ข่าวการกลับมาของฟินตันและข่าวของทัพของเขากระจายจากเกียสเซน
อันเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าชายอย่างเป็นทางการออกไปราวกับไฟลามทุ่ง
สารแห่งความหวังเคลื่อนจากเมืองรอบ ๆ เกียสเซนสู่เมืองที่ไกลออกไป
ปลุกไฟที่เคยริบหรี่ของประชาชนทั่วทั้งอาณาจักรให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง
“บุกเข้าไป!”
ที่นอร์ด นำโดยเหล่าผู้ที่ทำงานในร้านของชาล็อตและตัวของเธอเอง
ร่วมกับทราวิสและประชาชนอื่น ๆ
พวกเขาได้บุกยึดอาคารว่าการเมืองไม่นานหลังจากมีข่าวมาว่าทัพของฟินตันสามารถบุกยึดวาสเซอร์เฟิร์ตได้สำเร็จ
เหล่าผู้คนที่โกรธแค้นจากการได้เห็นชาล็อตกับทราวิสโดนทำร้ายร่างกายจากการเค้นเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าชายที่ต่างเชื่อกันว่าตายไปแล้วในวันที่คีย์รันยึดอำนาจ
“อ- อั่ก!”
เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากดวงตาและช่องปากของทหารที่ปกป้องเส้นทางไปสู่ห้องที่ดยุกผู้ครองเมืองหลบอยู่
พลัง Aquakinesis
ที่ชาล็อตมีไม่เพียงสามารถควบคุมของเหลวในการทำโพชั่นหรืออาหารได้เท่านั้น
เลือดก็นับเป็นหนึ่งในของเหลวที่เธอสามารถควบคุมได้
การลุกฮือนี้ไม่เพียงแต่จะปรากฏตามหัวเมืองต่าง ๆ เท่านั้น
เพราะแม้แต่ศูนย์กลางแห่งการปกครองอย่างมอนทาราเองก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้
สิ่งเดียวที่ยังคงทำให้ประชาชนแห่งนครหลวงแห่งนี้ยังคงไม่กล้าออกมาใช้กำลังโค่นล้มผู้นำที่ไม่ได้ต้องการนี้ก็เพราะทหารมากมายที่กระจายกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ทั่วทั้งเมืองไปหมด
ผู้คนถูกตรวจค้นแม้ว่าจะเป็นการเดินออกไปจ่ายตลาดหรือเพียงแค่ดูน่าสงสัยจากทางการ
แต่ถึงแม้จะยังไม่มีการปะทุของเพลิงร้อนดั่งเมืองรอบนอกอื่น ๆ
แต่นครที่เป็นแหล่งศูนย์กลางแห่งการศึกษาทั้งพลังจิตกับเวทมนตร์และศาสตร์ต่าง
ๆ
นี้ก็เริ่มมีขบวนการใต้ดินที่จะกระทำการแบบเดียวกับพี่น้องชาวโคโลเนียแล้วเช่นกัน
เหลือเพียงแค่การจุดชนวนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
“เจ้าเตรียมการพร้อมแล้วแน่ใช่หรือไม่?”
ชายผู้หนึ่งวิ่งอย่างร้อนลนเข้ามาในบ้านไม้หลังหนึ่งใจกลางนครที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ขวักไขว่
แม้ในยามที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจที่ดำมืด
มอนทาราก็ไม่เคยที่จะหยุดคึกคักเลยจริง ๆ
ชายอีกคนถามทันทีที่ชายคนก่อนหน้าถอดผ้าคลุมที่ปกปิดตัวตนเอาไว้ออก
แผนการนี้เป็นเรื่องที่จะสร้างแรงกระเพื่อมได้อีกระลอกใหญ่หากสำเร็จ
ซึ่งภายใต้กำลังมากมายที่คุ้มกันการก่อเหตุที่ไม่พึงประสงค์นี้
สิ่งนี้จึงจะพลาดไม่ได้เลย
“เรียบร้อย ข้าตรวจสอบซ้ำแล้วหลายรอบ ไม่ว่าอย่างไรก็สำเร็จแน่นอน”
ชายหนุ่มตอบพร้อมกับหายใจเข้าออกด้วยความตื่นเต้น
จากนี้ไปจะเป็นของจริงแล้วสินะ
“เจ้า... เริ่มได้เลย”
เมื่อได้ยินดังนั้นคนที่มีอายุกว่าก็พยักหน้าแล้วเดินลึกเข้าไปภายในตัวบ้าน
เขาหยุดลงเมื่อเข้ามาที่ห้องห้องนึงที่มีคนนั่งอยู่มากมาย
มีทั้งคนที่มีความสามารถด้าน Telepathy
ที่คอยสื่อสารกับเครือข่ายที่กระจายอยู่ทั้งเมืองอยู่
และผู้ที่มีพลังที่สำคัญยิ่งในการเริ่มการปฏิวัติครั้งนี้ในเมืองหลวง
เธอก็พร้อมแล้วเช่นกันในการนำอนาคตใหม่มาสู่มอนทารา
“รับทราบค่ะคุณลุง”
เธอสูดหายใจเข้าลึก หลับตาลง
สติทั้งหมดเพ่งออกไปจากห้องภายในบ้านหลังนี้ ค่อย ๆ
เลื่อนไปตามถนนตรอกซอกซอยที่ซับซ้อนของนครหลวง
ออกไปสู่ถนนใหญ่ของย่านการค้า
และไปหยุดที่อาคารสูงสีเข้มประหลาดที่ถูกสร้างทั่วทั้งอาณาจักรไปหมด
เปลวเพลิงสีม่วงบนยอดของมันเป็นที่รังเกียจทุกทีที่ใครหันไปเห็นเว้นแต่พวกจอมเวทและกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์เมื่อกว่าหกปีก่อน
“พบเป้าหมายเรียบร้อย ขอโคโลเนียจงรุ่งโรจน์ดังเดิม”
ตู้มมมมม!!
