หลังจากช่วงเวลาอันแสนจะอบอุ่นในอ้อมกอดที่น้ำพุหินอ่อนสวยหน้าศาลากลางของเมืองคาสเซล
ฟินตันและบอลด์วินก็เดินชมวิวของเมืองกลับไปยังโรงแรมของพวกเขาด้วยความรู้สึกและสถานะใหม่ที่ไม่คาดฝันมาก่อนว่าพวกเขาจะกลายมาเป็นคนรักกันได้
เมื่อตอนเดินมาจากโรงแรม
พวกเขาแม้จะเดินข้างกันมาแต่ก็เว้นระยะห่างเล็กน้อยจากอารมณ์มากมายที่รอการบอกเล่าออกไป
และเมื่อความรู้สึกภายในใจได้ถูกถ่ายทอดสู่อีกฝ่ายแล้ว
ขากลับเจ้าชายและอัศวินหนุ่มเลยเดินติดกันโดยเว้นช่องว่างเอาไว้ให้น้อยที่สุด
“ฟินตัน เจ้าหิวหรือยัง?”
และวันถัดมาก็เดินทางมาถึง
พวกเขาทั้งสี่ก็ต้องกลับไปสู่ถนนของการเดินทางอีกครั้ง
และนี่ก็เป็นเวลาเกือบบ่ายของวันพอดีในระหว่างเส้นทางไปสู่จุดหมายต่อไปที่เป็นเมืองที่มีชื่อว่าเกียสเซน
อันจะใช้เวลาในการเดินทางราวสองวันจากคาสเซล
และบอลด์วินอยากจะแน่ใจว่าคนที่เขาห่วงมากที่สุดจะอยากหยุดพักหรือยัง
“หืม? ยังไม่มากเท่าใด พวกเจ้าล่ะ?”
ฟินตันตอบพร้อมส่ายหน้าแล้วหันไปถามอีกสามคนด้านหลัง
วันนี้เขาอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ
คงเพราะเรื่องราวที่ทำให้ใจเต้นเมื่อคืนที่ผ่านมาแน่ ๆ
เลยทำให้เจ้าตัวอยากที่จะเดินนำขบวนคณะเดินทางด้วยตนเอง
“ข้ายัง”
“ข้าก็เช่นกัน”
“ถ้าแบบนั้นอีกซักพักหนึ่งก็ได้ เจ้านำทางต่อได้เลย”
เมื่อเฟลิกซ์และนอร่าตอบมาว่าพวกเขาทั้งสองยังไม่หิวในตอนนี้
บอลด์วินเลยบอกให้ฟินตันนำทางต่อไปได้เลย
และวางแผนเอาไว้ว่าอีกราวชั่วโมงนึงค่อยหยุดพักก็แล้วกัน
“อื้อ รับทราบ”
ฟินตันยิ้มตอบด้วยความอารมณ์ดี
แล้วจึงหันหน้ากลับไปมองทางข้างหน้าและเดินหน้าต่อ
“แต่ถ้าเจ้าอยากหยุดพักก็บอกข้าได้เลยนะ”
บอลด์วินบอกส่งท้ายแล้วจึงหันไปมองทิวทัศน์ข้างทางต่อพร้อมด้วยความรู้สึกเขินเล็ก
ๆ
“อื้อ ๆ เจ้าก็เช่นกัน”
ฟินตันไม่ลืมที่จะให้อีกฝ่ายเป็นคนบอกให้หยุดพักได้เช่นกัน
ไม่จำเป็นต้องรอให้เขาอยากหยุดพักหรอก
ถ้าหากอยากหยุดพักก็บอกออกมาได้เสมอ
ทุกคนในกลุ่มมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน
นอร่าขมวดคิ้วพร้อมกันไปมองหน้าเฟลิกซ์ที่เดินอยู่ข้าง ๆ
ซึ่งเฟลิกซ์ก็ทำหน้าในแบบที่ไม่ต่างกัน
ความคิดของพวกเขาทั้งสองตรงกันทันทีโดยไม่ต้องพูดออกมา
เมื่อวานยังเขินใส่กันอยู่เลย
มาวันนี้ทำไมอัศวินผมดำและเจ้าชายผมน้ำตาลถึงกลับมาเป็นปกติได้
และทั้งสองก็พยักหน้าให้กันพร้อมกันเพื่อเริ่มต้นการสืบสวนเรื่องราวนี้
“ฟินตัน มีเรื่องอะไรดี ๆ หรือ เหตุใดเจ้าถึงดูอารมณ์ดีจังวันนี้?”
ชั่วโมงเศษต่อมา ณ เนินเขาเล็ก ๆ ข้างทางที่เงียบสงบ
นอร่าอาศัยจังหวะที่พวกเขาทุกคนกำลังนั่งพักกินอาหารเที่ยงในยามบ่ายในการเข้าไปถามฟินตันที่นั่งพิงก้อนหินใต้ต้นไม้อยู่
“เรื่องดี ๆ อย่างนั้นหรือ อืม...”
เพียงเสี้ยววินาที
ฟินตันเหลือบตาไปมองบอลด์วินที่นั่งพูดคุยกับเฟลิกซ์อยู่ไม่ไกลแล้วกลับมามองนอร่าดังเดิม
“ก็ไม่นะ ปกติดีนี่”
หารู้ไม่ว่านอร่าสังเกตเห็นการกระทำนั้นอย่างเด่นชัด
“จริงหรือ? หรือว่าเจ้ากับบอลด์วิน...”
นอร่าเว้นส่วนสุดท้ายเอาไว้เพื่อสังเกตการณ์ตอบสนองของคนตรงหน้า
และใบหน้าที่แดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนก็เป็นคำตอบที่เพียงพอแล้วสำหรับเธอ
“ข้ากับบอลด์วินทำไม? ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหน่อย”
และอาการร้อนตัวไปก่อนนี้ก็ช่วยยืนยันเพิ่มเติมได้เป็นอย่างดีว่ามีอะไรเกิดขึ้นแน่นอนระหว่างสหายของนอร่าทั้งสองคนนี้
เรื่องนี้ต้องมีการขยายผลต่อเป็นอย่างมากเลย
ตลอดเส้นทางการเดินทางไปยังเกียสเซนก็ยังคงเต็มไปด้วยความสงบสุข
และมันสงบสุขเกินไปในแบบที่ยิ่งเวลาผ่านไปฟินตันก็ยิ่งกังวลมากยิ่งขึ้นเรื่อย
ๆ
ความกังวลนี้มีมากกว่าตอนที่พวกเขาออกจากฮันโนฟ์วามายังคาสเซลเสียอีก
โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่เงียบสงบนี้
ฟินตันนอนไม่หลับจนต้องออกมาเดินสูดอากาศนอกบริเวณที่พักแรมเพื่อสงบตัวเองลง
“เจ้าไปไหนมาหรือ?”
