้วด้วยอีก
ความละเอียดนั้นมันยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก
“ป- เปล่า...”
ฟินตันโกหกขณะที่แขนก็ยังเช็ดปาดใบหน้าของตนไปมา
“มันจะไม่เป็นอะไร เชื่อข้าสิ พูดคุยกับพวกท่านดี ๆ แบบที่ข้าบอก
เข้าใจหรือเปล่า?”
ฝ่ามือหนาวางลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลแล้วลูบปลอบไปมา
แต่ดูเหมือนนั่นจะทำให้ฟินตันยิ่งร้องไห้ออกมามากกว่าเดิมอีก
“ฮึก- ข้า...”
“ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ เจ้าระบายกับข้าได้เลย”
“บอลด์วิน พ่อเห็นเจ้าชายฟินตันดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
แล้วเจ้าเข้าไปในพระราชวังกับเจ้าชายฟินตัน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
หลังจากหมดวันและตะวันลาลับขอบฟ้า
เวลาในการทำงานของกันเธอร์ก็จบลงเช่นกัน
ผู้เป็นพ่อจึงไปรับเอาบุตรชายของตนกลับมาจากภายในพระราชวังกลับมาที่บ้าน
โดยในวันนี้แปลกจากปกติไปที่ไม่มีคนที่ปกติจะมาส่งบอลด์วินที่ประตูมาส่งเขา
แต่มีเพียงบอลด์วินคนเดียวที่ยืนรอเขาอยู่
“นี่พ่อหลอกถามเรื่องภายในจากข้าหรือเปล่าเนี่ย?”
บอลด์วินที่นอนเหยียดตัวอยู่บนโซฟาตัวยาวกล่าวตอบกลับมาด้วยความสงสัย
“ป- เปล่าเสียหน่อย มีเรื่องอะไรที่พ่อไม่รู้ด้วยหรือ?”
กันเธอร์กอดอก ทำเป็นเหมือนตนรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในพระราชวัง
ทั้งที่จริง ๆ
แล้วก็ไม่ทั้งหมดเสียทุกอย่างดังที่บอลด์วินว่านั่นแหละ
“จริง ๆ ก็มี แต่...
เรื่องในวันนี้คือฟินตันทะเลาะกับท่านพ่อแล้วก็พี่ชายของเขาน่ะครับ”
เรื่องที่กันเธอร์ไม่รู้มีหลายอย่างเลย
แต่ที่บอลด์วินนึกถึงเป็นอย่างแรกเรื่องที่เขาชอบฟินตัน
ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดได้ทันเป็นเรื่องที่เขาไปรับฟังมาในวันนี้
คำตอบจากบุตรชายของกันเธอร์ทำเอาเขาอยากจะบอกให้บอลด์วินเบาเสียงลงหรือไม่ก็ไม่ต้องพูดเลยจะดีกว่า
เพราะแต่ละชื่อที่พูดออกมานั้น หากคนทั่วไปข้างนอกมาได้ยินเข้าล่ะก็
มีหวังโดนตัดหัวหมดทั้งบ้านแน่นอน
“บอลด์วิน พูดตามพ่อนะ
เจ้าชายฟินตันทรงทะเลาะกับพระราชาวูลแฟรมและเจ้าชายอัลดริช”
กันเธอร์พูดชัด ๆ ช้า ๆ ให้ลูกชายของเขาได้ฟังและจดจำเอาไว้
ว่านี่คือสิ่งที่ควรจะพูด ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวทำอยู่ในทุกวันนี้
“ฟินตันทะเลาะกับท่านพ่อและพี่ชายของเขา”
“...”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องนั่งเล่นของบ้าน
บอลด์วินรอดูปฏิกิริยาของพ่อของเขา
ส่วนกันเธอร์อยากจะยกเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผากเสียตรงนี้
“ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ?”
