“โถ่โว้ยยยยย!!”
เพล้ง!
ลูกแก้วเวทมนตร์ในห้องสื่อสารของพระราชวังหลวงแห่งมอนทาราถูกผู้ปกครองทุบซ้ำหลาย
ๆ ทีจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ
เศษเสี้ยวของมันกระเด็นกระจัดกระจายไปทั่วจนข้ารับใช้ของคีย์รันต่างต้องหลบไปคนละทางเพื่อไม่ให้ความคมของมันกระทบโดนผิวจนเกิดแผลขึ้น
“ท- ท่านคีย์รันขอรับ
หยุดก่อนเถิดก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บไปมากกว่านี้”
หนึ่งในข้ารับใช้รีบห้ามเจ้านายของตนไม่ให้ทุบกำปั้นลงไปกับลูกแก้วเวทมนตร์ที่แตกแหลกเป็นคมแหลมบาดเนื้อจนเลือดไหลหยดไปทั่ว
“อย่ามาสอด!”
เสียงดังราวกับราชสีห์คำรามของคีย์รันดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องและทำให้ทุกคนภายในห้องที่ส่งเสียงอยู่เงียบลงไปสิ้น
เขาหายใจหอบหลาย ๆ
ทีด้วยความโกรธแค้นที่เสียจอมเวทมือดีไปถึงสามคนในคราวเดียว
อีกทั้งยังเสียไปเพราะฝีมือของคนที่เป็นเป้าหมายอีกต่างหาก
“สั่งเตรียมกำลังพลรอบกรุงมอนทาราไว้
เรียกกลุ่มที่ส่งไปลาดตระเวนกลับมาให้หมด
แล้วก็สั่งเกณฑ์กำลังพลทั่วทั้งอาณาจักรด้วย”
คีย์รันหันหลังให้กับลูกแก้วเวทมนตร์ที่สิ้นสภาพแล้วไปสั่งลูกน้องของเขาด้วยสายตาที่พร้อมจะทำลายล้างทุกสิ้นอย่าง
เขาไม่ยอมที่จะสูญเสียกำลังพลที่มีความสามารถไปอีกแล้ว
และมันก็ถึงเวลาที่จะต้องเอาคืนบางเสียหน่อยแล้ว
และเขาไม่สนถึงวิธีการใด ๆ ทั้งนั้น
แม้การเรียกเกณฑ์กำลังพลจะไม่เป็นที่เห็นด้วยนักแก่เหล่าข้ารับใช้และขุนนางชั้นสูง
แต่สุดท้ายข่าวการเกณฑ์กำลังพลถูกเผยแพร่ส่งต่อไปอย่างรวดเร็วทั่วทั้งอาณาจักรผ่านทางการสื่อสารด้วยลูกแก้วเวทมนตร์
ความตกใจเริ่มก่อตัวและแพร่สะพัดไปทั่วราวกับไฟลามทุ่ง
เพราะการเกณฑ์กำลังพลเช่นนี้มันหมายถึงสงครามกำลังจะเกิดขึ้น
ประชาชนต่างไม่เข้าใจเลยว่าคู่ศัตรูของอาณาจักรในครั้งนี้คือใคร
และนี่ก็เริ่มที่จะทำให้อาณาจักรรอบข้างเริ่มมีท่าทีเตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน
หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรือการแสวงโอกาสขึ้นมา
นีี่อาจลุกลามจนเกิดสงครามระดับทวีปขึ้นได้
“จับตัวฟินตันให้ได้โดยเร็วที่สุด
ข้าจะเอาเลือดของมันมาล้างตีนของข้าเสีย”
คีย์รันสะบัดมือที่มีแผลจากการโดนเศษลูกแก้วเวทมนตร์บาดไปทางทิศหนึ่งของห้องสื่อสารที่แต่เดิมเป็นห้องทำงานของวูลแฟรม
เลือดที่กระเซ็นไปนั้นตกโดนผนังด้านหนึ่งของห้องแล้วมีแสงสีแดงวาบออกมาพร้อมตัวอักษรที่ลอยขึ้นมาบนอากาศอย่างน่าอัศจรรย์และล้ำยุค
แต่เหล่าจอมเวทในห้องดูเช่นนี้ก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นเวทมนตร์ระดับสูง
ข้อความที่ปรากฏขึ้นมาอ่านได้ว่า ‘การยืนยันไม่ถูกต้อง
เฉพาะตระกูลแฮเซินสตาร์กเท่านั้น’ นี่เป็นเวทยืนยันตัวตนระดับสูง
และมันกำลังปกป้องสิ่งที่อยู่ข้างหลังกำแพงนี้เอาไว้จากการทำลายใด ๆ
มาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เวทของมันแข็งแกร่งมากกว่าเวทใด ๆ
ที่จอมเวททั้งหลายมี
และแม้แต่จอมเวทผู้ปกครองอาณาจักรก็ไม่อาจที่จะเจาะเข้าไปได้
ทางเลือกเดียวจึงเหลือเพียงรอคอยให้เพียงคนในตระกูลแฮเซินสตาร์กมาปลดล็อกมันอีกครั้งเท่านั้น
“นั่น! ประตูเมืองเกียสเซนล่ะ”
เฟลิกซ์กล่าวด้วยความดีใจพร้อมกระโดดไปมาที่ในที่สุดพวกเขาทั้งสี่ก็เดินทางมาถึงจุดพักจุดต่อไปเสียที
เฟลิกซ์รอไม่ไหวแล้วที่จะได้นอนบนเตียงนุ่ม ๆ
และหนุนหมอนให้จมลงไปในความสุขที่จะได้สัมผัสนาน ๆ ครั้งนี้
“พวกเราจะแวะตลาดก่อนหรือจะเอาไว้พรุ่งนี้ก่อนออกเดินทางตอนเช้าดี?”
บอลด์วินถามคณะเดินทางที่กำลังเดินเข้าใกล้ประตูเมืองเกียสเซนมากขึ้นเรื่อย
ๆ และลอดมันเข้าไปภายในอีกหนึ่งนครแห่งการเกษตรแห่งนี้ไปในที่สุด
“ข้าได้ทั้งคู่ แต่แวะก่อนก็ดีกว่าจริงไหม
พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาก”
นอร่าเสนอพร้อมหันไปหาฟินตันเพื่อขอความเห็น
“อืม… ข้าว่าแวะที่ตลาดก่อนก็ดี”
บอลด์วินพยักหน้าแล้วคณะเดินทางก็เดินเข้าสู่ใจกลางเกียสเซนเพื่อมุ่งหน้าไปยังตลาดใจกลางเมืองที่คึกคัก
แต่บรรยากาศของเมืองเมืองนี้กลับดูแปลกไปจากปกติ
ใช่อยู่ว่าตลาดของเมืองดูคึกคัก
แต่ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ที่มาจะไม่ได้มาจับจ่ายซื้อของกันแบบในเมืองที่ผ่านมาที่พวกเขาเดินทางผ่าน
เหมือนผู้คนผ่านไปเพื่อไปยังจุดที่อยู่ใกล้ ๆ
กันอย่างศาลาว่าการเมืองมากกว่า
“ผู้ที่เกิดวันอังคารกับพุธเรียงแถวกันเข้ามาทางด้านขวา
ส่วนผู้ที่ไม่ได้มารายงานตัวในวันก่อนอันเป็นผู้เกิดในวันอาทิตย์และจันทร์ให้เรียงแถวไปทางด้านซ้าย”
เสียงประกาศดังขึ้นเรียกความสนใจจากคณะเดินทางและคนรอบ ๆ ให้หันไปมอง
เสียงพูดคุยดังขึ้นเป็นระยะด้วยความเนืองแน่นของผู้คน
นอร่ามองก็รู้ทันทีว่านี่มันคือการเรียกเกณฑ์กำลังพล
“ลูกของข้า… ฮึก- ทำไมกัน? เหตุการณ์บ้านเมืองก็สงบดีแท้ ๆ”
“อัลเฟรด… อัลเฟรด… ไม่! ไม่จริงใช่หรือเปล่า?”