บอลด์วินลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหาวด้วยความงัวเงีย
เพราะฟินตันเดินกลับมาเขาเลยสัมผัสได้ถึงฝีเท้าแล้วตื่นขึ้นมา
ดีที่พอลืมตามาแล้วพบว่าเป็นคนรักของเขา
ไม่ใช่ศัตรูที่จะมาทำให้พวกเขามีบาดแผลเพิ่มเติม
“ข้ากังวลนิดหน่อยน่ะ ขอโทษที่ทำให้เจ้าตื่น”
ฟินตันนั่งลงที่ที่ว่างข้าง ๆ
บอลด์วินที่เขาจากมาราวครึ่งชั่วโมงก่อน
พื้นตรงนั้นที่ไม่มีความอบอุ่นจากตัวเขาเหลืออยู่แล้วเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าฟินตันออกไปสงบตัวเองลงพักใหญ่เลย
“เจ้าหมายถึง... เรื่องของเจ้ากับข้าหรือ?”
ฟินตันชะงัก ก่อนจะหันไปมองสหายของเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว
ไม่ใช่เสียหน่อย แล้วทำไมตอนที่ถามบอลด์วินจะต้องเอียงศีรษะหน่อย ๆ
แบบนั้นด้วย
“ข- ข้าหมายถึงที่ช่วงนี้มันสงบแปลก ๆ ต่างหาก
เรื่องของข้ากับเจ้า... ข้าไม่ได้กังวลอะไรเสียหน่อย”
ในครึ่งท้ายของประโยค
ฟินตันหลบสายตาจากบอลด์วินไปมองทางอื่นแล้วพูดเสียงเบาลง
เป็นเพราะความเขินที่ก่อตัวขึ้นภายใน
“มานี่มา”
บอลด์วินอ้าแขนออกพร้อมเชิญชวนให้ฟินตันเข้ามาใกล้
“ไม่ดีกว่าล่ะมั้ง ข้าดีขึ้นบ้างแล้ว”
ฟินตันปฏิเสธแล้วก็ล้มตัวลงนอนกับกระเป๋าเป้ของตนดังเดิม
แต่ทำไมใบหน้าของบอลด์วินถึงดูเหมือนหงอยลงแบบนั้นกัน
นี่ถ้าบอลด์วินมีหูแบบสุนัขแล้วล่ะก็ มันคงต้องกำลังลู่ลงแน่ ๆ เลย
“งั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ราตรี-”
“เจ้าอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ นี่…”
บอลด์วินลดมือลงด้วยความเสียดาย
แต่หากฟินตันไม่อยากจะกอดเขาก็ไม่บังคับหรอก
แล้วฟินตันพอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าแบบนั้นเลยลุกขึ้นนั่งแล้วเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้ให้ใบหน้าตรงหน้ากลับมายิ้มได้ดังเดิม
“เห้อ... เจ้านี่นะ อย่าทำตัวน่ารักเช่นนี้จะได้หรือเปล่า?”
บอลด์วินค่อย ๆ
กอดตอบก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหัวคนตรงหน้าด้วยสองสามที
“ค- ใครน่ารักกัน ข้าแค่ไม่ชอบที่เจ้าทำหน้าหงอยเช่นนั้นเฉย ๆ”
ฟินตันที่ใบหน้าฝังเข้าไปกับอกของบอลด์วินตอบมาด้วยเสียงอู้อี้
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะใบหน้าที่ฝังอยู่ตรงนั้นหรือเพราะความเขินของเจ้าตัวกัน
แต่ไม่ว่าอันไหนบอลด์วินก็ชอบทั้งหมดอยู่ดี
“นอนเสียเถอะเจ้าน่ะ
ไม่มีอะไรที่เจ้าต้องกังวลทั้งนั้นหากมีข้าอยู่ข้าง ๆ เช่นนี้”
“ข้าไม่ได้อยากจะรีบร้อนหรอกนะฟินตัน
แต่หากว่าทั้งหมดนี้มันสำเร็จแล้ว เจ้าจะกลับไปที่นอร์ดหรือเปล่า?”
วันต่อมามาถึงอย่างไร้ซึ่งความกังวล
ทั้งคืนที่ผ่านมาความกังวลของฟินตันมันได้หายไปจนเกือบหมดแล้วด้วยการแนบชิดกับคนรักของเขาที่เดินอยู่ข้างหลังเขากับนอร่าในตอนนี้
และแม้จะเป็นเพียงแค่การกอดกันเฉย ๆ เพียงแค่ไม่กี่นาที
แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะลบล้างความกังวลที่มีให้ลดออกไปบ้าง
นอร่านั้นเธอกำลังสงสัยอยู่ในอีกสิ่งหนึ่ง
ว่าหลังจากการทวงคืนอาณาจักรนี้จบลง
ฟินตันและบอลด์วินจะกลับไปยังนอร์ดอีกหรือไม่
หรือว่าจะอยู่ที่มอนทาราต่อไป ซึ่งหากเป็นอย่างหลังแล้ว
เธอคงจะเหงามากแน่ ๆ
“นอร์ดหรือ? แน่นอนสิ แต่ข้าคงจะไม่ได้ไปอยู่ถาวรแล้วล่ะ
ข้ามีอาณาจักรที่ต้องดูแลนี่นา”
ฟินตันยังคงไม่รู้สึกพร้อมเท่าใดนักกับตำแหน่งต่อไปที่กำลังรอเขาอยู่หลังการทวงคืนอาณาจักร
นั่นคือการเป็นกษัตริย์ของโคโลเนีย
แต่เรื่องนั้นเอาไว้หลังจากทุกอย่างมันสำเร็จแล้วค่อยคิดก็ยังไม่สาย
ตอนนี้เขาควรคิดดีกว่าว่าจะทำอย่างไรจึงจะเอาชนะกำลังพลทั้งหมดของอาณาจักรได้
และจะมีคนสนับสนุนพวกเขามากพอหรือไม่
“อย่างนั้นหรือ... ข้าคงจะเหงามากเลยสิเช่นนั้น”
นอร่าพูดด้วยเสียงเศร้าพร้อมกับใบหน้าที่หุบยิ้มลง
“เจ้าก็มาอยู่ที่มอนทาราเสียสินอร่า”
เฟลิกซ์พูดขึ้นจากทางด้านหลังของฟินตันและนอร่า
“ข้าไม่มีเงินมากมายพอจะมาอยู่ที่เมืองหลวงได้หรอกนะเฟลิกซ์
อีกทั้งนอร์ดก็เป็นบ้านของข้า”
แม้จะอยากเข้ามาแสวงหาโอกาสด้านการงานที่เมืองหลวงของอาณาจักร
แต่ค่าครองชีพที่สูงกว่าย่อมเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้นอร่าหยุดความคิดนั้น
“เจ้าก็พักอยู่ในวังเสียสิ ข้าว่าฟินตันใจดีมากเลยนะ
ถ้าเจ้าขอน่าจะได้ซักหนึ่งห้องก็ได้ ใช่หรือเปล่าฟินตัน?”