เพียงเพ่งสมาธิให้มากกว่าเดิมไปที่จุดจุดหนึ่งที่ฐานของหอคอยเวทมนตร์หลักของมอนทารา
สิ่งของที่ถูกนำเอาไปวางไว้ก่อนหน้าอันเป็นแร่ธาตุหายากมากมายก็การระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นจากระยะไกล
แรงสั่นสะเทือนกระจายไปทั่วเมืองหลวงของอาณาจักร
อาคารสูงเสียดฟ้ามีอาการโอนเอนไปมาก่อนที่มันจะไม่สามารถรับน้ำหนักของตัวเองได้ไหวอีกต่อไป
และถล่มลงมาในที่สุด
Earth Palette
พลังจิตที่มีความสามารถในการสร้างการทำลายล้างด้วยแรงระเบิดอย่างมหาศาลจากการใช้แร่ธาตุหายากเป็นตัวกลางในการสร้างระเบิด
ซึ่งถึงแม้จะสามารถสร้างระเบิดได้เพียงแค่การเพ่งสมาธิไปที่แร่เหล่านั้น
แต่แร่ธาตุพวกนี้ก็หายากมากจนเป็นที่มาของชื่อของพวกมัน
จึงเป็นความสามารถที่ไม่อาจได้ใช้บ่อย ๆ นัก
โดยเฉพาะในสถานการณ์ทีเศรษฐกิจทำให้แร่ธาตุพวกนั้นหายากมากกว่าเดิมเข้าไปอีก
การเริ่มการโจมตีครั้งนี้จึงเป็นการทุ่มทุกสิ่งอย่างที่เหล่าผู้ก่อกบฏมีในการจุดชนวนกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้
ความผิดพลาดจึงเป็นสิ่งที่ห้ามให้เกิดเป็นอันขาด ซึ่งพวกเขาทำสำเร็จ
“สั่งให้เริ่มการโจมตีทั่วทั้งมอนทาราได้
ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองพวกเราด้วย”
ชายวัยกลางคนฉีกยิ้มกว้างเมื่อเสียงการถล่มของหอคอยเวทมนตร์หลักของอาณาจักรถล่มลงสู่พื้นดินดังเข้าสู่โสตประสาทของเขา
แต่นี่มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นของการปฏิวัติโดยประชาชนนี้
มอนทาราจะไม่ยอมตามหลังเมืองอื่น ๆ อีกต่อไปแล้ว
ครืน... โครม!
ปัง!
“นั่นมันเสียงบ้าอะไรกัน?”
คีย์รันใช้ฝ่าเท้าเตะให้ประตูที่นำออกไปสู่ระเบียงเปิดออกจนเกิดเสียงดังขึ้น
เวลายามสายของช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องที่ทำให้เครียดนี้
ใครกันที่บังอาจรบกวนการพักผ่อนของผู้นำสูงสุดแห่งอาณาจักร
แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้คนที่ยังเหนื่อยล้าอยู่บ้างต้องเบิกตากว้าง
แรงสั่นสะเทือนที่ตามมาพร้อมกับแสงเปลวเพลิงสีม่วงบนยอดของหอคอยที่คอยมอบพลังให้แก่จอมเวทมันมอดลงตามการถล่มของฐานรากทั้งหมด
เสียงครืนครั้งใหญ่กับกลุ่มควันที่พวยพุ่งออกมาจากเศษซากของมันทำให้เขาโกรธมากถึงขีดสุด
เพียงแค่การก่อกบฏที่กำลังกระจายออกไปทั่วทั้งอาณาจักรของเขามันก็ทำให้คีย์รันโมโหมากจนยากที่จะทนแล้ว
แต่ในตอนนี้เมืองที่เขาควบคุมด้วยตนเองกลับเกิดเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นขึ้นจนได้
“พวกเจ้าจะไม่ได้ตายดีกันทั้งหมดอย่างแน่นอน... ฮึ่ม... ดันสตัน
สวมเสื้อผ้าของเจ้าเสีย แล้วตามข้ามาเดี๋ยวนี้!”