“จะต้องติดสินบนแค่ไหนก็ตาม
ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องโดนเรียกไปเข้ากองทัพเด็ดขาด”
เสียงพูดคุยจากคนรอบข้างเองก็เป็นการยืนยันถึงความเข้าใจของนอร่าได้เป็นอย่างดี
ผู้คนต่างเสียใจ สิ้นหวัง ท้อแท้
และรวมไปถึงหาช่องทางที่จะทำให้คนที่รักไม่ต้องถูกเรียกเข้าไปในกองทัพของอาณาจักร
แม้ว่านั่นจะหมายถึงการทุจริตก็ตาม
“พวกเจ้า ดูที่ป้ายประกาศนั่น”
ในตอนนั้นเองที่เฟลิกซ์มองไปเห็นป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่มีตราของส่วนกลางประทับอยู่ที่ทางเข้าไปยังลานกว้างหน้าศาลาว่าการเมืองเกียสเซน
ใจความของมันคือคำสั่งเรียกเกณฑ์กำลังพลเพื่อใช้เป็นหน่วยกองกำลังป้องกันเมืองหลวงจากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้จากศัตรู
ลงนามโดยคีย์รันเมื่อสองวันที่ผ่านมา
และแม้ไม่แน่ใจอย่างหนักแน่นเท่าใดนัก
แต่พวกเขาทั้งสี่รู้ตัวได้ทันทีเลยว่าศัตรูที่ว่าก็คือพวกเขานั่นเอง
เพราะสองวันที่แล้วคือวันที่กลุ่มของพวกเขาได้จัดการจอมเวทระดับสูงสามคน
ณ ทุ่งโล่งกว้างนอกเมืองคาสเซล
แต่จะพูดว่าเป็นพวกเขาทั้งสี่ก็อย่างไรอยู่
เพราะคนที่สังหารจอมเวททั้งสามคนนั้นก็คือฟินตันเพียงแค่คนเดียว
“โด่งดังใหญ่แล้วเสียสิพวกเราน่ะ”
เฟลิกซ์ใช้ข้อศอกกระทุ้งสีข้างของฟินตันและนอร่าเป็นการแหย่
แต่ฟินตันไม่ได้ถือโทษอะไรเพราะเขากำลังให้ความสนใจในผู้คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังยืนรวมตัวกันอยู่ด้านหลังแนวกั้นของเจ้าหน้าที่จากการทางอยู่
“มองอะไรอยู่หรือ?”
บอลด์วินก้มหน้าลงถามเจ้าชายที่ใส่ผ้าคลุมศีรษะเอาไว้
ก่อนจะมองตามสายตาของคนตัวเล็กกว่าไปเห็นภาพเดียวกัน
“ไม่เห็นมีเหตุผลจำเป็นให้ต้องเรียกเกณฑ์กำลังพลเลยมิใช่หรืออย่างไร?”
“ใช่แล้ว แบบนี้มันเป็นการพรากลูกหลานของพวกเราชัด ๆ”
“หยุดการเกณฑ์กำลังพลเดี๋ยวนี้!”
เหล่าผู้คนที่ถือป้ายในมือต่างส่งเสียงโห่ร้องด้วยความไม่เห็นด้วยในคำสั่งจากส่วนกลางของอาณาจักร
พวกเขาจากที่ไม่พอใจนักในการก้าวสู่อำนาจของคีย์รันอยู่แล้ว
และรวมกับการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพอันนำไปสู่เศรษฐกิจที่ตกต่ำ
ทำให้มันรวมเข้าด้วยกันเป็นการออกมาประท้วงทางการในวันนี้
และแม้ทางดยุกแห่งเกียสเซนที่เป็นผู้ครองนครนี้อยู่จะไม่ได้มีการปราบปรามอะไร
แต่ก็มีการตั้งกำลังเจ้าหน้าที่เอาไว้โดยรอบอยู่ดีเพื่อรักษาความเรียบร้อย
“หยุดเดี๋ยวนี้ ปล่อยลูกหลานของเรา!”
“ข้าขอร้องเถอะ ให้ข้าได้เข้าพบท่านดยุกด้วยเถิด”
ชาวบ้านคนหนึ่งคุกเข่าลงขอร้องกับเจ้าหน้าที่ตรงหน้า
แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใดนอกจากการมองด้วยสายตานิ่งเฉย
“รักษาตัวดี ๆ นะครับแม่”
“ฮึก- ทำไมกันนะ แล้วข้าจะอยู่อย่างไร ฮือ…”
อีกด้านมีลูกชายที่กำลังบอกลาแม่ของตนอยู่
น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของผู้เป็นแม่ทำให้ผู้คนรอบข้างที่มองอยู่ต่างรู้สึกเศร้าไปด้วย
การจากลาด้วยเหตุผลที่ไม่จำเป็นมันช่างน่าเศร้าจริง ๆ
อีกทั้งการเข้าสู่กองทัพช่วงเวลาแบบนี้
โอกาสที่จะไม่ได้กลับมาอีกเลยย่อมมีมากพอสมควร
และนั่นจึงเป็นที่มาของหยดน้ำตาทั้งหมดนี้
ฟินตันมองภาพผู้คนมากมายที่ทั้งมีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย
บ้างก็ยอมรับในชะตากรรมและเลือกที่จะจมอยู่ในความเศร้า
เขาไม่อยากให้มาเป็นเช่นนี้เลย
และในขณะนั้นนั่นเองความคิดบางอย่างก็ได้เล่นเข้ามาในโสตประสาท
แม้จะกลัวก็ตามถึงสิ่งที่จะตามมาจากการทำตามความคิดนี้ของตน
แต่ถ้าหากไม่ทำในตอนนี้แล้วรอต่อไปจนถึงตอนที่พวกเขาเดินทางไปถึงเมืองหลวง
ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายก็ต้องทำอยู่ดี
เพราะพวกเขาเพียงแค่สี่คนก็ไม่อาจที่จะต่อกรกองทัพของทั้งอาณาจักรได้
การฉวยโอกาสในขณะที่ความไม่เห็นด้วยและความโกรธแค้นของผู้คนกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นนี้ในการดึงมาเป็นแรงสนับสนุน
เป็นโอกาสที่เหมาะเจาะมากเลยจริง ๆ
เขาจะต้องทำมัน นี่คือหน้าที่ที่เขาต้องทำในฐานะเจ้าชาย
เขาจะไม่หลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว
“ฟินตัน เจ้าจะทำอะไร!?”