เฟลิกซ์พูดแล้วพยักพเยิดไปทางฟินตันเพื่อขอความเห็น
“แหม่... เฟลิกซ์ แต่ถ้าเจ้าต้องการแบบนั้นข้าก็ไม่ขัดอะไรนะ
พระราชวังมีขนาดตั้งใหญ่ ให้ข้าอยู่กับบอลด์วินสองคนมีหวังเหงาแย่เลย
อ๊ะ...”
ฟินตันตอบกลับเฟลิกซ์กลับไปพร้อมหรี่ตามองอีกฝ่าย
ทำอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าของพระราชวังเลยนะ ฟินตันคิดในใจ
ก่อนจะรู้ตัวอีกทีว่าเขาเผลอพูดอะไรออกไป
และนั่นทำให้เขาหยุดพูดแล้วหันหน้าหนีกลับไปมองเส้นทางข้างหน้าต่อ
“เห... เจ้าพูดว่าอะไรนะเมื่อครู่?”
นอร่าที่เห็นโอกาสก็เริ่มแหย่ฟินตันทันที สนุกแน่นอนครั้งนี้
“นั่นสินะ เจ้ากับบอลด์วินอยู่ด้วยกันอย่างนั้นหรือ?”
เฟลิกซ์เองก็ร่วมด้วยเช่นกัน
เขายิ้มให้กับคำพูดนั้นของคนเป็นเจ้าชายที่เผลอหลุดปากอะไรที่สำคัญออกมา
“บ- บอลด์วิน เจ้าพูดอะไรเสียหน่อยสิ”
เมื่อเป็นแบบนี้
ฟินตันก็เลยได้หันไปขอความช่วยเหลือจากอัศวินของเขาให้ช่วยพูดอะไรแทนหน่อยที่อาจจะช่วยให้เขารอดจากสถานการณ์นี้ไปได้
“พวกเจ้าอย่าเข้าใจผิดไป ข้าเป็นอัศวิน
ฉะนั้นข้าก็ต้องคอยดูแลฟินตันอยู่ในวังตลอด
เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ?”
แม้จะเขิน ๆ
บ้างที่ฟินตันพูดออกมาแบบนั้นว่าเขาจะได้อยู่กับฟินตันในพระราชวัง
แต่บอลด์วินก็พยายามตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งปกติที่สุดเพื่อให้เฟลิกซ์กับนอร่าเลิกแหย่ฟินตัน
“จริงหรือเปล่าเนี่ย หืม?”
เฟลิกซ์ยื่นหน้าเข้าไปหาบอลด์วินเพื่อถามแล้วก็โดนอีกฝ่ายผลักออกด้วยความรำคาญ
“พวกเจ้าชอบแหย่ฟินตันกันเสียจริง
อย่าไปทำให้เขาต้องปวดหัวเลยนะข้าขอเถอะ”
บอลด์วินเดินหนีออกจากเฟลิกซ์มาหาฟินตันแล้วพูดบอกสองคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นมากกว่าปกติ
“อะไรกันบอลด์วิน
พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้าเป็นห่วงฟินตันถูกหรือไม่?”
นอร่าพูดพร้อมยิ้มกว้างด้วยความสุข
ส่วนบอลด์วินนั้นสะดุดกึกถอยหลังไปครึ่งก้าวเพราะมันก็เป็นความจริง
“พวกเจ้า หยุดเลย!”
ฟินตันสร้างลูกไฟขึ้นในมือเพื่อขู่ก่อนจะเริ่มวิ่งไล่เฟลิกซ์และนอร่า
ใบหน้าที่แดงไปจนถึงใบหูนั้นน่ารักมากจริง ๆ
และบอลด์วินก็คิดถึงความร่าเริงนี้ของฟินตันมาก ๆ ด้วย
มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักเหมือนเมื่อก่อนที่ฟินตันจะทำตัวสนุกสนานร่าเริงเช่นนี้
แม้ครั้งนี้จะมาจากการที่ตัวฟินตันเขินมากจนทนไม่ไหวก็ตามที
“ฮะ ๆๆ เย้ย! อย่านะ ข้าขอโทษ อ๊ากกกก!”
“ฟินตัน ข้าก็ขอโทษ อย่านะ กรี๊ดดด!”
บอลด์วินมองดูภาพตรงหน้าแล้วอมยิ้ม
ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปช่วยเฟลิกซ์กับนอร่าจากการโดนลูกไฟภายในมือของฟินตันพุ่งใส่
แต่แล้วในขณะที่เสียงหัวเราะปนเสียงร้องขณะวิ่งหนีดังไปทั่วบริเวณ
อันสร้างความสดใสให้กับวันอย่างมากนี้ดังไปเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นกระแสลมก็หยุดชะงักลงเสียดื้อ ๆ
บรรยากาศรอบข้างเหมือนกับหยุดนิ่งไปหมด
และนอร่าก็สังเกตได้ทันทีถึงความผิดปกตินี้
“พวกเจ้า หยุดก่อน”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนอร่า ฮึ่ย!”
หวึ่ง!!
ในตอนที่ฟินตันจับแขนของนอร่าเอาไว้ได้
เสียงประหลาดก็ดังก้องขึ้นรอบบริเวณที่พวกเราทั้งสี่ยืนอยู่
พร้อมด้วยวงกลมสีม่วงบนพื้นที่เรืองแสงปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด
ด้วยความแตกตื่น เฟลิกซ์พยายามวิ่งออกไปจากวงกลมประหลาดนี้
แต่กลับมีกำแพงล่องหนกั้นเขาเอาไว้ไม่ให้ออกจากบริเวณสีม่วงนี้ได้
“กับดักเวท”
นอร่ากล่าวพร้อมก้มลงมองดูอักษรนอร์สที่กำลังเคลื่อนที่หมุนวนไปรอบ ๆ
วงเวทบนพื้น
รูปลักษณ์ที่แปลกตาของมันทำให้มันดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
“ฟินตัน เจ้าอ่านออกหรือเปล่า?”