คนอีกคนที่ยังคงซุกตัวอยู่ภายใต้ผืนผ้าห่มที่ยับยู้ยี่จากการเปิดเลิกออกไปของคนที่เคยนอนอยู่ข้าง
ๆ อย่างเร่งรีบรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
ร่างกายเปลือยเปล่าไร้ซึ่งความเขินอายใด ๆ
ปฏิบัติตามคำสั่งโดยการหยิบชุดชุดใหม่จากตู้ที่อยู่ไม่ไกลออกมาสวมอย่างคล่องแคล่ว
และไม่ลืมที่จะหยิบชุดของเจ้านายของเขามาด้วย
“ข- ขอบใจ ข้าอยากจะล้างบางเมืองแห่งนี้เสียให้สิ้นไปเลย ณ ตอนนี้
แต่-”
“อย่าเพิ่งรีบร้อนไปเลยขอรับท่านคีย์รัน
ข้าได้เตรียมแผนการเอาไว้แล้วเป็นที่เรียบร้อย
ท่านจะไม่ผิดหวังในตัวข้าอย่างแน่นอน”
ดันสตันย่อตัวลงคุกเข่าขวางหน้าเจ้านายของเขา
แม้ขาของคนที่ตัวสูงกว่าจะแทบทนไม่ไหวแล้วจากความเจ็บหน่วงที่ได้รับมาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
แต่หากไม่ปฏิบัติตัวให้ดีต่อผู้เป็นนายแล้วนั้น
ตัวเขาก็คงจะแหลกเป็นเสี่ยง ๆ
ไม่ต่างจากหอคอยเวทมนตร์ที่ข้างนอกหน้าต่างแน่นอน
“เหอะ ถ้าเจ้าทำได้ดังที่กล่าวจริง
ข้าก็พร้อมจะมอบรางวัลให้อย่างงาม”
มือของคีย์รันจับนิ้วสวยของดันสตันเข้ามาในช่องปาก แล้วค่อย ๆ
เลียมันอย่างคนที่เต็มไปด้วยความต้องการอันไม่สิ้นสุด
ไม่ว่าจะเรื่องของอำนาจหรือกามอารมณ์
“เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวไปจัดการธุระนะขอรับ หึ ๆ”
รอยยิ้มทีน่ากลัวปรากฏขึ้น
คีย์รันแยกออกไปหาเหล่าขุนนางเพื่อสั่งการในการปราบกบฏในเมืองหลวง
ส่วนดันสตันมุ่งหน้าทวนกระแสน้ำของแม่น้ำเรนอสไปทางทิศใต้ตามแผนการที่คิดเอาไว้พร้อมด้วยลูกแก้วประหลาดในมือ
“ท่านฟินตันขอรับ อีกราวสองชั่วโมงทัพของเราจะถึงโคเบลนซ์ (Koblenz)
ขอรับ จะให้กระหม่อมเริ่มจัดเตรียมแผนการรบเลยหรือไม่ขอรับ?”
อัลเบิร์ตบังคับม้าให้เดินเลี้ยวออกมาจากตำแหน่งประจำเพื่อสนทนากับผู้นำทัพของเขาที่ในขณะนี้กำลังมองแผนที่แผ่นใหญ่ในมืออยู่
ก่อนจะทำเครื่องหมายขีดเขียนอะไรบางอย่างแล้วพับมันเก็บไว้ที่เป้ด้านหลัง
“อื้อ รบกวนอีกครั้งด้วยนะ”
“ด้วยความยินดีเสมอขอรับ
ต้องการให้กระหม่อมระวังในจุดใดเป็นพิเศษหรือมีความเห็นใดอยากจะกล่าวหรือไม่ขอรับ?”
อัลเบิร์ตก้มศีรษะรับคำสั่งเล็กน้อยแล้วถามต่อ
เพราะถึงแม้ฟินตันจะไม่มีประสบการณ์ด้านการรบมาก่อนในอดีต
แต่อย่างน้อยการเป็นถึงเจ้าชายของอาณาจักรก็ต้องน่าจะได้เรียนรู้อะไรมาบ้างครั้งยังเยาว์วัย
ทหารยศร้อยโทคนนี้จึงถามเอาไว้เผื่อว่าจะได้แผนการรบที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเก่ามาใช้งาน
“จากครั้งที่แล้วที่พวกเราบุกยึดวาสเซอร์เฟิร์ต
ข้าคิดว่าควรจะนำกลยุทธ์การปิดล้อมมาใช้อีก
ยิ่งในขณะนี้ที่ทัพของเรามีขนาดใหญ่กว่าเก่า
การปิดล้อมยิ่งสามารถทำได้โอบรอบตัวเมืองมากยิ่งขึ้น
แล้วกับโคเบลนซ์ที่เป็นนครขนาดกลาง ๆ แล้วด้วย
น่าจะสามารถกดดันให้ยอมจำนนได้โดยง่ายนะ”
ถ้าให้พูดตามตรงแล้ว
ฟินตันไม่ได้สนใจเรียนในเรื่องการรบเลยแม้แต่น้อย
เรื่องเดียวที่เขายอมที่จะเรียนรู้ที่เป็นคำขอของท่านพ่อของเขามีเพียงการบริหารบ้านเมืองเท่านั้น
แต่ถึงแบบนั้นเนื้อหาที่ได้ฟังผ่าน ๆ
ในเรื่องของการรบก็พอจะหลงเหลืออยู่บ้างในสมอง
และนั่นเลยเป็นที่มาของข้อเสนอแนะจากแม่ทัพที่อัลเบิร์ตจะนำไปปรับใช้
“รับทราบขอรับ”
“เอ่อ... คือ... ถ้าหากสงครามนี้จบลง
เจ้าช่วยสอนข้าเรื่องการรบได้หรือไม่?