ฟินตันถอดผ้าคลุมของตัวเองออกจากศีรษะ
เส้นผมสีน้ำตาลเด่นเป็นสง่าถูกแสงแดดสองกระทบ
ผู้คนรอบข้างเริ่มหันมามองในความสง่างามนี้
รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของทางการที่มีคำสั่งให้จดจำและจับตัวฟินตันทันที
“พอเสียทีเถอะ!”
ฟินตันขึ้นไปยืนบนฐานของเสาไฟ
เสียงตะโกนดังที่แฝงไปด้วยความจริงจังของเขาอันไม่ค่อยปรากฏให้ได้ยินบ่อยนักแม้แต่กับสหายที่สนิทที่สุดอย่างบอลด์วินที่รู้จักกันมาร่วมทศวรรษดึงความสนใจของผู้คนให้หันไปมอง
เสียงพูดคุยเริ่มเงียบลง
เปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบที่พูดถึงการกระทำของคนแปลกหน้าคนนี้
ผู้คนรอบข้างต่างคิดทันทีว่าในอีกไม่ช้าคนคนนี้ก็คงจะโดนจัดการอย่างแน่นอนจากเจ้าหน้าที่ของทางการ
“เจ้าคิดจะก่อความวุ่นวายเพิ่มหรือยังไงกัน? หยุดเสียแต่ตอนนี้
แล้วจะหาว่าพวกข้าไม่เตือน”
บอลด์วิน เฟลิกซ์ และนอร่า
ต่างมองด้วยความตกใจและไม่คาดคิดว่าฟินตันจะกล้าทำอะไรเช่นนี้
นี่มันการหาเรื่องใส่ตัวชัด ๆ เลยมิใช่หรือยังไงกัน?
“ข้าคือฟินตัน แฮเซินสตาร์ก ดยุกแห่งนอร์ด บุตรชายของกษัตริย์วูลแฟรม
ข้าสั่งให้พวกเจ้าหยุดการเรียกเกณฑ์กำลังพลเดี๋ยวนี้”
คำพูดของฟินตันนอกจากจะยิ่งเรียกความสนใจแก่คนรอบข้างแล้ว
สหายของเขาทั้งสามเองก็ยิ่งแตกตื่นกันไปใหญ่
การเปิดเผยตัวตนที่อุตส่าห์ปกปิดเอาไว้เช่นนี้
เหตุการณ์ต่อจากนี้ไปคงจะไม่สนุกอย่างแน่นอน
“ฟินตัน เจ้าคิดจะทำอะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
บอลด์วินรีบเดินเข้าไปสะกิดเขา
ส่วนเฟลิกซ์นั้นเตรียมตัวที่จะเทเลพอร์ตสหายของเขาทุกคนหนีแล้วในทุกเมื่อที่ได้รับคำสั่งจากบอลด์วิน
“พูดเพ้อเจ้ออะไรของเจ้ากัน แฮเซินสตาร์กมันตายไปหมดแล้ว”
คำพูดของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งทำให้ฟินตันกำหมัดแน่น
เขาเลยเอื้อมไปชักดาบประจำตัวของเขาออกมาชูขึ้น
แล้วชี้ไปทางใบหน้าของเจ้าหน้าที่คนนั้นทันที
“แล้วถ้าหากว่าดาบนี้ จะช่วยยืนยันตัวตนของข้าได้หรือไม่?”
เสียงอื้ออึงของประชาชนรอบข้างดังขึ้นไปทั่วบริเวณ
บางคนที่เคยได้เห็นดาบเล่มนี้ต่างก็เริ่มแสดงอาการไม่อยากจะเชื่อออกมาว่าได้เห็นภาพนี้จริง
ๆ บ้างก็ยืนนิ่งดูสถานการณ์อยู่เฉย ๆ
เพราะไม่ได้คุ้นเคยกับเรื่องของทางพระราชวังแห่งมอนทารามากเท่าใดนัก
ปัง!
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกัน?!”
เสียงเปิดประตูอย่างแรงจนมันกระแทกเข้าใส่กับกำแพงของอาคารดังขึ้นมาจากศาลาว่าการเมืองเกียสเซน
คนที่เดินออกมามีเครื่องแบบเต็มยศที่แสดงถึงยศถาของเขา
ดยุกแห่งเกียสเซน ผู้ครองนครแห่งนี้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง
“หา? น- นั่นมัน!”
เสียงของผู้ครองนครกระตุกทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่สร้างความวุ่นวาย
เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาเจ้าหน้าที่ที่จะรับคำสั่ง
แต่ก็มีหนึ่งในผู้ที่ที่มาประท้วงกล่าวขึ้นมาก่อน
“นั่นเจ้าชายฟินตันไม่มีผิดแน่!
ข้าจำดาบเล่มนั้นได้เมื่อตอนไปร่วมงานของพระราชวังที่มอนทารา”
เมื่อมีหนึ่งคนพูด
คำพูดที่ถูกส่งออกไปเริ่มสร้างแรงกระเพื่อมกระจายออกไป
ผู้คนเริ่มเกิดการโน้มน้าวมากขึ้นให้เชื่อ
และสิ่งสุดท้ายที่มาเสริมความน่าเชื่อถือและยืนยันตัวตนให้ฟินตันก็มาถึงโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องกล่าวอะไรเพิ่มอีก
“ทหาร จับตัวมันไว้ให้ได้ นั่นฟินตัน!
ถ้าพวกเราจับได้สำเร็จจะต้องได้รางวัลจากท่านคีย์รันกันอย่างงามอย่างแน่นอน!”
ดยุกผู้ปกครองเกียสเซนตะโกนสั่งเจ้าหน้าที่ทุกคนให้ดำเนินการจับกุมด้วยความหิวโหยในอำนาจแห่งเงินตราที่จะได้รับเป็นรางวัล
ผู้คนตรงหน้าศาลากลางจึงเชื่อขึ้นมาในทันทีในคำพูดของฟินตัน
และเมื่อเหล่าเจ้าหน้าที่เริ่มเดินมาหาฟินตัน
เหล่าผู้ชุมนุมประท้วงก็อาศัยจังหวะนี้ในการเข้าโจมตีทันที
“ย๊ากกกกกก!”
“เห้ย!”
“ฟินตัน ระวัง!”
นอร่าตะโกนบอกฟินตันทันก่อนที่ลูกธนูจะพุ่งมาเฉียดไหล่ของเขาไปเพียงเสี้ยววินาที
ความวุ่นวายเริ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งจากการที่กลุ่มผู้ประท้วงเข้าโจมตีเจ้าหน้าที่ของทางการ
และความตื่นตระหนกของผู้คนที่พบว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้น
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะวิ่งหนี
ประชาชนหลายคนที่ตอนแรกแม้จะยืนอยู่เฉย ๆ เพื่อดูสถานการณ์
ก็เริ่มเข้าจู่โจมใส่เจ้าหน้าที่ของทางการด้วย
“ให้ตายสิฟินตัน เจ้าคิดจะทำอะไรกันนี่?”