เมื่อเงียบอยู่เช่นนั้นพักหนึ่ง บอลด์วินจึงพูดขึ้นมา
“เห้อ... เจ้านี่นะ”
กันเธอร์ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหัวกับลูกชายของตน
มันคงจะยากมากแล้วล่ะที่จะเปลี่ยนเขา
แถมยังมีฟินตันที่สนับสนุนให้ใช้คำสามัญด้วยอีก
ยังดีที่ว่าหากยามที่เขาเข้าเฝ้าพระราชาวูลแฟรม พระราชินีเฟรยา
เจ้าชายอัลดริช หรือคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ฟินตันนั้น
เขายังใช้คำราชาศัพท์อยู่อย่างที่ควร
แต่จริง ๆ แล้วนั้นบอลด์วินก็ยังคงใช้คำราชาศัพท์กับฟินตันอยู่บ่อย ๆ
เช่นกัน แต่เขาจะใช้ในยามที่อยากจะกวนอีกฝ่ายเท่านั้น
เพราะฟินตันตอนที่โมโหนั้นน่ารักมาก ๆ เลย
“อาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วนะทั้งสองคน
รีบมากินเสียเล่าก่อนมันจะเย็นก่อน”
เสียงที่ฟังกี่ครั้งก็สัมผัสได้ถึงความใจดีดังขึ้นมาจากทางด้านโต๊ะกินข้าว
คนที่พูดถือถ้วยที่มีอาหารเอาไว้ในมือก่อนจะค่อย ๆ
วางมันลงที่โต๊ะอย่างเบามือ
“แอนนา เจ้าไม่เห็นต้องตักแล้วยกมาแบบนี้เลย นั่งเฉย ๆ เสียเถิด
บอลด์วิน มาช่วยพ่อหน่อย”
กันเธอร์ที่เห็นว่าภรรยาของตนออกแรงมากก็รีบเข้าไปช่วยทันที
แล้วก็ได้เรียกให้บอลด์วินเข้ามาช่วยด้วยอีกแรง
“จะให้ข้าอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ ได้อย่างไรกัน
สามีของข้าทำงานอย่างหนักทุกวัน แถมลูกชายก็กำลังไปได้ดีอีก
ข้าก็อยากจะสนับสนุนพวกเจ้าบ้างในจุดที่ข้าทำได้”
แอนนานั่งลงที่เก้าอี้ของโต๊ะกินข้าวแล้วมองดูสองพ่อลูกถืออาหารเย็นวันนี้มาจากทางครัว
ก่อนที่เธอจะไอออกมาค่อกแค่กสามสี่ที
แอนนา ไอเซินฮาร์ท ผู้เป็นแม่ของบอลด์วินและภรรยาของกันเธอร์
เมื่อก่อนเธอเคยทำงานเป็นครูมาก่อน และเป็นที่รักของเด็ก ๆ
เป็นอย่างมาก
จนกระทั่งเธอล้มป่วยลงและเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้
จึงได้ลาออกออกมาเป็นแม่บ้านระหว่างการรักษาประคองอาการ
เธอเป็นคนที่มอบผมสีดำเงาสวยและความอ่อนโยนให้กับบอลด์วิน
ไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้เห็นว่าบุตรชายของเธอเติบโตมาอย่างดีเช่นนี้
เธอก็ยิ่งภูมิใจในตัวเองมาก ๆ
และคิดว่ามันคงจะดีกว่านี้ถ้าหากเธอได้เห็นวันที่บอลด์วินได้แต่งงาน
แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้...
“ไหวหรือไม่ครับแม่?”
บอลด์วินเดินเข้ามาดูอาการแม่ของตนพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าในมือ
และเมื่อเห็นของเหลวสีแดงที่ฝ่ามือของผู้เป็นแม่เป็นหย่อม ๆ
เขาก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา
บอลด์วินรู้ดีถึงอาการป่วยของแม่ของเขา
เขาเห็นตั้งแต่ที่เธอเริ่มมีอาการนี้ จนมันลุกลามมากเรื่อย ๆ
และทำให้เธออ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนเป็นแบบทุกวันนี้
และไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ถึงระยะของโรคในตอนนี้ที่แอนนากำลังเผชิญอยู่
มันยากที่จะยอมรับ
แต่แม่ของเขาคงเหลือเวลาอยู่กับเขาและท่านพ่อน้อยมากแล้ว
“ขอบใจนะ แม่ไม่เป็นอะไร เจ้าไปนั่งที่เสียเถอะ”
การรับประทานอาหารเย็นร่วมกันของครอบครัวไอเซินฮาร์ทดำเนินไปอย่างสงบสุขและอบอุ่น
ยิ่งอาการของโรคร้ายแรงมากขึ้นในระยะสุดท้ายของมะเร็ง
ทั้งกันเธอร์และบอลด์วินก็อยากที่จะใช้เวลาร่วมกับแอนนามากขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่โชคชะตาจะมอบให้พวกเขาได้
พวกเขาเคยมีหวังในตอนแรกที่แอนนาตรวจพบว่าเธอป่วยเป็นอะไร
แต่พอเวลาผ่านไปความหวังนั้นก็ค่อย ๆ ริบหรี่ลงเรื่อย ๆ
และใกล้จะดับมอดเต็มที
ท้องฟ้ามืดที่เคยนิ่งสงบเริ่มมีหยุดน้ำหล่นลงมา
ส่งเสียงซ่าดังไปทั่วทั้งนครหลวงของอาณาจักร อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย
ๆ ตามสายน้ำจากท้องฟ้าที่ดึงให้อุณหภูมิลดลงตามที่มันหล่นลงมา
แอนนาย้ายตัวเองมานั่งที่โซฟาเพื่ออ่านหนังสือข้างกับสามีของเธอ
ส่วนบอลด์วินนั้นรับหน้าที่ทำความสะอาดโต๊ะและจานชามที่ใช้ในค่ำนี้
จนกระทั่ง...