ข้าไม่เก่งด้านนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ถ้าได้คนที่มีควาสามารถแบบเจ้ามาช่วยสอนแล้ว... คงจะดีไม่น้อยเลย”
ก่อนที่อัลเบิร์ตจะบังคับม้ากลับไปที่จุดเดิม
ฟินตันก็เรียกผู้นำฝ่ายทหารเอาไว้ก่อน
และคำพูดที่ชื่นชมเขามากขนาดนี้ก็ทำให้อัลเบิร์ตไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรดีกับมัน
“ท- ท่านฟินตันกล่าวเกินไปแล้วขอรับ กระหม่อมไม่ได้เก่งอะไรเลย”
ชายวัยสามสิบปลาย ๆ เกาท้ายทอยของตนเองแกรก ๆ
เพราะคำเยินยอมากมายจากผู้เป็นถึงเจ้าชาย
แต่หากทุกอย่างเสร็จสิ้นตามประสงค์ของทุกคนแล้ว
เกิดว่าเจ้าชายของอาณาจักรต้องการเช่นนั้น
“แต่หากพระองค์ต้องการให้กระหม่อมสอน กระหม่อมก็ยินดีขอรับ
เป็นเกียรติอย่างยิ่งอย่างแท้จริง”
กองทัพของฟินตันหลังจากได้พบกับเหล่าประชาชนผู้กล้าหาญแห่งมานเรียบร้อย
และหยุดพักที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งคืน
ผู้คนที่ปลดแอกจนเองก็ได้อาสาเข้าร่วมกับกองทัพนี้มากขึ้นไปอีก
จากเดิมที่มีกำลังพลราวหนึ่งหมื่นห้าพันนาย ขณะนี้
กองทัพที่เคยเป็นเพียงสหายสองคนในจุดเริ่มต้นที่นอร์ด
มันก็ได้เติบโตกลายมาเป็นกองทัพขนาดกว่าสองหมื่นนายแล้วเป็นที่เรียบร้อย
เป็นตัวเลขที่พอจะทำให้เหล่าทหารและผู้บังคับบัญชาพอจะมีหวังได้บ้างในศึกใหญ่สุดท้ายข้างหน้าที่มอนทารา
นับแต่เดินทางออกจากมานมาได้จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาหนึ่งวันครึ่งแล้ว
ทุกหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่กองทัพเดินผ่านก็มีการต้อนรับเป็นอย่างดีจากชาวบ้าน
รวมไปถึงหลาย ๆ คนก็ขอเข้าร่วมกับกองทัพด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่าทุกที่ที่ฟินตันและพวกเดินทางผ่าน
ทัพของเขาก็ยิ่งทรงอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ
จากผู้คนที่อยากมีส่วนร่วมในการทวงคืนสิ่งที่พวกเขาเคยมี
ฉะนั้นเป้าหมายต่อไปในการเดินทางที่จะเป็นจุดพักรองสุดท้ายก่อนถึงมอนทาราอย่างโคเบลนซ์จึงไม่น่าเป็นห่วงเสียเท่าไรนัก
โคเบลนซ์เป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่ที่ตั้งอยู่ ณ
ช่องแคบระหว่างแนวเทือกเขาที่แม่น้ำเรนอสไหลกันเซาะเป็นช่องพอดิบพอดี
เมืองแห่งนี้เป็นเหมือนประตูที่จะเชื่อมครึ่งหลังของแม่น้ำเรนอสที่อยู่ทางทิศเหนือ
เข้ากับครึ่งแรกของมันในทางทิศใต้
และเป็นเส้นทางที่จะนำพาขึ้นทวนน้ำไปเจอนครที่เป็นศูนย์กลางด้านการเงินของทวีปอย่างซิลเวอร์เฮม
อันเป็นอาณาจักรต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญนี้
ด้วยการที่เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์เช่นนี้แต่กลับมีประชากรไม่มากจากสภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้อต่อการตั้งเมืองมากเท่าใดนัก
การยึดเมืองแห่งนี้ได้จะกลายเป็นอีกหนึ่งขั้นของการทำศึกครั้งใหญ่นี้
เพราะหากกำลังเสริมจากทางตอนเหนือของอาณาจักรจะถูกส่งมาปราบพวกของฟินตันก็ต้องผ่านมาทางช่องเขานี้ทั้งนั้น
มิเช่นนั้นก็ต้องเลือกที่จะเดินทางอ้อมแนวเทือกเขามอร์บัลลาที่ตั้งผ่าอาณาจักรมาทางด้านทิศตะวันออกแบบเดียวกับที่ฟินตันทำ
ซึ่งจากกำลังพลที่มีและแผนการรบที่เชื่อใจได้จากเหล่าทหารมากความสามารถที่เจ้าชายแห่งไฟมี
เขาและกองทัพทั้งหมดต่างเชื่อมั่นว่าโคเบลนซ์เองก็จะต้องยอมสยบแก่พวกเขาแน่นนอน
“เตรียมการโจมตี ฟังสัญญาณจากข้า”
เมืองขนาดกลางตั้งอยู่ตรงหน้าพวกเขากว่าสองหมื่นชีวิต
น่าแปลกที่เมืองแห่งนี้ไม่มีการปฏิวัติโดยชาวเมืองที่อาศัยอยู่
แต่หลังจากการสังเกตการณ์ปรากฏภาพเหล่าทหารมากมายก็เข้าใจได้ในทันทีว่าจุดยุทธศาสตร์เช่นนี้
คีย์รันคงจะไม่ปล่อยให้ฟินตันถูกช่วงชิงไปโดยง่ายอีกแห่ง
“สาม... สอง... หนึ่ง... บุกกกก!!”