บอลด์วินดึงฟินตันลงมาจากฐานของเสาไฟ
แล้วขยับมายืนบังด้านหน้าคนรักของตนไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจได้รับ
“บอลด์วิน…”
“…”
“ให้ข้าได้สู้เถอะนะ ข้าไม่อาจหลบอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว”
เสียงที่หนักแน่นของฟินตันทำให้บอลด์วินลังเล แม้จะเป็นห่วง
แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว การให้ฟินตันออกไปต่อสู้ร่วมกับประชาชน
ดีกว่าหลบอยู่ข้างหลังเขาและสหายที่เหลือ
ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่าอย่างแน่นอน
“ถูกแล้วบอลด์วิน
นี่เป็นโอกาสที่ดีมากในการรวบรวมผู้ที่มีอุดมการณ์เดียวกับพวกเรานะ”
เฟลิกซ์เสริม ส่วนนอร่า
เธอหายตัวไปต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วโดยไม่มีใครเห็นด้วยพลังจิตของเธอแล้ว
“เห้อ… ระวังตัวด้วย เข้าใจหรือไม่?”
บอลด์วินกล่าวแล้วหลีกทางให้คนรักของเขาพร้อมดาบในมือ
“เจ้าก็เช่นกัน”
ฟินตันยิ้ม จากนั้นถือดาบคู่ใจเดินออกไปด้านหน้าแนวปะทะ
เช้ง! เคร้ง! ฉึก! อั๊ก!
เสียงของการต่อสู้ดังไปทั่วบริเวณ
นอกจากคณะเดินทางทั้งสี่แล้วก็ยังมีกลุ่มของประชาชนที่มาประท้วงในการร่วมต่อสู้ในครั้งนี้
เท่านั้นยังไม่พอ
ยังมีกลุ่มของประชาชนที่ไม่ใช่กลุ่มของผู้ประท้วงร่วมในการสร้างความวุ่นวายเพิ่มเติมเพื่อหลอกล่อความสนใจอีกที
ทำให้สถานการณ์ในเมืองเกียสเซนวุ่นวายไปหมด
ฟินตันกับดาบคู่ใจของเขาฟาดฟันศัตรูมากมายเคียงข้างสหายของเขาและประชาชนมากมาย
ยิ่งข่าวของการต่อสู้เริ่มแพร่กระจายออกไปในเมือง
ผู้คนในเมืองก็เริ่มตามมาสมทบมากขึ้นเรื่อย ๆ
ราวกับพวกเขารอคอยโอกาสเช่นนี้มาอย่างยาวนาน
ซึ่งแม้เจ้าหน้าที่จากทางการจะมีจำนวนมากมาย
แต่หากประชาชนส่วนใหญ่ในเมืองออกมาต่อสู้แล้ว
ไม่ว่าจะมีกำลังพลมากเพียงใดก็ไม่อาจต่อกรคนทั้งเมืองได้อยู่ดี
“เหอะ เจ้าคิดหรือว่าจะเอาชนะพวกข้าได้?”
ซูม!
ลูกไฟขนาดกลางปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง
เพราะเห็นว่าการใช้อาวุธอย่างดาบและธนูนั้นไม่สามารถจัดการความวุ่นวายได้
พลังจิตก็เลยถูกนำมาใช้ในที่สุด และเจ้าหน้าที่คนนี้ดันมีพลัง
Pyrokinesis เช่นเดียวกับฟินตันเสียด้วย
“แบบนี้มันเอาเปรียบกันชัด ๆ”
เหล่าประชาชนตรงหน้าที่ไม่ได้เป็นผู้ใช้พลังจิตต่างพูดออกมาและเริ่มเตรียมตัวตั้งรับ
แต่ในตอนนั้นเองที่ลูกบอลไฟกำลังจะพุ่งเข้ามาใส่พวกเขา
เสียงประหลาดก็ได้ดังขึ้นพร้อมกับการดับมอดลงของไฟและชีวิตของผู้สร้างมัน
“อ- อะไรกัน?”
ฟึ่บ!
“เกือบไปแล้ว พวกเจ้าอย่าได้กลัวไป บุกเข้าไป!”
เฟลิกซ์ปรากฏตัวขึ้นหลังเสียงประหลาดดังอีกครั้ง
แม้จะประหลาดใจจากพลังจิตที่หาได้ยากนี้
แต่ประชาชนรอบข้างของเขาก็เดินหน้าบุกต่อทันที
“อั่ก แอ่ก!”
“อะไรกัน ศัตรูอยู่ที่ไหน? อ๊ากกก”
นอร่าเองก็อาศัยพลังจิตของเธอในการเข้าโจมตีศัตรูโดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็นและไม่ทันตั้งตัวไปจำนวนมาก
แบบนี้สนุกกว่าการล่าสัตว์ภายในป่าที่นอร์ดกว่าเห็น ๆ
“ข้าอยู่ตรงนี้ต่างหากเล่า”
ฉึก!
“ฟินตัน ทางซ้าย!”
ส่วนบอลด์วินนั้น
สุดท้ายการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่เจ้าตัวจะสามารถทำได้ก็คือการร่วมต่อสู้ไปกับฟินตันตามที่พวกเขาฝึกฝนมาด้วยกันหลายปี
ความเข้าใจกันและกันทั้งความสามารถของร่างกาย ความสัมพันธ์ และพลัง
ทำให้พวกเขาเข้าขากันได้ดีในการต่อสู้ร่วมกันแบบนี้
ฟินตันกระโดดขึ้นหลบก้อนแสงสีม่วงประหลาดที่ถูกสร้างจากเวทมนตร์ได้ทันก่อนที่มันจะพุ่งมาโดนขาของเขา
ก่อนจะหันไปเหวี่ยงดาบในมือที่ตอนนี้ถูกพลังจิตของเขาทำให้มันร้อนขึ้นจนเปล่งแสงสีแดงออกมา
สร้างการทำลายล้างยามสัมผัสไปโดนศัตรูมากกว่าเดิมอีก
“อึก- บอลด์วิน ดันข้าขึ้น”
ฟินตันที่กำลังโดนรุมจากดาบสองเล่มทางด้านหน้าและกำลังมีเล่มที่สามใกล้เข้ามาได้สั่งให้บอลด์วินดันเขาขึ้นด้วยลมแรง
“ตามคำสั่งขอรับ”
โดยไม่ต้องให้รอนาน ฟินตันก็ลอยตัวขึ้นสู่อากาศ
เขาเหวี่ยงดาบไปรอบรอบตัวเป็นวงกลมในขณะที่ลอยอยู่บนนั้น
ปลายคมของมันสะท้อนกับแสงยามบ่ายของวันแล้วสร้างเปลวไฟขึ้นหมุนวนรอบตัวเขา
ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งมันพุ่งลงมาสู่ศัตรูเบื้องล่าง
เป็นการทำลายล้างศัตรูที่ทั้งสวยงามและได้ผลดีไปพร้อมกัน
ด้วยความสามารถในระดับนี้แล้ว
ไฟที่ฟินตันสามารถสร้างได้ไม่จำเป็นที่จะต้องออกมาจากมือโดยตรงแล้ว
หลังจากศัตรูเบื้องล่างสิ้นฤทธิ์ไปสิ้น
เท้าของฟินตันก็กลับลงมายืนบนพื้นได้อย่างนิ่มนวลด้วยลมของบอลด์วินที่รอรับอยู่แล้ว
ในตอนนี้เขาฝ่าการต่อสู้เข้ามาถึงด้านหน้าของทางเข้าศาลากลาง
และตรงหน้าของพวกเขาก็คือดยุกแห่งเกียสเซนที่แสดงท่าทีตกใจอยู่
“มีน้ำยาเหมือนกันนี่ ฟินตัน…”
ใบหน้าของผู้ปกครองเมืองยิ้มและหัวเราะ
และใบหน้าอันคุ้นเคยนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้เจ้าชายหนุ่มรู้สึกไม่ดี
คนคนนี้เคยเป็นหนึ่งในทหารยศสูงของอาณาจักรมาก่อน
ไม่คิดเลยว่าพอได้มาเจอครั้งหนึ่งในยามนี้
เขาจะกลายมาเป็นผู้ปกครองนครแห่งหนึ่งของอาณาจักรไปแล้ว
ทรยศจนได้ดีสินะ
“เจ้า… หัวหน้าหน่วยทัพ… ไม่สิ อดีตหัวหน้าหน่วยทัพที่ 16 สินะ”
ฟินตันยกดาบขึ้นมาเตรียมการต่อสู้
ด้านข้างมีบอลด์วินและประชาชนที่ฝ่าเข้ามากับพวกเขาได้อีกจำนวนหนึ่ง
ผู้เป็นเจ้าชายไม่อยากเชื่อเช่นกันว่าแม้เวลาจะผ่านมากว่าครึ่งทศวรรษแล้ว
ทำไมตนถึงยังจำผู้ที่คุมหน่วยทัพแต่ละหน่วยได้อยู่
ทั้งที่มันอยู่ภายใต้ความดูแลของอัลดริชแท้ ๆ
“ความจำดีนี่ เจ้าชาย… แต่แล้วยังไงเล่า?