บอลด์วินเดินเข้ามาประกบที่ด้านข้างของฟินตันพร้อมมือข้างหนึ่งที่เตรียมชักดาบออกมาปกป้องคนเป็นเจ้าชายทุกเมื่อถ้าหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
“ครู่เดียว…”
ฟินตันย่อตัวลงกับพื้นก่อนจะลูบนิ้วมือไปตามเหล่าอักษรที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงและทแยงแปลกตาแต่คุ้นเคยในความทรงจำ
เขาเริ่มอ่านคำเหล่านั้นทีละคำ
“วงเวทนี้สร้างโดยคาถาที่เป็นผลจากเวทสายมืด
ซึ่งมีผู้เป็นแกนหลักที่สนับสนุนพลังเป็น- คีย์รัน…”
“หา!!”
นอร่าส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ
ส่วนฟินตันนั้นปัดมือที่เปื้อนดินบนพื้นออกแล้วลุกขึ้นยืนดังเดิมด้วยความรู้สึกกลัว
“ผู้สร้างไม่ใช่คีย์รันโดยตรงหรอก
แต่เป็นผู้ที่ได้รับแก่นพลังมาจากคีย์รันอีกที
บางทีพวกเราอาจจะพอจัดการได้”
ฟินตันอธิบายเพิ่มเติมก่อนที่สหายของเขาแต่ละคนจะแตกตื่นกันไปมากกว่านี้
แต่ถึงคนที่สร้างกับดักเวทนี้ไม่ใช่คีย์รันก็จริง
แต่การต้องเผชิญหน้ากับลูกน้องของเขาก็อันตรายไม่น้อยเลย
“ไม่เห็นจะต้องกังวลเลยพวกเจ้า พวกเราก็เพียงแค่…”
ฟึ่บ-
เสียงเทเลพอร์ตดังขึ้น แต่ตัวของเฟลิกซ์ยังคงอยู่ที่เดิม
“เอ๊ะ… เป็นไปไม่ได้!”
เจ้าของพลังเทเลพอร์ตร้องออกมาด้วยความตกใจที่การเทเลพอร์ตออกไปนอกกับดักเวทไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น
พร้อมกับพยายามเทเลพอร์ตอีกหลายครั้งต่อเนื่องกันจนตัวเองเหนื่อยหอบ
“เฟลิกซ์ พอแล้ว”
บอลด์วินห้ามสหายของตนในขณะที่ฟินตันพยายามอ่านอักษรมากมายที่กำลังหมุนวนรอบพวกเขาเพิ่มเติม
แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพียงแค่บทสวดทั่วไปและคาถาต่าง ๆ
ในศาสนาที่พวกเขาศรัทธาเท่านั้น
ไม่มีอะไรมากไปกว่าข้อมูลที่ได้จากตอนแรก
“แล้วเราจะทำอย่างไรดีคราวนี้?”
นอร่าพูดด้วยน้ำเสียงกังวลขณะมองไปรอบ ๆ
ด้วยความไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้
“พวกเจ้าหยุดใช้แรงก่อน ศัตรูอาจโผล่มาได้ทุกเมื่อ”
“พูดถึงพวกข้าอยู่รึ?”
สิ้นคำพูดของฟินตัน
ชายแปลกหน้าจำนวนสามคนก็เดินออกมาจากป่ารกด้านข้างถนน
ชุดคลุมสีดำที่มีแสงสีม่วงประหลาดแซมตามเครื่องประดับทำให้คนเหล่านั้นดูลึกลับและน่ากลัวและประหลาดไปพร้อมกัน
“ฟินตัน อยู่ข้างหลังข้าเอาไว้”
บอลด์วินชักดาบออกมาถือเอาไว้ในมือพร้อมสั่งให้ฟินตันอยู่ข้างหลังเขาไว้เพื่อความปลอดภัย
“ตราที่อก พวกของคีย์รัน”
ฟินตันเอ่ยออกมาเสียงเบา มือของเขาเอื้อมลงไปจับที่ดาบเอาไว้
แต่ขณะเดียวกันก็ลังเลว่าหรือจะใช้พลังจิตที่มีดี
“บอลด์วิน อย่าคิดจะตั้งรับคนเดียวแบบนี้สิ เจ้ายังมีข้าอยู่อีกคน”
เฟลิกซ์เดินขึ้นมายืนข้างกับสหายสมัยเด็กของเขาด้วยความมั่นใจ
ฝ่ามือของเขาถือแท่งไม้ปลายแหลมขนาดเล็กที่เอาไว้ใช้เสียบปิ้งเนื้อสัตว์เอาไว้มากมาย
ซึ่งได้ซื้อเอาไว้ตั้งแต่ตอนผ่านร้านอุปกรณ์ทำอาหารในเมืองคาสเซล
เฟลิกซ์ค้นพบแล้วว่าอาวุธที่ตนใช้ได้ถนัดและถูกโชลกมากที่สุดไม่ใช่ดาบเหมือนดั่งสหายของเขาที่เป็นอัศวินและเจ้าชาย
รวมถึงไม่ใช่มีดสั้นแบบนอร่า
แต่เป็นการเทเลพอร์ตวัตถุมีคมให้กลายไปเป็นอาวุธต่างหาก
“เดี๋ยวข้าจะช่วยดูฟินตันให้อีกแรง
พวกเจ้าสองคนอยู่ด้านหน้าไปได้เลย”
นอร่าเดินมาสมทบกับฟินตันที่ด้านหลังพร้อมกับพยักหน้าให้สหายของเธอที่เป็นเจ้าชายว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย
“พวกเจ้า… ข้าเองก็จะพยายามให้เต็มที่”
เห็นสหายทุกคนของตนพร้อมสำหรับการต่อสู้แล้วมันก็ช่วยปลุกกำลังใจให้แก่ฟินตันได้เป็นอย่างดี
และเขาก็พร้อมมากแล้วเช่นกันที่จะได้ลองสู้เคียงบ่าเคียงไหล่พวกเขาทั้งสาม
“แหม ๆ ตั้งท่าเสียดิบดี
คงไม่ใช่ว่าพอถึงคราต้องสู้แล้วจะเหลวเป็นน้ำหรอกนะ”
“แล้วอะไรละนั่น มันแต่แอบอยู่ข้างหลังคนอื่นแบบนี้น่ะหรือเจ้าชาย
ขี้ขลาดเสียจริง”
รอยยิ้มที่แสยะและเสียงหัวเราะดังมาจากกลุ่มจอมเวททั้งสาม
และในขณะที่พวกเขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ก้อนเนื้อภายในอกของแต่ละคนในคณะเดินทางก็ยิ่งสูบฉีดเลือดเร็วและรัวขึ้นเรื่อย
ๆ ด้วย
“อย่าพูดให้มันมากความ
แน่จริงก็ลองสู้กับพวกข้าเสียจะได้รู้ดำรู้แดง”
บอลด์วินตะโกนออกไปใส่หมู่จอมเวทนอกกับดักเวทที่พวกเขาถูกขังไว้
และนั่นก็ไปปลุกความอยากเล่นสนุกของสามจอมเวทนั้นเขาได้พอดี
“ถ้าแบบนั้นก็เข้ามา
แสดงฝีมือให้พวกขาดูเสียหน่อยว่าพวกเจ้ามีน้ำยากันแค่ไหนเชียว?”