สิ้นการนับถอยหลังของฟินตัน
ทัพส่วนแรกก็พุ่งเข้าโจมตีแนวทหารที่เรียงแถวเป็นแนวอยู่เบื้องหน้า
ในขณะที่อีกส่วนของกองทัพเคลื่อนตัวโอบล้อมด้านซ้ายและขวาของนครแห่งนี้เอาไว้เพื่อปิดทางหนีและโจมตีจากรอบทิศทางเพื่อกดดันสถานการณ์
เหล่าผู้มีพลังจิตและผู้ใช้เวทได้ผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวเพื่อโจมตีศัตรูมากมายตรงหน้า
ส่วนผู้ที่ไม่มีทั้งสองอย่างก็ได้คอยสนับสนุนด้วยการใช้ดาบและธนูในการทะลวงเข้าไปภายในนครแห่งนี้
ซึ่งพอสามารถเจาะเข้าไปภายในได้
ประชาชนก็ได้โอกาสที่รอคอยมานานในการร่วมโจมตีเจ้าหน้าที่จากทางการของโคโลเนียไปพร้อมกับทัพของฟินตัน
ที่แน่นอนโดยไม่ต้องอธิบายให้มากความก็จบลงด้วยชัยชนะดั่งเช่นทุกนครที่ผ่านมา
“ท่านฟินตัน”
“เฮฮฮฮฮ!!”
“พวกเราเป็นอิสระแล้ว”
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังกึกก้องไปทั่วทั้งเมือง
เหล่าเจ้าหน้าที่ของทางการที่เหลืออยู่ต่างพากันล่าถอยกลับไปทางทิศเหนือ
อันเป็นทิศทางที่จะมุ่งหน้าไปสู่มอนทารากันหมด
ทุกอย่างจบลงง่ายกว่าที่คิดเอาไว้มากพอสมควร
และมันกำลังทำให้เจ้าชายหนุ่มและเหล่าผู้นำทัพต่างรู้สึกแปลก ๆ
อยู่ภายในใจ
“เจ้ารู้สึกว่ามันจบง่ายไปหน่อยหรือไม่บอลด์วิน?”
ฟินตันใช้ด้ามของดาบที่ถืออยู่สะกิดสีข้างคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
ความรู้สึกในตอนนี้มันมีความไม่ชอบมาพากลอยู่เต็มไปหมด
จุดยุทธศาสตร์ที่ดีขนาดนี้แต่ทำไมถึงเลือกที่จะยอมแพ้แล้วถอนกำลังออกไปง่ายเช่นนี้
แบบนี้มันแปลกมาก ๆ เลย
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันกับเจ้า ระวังตัวเอาไว้ อย่าอยู่ห่างจากข้า”
“อื้อ ได้เลย”
หวึ่ง!!
ซูม... วูบ...
เสียงประหลาดดังขึ้นพร้อมด้วยกระแสลมที่พัดมาเป็นจังหวะมาจากทางทิศที่ทหารของคีย์รันล่าถอยไป
เมื่อทุกสายตาหันไปมองตามที่มาของเสียงก็พบว่าช่องเขาที่เคยมีได้เกิดม่านหมอกประหลาดกำลังค่อย
ๆ เติมเต็มจนไม่มีช่องว่างใด ๆ พลังเช่นนี้ไม่ใช่พลังจิตอย่างแน่นอน
“ท- ท่านฟินตันขอรับ แย่แล้ว พลังแบบนี้มันคื-”
“ถึ ง พ ว ก เ จ้ า ทุ ก ค น... อ ย่ า ไ ด้ คิ ด ดี ใ จ ไ ป... แ ล้
ว ส่ ง ตั ว เ จ้ า ช า ย ข อ ง พ ว ก เ จ้ า ม า เ สี ย เ ดี๋ ย ว
นี้”
เสียงประหลาดดังขึ้นภายในหัวของคนกว่าสองหมื่นคนในพร้อม ๆ กัน
สันหลังของฟินตันเย็นวาบทันทีเมื่อได้ยินข้อความ
เพราะเจ้าของเสียงที่เย็นเฉียบนี้มีหรือที่เขาจะไม่รู้จัก
หนึ่งในคนที่เขากลัวมากที่สุดคนนึงในตอนเด็ก ดันสตัน
นัคเฟลอสเตอร์เรอร์ มือขวาของคีย์รัน
“ไม่จริง...”
ฟินตันจับแขนของบอลด์วินเอาไว้เพื่อให้ยืนได้อย่างมั่นคง
เพราะหลังจากมองกวาดสายตาไปมา
ตาของเขาก็มองไปเจอชายตัวสูงที่แผ่รัศมีสีดำออกมาอยู่เหนือม่านหมอกที่ช่องเขานั้น
“กำแพงนั่นมันสร้างจากคีย์รัน และนั่นก็ดันสตันไม่มีผิดแน่ขอรับ”
ทหารคนเดิมกล่าวเสียงสั่น
นอกจากแก่นพลังที่สัมผัสได้โดยเหล่าผู้ใช้เวทแล้วจากกำแพง
คนที่เปล่งรัศมีน่ากลัวแบบนั้นก็มีเพียงคนเดียวในอาณาจักร
แต่ผู้ที่ไม่มีเวทแบบดันสตันเหตุใดถึงทำอะไรเช่นนี้ได้กัน?