เจ้าคิดหรือว่าจะก่อการสำเร็จได้
ข้าส่งสารไปยังมอนทาราแล้วนะเมื่อครู่ ไม่ช้าก็เร็ว พวกเจ้าก็ต้อง-
อั่ก! แอ่ก!”
“เอ๊ะ?”
ในตอนที่เจ้าเมืองกำลังพล่ามอยู่นั่น จู่ ๆ
ที่ลำคอก็มีของเหลวสีแดงทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก
ส่งผลให้คำพูดทั้งหมดมลายหายไปและผู้พูดก็ล้มลงจมกองเลือดกับพื้น
ท่ามกลางความสงสัย
อากาศที่ว่างเปล่าตรงหน้าปรากฏออกมาเป็นตัวคนผู้หนึ่ง
ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลให้แปลกใจ
“ฟินตัน ข้าถามจริง ๆ
เถอะว่าคนบ้าอำนาจพวกนี้มันพูดพล่ามเช่นนี้กันหมดเลยหรืออย่างไรกัน?”
นอร่าปัดผมของเธอไปทางด้านหลังแล้วสะบัดมีดที่โฉลมไปด้วยเลือดในมือออกจนมันกระเซ็นไปเปื้อนพื้นรอบข้างมากกว่าเดิม
“เหอะ ๆ ข้าจะว่าอย่างไรดี...”
ฟินตันหัวเราะออกมาเบา ๆ
พร้อมกับลดการ์ดของตนลงเล็กน้อยที่สถานการณ์พลิกมาอยู่ในการควบคุมของพวกเขา
“ท่านดยุกตายแล้ว! ทำอย่างไรดี?”
เจ้าหน้าที่ทางการหลายคนเมื่อเห็นว่าผู้ปกครองเมืองได้สิ้นไปแล้วก็ต่างสับสนและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีต่อไป
บ้างก็เริ่มถอยหลังทีละก้าว
บ้างก็ยอมจำนนต่อประชาชนที่ในขณะนี้เริ่มเผาอาคารรอบข้างจนมีควันพวยพุ่งไปทั่ว
แต่บางคนก็ยังคงไม่ยอมจำนนต่อประชาชน
“อย่าไปยอมแพ้ พวกเขาต่อกรพวกบ้านี่ได้อยู่แล้ว- อั่ก!”
ฟึ่บ!
“ว่าใครพวกบ้ากันหา?”
เฟลิกซ์ยอมให้แค่สหายของเขาทั้งสามเท่านั้นมาว่าเขาหรือสหายของเขาเช่นนี้
เขากำลังสนุกเลยกับการต่อสู้ที่ได้ใช้พลังจิตแบบนี้
การได้เทเลพอร์ตไปรอบ ๆ
และเล็งตำแหน่งที่จะเทเลพอร์ตอาวุธในมือไปให้ร่างกายบาดเจ็บจากภายในมันทำให้เลือดสูบฉีดได้ดีสุดยอดไปเลย
“ใครอยากจะโดนไม้เสียบเนื้อของข้าคนต่อไปล่ะ?”
เฟลิกซ์กรีดไม้ปลายแหลมในมือพร้อมกับส่งสายตาน่ากลัวไปทางเจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบสีดำรอบตัว
“ป- ปีศาจชัด ๆ เจ้านั่นมันปีศาจ!”
“ข้าว่าพวกเราหนีดีกว่า เร็วเข้า!”
“จะหนีไปไหนกัน หา?”
ฟินตันโผล่มาดักทางหนีของเจ้าหน้าที่ที่เหลือ
แต่แล้วในตอนนั้นก็มีลำแสงสีเขียวพุ่งมาหาเขา
ดีที่ได้เฟลิกซ์มาเทเลพอร์ตเขาออกไปก่อน
มันจึงพุ่งไปใส่อาคารด้านหลังจนระเบิดขึ้นเสียงดัง
ตู้มมม!!
เศษซากของอาคารกระจายไปทั่ว
กลุ่มควันและฝุ่นกระจายไปทั่วทั้งบรรยากาศโดยรอบ
ทัศนวิสัยบางส่วนหายไปจากการฟุ้งกระจายนั้น
เสียงกรีดร้องของผู้คนดังไปทั้งบริเวณ คนบางส่วนเริ่มวิ่งหนี
ในขณะที่บางส่วนก็เริ่มขยับเข้ารวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อเตรียมตั้งรับ
พลังเช่นนี้ เวทมนตร์ไม่ผิดแน่
“เกือบไปแล้วสิ ระวังให้ดีฟินตัน”
เฟลิกซ์กล่าวในขณะที่ปาดเหงื่อ
แต่แล้วลำแสงสีเขียวนั่นก็พุ่งมาอีกลายเส้นพร้อม ๆ กัน
“เชี่ยเอ๊ย!”
ซูม! ซูม! ซูม!
ลำแสงสีเขียวอ่อนแบบเดิมพุ่งมาทางพวกเขาทีละเส้นต่อเนื่องกัน
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างรีบวิ่งหนีกันคนละทิศคนละทาง
การต่อสู้ที่ดูเหมือนกำลังจะชนะในตอนแรกถูกพลิกกลับด้านในพริบตา
ใครจะไปคิดกันว่ามีคนที่มีพลังเวทอย่างแรงกล้าซ่อนตัวอยู่
“หึ ๆ หนีเป็นหนูเลยนะ เจ้าชาย…”
ฟินตันกลิ้งตัวหลบไปตามพื้นก่อนจะไอ้ที่กำบังเป็นเสาของอาคารศาลาว่าการ
ตรงนั้นเขาเห็นนอร่ากับบอลด์วินแอบยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างไปไม่มาก
และในตอนนั้นนอร่าก็หายตัวไป
“ฟินตัน นั่นไม่ใช่พลังเวท”
“ไอ้เชี่ย! เอ๊ย… เอ่อ… ข้าขอโทษ”
นอร่าที่หายตัวไปกลับมาปรากฏที่ด้านข้างของผู้เป็นเจ้าชายจนทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมากจนเผลอสบถออกมาและเกือบจะลงดาบใส่สหายของตน
พลังจิตของเธอจะว่าดีก็ดี
แต่พอนำมาใช้งานแบบนี้แล้วก็ทำให้ตกใจได้ไม่น้อยเลย
“ต- แต่เจ้าจะบอกว่านั่นคือพลังจิตหรือ? พลังบ้า ๆ
แบบนั้นมันมีอยู่ด้วยหรือ?”