ก๊อก ๆ
“เสียงเคาะประตูหรือ?”
แอนนาเงยหน้าขึ้นจากหนังสือแล้วมองไปทางประตูบ้าน
“เสียงลมหรือไม่? แต่ประเดี๋ยวข้าไปดูให้”
กันเธอร์ลุกขึ้นและปล่อยภรรยาของเขาออกจากวงแขนเพื่อไปตรวจสอบที่ประตูบ้าน
และนั่นมันทำให้เขาแทบจะทรุดลงตรงนั้น
“ฮึก... คุณกันเธอร์”
ฟินตันที่สวมผ้าคลุมปิดบังตัวตนอยู่แต่ก็เปียกโชกไปทั้งตัวกำลังยืนร้องไห้อยู่ที่หน้าประตู
หยดน้ำตาไหลออกมาไม่หยุดหย่อนราวกับสายฝนจากเบื้องบน
แล้วเหตุใดคนที่เป็นถึงเจ้าชายถึงมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้กัน
“ท- ท่านฟินตัน!”
กันเธอร์รีบคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อทำความเคารพ
แต่ก็ไม่มีการตอบกลับจากเจ้าชายตรงหน้านอกจากเสียงสะอื้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับพ่อ เอ๊ะ- ฟินตัน!”
บอลด์วินที่ล้างจานเสร็จเรียบร้อยแล้วและเห็นว่าพ่อของตนคุกเข่าอยู่ที่ประตูหน้าบ้านก็เดินเข้าไปหา
และพบสาเหตุนั้นที่ยืนเปียกฝนอยู่ด้านนอก
“ฮือ... บอลด์วิน ข- ข้าขอ-”
โดยไม่ต้องรอให้พูดจบ
บอลด์วินดึงตัวฟินตันเข้ามาภายในบ้านแล้วปิดประตูลงกลอนทันที
ท่ามกลางความตกใจทั้งของกันเธอร์และแอนนา
บอลด์วินดึงฟินตันเข้าไปลึกจนถึงหน้าประตูห้องนอนของเขา
“ด- เดี๋ยวก่อนสิ บอลด์วิน เจ้าทำอะไรกัน?!”
แอนนาพยายามลุกขึ้นและจะคุกเข่าลงกับพื้น
แต่ฟินตันที่รู้เช่นกันถึงอาการป่วยของเธอก็ห้ามเอาไว้ก่อน
“คุณแอนนา ฮึก- ไม่ต้องครับ นั่งต่อไปได้เลย”
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้วฟินตัน มานี่”
จากนั้นบอลด์วินก็ดึงฟินตันเข้าไปในห้องนอนของเขาและจับนั่งลงที่เก้าอี้ของโต๊ะอ่านหนังสือริมหน้าต่าง
สายฟ้าฟาดลงส่องแสงวาบเป็นระยะ
ก่อนที่ตัวของฟินตันจะโดนคลุมด้วยผ้าขนหนูเพื่อเช็ดน้ำฝนที่เปียกชุ่มเจ้าชายพระองค์นี้ไปทั้งตัว
“หนาวหรือไม่?”