หวึ่ง!
วงเวทขยายขนาดออกใหญ่ขึ้นเพื่อโอบรับผู้ที่สร้างมันเข้ามาภายใน
และกันไม่ให้เป้าหมายหนีออกไปนอกบริเวณต่อสู้ได้
บอลด์วินกระชับดาบในมือให้แน่นขึ้นและเฟลิกซ์เองก็พร้อมแล้วเช่นกันที่จะเทเลพอร์ตไม้แหลมในมือไปสู่ศัตรู
แต่แล้วในตอนนั้นเองที่กลุ่มหมอกหนาปรากฏขึ้นฟุ้งไปทั่วบริเวณ
แล้วทันทีที่หมอกนั้นสัมผัสโดนตัวพวกเขา
พลังที่มีภายในตัวก็ราวกับถูกดูดออกไปให้อ่อนแอลง
จนพวกเขาต้องถอยหลังออกจากหมอกนั้น
แต่ก็ไปได้ไม่ไกลเนื่องจากกำแพงล่องหนที่กั้นพวกเขาเอาไว้อยู่
“จะหนีไปไหนล่ะนั่น ยังไม่ทันเริ่มก็จะวิ่งหางจุกตูดไปแล้วหรือ?”
เสียงพูดดังออกมาจากภายในหมอก ก่อนที่เงาที่เลือกรางจะค่อย ๆ
เด่นชัดขึ้นเมื่อสามจอมเวทนั้นเดินออกมาจากม่านหมอกและเผชิญหน้ากับบอลด์วินและเฟลิกซ์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด
ฟึ่บ!
เสียงเทเลพอร์ตดังขึ้น
แต่ไม้ปลายแหลมในมือของเฟลิกซ์กลับไม่มีการย้ายที่ไปในที่ที่เขาต้องการ
ตาของเฟลิกซ์เบิกโพลงขึ้นในจังหวะเดียวกันกับที่ฝ่าเท้ากระแทกเข้ากลางช่องท้องของเขา
ผลั่ก
“อึก- แค่ก ๆ”
“เฟลิกซ์! เจ้า…”
เฟลิกซ์ล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดและจุกจากการถูกเตะเข้าอย่างแรง
ฟินตันเลยตัดสินใจขึ้นมารับในแนวหน้าเคียงข้างบอลด์วินแทน
เช้ง! ชิ้ง! เคร้ง!
เสียงดาบดังขึ้นมากมายในตอนที่บอลด์วินโจมตีกลับคืนไปยังหนึ่งในจอมเวทตรงหน้า
แต่คนเพียงคนเดียวก็ไม่อาจที่จะต่อกรจอมเวทที่มีทักษะการต่อสู้ที่ดีถึงสามคนได้
ฟินตันถึงเข้าไปสนับสนุนในการต่อสู้แทนที่เฟลิกซ์
แผ่นหลังของพวกเขาทั้งสองเคลื่อนมาชนกันอยู่ในการหยุดการโจมตีเพื่อประเมินสถานการณ์
“ฟินตัน ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าให้เจ้าอยู่ข้างหลังข้าเอาไว้น่่ะ”
บอลด์วินที่หอบเหนื่อยพูดพร้อมกับใช้สายตาคมมองดูการเคลื่อนไหวของจอมเวทสองคนตรงหน้าไปด้วย
“ข้าก็อยู่ข้างหลังเจ้ามิใช่หรืออย่างไรตอนนี้?”
ฟินตันตอบกลับคนที่แผ่นหลังแนบติดกัแผ่นหลังของเขาอยู่ในตอนนี้พร้อมกับจับดาบให้มั่นคงแล้วชี้ไปที่จอมเวทหนึ่งคนตรงหน้าเขา
ฟินตันไม่อาจยอมอยู่เฉย ๆ ให้คนรอบตัวต้องคอยมาปกป้องเขาได้แล้ว
เขาเองอยากร่วมสู้ด้วย
“เจ้านี่นะ… ถ้าอย่างนั้นก็ไปสนุกให้เต็มที่เลย”
เสียงดาบกระทบกันดังอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บมากมาย
มีเพียงรอยบาดบ้างเล็กน้อยตามแขนที่พอให้เลือดซิบ
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจอมเวททั้งสามต่างมีทักษะการใช้ดาบที่ดีเลิศ
“แฮ่ก พวกเจ้าฝีมือไม่เลวนี่
สมแล้วที่เป็นถึงเจ้าชายและลูกของอัศวิน”
หนึ่งในจอมเวทกล่าวพร้อมกับปาดเหงื่อที่ใบหน้าออก
“แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เหลือใครให้คอยต่อสู้เพื่อแล้วมิใช่หรือยังไงเล่า
ฮ่า ๆๆ”
ฟินตันชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่จอมเวทอีกคนพูด
ใจของเขามันเหมือนกำลังถูกเล่นงานอยู่อย่างไงอย่างงั้น
“นั่นน่ะสินะ ก็ตายกันไปหมดแล้วมิใช่หรือยังไงในคืนแห่งอิสรภาพนั้น
ฮะ ๆ จำข้าได้หรือเปล่าเล่า ฟินตัน?”
จอมเวทอีกคนพูดพร้อมกับถอดผ้าคลุมศีรษะออก
และใบหน้านั้นทำให้ดวงตาคู่สีน้ำตาลของฟินตันเบิกกว้างออก
ดาบในมือถูกลดระดับลงไปพร้อมกับมือด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน
คนคนนี้ทำไมเล่าเขาจะจำไม่ได้
สิ่งที่จอมเวทคนนี้กระทำเมื่อหกปีที่แล้วกับพี่สาวของเขามันยังติดอยู่ในความทรงจำตลอดเวลา
และการได้เห็นใบหน้านี้อีกครั้งก็ทำให้ฟินตันรู้สึกคลื่นไส้เป็นอย่างมากจนอยากจะอาเจียนออกมา
“เจ้า!! อึก- คนอย่างเจ้ามัน!”