พลังในการสร้างลำแสงสีเขียวแบบนี้
ไม่ว่าใครหน้าไหนก็คงจะมองว่าเป็นพลังเวทอย่างแน่นอน
แต่สำหรับนอร่าที่ศึกษาเรื่องพลังจิตมาพอสมควรแล้ว
นี่เป็นพลังหายากรูปแบบหนึ่งที่หายากเสียยิ่งกว่าพลังของเฟลิกซ์เสียอีก
“หนีไปไหนแล้วล่ะเจ้าชาย เมื่อครู่ยังสู้อยู่ดี ๆ มิใช่หรือยังไง!!”
ตู้ม!
ฟินตันและนอร่ารีบวิ่งหลบจากเสาที่ยืนพิงอยู่ไปอีกเสาหนึ่งได้ทันพอดีในตอนที่ลำแสงสีเขียวนั่นพุ่งมาอีกครั้ง
หากช้ากว่านี้ไปอีกเสี้ยววินาที
ร่างกายของพวกเขาทั้งสองคงจะแหลกไปพร้อมกับเสาต้นนั้นแล้วแน่ ๆ
“พลังนั้นชื่อว่า Meltdowner
เป็นพลังที่สามารถสร้างลำแสงที่สามารถหลอมเหลววัตถุและสร้างแรงระเบิดได้”
Meltdowner
พลังในการสร้างลำแสงสีเขียวพลังงานสูงที่สามารถหลอมละลายวัตถุที่มันสัมผัสได้
รวมถึงในบางทีหากสัมผัสกับวัตถุบางอย่างแล้ว
ก็สามารถทำให้เกิดการระเบิดขึ้นได้
พลังประเภทนี้เป็นพลังที่หายากเป็นอย่างมาก ยากเสียยิ่งกว่า Teleport
ด้วยซ้ำ จึงทำให้มีบันทึกไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นถึงหลักการของมัน
ว่ากันว่ามันเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ใช้เวทในการพัฒนาการสร้างลำแสงเวทมนตร์มาใช้เป็นอาวุธนับตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของเวทมนตร์แล้ว
แต่พลังประเภทนี้มีจุดด้อยอย่างมากอยู่
คือผู้ที่สร้างลำแสงนี้จะไม่สามารถต้านทานลำแสงที่ตนสร้างขึ้นมานี้ได้
รวมไปถึงมีความถี่ในการสร้างลำแสงที่ไม่ได้ถี่มากเทียบเท่าเวทมนตร์ในระดับที่สูง
“เช่นนั้นจะโจมตีกลับอย่างไรได้เล่า?”
เนื่องจากเป็นพลังจิตที่น่ากลัวเช่นนี้
การจะโจมตีกลับนั้นก็มีความเสี่ยงเป็นอย่างมากว่าจะโดนโจมตีใส่เสียเอง
ฟินตันพยายามมองหาอุปกรณ์รอบตัวที่จะใช้เพราะเป็นอาวุธได้
แต่จากพลังเช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่มีอะไรที่จะเอาอยู่ได้
เพราะขนาดเสาต้นใหญ่ยังหลอมละลายไปในพริบตา
“ถ้ามีวัตถุทรงเหลี่ยม ๆ เอ่อ… ข้าลืมชื่อน่ะ เป็นก้อนใส ๆ
ที่พอแสงส่องผ่านแล้วจะเปลี่ยนทิศทาง
ถ้ามีวัตถุเช่นนั้นก็พอจะต่อกรได้อยู่”
นอร่าเธอจำได้ว่าลำแสงของพลังจิตประเภทนี้สามารถใช้วัตถุประเภทที่เธอบอกในการหักเหทิศทางของมันได้
แต่เธอลืมชื่อของรูปร่างนั้นไปแล้ว
“เจ้าหมายถึงปริซึมหรือ?”
ฟินตันพอได้ยินคุณสมบัติของมันก็นึกถึงสิ่งที่เคยได้เรียนในสมัยที่อยู่ที่มอนทารา
ของเล่นชิ้นหนึ่งที่เค้าเคยได้รับมาจากครูของเขาที่สามารถนำมาทำให้แสงแดดสีอุ่นกลายเป็นแถบสีรุ้งสวยงามได้
“ใช่แล้ว อันนั้นนั่นแหละ
แต่ในเวลาเช่นนี้จะไปหาของแบบนั้นมาจากที่ไหนได้กัน?”
“ทำไมจะหาไม่ได้เล่า”
ฟู่…
ฟินตันหยิบกระจกที่แตกอยู่บนพื้นมาหนึ่งชิ้น
จากนั้นใช้พลังไฟของตนในการหลอมละลายมันให้กลายเป็นรูปทรงที่ต้องการ
มือของเขาเริ่มบีบกระจกที่อ่อนนิ่มจากความร้อนที่ไฟของเขาสร้างขึ้นราวกับดินเหนียวจนมันกลายเป็นรูปทรงตามต้องการ
ก่อนจะหยุดให้ความร้อนเมื่อรูปร่างของมันได้ที่
นอร่ามองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นเต้นและทึ่ง
พลังของฟินตันนั้นนำไปใช้งานได้หลากหลายกว่าที่เธอคาดเอาไว้จริง ๆ
“เสร็จแล้วทำอย่างไรต่-”
ตู้ม!
“ไปไหนเสียแล้วเล่าเจ้าชาย ไม่ได้อยู่หลังเสาต้นนี้หรือ?”
แม้จะมีเวลามาทำปริซึมทำมือ
แต่พวกเขาก็เกือบลืมไปเลยว่าในขณะนี้พวกเขาอยู่ท่ามกลางสมรภูมิขนาดย่อม
และมันไม่มีเวลาอีกแล้วเพราะเสาที่หลงเหลือให้หลบอยู่นั้นเหลืออีกเพียงแค่สี่ต้นเท่านั้น
“ไม่มีเวลาแล้ว ทำอย่างไรต่อนอร่า?”
“ใช้มันหักเหลำแสงกลับไปหาผู้สร้าง
พลังนี้ไม่สามารถทนต่อลำแสงที่เจ้าของพลังสร้างขึ้นมาได้”
แม้ฟินตันจะรู้สึกแปลก ๆ ในข้อมูลนี้
เนื่องจากจะมีพลังใดกันที่ไม่อาจต้านทานความสามารถของพลังของตนได้?
เพราะอย่างตัวเขาเองก็สามารถทนความร้อนของไฟที่สร้างจาก Pyrokinesis
ได้ รวมไปถึงความร้อนอื่น ๆ ที่เกิดจากไฟ หรือที่แท้จริงแล้ว
Meltdowner นั้นไม่ใช่การสร้างลำแสงโดยตรง
แต่เป็นการกระตุ้นอะไรบางอย่างให้เกิดลำแสงขึ้นมา?
แม้จะอยากคิดให้เข้าใจ แต่มันก็ไม่มีเวลาแล้ว
“เจ้าเห็นเฟลิกซ์หรือไม่?”