ผ้าขนหนูผืนใหญ่ถูกใช้เช็ดไปตามตัวของฟินตันโดยบอลด์วิน
และแม้จะไม่รู้ว่าฟินตันมาทำอะไรในเวลาแบบนี้
แต่บอลด์วินไม่ชอบเลยที่เห็นคนคนนี้ร้องไห้เช่นนี้
และการมาหาเขาแล้วด้วยนั่นก็ย่อมหมายถึงว่าเขาคือคนที่ฟินตันอยากจะมาพึ่งพิงในตอนนี้
“ไม่- ฮึก...”
ฟินตันส่ายหน้าตอบทั้งที่ตัวสั่นไปหมด
“บอลด์วิน พ่อขออนุญาต แต่เรื่องนี้ต้องแจ้งทางพระราชวังนะ เอ่อ...
ท่านฟินตันขอรับ
กระหม่อมว่าพระองค์เสด็จกลับพระราชวังจะดีกว่าหรือไม่ขอรับ?
เดี๋ยวกระหม่อมจะนำเสด็จให้”
กันเธอร์เดินตามมาหยุดที่กรอบของประตูห้องนอนก่อนจะย่อตัวลงพูดในระดับสายตาที่ฟินตันนั่งอยู่
เรื่องแบบนี้มันใหญ่มากเลยสำหรับเขา
มันยิ่งกว่าตอนที่ฟินตันกับบอลด์วินออกจากพระราชวังไปดูดาวด้วยกันเสียอีก
“ไม่เอา ผมไม่อยากไป”
ฟินตันที่ได้การเช็ดความเปียกชุ่มของตนไปบ้างก็เริ่มที่จะหยุดร้องไห้แล้วเช่นกันตอบผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์ของอาณาจักรด้วยน้ำเสียงไม่อยากทำอย่างชัดเจน
“ท่านฟินตันอย่าทำแบบนี้ขอรับ กระหม่อมหนักใจจริง ๆ”
การที่เจ้าชายของอาณาจักรออกมาจากพระราชวังฝนยามนี้
แถมยังถูกพาเข้ามาอยู่ในบ้านของสามัญชนแบบนี้อีก
หากทางการรู้เขาพวกเขาอาจจะเจอเรื่องใหญ่โตที่อาจนำไปสู่การโดนประหารกันหมดเลยก็ได้
เรื่องนี้ใหญ่กว่าเรื่องที่บอลด์วินพูดคำสามัญกับฟินตันเป็นล้านเท้าลย
“บอลด์วิน ให้ข้าอยู่ซักคืนได้หรือเปล่า?”
ฟินตันเงยหน้าขึ้นสบตากับบอลด์วินเป็นการขอความช่วยเหลือ
“พ่อครับ ขณะนี้ฝนมันตกหนัก ข้าเกรงว่าหากฝ่าไปอาจจะทำให้ไม่สบาย
ให้ฟินตันค้างที่นี่จนถึงตอนเช้าได้ไหมครับ?
เดี๋ยวผมจะพาเขาไปส่งที่พระราชวังเอง”
บอลด์วินทำการต่อรองพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูเช็ดกลุ่มผมสีน้ำตาลตรงหน้าไปด้วยอย่างเบามือ
สร้างความหนักใจให้กับกันเธอร์ยิ่งกว่าเก่าที่เห็นบุตรชายของตนสัมผัสศีรษะของเจ้าชาย
แต่สิ่งที่บอลด์วินพูดมาก็ไม่ผิด
“เช่นนั้นแล้วดูแลเจ้าชายฟินตันดี ๆ ด้วยนะ พ่อไม่กวนพวกเจ้าแล้ว
กระหม่อมขอตัวก่อนนะขอรับ”
กันเธอร์ถอนหายใจแล้วขอตัวออกจากห้องไป
เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับทั้งสองคน
แม้ภายในจะยังกังวลอยู่มากก็ตามว่าจะมีทหารจากพระราชวังบุกมาจับเขาและครอบครัวไหมจากเรื่องนี้
“ยกแขนขึ้นหน่อยได้หรือเปล่า?”