ฟินตันโกรธแค้นในใจอย่างมากจนบอลด์วินผิดสังเกตและต้องเหลือบตามามองดู
เพราะจุดอ่อนจุดหนึ่งที่บอลด์วินรับรู้จากการฝึกฝนการต่อสู้กับฟินตันมาหลายปีก็คือเรื่องของการให้อารมณ์เข้ามาครอบงำสมาธิจนอาจพลาดท่าได้
“อย่างข้ามันจะทำไมกันหรือ หืม? แต่ต้องขอบใจบริจิดมากจริง ๆ นะ
อีนังนั่นข้างในมันนุ่มดีเสียยิ่งกว่าเนื้อวัวชั้นเยี่ยมเสียอีก หึ
ๆ”
พรึ่บ!
“เจ้ามันต่ำเกินกว่าจะเรียกว่ามนุษย์แล้วจริง ๆ สินะ”
เปลวไฟร้อนลุกขึ้นที่ดาบอันงดงามภายในมือของฟินตัน
ความร้อนของมันเริ่มทำให้ดาบภายในมือเปล่งแสงสีส้มสว่างออกมาเล็กน้อย
จนทำให้บอลด์วินต้องขยับถอยออกไปหน่อย ๆ จากความร้อนของมัน
“ฟินตัน ใจเย็นลงก่อน เจ้าอย่าให้อารมณ์มาครอบงำสติของเจ้า”
ฝ่ามือข้างหนึ่งของบอลด์วินเอื้อมมากุมมือของฟินตันเอาไว้
พร้อมกับพยายามบอกให้คนเป็นเข้าชายสงบสติอารมณ์ลง
“ข้าไม่ขอทนอีกต่อไปแล้วล่ะนะ หากพูดเช่นนี้กับคนในครอบครัวของข้า
แล้วยังทำกิริยาต่ำช้าเช่นนั้น อภัยให้ไม่ได้!”
ตู้ม!
ลูกไฟร้อนก่อตัวขึ้นบนอากาศเหนือหัวของฟินตัน
กระแสลมแรงเคลื่อนผ่านทุกคนไปจากการปะทุขึ้นของลูกไปนั้น
ไฟของมันแผดร้อนมากราวกับพื้นที่บริเวณที่อยู่กลางเปลวเพลิงภายในเตาไฟ
เฟลิกซ์พยุงตัวเองลุกขึ้นก่อนจะรีบดึงบอลด์วินออกมาจากฟินตันเพื่อไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจากลูกไฟขนาดใหญ่บนศีรษะของพวกเขา
ฟินตันหยุดเอาไว้ไม่ได้แล้วในตอนนี้
“ปล่อยให้เจ้าชายของเจ้าได้จัดการเสียเถอะ พลังเช่นนี้มัน…”
“ต- แต่…”
บอลด์วินทำท่าจะไม่ยอมถอยออกมา
เขาเป็นห่วงคนที่กำลังใช้พลังจิตคนนั้นอยู่จริง ๆ
“ไม่มีแต่ บอลด์วิน”
ฟินตันค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าช้า ๆ อย่างมั่นคงและเยือกเย็น
ตรงกันข้ามกับพลังของเจ้าตัวที่กำลังตื่นขึ้นอย่างเต็มที่
ม่านหมอกดูดกลืนพลังที่ถูกสร้างจากเวทมนตร์สลายหายไปหมดสิ้นเมื่อมันเข้ามาต้องกับเปลวเพลิงร้อน
สร้างความประหลาดใจให้กับจอมเวททั้งสามเป็นอย่างมาก
“ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้อีกอย่างนะฟินตัน
อีนังนั่นน่ะร้องครางเสียอย่างมันหมูเลยล่ะในคืนนั้น
จนข้าต้องฆ่ามันซะให้ปากมันหยุดส่งเสียงส้นตีนนั่น”
“อึก- ตายซะเถอะ!”
ซูม!!
น้ำตาไหลหยดออกจากดวงตาของฟินตันหยดแล้วหยดเล่าเมื่อนึกถึงภาพความทรงจำอันโหดร้ายของคืนคืนนั้น
แต่มันทั้งหมดก็ระเหยไปทันทีเพราะความร้อนจากลูกไฟด้านบนที่พุ่งออกไปเป็นเส้นสู่ศัตรูตรงหน้า
กระแสลมร้อนรุนแรงสะบัดพัดไปทั่วบริเวณ
เหล่าจอมเวททั้งสามต่างรีบพากันตั้งรับด้วยโล่เวทมนตร์ทันที
แต่ก็เช่นเดียวกับการตั้งรับครั้ง ณ ที่หน้าธนาคารที่เมืองเทรว่า
เปลวเพลิงที่แม้อาจจะกั้นเอาไว้ได้ด้วยวัตถุใด ๆ
ก็ย่อสร้างแรงเสียดสีกับการป้องกันนั้นจนเกิดความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วอยู่ดี
และทำให้แขนข้างหนึ่งของหนึ่งในจอมเวทที่ไม่ระวังให้ดีถูกเผาไหม้ไปในทันที
“อ๊ากกกกก”
หวึ่ง… หวึ่ง… หวึ่ง… วูม…
วงเวทบนพื้นเริ่มมีการกะพริบไม่เป็นจังหวะ
ในตอนนั้นเองที่นอร่าสังเกตได้ว่ามีฝุ่นและกระแสลมจากภายนอกพัดเข้ามาบ้างเป็นระยะ
กำแพงล่องหนของกับดักเวทนี้ใกล้จะแตกออกแล้ว
คงเป็นเพราะผู้ที่สร้างมันได้รับบาดเจ็บและมีพลังอ่อนลงจนไม่อาจคุมพลังได้ดีดังเดิม
“เฟลิกซ์ เจ้าเทเลพอร์ตไหวหรือไม่?“
นอร่าถามคนที่ยืนห้ามไม่ให้บอลด์วินเข้าไปหาฟินตันอยู่
“ข้าคิดว่าไหว ทำไมหรือ?”