ฟินตันถามพร้อมมองไปทั่วบริเวณ หลังเสาตรงนั้นก็มีแค่บอลด์วิน
สหายอีกคนหายไปอยู่ที่ใดกัน?
“ทางนั้น ทำไมหรือ?”
นอร่าตอบพร้อมชี้ไปทางอาคารฝั่งหนึ่ง
เฟลิกซ์ในตอนนี้กำลังแอบอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่ชั้นล่างของอาคาร
“ข้าจะล่อมันไว้
ให้เฟลิกซ์เทเลพอร์ตปริซึมนี่ไปกลางอากาศให้มันหักเหลำแสงเสีย
เจ้าคิดว่าพอจะทำได้หรือเปล่า?”
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
“ฟินตัน วิ่งเดี๋ยวนี้!!”
“ไม่ได้ก็ต้องได้แล้วล่ะ”
หวืม!
เสาของอาคารถูกทำลายพร้อมกันสามเสา
และนั่นทำให้ส่วนหน้าของอาคารไม่สามารถรับน้ำหนักได้อีกต่อไปจนถล่มลงมา
บอลด์วินที่หลบอยู่เสาใกล้ ๆ จึงสั่งให้เขาและนอร่าวิ่งในทันที
พวกเขาสามคนจำต้องออกจากที่ซ่อน
บอลด์วินกลับมายืนคู่เคียงข้างฟินตันอีกครั้ง
และนอร่าก็ใช้พลังของเธอหายตัวถือปริซึมในมือวิ่งไปหาเฟลิกซ์
“อึก…”
“บอลด์วิน-”
เสียงของบอลด์วินทำให้ฟินตันต้องรีบหันไปมอง
ก่อนจะพบว่าแขนข้างหนึ่งมีเลือดอาบอยู่
“ข้าไม่เป็นอะไร มันเพียงแค่ถลอกเท่านั้น”
บอลด์วินบอกปัด แผลเพียงเท่านี้ไม่เป็นอะไรมากนักหรอก
เขาไม่อยากให้เจ้าชายหนุ่มต้องมาเป็นห่วงจนเสียสมาธิในการต่อสู้กับเหล่าคนเบื้องหน้า
“แหม ๆ หลบอยู่ซะตั้งนาน ไม่มีที่ให้เจ้าซ่อนอีกแล้วล่ะนะ”
ซูม!
ลำแสงสีเขียวอ่อนพุ่งเข้ามาหาพวกเขาทั้งสองในทันที
และไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ฟินตันเลือกที่จะทำบางสิ่ง
“หลบหลังข้าเอาไว้!”
ตู้มมมม!! ซูมมมม!
ฟินตันขยับตัวไปยืนด้านหน้าสหายของเขาจากนั้นสร้างพลังไฟขึ้นมาเป็นลูกบอลไฟขนาดใหญ่
น่าแปลกที่พอลำแสงสีเขียวนั้นพุ่งเข้ามากระทบกับลูกบอลไฟ
มันระเบิดและกลายเป็นสสารเรืองแสงสีม่วงขึ้นในบริเวณที่ทั้งเกิดการกระทบ
“อะไรกัน!?”
ผู้ที่สร้างลำแสงกล่าวออกมาด้วยความตกใจ มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้?
เหตุใดลำแสงของเขาถึงไม่สามารถทะลุผ่านลูกไฟนี้ไปได้กัน
แล้วยังมีสสารสีม่วงประหลาดปรากฏขึ้นมาอีก
หรือมันจะเป็นไปได้จริง ๆ
ว่าเจ้าชายพระองค์นี้มีความสามารถในพลังควบคุมไฟสูงมากถึง level 5?
“อึก- นอร่า ตอนนี้!”
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
สิ้นเสียงตะโกนของฟินตัน เสียงเทเลพอร์ตก็ดังขึ้นหลายที
พร้อมกับปริซึมที่ฟินตันหลอมขึ้นจากเศษกระจกให้กับนอร่าปรากฏขึ้นบนอากาศด้านหน้าเขา
แม้เมื่อลำแสงสีเขียวนั้นชนเข้ากับปริซึมมันจะทำให้ปริซึมหลอมละลาย
แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็ได้หักเหต่อกันและสะท้อนกลับไปหาผู้สร้าง
เพียงชั่วพริบตา การระเบิดก็เกิดขึ้น
ตู้มมม!!!
“อ๊ากกกก!”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น
ก่อนจะตามมาด้วยลำแสงสีเขียวมากมายที่ไม่สามารถควบคุมได้กระจายไปในทุกทิศทาง
เมื่อมันกระทบกับอาคารรอบข้างก็เกิดการระเบิดขึ้นอย่างมหาศาล
ทำให้อาคารรอบข้างพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
และส่งผลให้ผู้คนที่รออยู่ต้องรีบวิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
“แค่ก ๆ”
หลังจากอาคารถล่มลงไปได้ไม่นานและฝุ่นเริ่มจางหายไปทีละนิด
พวกเขาทั้งสี่มองไปรอบ ๆ
บริเวณที่เคยเป็นลานกว้างหน้าศาลาว่าการเมือง
บริเวณที่เคยมีผู้ใช้พลัง Meltdowner
และพวกยืนอยู่นั้นกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ไปเสียแล้ว
“ไม่เป็นอะไรใช่หรือเปล่า นอร่า เฟลิกซ์?”
ฟินตันถามคนที่วิ่งออกจากอาคารถล่มมาหาเขาและบอลด์วิน
“ข้าไม่เป็นอะไร เฟลิกซ์ เจ้าล่ะ?”
นอร่าสำรวจเนื้อตัวแล้วพบว่านอกจากฝุ่นมากมายก็ไม่มีรอยอะไร
เลยหันไปถามคนผมสีทองที่นั่งอยู่กับพื้น
“ข้าก็เช่นกัน... ขอบใจนะ”
เฟลิกซ์ตอบแล้วเอื้อมมือไปจับกับมือของนอร่าที่เอื้อมมาดึงเขาให้ลุกขึ้น
“ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว เอ้อใช่ ข้าเกือบลืมไปเลย บอลด์วิน
แขนของเจ้าเจ็บมิใช่... หรือ... เอ๊ะ...”