ฟินตันยอมทำตามที่บอลด์วินว่าอย่างง่ายดาย
และเมื่อทำเช่นนั้นเสื้อตัวใหม่ที่แห้งสนิทก็ถูกสวมลงมาใส่ให้กับเขา
ซึ่งก็เป็นเสื้อของบอลด์วินเองนั่นแหละ เพราะหากให้สวมเสื้อผ้าเปียก
ๆ เช่นนั้นต่อไปน่าจะไม่เป็นการดีนักต่อสุขภาพ
“ข้าขอโทษนะที่จู่ ๆ ก็มา”
ระหว่างที่บอลด์วินนำเอาเสื้อผ้าตัวเก่าของฟินตันไปตากที่ด้านหลังของบ้าน
เจ้าของเสื้อก็นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงของบอลด์วินพร้อมกับค่อย ๆ
พูดออกมาเสียงเบา
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
บอลด์วินนั่งลงข้าง ๆ แล้วถามด้วยความเป็นห่วง
ยิ่งเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนักของฟินตันเขาก็ยิ่งอยากทำให้เขาดีขึ้น
“ข้าทะเลาะกับท่านพ่อกับอัลดริชหนักกว่าเก่าอีก ข้าก็เลย...
หนีออกจากบ้านมา”
บอลด์วินยกมือก่ายหน้าผาก
แม้การหนีออกจากบ้านจะไม่ใช่เรื่องใหญ่มากสำหรับคนในวัยพวกเขา
แต่บ้านของฟินตันมันไม่ใช่บ้านธรรมดานี่น่ะสิ
“ข้าจะไม่พูดอะไรมากก็แล้วกัน
แต่คืนนี้เจ้าพักผ่อนที่นี่ให้สบายใจเสียนะ
แล้วพรุ่งนี้ข้าค่อยจะหาทางออกช่วยกันกับเจ้า ดีหรือเปล่า?”
บอลด์วินไม่อยากจะพูดอะไรที่อาจจะทำให้ฟินตันรู้สึกไม่ดียิ่งกว่าเดิม
จึงเลือกล้มตัวลงนอนกับเตียงและพักเก็บเรื่องของวันนี้ใส่ลิ้นชักข้างเตียงเอาไว้ก่อน
พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ และฟินตันก็ควรจะทำเช่นนั้นบ้างเหมือนกัน
“อื้อ ขอบใจเจ้ามากเลยนะ แต่... ข้านอนได้จริง ๆ หรือ?”
ฟินตันลังเลที่จะล้มตัวลงนอนบนเตียงของสหายของเขา
แม้ว่าบ้านหลังนี้เขาจะเคยมาแล้วสองสามครั้งในอดีตที่บอลด์วินพาเขามายามที่ออกมาด้านนอกพระราชวัง
ซึ่งนั่นทำให้เขารู้ที่ตั้งของมันในการหนีออกมาในคืนนี้
แต่การจะนอนลงที่เตียงของคนอื่นมันก็ยังไงยังไงอยู่ดี
“ถ้าเป็นเจ้าก็นอนได้เลย ข้าไม่ว่าอะไร มาเร็ว”
บอลด์วินอ้าแขนออกพร้อมกับตบมือลงที่ที่ว่างข้าง ๆ ตัวเขา
“เช่นนั้นแล้ว ข้าขอรบกวนด้วยคืนนึงก็แล้วกัน”
ฟินตันค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนที่ที่ว่างข้าง ๆ บอลด์วิน
และแม้เตียงเตียงนี้จะไม่ได้ขนาดใหญ่แบบที่พระราชวังของเขา
แต่ตรงนี้มันอบอุ่นกว่าที่นั่นมาก ๆ เลย ยิ่งได้การกอดนี้เอาไว้อีก
สบายใจของฟินตันสุด ๆ ไปเลย
“ข้าพร้อมจะดูแลเจ้าเสมอ มีอะไรก็บอกข้าได้นะ เราเป็นสหายกัน”
ฟินตันขยับเข้าไปใกล้ความอบอุ่นตรงหน้ามากกว่าเดิมนิดหน่อย
เขารู้สึกปลอดภัยและสบายใจมากจริง ๆ กับพื้นที่ตรงนี้
“ขอบใจเจ้ามากจริง ๆ แต่ข้าจะไม่พยายามมารบกวนเจ้ามากละกัน
ข้าเกรงใจ”
ฟินตันหลับตาลง ความง่วงค่อย ๆ
เพิ่มมากขึ้นและจมเขาลงกับความอบอุ่นตรงนี้แล้วทีละน้อย
“ไม่ต้องหรอก ถ้าเป็นเจ้าแล้ว ตลอดชีวิตข้าก็มอบให้เจ้าได้”
ในตอนเช้ามืด
แอนนาและกันเธอร์ที่ตื่นก่อนมาแอบดูบุตรชายของตนและแขกผู้มาเยือนที่ห้องนอนของบอลด์วิน
แม้จะกังวลเหลือเกินกับการมาเยือนของแขกคนนี้
แต่พอแง้มประตูของห้องนอนดูก็พบกับภาพที่ทำให้ยิ้มออกมาได้เล็ก ๆ
เพราะบอลด์วินที่กอดฟินตันเอาไว้และตัวฟินตันที่ก็กอดบอลด์วินเอาไว้เช่นกันนั้นมันน่ารักมาก
ๆ เลย
“ที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังเมื่อปีก่อน ๆ”
กันเธอร์กระซิบบอกแอนนาถึงเหตุการณ์ที่บอลด์วินเคยไปหลับบนเตียงของฟินตันเมื่อหลายปีก่อนด้วยกันแล้วก็นอนกอดกันอบอุ่นแบบนี้ที่เขาเคยเล่าให้ฟังไป
“เจ้าคิดว่า...”