“เทเลพอร์ตพวกเราสามคนออกไปข้างนอกกับดักเวทเดี๋ยวนี้เลย
เสถียรภาพของมันกำลังเสียหาย หากไม่รีบออกไป
เพลิงของฟินตันจะไม่ได้ฆ่าแค่พวกมัน แต่จะรวมถึงพวกเราด้วย”
เฟลิกซ์มองใบหน้าของนอร่าสลับกับฟินตันที่กำลังปล่อยเพลิงสีส้มฟุ่งเข้าไปหาจอมเวทที่ชั่วร้าย
แล้วจึงพยักหน้าตอบตกลง
“ไม่ได้ ข้าปล่อยฟินตันเอาไว้เช่นนี้ไม่ได้”
บอลด์วินโวยวายและไม่ยอม แต่ในตอนนี้ทางเลือกมันไม่มีแล้ว
“ฟังข้านะบอลด์วิน พลังของฟินตันในตอนนี้ถูกปลุกขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว
หากพวกเราไม่ถอยออกไป พลังที่ราวกับเทพเจ้านั้นมันไม่ปรานีใครหรอกนะ
รวมถึงพวกเราด้วย”
ใบหน้าของบอลด์วินแสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน
และแม้นอร่าอยากจะแหย่อีกฝ่ายมากเพียงใด
แต่ในเวลาตอนนี้คงจะไม่เหมาะนัก
“บอลด์วิน เชื่อนางเถอะ ฟินตันจะไม่เป็นอะไร”
เฟลิกซ์กล่าวเสริมในขณะที่ฟินตันเดินตรงเข้าไปหากลุ่มจอมเวททั้งสามจนหยุดยืนต่อหน้า
ฟินตันปล่อยมือที่เป็นการสั่งให้ลูกไฟพุ่งออกไปเป็นลำเพลิงร้อนไปจับดาบไว้แน่น
แต่เปลวเพลิงยังคงพุ่งไปตามเป้าหมายที่เจ้าของพลังสั่งงานเอาไว้อยู่
ในขณะเดียวกันดาบภายในมือของฟินตันก็ร้อนจนเปล่งแแสงสว่างออกมามากกว่าเก่า
ความสามารถในการควบคุมพลังของตนได้เช่นนี้มันมากเกินกว่า level 4
ที่เจ้าตัวบอกแน่นอน แบบนี้มันมากกว่านั้นไปมากแล้ว
“อึก ข้าจะต้านเอาไว้ไม่อยู่แล้ว”
หนึ่งในจอมเวทที่เสียแขนไปข้างหนึ่งกล่าว
เลือดยังเจ้าตัวยังคงไหลออกมาเรื่อย ๆ
แม้จะพยายามร่ายเวทรักษาแล้วก็ตาม
“ข้าจะไม่ยอมแพ้ให้กับคนไร้น้ำยาพรรนี้หรอก ทนไว้
พลังจิตรุนแรงเช่นนี้ไม่นานเดี๋ยวมันก็หมดแรงไปเองนั่นแหละ… เอ๊ะ!”
“ดาบนี้ข้าขอมอบให้ท่านพี่บริจิด ย๊ากกกกก!!”
เพล้ง!
โล่เวทมนตร์แตกแหลกสลายด้วยดาบที่ถูกเสริมการทำลายล้างด้วยไฟร้อนที่พร้อมแผดเผาทุกสิ่ง
เสียงของมันดังไปทั่วราวกับแก้วที่ตกแตกละเอียกในค่ำคืนวันนั้นเมื่อหกปีที่แล้ว
ส่วนคมของดาบทะลวงลงสู่อกของหนึ่งในจอมเวทต่อไป
ร่างของเขาที่สัมผัสกับดาบนั้นไหม้เป็นเถ่าถ่านภายในเสี้ยววินาที
จอมเวทที่เหลืออีกสองคนวิ่งหนีกันไปคนละทาง
แต่คนที่เสียแขนไปแล้วข้างหนึ่งก็ล้มลง
เปิดช่องว่างให้ฟินตันเข้าไปโจมตีด้วยดาบเล่มเดิม
และปลิดชีพเสียงร้องขอชีวิตตรงหน้าให้เงียบลง
“เฟลิกซ์ ตอนนี้!”
ฟึ่บ!
เสียงเทเลพอร์ตดังขึ้นพร้อมกับการหายไปของเฟลิกซ์ นอร่า และบอลด์วิน
พวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกทีในเสี้ยววินาทีต่อมา ณ
เนินเขาที่ห่างออกไปไม่ไกลมาก จากมุมมองตรงนี้
เปลวเพลิงของฟินตันมันพุ่งขึ้นสูงโอบล้อมภายในกับดักเวทนั้นไปทั่วเกือบหมดแล้ว
หากพวกเขาทั้งสามยังอยู่ภายในนั้นต่อ
มีหวังพวกเขาเองก็คงจะไม่รอดไปด้วยอีกสามราย
นอร่ามองภายตรงหน้าด้วยความตกตะลึกในระดับพลังของฟินตัน
แบบนี้นี่มัน…
“Level 5 เป็นเช่นนี้เองหรือ?”
เฟลิกซ์กล่าวเสียงสั่น
“ทั้งสวยงาม ทั้งน่าเกรงขาม
ราวกับพระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาสู่ผืนธรณี”
นอร่าประสานมือเข้าหากันที่อกพร้อมมองภาพตรงหน้าต่อไป
มันช่างน่ากลัวจริง ๆ กับการได้เห็นพลังในระดับนี้กับตาของตนเอง
“อึก ฮึก- ข้าไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก”
จอมเวทคนสุดท้ายยังคงไม่ยอมแพ้และใช้ดาบสู้กับฟินตันสลับกับเวทมนตร์ของตนอยู่
และไม่นานจากนั้นกับดักเวทที่โอบล้อมพวกเขาทั้งสองที่เหลืออยู่ภายในเอาไว้ก็พังลง
ส่งผลให้มีพื้นที่อีกมากในการต่อสู้และหลบหนี
“เจ้าจะหนีไปไหนกัน หืม?”
น้ำเสียงของฟินตันที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นภายในใจกล่าวออกมาพร้อมกับเดินไล่ต้อนจอมเวทตรงหน้าที่ทำเรื่องไม่น่าให้อภัยเอาไว้ไปเรื่อย
ๆ จนในที่สุดอีกฝ่ายก็ล้มลงกับพื้น
“เหอะ แบบนี้นี่เองสินะจุดจบของข้า แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่มี
ไม่มีวัน ไม่มีวันที่จะได้หวนคืนสู่อำนาจอย่างแน่นอน”
จอมเวทคนเดิมยังคงสร้างเกราะกำบังจากเวทมนตร์เพื่อป้องกันเพลิงของฟินตันไว้
แม้แขนทั้งสองข้างจะไหม้จนเกิดแผลพุพองไปหมดแล้วก็ตาม
“และดาบนี้ ข้าขอมอบแด่ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่อัลดริช ไค ไอริช
และคุณกันเธอร์ ไปลงนรกซะ”
ฉึก! ซูม!! ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก!