ในตอนที่ฟินตันหันไปหาคนผมสีดำที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา
นอกจากจะเห็นว่าเลือดที่แขนของคนตัวสูงหยุดไหลแล้ว
ถัดออกไปบนลานกว้างของเมืองที่แม้จะเต็มไปด้วยซากของการต่อสู้และอาคารที่พังทลาย
กลับมีเหล่าผู้คนมากมายที่ตอนแรกล่าถอยออกไปเพราะ Meltdowner
ในขณะนี้รอบตัวคณะเดินทางของฟินตันถูกห้อมล้อมไว้โดยประชาชนชาวเกียสเซนทั้งหมดเลย
“ท่านฟินตัน”
“เจ้าชายของพวกเรา”
“ไม่ใช่สิ พระราชาของพวกเรา”
เหล่าผู้คนแห่งเกียสเซนต่างส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจและมีความหวัง
คำพูดเรียกฟินตันมากมายปรากฏขึ้น จากคำว่าเจ้าชายในตอนแรก
บัดนี้มันได้ถูกขยับและเลื่อนมาเป็นคำว่าพระราชาแล้ว
และนั่นทำให้คนผมสีน้ำตาลพร้อมดาบคู่ใจในมือทำตัวไม่ถูกเป็นอย่างมาก
“อะไรกัน... พวกเจ้าทุกคน”
ฟินตันหันไปมองรอบ ๆ ตัว เหล่าผู้คนขยับมาใกล้เขามากขึ้น
แต่ก็ยังคงเว้นระยะไว้พอประมาณ ก่อนจะค่อย ๆ ทยอยกันคุกเข่าลงกับพื้น
ซึ่งนั่นก็ทำให้ฟินตันแตกตื่นกว่าเดิม
เขาไม่ชินเอาเสียเลยกับอะไรแบบนี้
“ได้โปรด ท่านราชาผู้ล้ำเลิศแห่งโคโลเนีย
ได้โปรดให้พวกของข้าได้ติดตามท่านและทวงคืนอาณาจักรของพวกเราคืนมาด้วยเถิด”
ชายผู้หนึ่งกล่าวเสียงดัง
ดวงตาของเขาและคนรอบข้างต่างเปล่งประกายขึ้นมาในชั่วขณะในขณะที่มองมาทางฟินตัน
มันเหมือนราวกับว่าในที่สุดพวกเขาก็ได้พบคนที่จะยึดเหนี่ยวและเดินนำพาพวกเขาให้ได้ชีวิตในแบบเดิมกลับมา
ทวงคืนชีวิตในวันวานอันเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นให้กลับคืนมาอีกครั้ง
“ข้าไม่ใช่พระราชาเสียหน่อย อย่าพูดเช่นนั้นเลย... นี่พวกเจ้า ช-
ช่วยพูดอะไรเสียหน่อยสิ”
ฟินตันกำดาบในมือแน่น
เขาหันไปขอความช่วยเหลือจากเฟลิกซ์และนอร่าที่อยู่ข้างหลัง
แต่สองคนนั้นเองก็คุกเข่าลงกับพื้นเช่นเดียวกันกับคนรอบข้าง
และรวมไปถึงบอลด์วินที่หายไปจากการยืนข้าง ๆ
เขาลงไปคุกเข่ายิ้มให้เขาอยู่แทน
“บอลด์วิน ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะ”
ฟินตันพยายามสั่งให้คนตรงหน้ากลับมายืนดังเดิม
การยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางคนที่คุกเข้าให้เขาเช่นนี้มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก
ๆ เลย มันดูโดดเดี่ยวและเต็มไปด้วยความรับผิดชอบมากมายที่มองไม่เห็น
ฉะนั้นหากได้สหายของตนมายืนด้วยแล้วก็คงจะดีกว่า
“กระหม่อมมิบังอาจขอรับ”
“ไอ้…”
“ท่านได้โปรดนำพวกเราไปสู่ชัยชนะด้วยไฟของท่านด้วยเถิด”
ก่อนที่ฟินตันจะได้พูดอะไรออกไปว่าบอลด์วิน
ชายคนเดิมในหมู่ฝูงคนก็กล่าวขึ้นมาก่อน โดยหลังจากประโยคนั้นจบลง
คนรอบ ๆ
ก็พากันก้มหัวและส่งเสียงเชียร์กันกึกก้องใจกลางนครที่เต็มไปด้วยเศษซากนี้
และนั่นก็ทำให้ความแตกตื่นของฟินตันทะยานสูงไปมากกว่าเดิม
“พวกเจ้า ลุกขึ้นเถิด ข้าขอร้องล่ะ”
ฟินตันน้ำตารื้นอยู่ที่ขอบตาแล้ว เขาทำตัวไม่ถูกจริง ๆ
ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะเกิดมาเป็นเจ้าชายก็ตาม
แต่เนื่องด้วยเขาไม่ชอบพิธีการและความนอบน้อมที่คนอื่นจำเป็นต้องมีต่อเขาเท่าใดนัก
เลยได้รีบบอกทุกคนรอบ ๆ ข้างเขาลุกขึ้นทันที
โดยพอฟินตันสามารถไปดึงให้บอลด์วินกับนอร่าลุกขึ้นได้
เฟลิกซ์ก็ยอมลุกขึ้นยืนตาม ตามมาด้วยคนรอบข้างที่ค่อย ๆ
ทยอยลุกขึ้นยืนกันอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ช้า ๆ
“กับข้าแล้วนั่น พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพมากขนาดนั้นก็ได้
เข้าใจหรือไม่? ข้าไม่ชินจริง ๆ กับอะไรเช่นนี้ อาจจะดูแปลก ๆ
ไปบ้างสำหรับข้าที่เป็นเจ้าชาย แต่พวกเจ้าช่วยเข้าใจข้าด้วยนะ”
ฟินตันพูดกับประชาชนมากมายตรงหน้า
ขณะที่เสียงพูดคุยมากมายจะเริ่มดังเข้ามาให้เขาได้ยิน
“ทรงไม่ถือตัวเลย พวกเราช่างโชคดีเสียจริง”
“กระหม่อมมิบังอาจหรอกขอรับ”
“ข้าไม่เคยรู้สึกได้ถึงอนาคตที่สดใสข้างหน้าได้มากเท่านี้เลย”
“พวกเขาต้องการเจ้าน่ะฟินตัน”
บอลด์วินก้มลงพูดข้าง ๆ ใบหูของฟินตัน
ในตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีกันเพียงแค่สี่คนอีกต่อไปแล้วในแผนการการทวงคืนอาณาจักรที่พวกเขาเรียกว่าบ้านนี้
พวกเขาไม่ต้องเหนื่อยและเสี่ยงภัยกันอยู่ไม่กี่คนอีกต่อไปแล้ว
“เห้อ… เช่นนั้นแล้ว”
พวกเขายังมีประชาชนชาวเกียสเซนมากมายตรงหน้าอีก
และจะมีมากขึ้นและมากขึ้นในเวลาที่ข่าวการต่อสู้และปรากฏตัวของฟินตันค่อย
ๆ กระจายออกไปยังพื้นที่โดยรอบ จากสองคนจากนอร์ด
เพิ่มมาอีกหนึ่งที่เบรเมน และรวมเข้ากับอีกคนที่ฮันโนฟ์วา บัดนี้
มันมากกว่าสี่พันคนไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
“เช่นนั้นพวกเราไปทวงคืนบ้านของพวกเราคืนกัน”
เปลวเพลิงขนาดใหญ่ปรากฏบนท้องฟ้าเบื้องบน
ฟินตันชูดาบในมือขึ้นแล้วสร้างมันขึ้นพร้อมกับพูดประโยคที่เรียบง่ายแต่เข้าถึงคนธรรมดาได้อย่างดี
ไฟนี้มันค่อย ๆ กลายเป็นเหมือนปีกนกขนาดใหญ่ที่ค่อย ๆ กระพืออย่างช้า
ๆ และมันเป็นเหมือนสิ่งที่จะนำทางพวกเขาไปสู่ชัยชนะได้อย่างแน่นอน
ทุกคนเชื่อเช่นนั้น
และจะพยายามทำทุกวิถีทางในการสนับสนุนเจ้าชายพระองค์สุดท้ายของอาณาจักร
ขอพระเจ้าทรงคุ้มครอง เจ้าชายพระราชาฟินตัน
ดยุกแห่งนอร์ด กษัตริย์แห่งโคโลเนีย