แอนนาหันไปสบตากันกันเธอร์ด้วยความรู้สึกมากมายในใจ
“อื้อ
ข้าว่าลูกของเราเจอคนที่เขาอยากจะอยู่เคียงข้างไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ”
น้ำตาของแอนนาไหลออกมาอาบแก้มด้วยความยินดี
เพราะตัวเธอไม่คิดว่าจะได้อยู่จนถึงวันที่เห็นภาพนี้และรู้เรื่องราวนี้
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นภาพนี้ก่อนข้าจะตาย
ถ้าได้อยู่จนถึงงานแต่งงานมันคงจะดีมากเลยเจ้าว่าหรือเปล่า ฮะ ๆ”
แอนนาปาดน้ำตาออกพร้อมกับยิ้มปนหัวเราะ
การที่ลูกชายของเธอเจอคนที่เขาชอบมันเป็นสิ่งที่เธอไม่คิดหวังว่าจะได้เห็นในเวลาที่เธอเหลืออยู่เลย
และไม่ว่าบอลด์วินจะชอบฟินตันที่เป็นคนเพศเดียวกันก็ตาม
เธอพร้อมสนับสนุนลูกชายของเธอเสมอไม่ว่ายังไงที่เขามีความสุข
แม้ภาพตรงหน้าจะดูมีความสุขเพียงใดในสายตาของกันเธอร์
แต่เขาก็อดที่จะเศร้ากับคำพูดของผู้เป็นภรรยาไม่ได้อยู่ดี
เวลาที่เหลืออยู่ของเธอมันน้อยนิดเสียจริง
และถ้าหากแลกได้แม้ชีวิตของตน
เขาก็อยากจะให้แอนนาได้อยู่ถึงวันนั้นกับเขามากจริง ๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าจะอยู่จนถึงตอนนั้นแทนเจ้าเอง
เจ้าก็คอยมองดูลูกของเราเติบโตไว้ให้ดีล่ะ
ข้าจะดูแลบอลด์วินอย่างดีเลย”
ฟินตันกลับไปตามที่บอกไว้ในยามสายของวันพร้อมกับบอลด์วิน
ซึ่งบอลด์วินเองก็ได้ขอเข้าเฝ้าพระราชาวูลแฟรมและเจ้าชายอัลดริชกับฟินตันด้วยเพื่อช่วยหาทางออกจากเรื่องนี้ที่สหายของเขาเจออยู่
และมันก็จบลงด้วยดีในที่สุดตามที่เขาหวัง
ฟินตันยอมศึกษาด้านการบริหารบ้าง
และผู้ยศสูงกว่าอีกสองคนยอมที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ฟินตันสนใจด้วยเช่นกัน
และครอบครัวที่ปกครองอาณาจักรก็กลับมาอบอุ่นดังเดิม
และเรื่องราวในคืนที่ฟินตันหนีออกจากพระราชวังไปนี้ก็ไม่ได้ทำให้ครอบครัวไอเซินฮาร์ทต้องได้รับโทษอะไร
เนื่องจากฟินตันขอไว้ให้อย่าทำอะไรครอบครัวของสหายของตนจากการตัดสินใจนี้ของเขา
ส่วนแอนนานั้น แม้เธอจะอยากอยู่จนถึงวันวันนั้นที่เธอหวังมากเพียงใด
แต่เวลาเพียงสองเดือนต่อมาเธอก็ไม่อาจจะทนรอไหวอีกต่อไป
และขอไปมองดูบุตรชายของเธอจากบนฟากฟ้าอันกว้างใหญ่แทน