ในความสงสัยของใครหลายคน
พวกเขาก็หันไปเจอคนอีกคนที่อยู่บนกำแพงหมอกห่าง ๆ จากคนน่ากลัว
ซึ่งน่าจะเป็นจอมเวทที่นำพลังของคีย์รันมาใช้ในการสร้างม่านหมอกนี้แน่นอน
“ไม่ต้องไปฟังมัน มุ่งหน้าเข้าไปที่กำแพงหมอก”
อัลเบิร์ตสั่งการให้ทัพทั้งหมดเคลื่อนตัวไปที่ม่านหมอกประหลาดที่ตั้งกั้นแบ่งเมืองโคเบลนซ์ออกเป็นสองส่วน
ส่วนที่ฟินตันยึดได้เป็นครึ่งส่วนใหญ่ก็จริง
แต่อีกส่วนก็อยู่หลังม่านหมอกนั้น
และมีประชาชนหลายคนที่กำลังแตกตื่นจากการที่ครอบครัวหรือคนรู้จักของพวกเขาถูกกั้นไว้ที่อีกฝั่ง
เมื่อพากันเดินไปจนถึงม่านหมอกและสัมผัสเข้ากับมันก็พบว่ามันไม่ใช่หมอกธรรมดา
แต่เป็นม่านพลังอันแรงกล้าที่ไม่อนุญาตให้สิ่งใดเคลื่อนที่ผ่านไปอีกฝั่ง
เว้นเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงผ่านไปได้
ก็คือน้ำภายในแม่น้ำเรนอสที่ยังคงไหลจากทิศใต้ไปยังทิศเหนือดังเดิม
“ฟินตัน ลองใช้ลูกไฟของเจ้าดูได้หรือไม่?”
เฟลิกซ์นึกย้อนไปถึงตอนที่ฟินตันใช้ลูกไฟขนาดใหญ่ในการทำลายเมฆพิษที่สร้างจากเวทมนตร์
ณ ชานเมืองวาสเซอร์เฟิร์ต
ถ้าเกิดว่าเมฆนั่นที่สร้างจากเวทมนตร์ของคีย์รันสามารถถูกทำลายลงได้ด้วยเพลิงจากฟินตัน
ม่านหมอกนี้ก็อาจถูกสลายลงได้เช่นกันแน่ เฟลิกซ์สันนิษฐานแบบนั้น
“อื้อ... ข้าจะลองดู พวกเจ้าทุกคนถอยออกไปก่อน”
ตามคำสั่งที่ได้รับ ทหารและสหายของฟินตันทุกคนถอยหลังออกไป
ปล่อยให้เจ้าชายหนุ่มได้สูดหายใจเข้าลึก ๆ
และตั้งสมาธิไปที่อากาศตรงหน้า
หลังจากสูดหายใจเข้าและออกอีกไม่กี่ครั้ง
เปลวเพลิงก็เริ่มถูกสร้างขึ้นจากฝ่ามือทั้งสองข้างของฟินตัน มันค่อย
ๆ เคลื่อนตัวออกมารวมกันเป็นลูกไฟที่ด้านหน้าตัวของเขา
ขยายทั้งขนดและความร้อนให้มากขึ้น
และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่มีพลังการทำลายล้างมากพอ
ผู้สร้างของมันก็ส่งมันพุ่งออกไปชนกับม่านหมอกเวทมนตร์ตรงหน้า
ซูม!
“สำเร็- เอ๊ะ...”
เฟลิกซ์กำลังจะโห่ร้องด้วยความดีใจ แต่พอควันสีเข้มค่อย ๆ
ลอยจางออกไปตามกระแสลม ม่านหมอกตรงหน้ากลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ
เลยแม้แต่น้อย ลูกไฟเมื่อครู่ยังไม่เพียงพอ
“หา... ทำไมกัน... พวกเจ้า มีผู้ใดมีพลัง Pyrokinesis
หรือเชี่ยวชาญเวทด้านไฟบ้างหรือไม่? ข้าขอแรงพวกเจ้าด่วน”
อัลเบิร์ตเองก็ไม่เข้าใจ
พลังตั้งมากมายขนาดนั้นแต่ทำไมถึงไม่มีความเสียหายใด ๆ
เลยกับม่านหมอก
แถมมือขวาของผู้สร้างมันที่ยืนอยู่เหนือยอดหมอกก็ยังแสยะยิ้มน่ากลัวอีกต่างหาก
คอยทำให้ผู้คนที่เห็นต่างขนลุกกันไปหมด
หลังจากรวบรวมผู้มีพลังในการสร้างไฟมาได้ราวสิบกว่าคน
เหล่าทหารและเจ้าชายแห่งไฟก็กลับมายืนประจันหน้ากับม่านหมอกอีกครั้ง
ในระหว่างการรวบรวมกำลังคนนี้นั่นเอง
ที่ยอดของหมอกก็มีเหล่าจอมเวทจำนวนมากโผล่มายืนด้านข้างของดันสตันกว่าสามสิบชีวิต
ซึ่งจากการตรวจสอบด้วยเวทตรวจสอบแล้วก็พบว่าเป็นเหล่าจอมเวทระดับสูงทั้งสิ้น
มิหนำซ้ำแล้ว บางคนในนั้นก็ไม่ใช่จอมเวทด้วยซ้ำ แต่เป็นเอสเปอร์
การทรยศพวกเดียวกันเห็นทีจะไม่ได้มีแต่จากฝั่งเวทมนตร์แต่อย่างเดียว
เพราะฝั่งพลังจิตเองก็มีเช่นกัน
โชคไม่ดีที่เวทตรวจสอบไม่สามารถใช้กับพลังจิตได้
แต่จากการรับรู้คนอื่น ๆ ที่เป็นจอมเวท
เอสเปอร์เหล่านั้นเองก็ต้องเป็นผู้มีพลังระดับสูงเช่นกันแน่นอน
“พวกเจ้าพร้อมใช่หรือไม่?”