แม้ร่างตรงหน้าจะแหลกจนไม่อาจจดจำได้อีกต่อไปแล้ว
ฟินตันก็ยังคงแทงดาบลงใส่ศีรษะของจอมเวทคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่เหนื่อยล้า
น้ำตาของเขาค่อย ๆ ไหลออกมามากขึ้นแล้วก็มากขึ้น
แต่ตอนนี้มันไม่ได้ระเหยหายไปอีกแล้วเพราะเปลวไฟที่สร้างไว้มันค่อย ๆ
สลายหายไปช้า ๆ
จนในที่สุดทัศนวิสัยของเจ้าชายหนุ่มก็พร่ามัวไปหมดจากน้ำตามากมายที่บดบังการมองเห็นเอาไว้
เสียงดาบที่แทงลงสู่ร่างที่ไร้วิญญาณหยุดลง
แทนที่ด้วยเสียงร้องไห้และเสียงสะอื้นที่ดังไปทั่วบริเวณทุ่งหญ้ากว้างแทน
ฟินตันทรุดลงกับพื้น ก่อนจะมีเสียงของฝีเท้าสามคู่เดินเข้ามาใกล้
และมีหนึ่งในนั้นย่อตัวลงโอบกอดผู้ที่กำลังแหลกสลายเอาไว้แน่น
“เจ้าเก่งมากเลย ไม่เป็นอะไรแล้วนะ มันตายแล้วล่ะ”
บอลด์วินกอดคนรักของจนเอาไว้แน่นพร้อมลูบปลอบอย่างเบามือ
ดาบเล่มงามภายในมือของฟินตันหล่นลงพื้นแล้วมือทั้งสองข้างของเจ้าชายหนุ่มก็ยกขึ้นมากอดอัศวินของตนที่เป็นคนรักเอาไว้เช่นกัน
“ข้ายังไม่ได้ขอโทษไคกับไอริชเลย ฮึก-
แถมยังคนมากมายที่ต้องตายเพราะข้าอีก ฮือ…”
ฟินตันยังคงรู้สึกผิดในเรื่องนี้อยู่แทบทุกวันยามนึกถึงครอบครัวที่ล่วงลับของเขา
การที่เขาทะเลาะกับน้อง ๆ
ทั้งสองอย่างไคและไอริชแล้วไม่มีโอกาสที่จะได้ขอโทษอีกแล้ว
การที่จะไม่ได้ยินเสียงพ่อกับแม่บ่น การไม่มีอัลดริชมากวน
การไม่ได้เห็นบริจิดยิ้ม
และการที่ไม่มีกันเธอร์คอยตักเตือนให้ฟินตันพูดให้เหมาะกับยศถา
มันช่างเศร้าจับใจจริง ๆ
“แต่การที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ก็เพียงพอที่จะให้พวกเขายิ้มได้แล้วล่ะ
เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดไป”
“ต- แต่…”
“อีกอย่าง การที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้
มันราวกับฟ้าประทานของขวัญมาให้ข้าเลย เจ้ารู้ตัวไหม?”
บอลด์วินยิ้มแล้วกระชับกอดให้แน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
เขาไม่อยากให้ฟินตันคิดเช่นนั้นเท่าไรนักว่าตนเองทำให้คนต้องตายไปมากมาย
แต่อยากให้ยิ้มและขอบคุณพวกเขาเหล่านั้นมากกว่า
เพราะการที่บอลด์วินได้ใช้เวลากับฟินตันในตอนนี้นั้น
มันยิ่งกว่าคำว่าความฝันได้กลายเป็นจริงเสียอีก
นอร่ากับเฟลิกซ์ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกสงสารปนยกย่องและอยากที่จะเข้าไปแหย่
แต่คนที่มีพลังจิตสูงถึงระดับนี้อย่างฟินตัน
ในทวีปยูโรปาคงจะมีไม่ถึงสิบคนแน่ ๆ และหนึ่งในนั้นคือสหายพวกเขา
คือเจ้าชายของพวกเขา และวันข้างหน้าอาจจะเป็นกษัตริย์ของพวกเขา
พวกเขาช่างโชคดีเสียจริงที่ได้ร่วมเห็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์นี้
“เจ้าไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมฟินตัน?”
นอร่าถามด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ
จากการได้เห็นพลังขั้นสูงสุดในระดับการวัดพลังจิต แม้อาจจะยังไม่ใช่
level 5
ที่สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างที่เธอเคยอ่านเจอในหนังสือรวบรวมประเภทพลังจิต
แต่ความสามารถในระดับนี้ของฟินตันคือ level 5 ไม่ผิดแน่
“อืม… นอกจากแผลตรงแขนก็ไม่น่ามีแล้วล่ะ”
ฟินตันผละออกจากอ้อมกอดของบอลด์วินแล้วมองสำรวจแขนของตัวเอง
ซึ่งก็มีแผลเล็กน้อยที่แขนบ้างจากคมดาบของฝ่ายตรงข้ามที่ต่อจากนี้ไปก็อาจจะเหลือรอยแผลเป็นเล็ก
ๆ ไว้คอยย้ำเตือนถึงศึกครั้งนี้ของพวกเขา
“แน่ใจแล้วนะ”
มือของบอลด์วินลูบและพลิกไปตามผิวที่โผล่พ้นเสื้อผ้าของฟินตันไปมาเพื่อหาแผลเพิ่มเติม
ซึ่งก็จริงตามที่เจ้าตัวบอกว่าไม่มีแผลอยู่ที่อื่นอีก
“อื้อ ข้าแข็งแรงจะตาย”
เมื่อเห็นรอยยิ้มตรงหน้า บอลด์วิน เฟลิกซ์ และนอร่า
ก็พอจะสบายใจขึ้นได้บ้างพวกเขาต่างถอนหายใจออกมาก่อนจะมองไปที่บริเวณรอบข้าง
หญ้าและพืชพรรณทั้งหมดถูกเผาไหม้ไปจนสิ้น
ราวกับพื้นที่บริเวณถูกพระอาทิตย์สัมผัสมาจนกลายเป็นดินแดนรกร้าง
Pyrokinesis ใน level 5 นี่มันช่างน่ากลัวจริง ๆ