ฟินตันกล่าวถามคนรอบตัวเพื่อให้แน่ใจกับการโจมตีม่านหมอกในครั้งที่สอง
“ขอรับ/เพคะ”
หลังจากพยักหน้าให้กับคำตอบนั้น
ฟินตันก็เริ่มรวบรวมสมาธิอีกครั้งเพื่อสร้างเปลวไฟ
โดยครั้งนี้เขาจะทุ่มทุกอย่างสุดตัวยิ่งกว่าเก่า
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องผ่านจุดนี้ไปให้ได้
อีกนิดเดียวก็จะถึงมอนทาราแล้ว
“พร้อมกับข้านะ สาม... สอง... หนึ่ง...”
ซูมมมมม!!
ไฟร้อนมากมายพุ่งออกจากเหล่าผู้คนกว่าสิบชีวิต
ความร้อนของมันทำเอาต้นไม้และพืชพรรณอื่น ๆ โดยรอบเริ่มเผาไหม้
ไม่ต่างจากบ้านเรือนไม่ไกลที่เริ่มมีควันพวยพุ่งออกมา
แต่ไม่ว่าอย่างไรม่านกำแพงหมอกตรงหน้าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย
“อึก- พังลงสิ”
ฟินตันกัดฟันกรอดแล้วปล่อยพลังออกไปมากกว่าเก่า
เขาไม่สนใจแล้วว่าจะหมดแรงหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำลายมันให้ได้
“ฟินตัน พวกเจ้าด้วย หยุดเถอะ ไม่มีประโยชน์หรอก...”
นอร่าวิ่งฝ่าความร้อนเข้ามาบอกให้ทุกคนที่กำลังเหนื่อยหอบหยุดการกระทำที่ดำเนินการต่อเนื่องมาหลายนาทีลง
ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่ากำแพงหมอกนี่จะได้รับความเสียหายใด
ๆ จากไฟร้อนระอุนี้เลย
ขืนฝืนต่อไปมีหวังจะส่งผลเสียต่อร่างกายเพราะใช้พลังมากเกินไปเปล่า ๆ
“ง- งั้นหรือ... ขอบใจพวกเจ้ามากเลยนะ”
ฟินตันหยุดการส่งพลังไฟออกไปแล้วกล่าวด้วยสีหน้าผิดหวัง
เขากล่าวขอบคุณแล้วเดินไหล่ตกกลับไปหาสหายของเขาอีกสามคนที่ยืนอยู่กับอัลเบิร์ต
มันเป็นเพราะเขายังแข็งแกร่งไม่พอหรือ?
หรือมันเป็นเพราะสมาธิที่ไม่ค่อยรวมอยาจุดเดียวภายใต้ความกังวลจากสายตาของคนน่ากลัวบนศีรษะกัน?
“ส่ ง ฟิ น ตั น ม า เ สี ย”
เสียงน่ากลัวอันเย็นเฉียบดังขึ้นอีกครั้ง
และยังทำให้ทุกคนขนลุกในความเย็นยะเยือกและมืดมิดของมันได้ดังครั้งก่อน
แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาทั้งสองหมื่นชีวิตก็ไม่ยอมที่จะส่งตัวแม่ทัพของพวกเขาไปตามคำสั่งอย่างแน่นอน
“ใครจะไปยอมกันเล่า!”
เฟลิกซ์ตะโกนพร้อมทั้งพยายามขว้างก้อนหินบนพื้นไปใส่
แต่ด้วยความสูงมากของม่านกำแพงหมอกที่เหล่าศัตรูยืนอยู่
ต่อให้เทเลพอร์ตก้อนหินนี้ขึ้นไปมันก็ไปไม่ถึงอยู่ดี
“ทำอย่างไรดีขอรับท่านฟินตัน?”
ท่ามกลางความกังวลของหลายฝ่าย
อัลเบิร์ตได้เดินเข้ามาหาแม่ทัพของเขาเพื่อเป็นตัวแทนในการขอคำแนะนำในสิ่งที่ควรจะดำเนินการต่อ
ม่านหมอกปิดช่องทางหนึ่งเดียวในการเดินหน้าต่อของพวกเขาไว้เช่นนี้
แถมยังมีจอมเวทและเอสเปอร์มากมายมาขวางทางเพิ่มเข้าไปอีก
นอกจากช่องเขานี้ก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
“ข- ข้าเองก็ไม่รู้เช่-”
ฟู่ววว!!
จู่ ๆ เสียงฟู่ของกลุ่มควันปริศนาดังขึ้นไปทั่วบริเวณ
ตามมาด้วยควันสีขาวที่กระจายไปทั่วทั้งนครที่ตั้งอยู่ ณ
ช่องเขาแห่งนี้
ผู้คนยังไม่ทันได้แตกตื่นพอเริ่มสูดดมมันเข้าไปก็เกิดอาการเวียนศีรษะขึ้น
ก่อนจะค่อย ๆ มีสายตาที่พร่ามัวแล้วล้มลงสลบไปกับพื้น
เมื่อเห็นดังนั้นบอลด์วินที่เป็นองครักษ์ทางพฤตินัยของฟินตันก็รีบวิ่งเข้าไปหวังจะใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือปิดจมูกเพื่อไม่ให้หมอกพิษในอากาศทำอะไรกับคนที่เขาเคารพได้
แต่บอลด์วินช้าเกินไป เพราะยังไม่ทันที่จะวิ่งไปถึงตัวผู้เป็นเจ้าชาย
เขาก็หมดแรงเสียก่อน
ได้แต่ล้มลงและมองดูคนที่อยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวสำลักไปมาขณะล้มลงกับพื้น
ดวงตาสีน้ำตาลหันมาสบตากับบอลด์วินก่อนที่เปลือกตาจะปิดลง
เช่นเดียวกันกับสติของเขาที่ค่อย ๆ ดับลงทีละน้อย
ส่งความมืดเข้าครอบครองทุกโสตประสาทของร่างกาย
“มีฤทธิ์เท่านี้เองหรือ?”
เมื่อหมอกประหลาดที่ทำให้เมืองทั้งเมืองและกองทัพขนาดใหญ่สลบไสลกันไปหมดค่อย
ๆ จางหายไป
ปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีดำเงาเดินตามแผ่นหินบนพื้นที่ปูเป็นลวดลายสวยงามประดับประดาลานกลางเมืองของโคเบรนซ์จนมาหยุดที่คน
ๆ หนึ่งที่นอนอยู่กับพื้น
“ท่านดันสตันขอรับ ให้กระหม่อมมัดแขนกับขาของมันหรือไม่ขอรับ?”
ดันสตันย่อตัวลงใช้ฝ่ามือจับปลายคางของเจ้าชายหนุ่มที่สลบอยู่บนพื้นเอียงไปมาพร้อมกับหัวเราะน้อย
ๆ
ให้กับความน่าขำที่คนที่บุกยึดเมืองมาหลายเมืองและมีความคิดใหญ่โตอย่างการยึดอำนาจคืนนั้น
กลับมาสิ้นฤทธิ์อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ได้อย่างง่าย ๆ
จากเพียงเวทธรรมดา ๆ อย่างหมอกพิษที่ทำให้สลบ
“ไม่ต้อง กว่ามันจะฟื้นพวกเราก็ถึงมอนทาราไปนานแล้ว
กลับไปที่พระราชวังกันได้แล้ว”
คนที่ดูน่ากลัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
แล้วสั่งให้ทหารไม่ต้องมัดมือและเท้าของฟินตันแต่อย่างใด
ฤทธิ์ของเวทหมอกดังกล่าวกว่าจะสิ้นฤทธิ์แล้วทำให้ผู้ที่สูดดมเข้าไปฟื้นขึ้นมาก็คงอีกราวหกชั่วโมงได้
ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นพวกของเขาที่นั่งเรือตามกระแสน้ำไปก็คงถึงมอนทาราไปแล้ว
ฉะนั้นฟินตันไม่อาจจะทำอันตรายใด ๆ แก่พวกเขาได้แน่นอน
“แล้วพวกของมันที่เหลือนี่ล่ะขอรับ?”
ดันสตันมองตามจอมเวทคนเดิมไปดูเหล่ากองทัพขนาดใหญ่ที่นอนกองอยู่กับพื้นไปหมดจากฤทธิ์ของเวทหมอก
ใจนึงเขาก็อยากจะกำจัดพวกมันทิ้งเสียในตอนนี้เลย
แต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่าจะเป็นการเสียเวลาเปล่า ๆ
เพราะตัวของเขานั้นอยากจะกลับไปรับรางวัลจากเจ้านายของเขาจะแย่แล้ว
“ปล่อยเอาไว้แบบนี้ได้เลย
พวกเจ้าบางส่วนเฝ้าม่านเวทมนตร์เอาไว้ด้วยเสียล่ะ
อย่าให้ใครข้ามเข้าไปในมอนทาราได้จนกว่าข้าจะกลับมาสั่ง”
“รับทราบขอรับ”
โดยไม่ทันได้สังเกตหรือรู้ตัว
ยังมีหนึ่งคนที่สติยังมิได้ดับวูบไปดั่งคนที่เหลือ
ดวงตาสีเขียวที่จู่ ๆ ก็ตื่นขึ้นมาจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างไม่ลดละ
การต้องเห็นสหายของเขาถูกพาไปโดยไม่ยินยอมโดยที่ทำอะไรไม่ได้นี้
ยิ่งรวมเข้าไปการเห็นสหายคนอื่น ๆ นอนไม่ได้สติอยู่โดยรอบแล้ว
มันทำให้เฟลิกซ์โกรธสุด ๆ ไปเลย
แต่ไม่ว่าจะพยายามขยับตัวอย่างไรก็ไม่มีผล
ฤทธิ์จากเวทมนตร์ยังคงครอบครองร่างกายของเชาเอาไว้อยู่
ทำให้สิ่งที่ทำได้มีเพียงการนอนมองดูฟินตันถูกอุ้มไปเท่านั้น